10

ตอนที่ 10


 

๑๐

 

เสียงเตะกระสอบทราย เสียงหมัดต่อยเป้าซ้อมดังลั่น วันนี้ถือเป็นการซ้อมใหญ่ของนักมวยที่จะเข้าแข็งขันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากวันนี้ก็คือการซ้อมเล็กๆ น้อยๆ วอร์มร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้นักมวยเจ็บตัว

“ภีม วันนี้ร่างกายเป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนยอช์ตบอกว่าเรานอนไม่หลับ ไม่สบายให้รีบบอกนะ”

ภีมยิ้มกับความเป็นห่วงของครูพนม ยิ่งนานวัน ยิ่งได้รู้ว่าที่นี่มีแต่ความห่วงใย ประหนึ่งคนในครอบครัว แล้วมีหรือ จะมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาในค่าย ยอดผากำชับนักหนา นักมวยที่นี่ห้ามยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แค่นิดเดียวก็ไม่ได้

“ไม่เป็นไรครับพ่อครู พี่ยอช์ตก็ห่วงเกิน”

“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ห้ามละเลยสุขภาพของตัวเอง เข้าใจไหมภีม”

ยอดผาที่เดินมาสมทบได้ยินพอดีจึงกำชับอีกครั้ง เพราะสำหรับนักมวยนั้น สุขภาพสำคัญที่สุด

“ครับ พี่ยอช์ต”

ภีมรับปากอย่างหนักแน่น ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างขอบคุณ

“เอ้าพวกเรา! มาจัดแถว”

ครูพนมตะโกนเรียกนักมวยในค่ายเพื่อมาซ้อมท่าแม่ไม้มวยไทย ซึ่งจะต้องซ้อมอาทิตย์ละครั้ง เพื่อความแม่นยำ และความสง่างามของท่ามวยไทย โดยมียอดผาเป็นผู้นำในการซ้อมครั้งนี้ นักมวยทั้งหมดจับคู่กัน ตั้งท่าเตรียมพร้อม

“สลับฟันปลา (รับด้านนอก)” ยอดผาตะโกนบอกท่า

ครูพนมกับยอดชนะคอยตรวจดูท่าทางของนักมวยแต่ละคู่ให้ถูกต้อง ยอดผาคู่กับภีม ซึ่งภีมอยู่ฝ่ายรุก ยอดผาอยู่ฝ่ายรับภีมเดินเข้าหายอดผาแล้วชกด้วยหมัดซ้ายตรง เป้าหมายคือใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า

ยอดผาตั้งรับด้วยการก้าวเท้าขวาทแยงไปทางขวา พร้อมกับเอนตัวไปทางขวาหกสิบองศา ทิ้งน้ำหนักตัวบนเท้าขวาซึ่งงอเล็กน้อย เอนศีรษะและตัวออกวงนอก หนีหมัดฝ่ายรุก แล้วใช้มือขวากำคว่ำแขนท่อนบนของภีม ส่วนมือซ้ายกำหงายบริเวณข้อมือ

“ปักษาแหวกรัง (รับด้านใน)” ยอดผาตะโกนบอกท่าที่สอง

ภีมเดินมวยเข้าชกใบหน้าฝ่ายรับด้วยหมัดขวาตรง มือซ้ายตั้งมั่น พร้อมที่จะปล่อยหมัด ยอดผาก้าวเท้าขวา ทแยงเฉียงไปทางด้านขวา สืบเท้าเข้าวงใน ทิ้งน้ำหนักตัวบนเท้าขวา และใช้แขนซ้าย ปัดหมัดให้พ้นใบหน้า มือขวากระแทกไปที่หัวไหล่ด้านซ้ายของฝ่ายรุก

ยอดผาขานชื่อแม่ไม้มวยไทยอย่างต่อเนื่อง สลับกับการแสดงลีลาท่าทางตามที่ร่ำเรียนมา แล้วฝ่ายรุกก็สลับมาเป็นฝ่ายรับบ้าง เพื่อเรียนรู้วิธีหลบหลีกได้อย่างว่องไว การซ้อมท่ามวยไทยเป็นไปด้วยดี พอซ้อมครบทุกท่าแล้ว ครูพนมก็ตะโกนบอกให้หยุดพัก

จ้อยรีบนำน้ำแร่แบบขวดที่แช่เย็นไว้มาส่งให้ยอดผา ภีม และกำลังหยิบให้คนอื่น แต่ทั้งหมดต่างพากันไปดื่มที่คูลเลอร์ แก้วหนึ่งในนักมวยดื่มอักๆ ราวกับกระหาย

“เบาๆ หน่อยแก้ว เดี๋ยวจุก”

ยอดผาเอ่ยเตือน มองแก้วและนักมวยอื่นๆ ด้วยความประหลาดใจ เพราะจ้อยยื่นขวดน้ำแร่ให้ แต่กลับไม่มีใครรับไปสักคนเดียว มีเพียงