-๔- กาลครั้งหนึ่ง
ดอกรักชอบหน้าฝน...
เพราะถึงหน้าฝนทีไร พื้นดินแห้งระแหงกว่าห้าร้อยไร่ของย่าแป้นจะถูกแปรสภาพเป็นผืนนา กล้าข้าวอายุหนึ่งเดือนชูช่อไสวสีเขียวขจีตัดสลับกับสีครามของท้องฟ้าสวยงามเมื่อยามเช้า ซึ่งสายฝนเพิ่งขาดเม็ดไปสักระยะ
ปิดเทอมแบบนี้ พ่อมักจะให้พี่หมาดื้อลงไปลุยงานในนากับคนงานเพื่อช่วยกันกำจัดวัชพืช
แดดแรงแผดผิวจนต้องเอาตัวคลุกโคลนคลายร้อน ตัวนี้ดำมะเมื่อมด้วยโคลน จนแทบแยกไม่ออกว่าไหนคน ไหนคันนา
ดอกรักมักจะพูดว่า พี่หมาดื้อเลียนแบบวิธีดับร้อนมาจากเจ้าดุ๋ย ควายเก่าแก่ที่ตกทอดมาตั้งแต่ตอนที่ย่ายังสาวๆ ซึ่งตอนนี้เหลือมันอยู่เพียงตัวเดียว หลังจากยุคสมัยเปลี่ยนไปคนรุ่นใหม่หันมาใช้รถแทรกเตอร์กันหมด และพี่หมาดื้อก็บอกกับดอกรักว่าชอบนอนแช่ปลักโคลนแบบที่เจ้าดุ๋ยมันทำ เพราะเย็นสบาย พี่หมาดื้อกวักมือเรียกดอกรัก ซึ่งยืนมองดูอยู่ไกลๆ จากเพิงพัก เพื่อให้ดอกรักลงมาทดลองนอนแช่ปลักดูบ้าง แต่ย่าแป้นตะเพิดเสียงขรม
“ทีเล่นพิเรนทร์ๆ ล่ะชำนาญนัก พอให้ทำงานนะไม่ได้เรื่อง ดูสิ! ให้ถอนหญ้า มันดันถอนเอากล้าข้าว เวรของข้าแท้ๆ ที่มีหลานอย่างเอ็ง เจ้าภพ”
แล้วก็ได้ยินเสียงมะแหงกของย่าเคาะลงบนกบาลของพี่หมาดื้อดังโป๊ก! ดอกรักหัวเราะร่วน
ตกช่วงหัวค่ำ พี่หมาดื้อตามพ่อประนพไปจับกบในท้องนา ย่าเรียมของดอกรักใจดี อนุญาตให้ตามออกไปด้วยได้ พ่อประนพแจกสุ่มกับข้องไม้ไผ่คนละอัน สุ่มไม้ไผ่ขนาดใหญ่เกินกว่าที่ดอกรักจะถือไหว พี่หมาดื้อจึงถือสุ่มเอาไว้เอง ดอกรักคล้องคอไว้เพียงข้องใบเล็ก
ท้องนายามค่ำคืนแสนสงบ แต่นอกจากเสียงกบเขียดร้องระงม ยังมีเสียงพ่อประนพที่บ่นปาวๆ ว่าพี่หมาดื้ออย่าเอาแต่เล่น จับให้มันได้สักสิบยี่สิบตัว หมักขมิ้น แล้วย่างไฟแกล้มเหล้า อร่อยยิ่งกว่าอะไร แต่พี่หมาดื้อก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่มีวี่แววว่าจะมีผลงานเป็นกบเขียดได้เลยสักตัว ดอกรักยิ้มแก้มปริที่เห็นเป็นแบบนั้น
“กบมันน่าสงสาร พี่หมาดื้ออย่าจับมันไปเลยนะจ๊ะ” ดอกรักกระซิบบอกแบบนั้น
และเหมือนว่าพี่หมาดื้อจะภาคภูมิใจเหลือหลายกับรอยยิ้มของดอกรัก จนสุดท้ายเขาเลยต้องหิ้วข้องเปล่ากลับบ้าน ไม่ได้กบเขียดแม้สักสักตัวเดียวตามเคย
“พี่หมา ดื้อ...”
โดยที่ยังไม่รู้สึกตัว รักเดียวเอ่ยชื่อนั้นออกมา เพราะกำลังฝัน...
ฝันว่าตัวเองยืนกระโปรงพลิ้วอยู่บนคันนา มองดูเด็กสองคนกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เธอมองดูเด็กทั้งสองด้วยความรู้สึกอบอุ่นและสุขใจ... ราวกับว่า ตัวเธอเองได้เข้าไปวิ่งเล่นกับพวกเขาในนั้นด้วย
เสียงรำพึงที่ดังมาจากคนข้างๆ ทำให้คนที่กำลังขับรถสะดุ้ง ภพรักรีบหันไปมองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งก็พบว่า เธอกำลังหลับใหลไม่รู้เรื่อง
“พี่หมาดื้อ”
เสียงของเธอดังขึ้นอีก คราวนี้ชัดถ้อยชัดคำ ภพรักชะลอความเร็ว และเบนหัวรถเข้าจอดตรงลานหญ้าริมทาง
จะมีใครในโลกเรียกขานเขาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่…
“ดอกรัก!” เขากระตุกแขนเรียกเธอเบาๆ หัวใจเต้นระทึก
แต่ช่วงนาทีสั้นๆ ที่เขากำลังโน้มหน้าตัวเองไปใกล้เพื่อมองเธอให้ชัด เจ้าตัวเกิดได้สติ เบิกตาโพลง ดวงตาสองคู่ประสานงากัน
“ว๊าย!” คนขี้ตกใจส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนที่กำปั้นกลมๆ จะลอยขึ้นมาต่อยเปรี้ยงเข้าเบ้าตาเขา
“โอ๊ยคุณ!” ชายหนุ่มส่งเสียงลั่น รีบเอามือกุมเบาตา ประกายดาววิ้งๆ ระยิบระยับ ความคิดเรื่องเด็กหญิงดอกรักกระเจิดกระเจิงไปเลย
รักเดียวตกใจ เปิดประตูวิ่งพรวดลงจากรถ เธอวิ่งไปถึงบริเวณป่าหญ้าโล่งเตี้ยข้างทาง
ภพรักกัดฟันกรอด เปิดประตูรถตามลงมาอย่างเดือดดาล
แม่เจ้าประคุณทูนหัวกำลังหันไปคว้าไม้หน้าสามที่จำเพาะจะต้องมาถูกทิ้งแถวนี้ขึ้นมาหมายจะฟาดเขา แต่เขาไม่โง่เพลี่ยงพล้ำซ้ำสอง ปราดเข้าไปรวบร่างอวบๆ ของเธอเอาไว้ได้
“ปล่อยนะ! ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย” คนถูกกอดดิ้นกระแด่วๆ ในอ้อมแขนเขา
รักเดียวต่อต้านสุดกำลัง แต่แขนขาสั้นๆ ของเธอทำอะไรเขาไม่ได้ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังออกแรงกอดรัดเธอแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ตำรวจรังแกประชาชน” ตะโกนจนเจ็บคอ แต่ไม่มีรถคันไหนแวะจอดช่วยกันเลย คนดีๆ เดี๋ยวนี้หายไปไหนหมด
“ผู้ชายรังแกผู้หญิง คุณมันไม่ใช่สุภาพบุรุษ” เธอก่นด่าเสียงแตกพล่า ก่อนจะงัดเอาไม้ตาย ทำน้ำตาคลอเบ้า แต่ไม่ทันจะปล่อยเสียงโฮออกมาผู้กองหนุ่มก็ขัดขึ้นราวกับมีญาณทิพย์อ่านใจออก
“ไม่ต้องมาบีบน้ำตา บอกแล้ว ผมไม่ใช่ประเภทแพ้น้ำตาผู้หญิง”
เธอไม่ฟัง ยังดิ้นเร่าๆ ปล่อยน้ำตาไหลพรากและส่งเสียงโวยวายว่าเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษรังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้
“นี่คุณสุภาพสตรี อยู่นิ่งๆ หุบปาก และฟังผม ถ้าไม่อยากเข้าไปนอนในคุก”
เสียงขึงขังของเขาดูมีพลังขึ้นทันทีที่พูดถึงคำว่า ‘คุก’
หญิงสาวเลิกดิ้น เลิกส่งเสียงโวยวาย จะมีก็แต่ซากน้ำตากับเสียงสะอื้นกระซิกที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ภพรักจึงยอมคลายแรงกอด
พอหลุดจากนายตำรวจหนุ่มออกไปได้ หญิงสาวก็รีบยกมือขึ้นปัดป่ายตามเนื้อตามตัว ทำหน้าสะอิดสะเอียน ราวกับกลัวจะมีเชื้อโรคจากเขาติดมาด้วย
ภพรักเมื่อมองเห็นอาการอย่างนั้นของเธอแล้ว ต่อมความเป็นสุภาพบุรุษ รวมทั้งสโลแกนตำรวจคือที่พึ่งของประชาชนดับวูบลงทันที
“ฟังนะ คุณสุภาพสตรี คุณเมา แล้วก็เดินโต๋เต๋ในชุดล่อตะเข้ สายตรวจเจอเข้าก็เลยนึกว่าเป็นสาวขายบริการ”
หาว่าเธอเป็นสาวขายบริการ!
ทุเรศ ใช้อะไรคิด
“ซึ่งถ้าไม่เพราะผมพาตัวคุณออกมา ป่านนี้คุณคงยังนอนกรนครอกๆ อยู่ในห้องขัง ดีไม่ดีพรุ่งนี้ตื่นมาคุณอาจได้กลายเป็นข่าวซะเอง ลองตั้งสติแล้วใช้หัวสมองทื่อๆ ที่มีแต่ด้านมืดของคุณตรองดู นะครับ คุณนักข่าว”
รักเดียวกะพริบตาถี่ๆ เรียกสติ ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จึงถูกประมวล และค่อยๆ ย้อนมาปรากฏในสมองเป็นลำดับ
...ข้ามเรื่องแถลงนโยบายพรรคไทยขยันไป
...ข้ามเรื่องคาลัว มิล์ สองหรือสามแก้วที่เผลอดื่ม
...เธอออกจากงานเลี้ยง เดินออกมารอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรม
...โบกรถตำรวจที่หลงเข้าใจว่าเป็นแท็กซี่ แล้วก็โดนตำรวจจับ
...แล้วอะไรต่ออีกล่ะ??
"ไงคุณ คิดออกรึยัง” เสียงเข้มดังขึ้นอย่างเร่งรัดเอาคำตอบ คนที่กำลังใช้ความคิดอย่างสับสนสะดุ้งพรวด
“ถ้ายังคิดไม่ออกก็ยืนคิดต่อไปคนเดียวแล้วกัน” เขาว่าอย่างสิ้นเยื่อใย เดินอาดๆ กลับไปขึ้นรถ
รักเดียวสองจิตสองใจ ความคิดหนึ่งยังค้างอยู่ที่คำว่าคุก อีกความคิดหนึ่งก็อยากกลับเหมือนกันเพราะง่วงเต็มที
นายตำรวจขณะที่กำลังจะออกรถ ไม่วายชะโงกหน้าข้ามกระจกตะโกนมาเตือน “ไม่แน่พรุ่งนี้คุณอาจได้ขึ้นหน้าหนึ่งหรือเป็นข่าวดังบนโลกออนไลน์ ... นักข่าวสาวโนเนม ดับอนาถกลางป่าละเมาะ เพราะถูกโจรโรคจิตปล้นสวาทและฆ่าชิงทรัพย์”
จะด้วยเพราะเป็นห่วงหรือขู่ให้กลัวก็ตาม แต่รักเดียวหน้าหงอคอหดทันที
“แต่ไม่ต้องห่วง ผมจะช่วยปิดคดีให้คุณเอง...” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนจะยกมือขึ้นโบก บ๊ายบาย “โชคดีนะครับ ลาก่อน คุณนักข่าว” และเลื่อนปิดกระจก
“เดี๋ยวค่ะๆ รอฉันก่อน” รักเดียวทิ้งไม้หน้าสาม วิ่งถลาไปฉวยประตูรถเปิดฉับ โดดขึ้นไปนั่งข้างเขาทันที “จำได้แล้วค่ะ จำได้แล้ว ฉันต้องขอโทษคุณด้วยนะคะผู้หมวด” เสียงอ่อนเสียงหวานเลยล่ะคราวนี้
“ผู้กอง!” เสียงเข้มแทรกเข้ามาบอก หญิงสาวยิ้มเจื่อน
“ค่ะๆ ผู้กองก็ผู้กอง”
รถปาเจโร่แอร์เย็นฉ่ำ ถูกพากลับสู่ท้องถนนและเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่อารมณ์ของเจ้าของรถดูจะไม่เหมือนเดิม ก็เขานะหรือสู้อุตส่าห์ทิ้งย่าทิ้งพ่อกับแม่เพื่อไปพาตัวเธอออกมาจากห้องขัง เธอยังเมาอ้วกจนเขาต้องเช็ดอ้วกให้ กลิ่นอ้วกยังเหม็นติดรถติดเสื้อเขาอยู่ไม่หาย เธอยังจะมีหน้ามากล่าวหาว่าเขาเป็นคนร้ายแถมต่อยหน้าเอาอีก... ผู้หญิงอะไร อกตัญญูชะมัด! จับไปปล่อยสวนสามพรานให้จระเข้กินซะดีไหมนี่
รักเดียวนั่งนิ่ง สีข้างเบียดชิดติดประตู คอสั้นๆ ยิ่งหดสั้นลงไปอีก ตอนแอบมองนายตำรวจหนุ่มที่นั่งเงียบมาตลอดทาง เห็นเขายกมือขึ้นลูบๆ แตะๆ ตรงเบ้าตาข้างที่โดนหมัดสะท้านฟ้าของเธอต่อยเข้าไป คิดในใจว่าเขาคงจะเจ็บมาก และถ้าไม่นับเรื่องที่เขาขับรถชนท้ายรถเธอ ก็จะพบว่าเขาช่างเป็นคนที่โชคร้ายซะเหลือเกิน แต่เธอก็ได้บอกขอโทษเขาไปแล้ว จะให้เอ่ยซ้ำอีกก็จะกลายเป็นว่า ไปเซ้าซี้ง้องอน ซึ่งไม่มีความจำเป็นอะไรที่เธอต้องทำแบบนั้น
สุดท้ายเลยไม่มีใครได้พูดจากับใครรถก็พามาถึงจุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มพารถเลี้ยวเข้าจอดตรงลานชั้นใต้ดินของคอนโด ภพรักดับเครื่องยนต์ เปิดประตูลงมาจากรถก้าวยาวๆ ไปที่หน้าลิฟต์
รักเดียวเงอะงะตามลงมา แต่จะเป็นเพราะมารยาหญิงหรือเป็นเพราะซุ่มซ่ามโดยสันดานก็ไม่รู้ จู่ๆ นักข่าวสาวเจ้าของรองเท้าส้นสูงปรี๊ดก็ลื่นพรืดก้นจ้ำเบ้าเสียงดังตุ้บ! กองอยู่ที่พื้นข้างๆ ประตูรถนั่นเอง
“อุ๊บ!” รีบยกมือตะครุบปิดปาก เก็บเสียงอุทานของตัวเอง
แต่เห็นทีจะไม่ทัน เพราะเสียงก้นกระแทกพื้น ออกจะดังเสียขนาดนั้น นายตำรวจหนุ่มเห็นพอดิบพอดี เขาหันหลังเดินกลับมา
“จะต้องให้แบกไหม” พร้อมกันนั้น ร่างสูงก็ก้มลงประคองเธอขึ้นจากพื้น แต่หญิงสาวชิงปฏิเสธ
“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณ” เธอปัดมือเขา ยักแย่ยักยันลุกขึ้น ชายหนุ่มจึงทำเป็นยืนดูอยู่เฉยๆ คนอวดเก่งใช้มือข้างหนึ่งลากสายชาแนลใบสวย ที่กระเด็นไปราวสองฟุต มืออีกข้างกุมบั้นท้าย ที่เพิ่งจะส่งเสียงแคร่กไปทีหนึ่ง แล้วเพียงชั่วอึดใจคนปากเก่งที่ลุกขึ้นเดินไม่ทันถึงครึ่งก้าวก็ล้มลง
“โอ๊ย!” คราวนี้เอามือปิดปากเก็บเสียงไม่ทัน
ภพรักยืนไว้อาลัยในความรั้นนั้น ก่อนจะเขามานั่ง และจับเบาๆ ไปที่ข้อเท้าเธอ
“ดื้อนัก เห็นไหมล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“เจ็บสิ ถามมาได้” เธอตอบ เจ็บจนน้ำตาซึม โมโหนักกับเจ้าคริสเตียนลูบูแตงมือสอง ที่สั่งซื้อออนไลน์จากเว็บไซต์ชื่อดัง ทีหลังแม่จะใส่ผ้าใบหรือไม่ก็รองเท้าสตั๊ด เสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ขี่หลังผมนี่มา” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมกับผินแผ่นหลังกว้างมาให้
รักเดียวจดๆ จ้องๆ ก่อนจะโดนเสียงเข้มของเขาตวาดมา
“เอ้าคุณ! เร็วๆ สิ ผมง่วงนะ”
คนสมองมึน ก็เลยกลืนน้ำลายเอื้อกหนึ่ง เกิดมาไม่เคยโดนใครอุ้มหรือขี่คอใคร แต่หนนี้เอาก็เอา
เมื่อตัดสินใจแล้วเธอจึงพาดแขนไปที่ไหล่ของเขา และคล้องมือไว้ที่คอเขาแน่น เพราะกลัวตก ก่อนจะกระดืบขึ้นบนแผ่นหลังแข็งแรงนั้น
แต่ก็ต้องสะดุ้งเกือบตกลงมาจริงๆ ตอนที่หมอนั่นใช้สองมือใหญ่แตะตรงบั้นท้ายเธอ เพื่อขยับร่างเธอให้สมดุลกับกลางหลังเขา และเขาก็เอียงคอมาตะคอก
“คุณ! กะจะให้ผมหายใจไม่ออกตายรึไง”
รักเดียวเหลือกตามองมือตัวเองที่รัดคอเขาเสียจนแน่น
“ก็คนมันกลัวตก” เธอพึมพำ คลายมือนั้นออก
แล้วเขาก็ก้าวยาวๆ พาไปถึงที่หน้าลิฟต์
มันจะดีสักแค่ไหนนะ ถ้าเปลี่ยนจากหลังของหมอนี่เป็นหลังของพี่เจน …เธอคิดอย่างเพ้อเจ้อ ก่อนจะต้องสะดุ้งตกใจ
“คุณ!” เขาตะคอกเป็นรอบที่สอง
“เฮ้ย! เรียกทำไมเนี่ย ตกใจหมด”
“ผมถามว่าห้องคุณชั้นไหน” สุ้มเสียงเขา ดูอารมณ์ไม่ดีนัก และความจริง เธอไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าห้อง ... แต่ทำไงได้
“ห้อง1820” เธอตอบงึมงำ
ช่วงเวลาแสนสั้น แต่ยาวนานนับชาติ กว่าที่ลิฟต์จะพาเขาและเธอ จากชั้นใต้ดินสู่ชั้นสิบแปด รักเดียวที่พยายามทรงตัวนิ่ง หน้าอกเธอแนบชิดอยู่บนแผ่นหลังของเขา
เขาไม่ได้พูดอะไร และเธอเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร ภายในลิฟต์เลยมีเพียงความเงียบกับเสียงลมหายใจเข้าออกของสองคนซึ่งแทบจะผสานเป็นจังหวะเดียวกัน
“ตื่นๆ คุณ”
รักเดียวสะดุ้งอีกที ก่อนจะเบิกตาปรือ มองเห็นประตูห้อง 1820
“ถึงห้องคุณแล้ว คุณนักข่าว!”
“ส่ง ฉ้าน... ตรงนี้แหละ” เธอบอกเพลียๆ ดันตัวเองลงจากหลังเขา แต่ชายหนุ่มขืนแรงเธอไว้ หันมาออกคำสั่งเสียงเข้ม
“เอาคีย์การ์ดมา ผมจะเปิดประตู” แบมือข้างหนึ่งยื่นมา
“ม่าย เป็นราย บอกห้าย ส่งฉ้านลง ตรงนี้” เธอยืนกรานเสียงยานคางเพราะทั้งง่วงทั้งเพลีย แต่ชายหนุ่มส่งเสียงเข้มกลับมาอีก
“บอกว่าเอาคีย์การ์ดมา จะเปิดประตู”
“ก็บอกว่าส่งฉันตรงนี้ไงเล่า!” คราวนี้เธอโมโห ตะเบ็งเสียงดังๆ ใส่หูเขาไปเต็มเหนี่ยว ชายหนุ่มเลยทิ้งความหวังดีทั้งหมด ปล่อยร่างเธอพรวดลงกับพื้น
“โอ๊ย!” คนอวดเก่งมุ่ยปากร้องเสียงพร่า ทำหน้าแขวะๆ ใส่เขาไปทีหนึ่ง ก่อนจะยักแย่ยักยันพาร่างโงนเงนของตัวเองลุกขึ้น
“เร็วคุณ คีย์การ์ดห้อง” มือใหญ่ๆ ยื่นมา
ด้วยสติสตังที่ยังไม่ค่อยสมประกอบ ทั้งเบลอทั้งง่วง ไหนจะเจ็บข้อเท้า ผ่านกระบวนการอันว่างเปล่าในสมอง รักเดียวเลยแหวกกระเป๋าใบสวยของตัวเองเพื่อหาคีย์การ์ดแบบมึนๆ เวลาล่วงเลยไปนานหลายสิบนาที ภพรักยืนรอคอยอย่างจวนจะหมดความอดทน เห็นเธอหยิบเอาบัตรสี่เหลี่ยมหน้าตาคุ้นๆ ยื่นไปแตะที่หัวอ่านระบบเปิดประตู
“นั่นใช่คีย์การ์ดซะที่ไหนล่ะ มันบัตรผม เอาคืนมาเลย” ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายเกินคำบรรยาย คว้ากระเป๋ารกรุงรังของเธอมาควานหาให้เองอย่างใจเย็น ครู่เดียวก็หาเจอและเปิดประตูห้องของเธอออกได้อย่างง่ายดาย
เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก ก็เผยให้เห็นถึงความสะอาดสะอ้านภายในนั้น หญิงสาวเดินกะเผลกจะล้มมิล้มแหล่นำหน้าเข้าไปในห้อง ผู้กองหนุ่มหวังดีจะเข้าไปพยุง แต่เธอปัดมือเขาออก แถมหันมาตวาด
“ไม่ต้อง! กลับไปได้แล้ว”
แล้วเธอก็ถึงจุดพีคของความง่วง เดินงัวเงียไปที่เตียง จีรศักดิ์ไม่อยู่ เนื่องจากมีบินยาวไปอีกหลายวัน คืนนี้คงต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย รักเดียวเปิดปากหาว และล้มตัวลงบนเตียง
“คุณ! ตะกี้เมา อ้วก ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
ไม่ทันแล้ว สาวจอมซกมก ฟุบหน้า กางแขนขาแผ่เต็มเตียง และหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างอนาถใจ สลัดภาพเด็กหญิงตัวน้อยแสนน่ารักในวัยเยาว์ออกไปจากหัว ไม่มีทางที่ยัยคนนี้จะเป็นคนคนเดียวกับเด็กหญิงดอกรักของเขาแน่ๆ
และแม้อุปนิสัยของเขา จะไม่ใช่คนละลาบละล้วง แต่เพราะทนเห็นหญิงสาวนอนอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้ เขาจึงเดินไปเปิดไฟ ก่อนเดินเข้าไปในห้องน้ำ กวาดตาเจอผ้าขนหนูและกะละมังพลาสติกใบเล็ก กลับออกมาก็ได้ยินเสียงหญิงสาวกรนครอก...ครอก เป็นที่เรียบร้อย
ให้ตายเถอะโรบิ้น! ไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนซกมก และปล่อยเนื้อปล่อยตัวได้เท่านี้
คิดไปพลาง มือก็เอาผ้าชุบน้ำเช็ดลงบนหน้าเธอไปพลาง ใบหน้าขาวเนียน พวงแก้มสีชมพูเรื่อทำให้อดไม่ได้ที่จะไล่สายตามองไปพร้อมๆ กับผืนผ้าที่ลูบไล้เบาๆ ไปตามลำคอและไหล่ของเธออย่างระมัดระวัง แล้วให้ตายนะ ไอ้เดรสเกาะอกแนบเนื้อตัวนี้ของเธอ ทำเอาหัวใจเขาเต้นเพี้ยนไปเลย ดูหรือเนินอกอิ่ม ก็ช่างขาวเนียน ปราศจากแม้ร่องรอยยุงกัด มันจะนุ่ม และเต็มไม้เต็มมือขนาดไหนนะ ถ้าเขาทดลองสัมผัส..
บ้าไปแล้ว! ชายหนุ่มตบกะโหลกตัวเอง หยุดสายตาไว้เพียงเท่านั้น เพราะพอเขาย้อนไปนึกถึงซากปอเปี๊ยะทอด ที่เธอขย้อนออกมา อารมณ์พิศวาสที่กรุ่นอยู่ในสมอง ก็ตายสนิททันที
ภพรักเก็บอุปกรณ์กลับไปไว้ในห้องน้ำดังเดิม และเดินกลับมา เลื่อนผ้าห่มให้เธอเสร็จเรียบร้อย ล็อคประตูห้อง ก่อนจะเดินกลับออกมาจากห้องนั้น
ชายหนุ่มกลับมาที่ห้องของตัวเอง เขาปลดเข็มขัดและถอดเสื้อเชิ้ตที่เหม็นอ้วก โยนไปในตะกร้าผ้าซึ่งมีผ้านับสิบๆ ชิ้น จนล้นขึ้นมาซึ่งได้แต่รอฤกษ์ส่งซัก
เขาถอดนาฬิกาวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะรู้สึกแปลก เมื่อฝ่าเท้าสัมผัสกับแผ่นพลาสติกแข็งๆ บนพื้น ก้มลงหยิบขึ้นมาดูจึงพบว่าเป็นบัตรประจำตัวนักข่าว ‘นางสาวรักเดียว รัตนขจี’ ภพรักอ่านชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าเธอไม่ใช่ ‘ดอกรัก มานะดี’ ของเขา
ความคิดเห็น |
---|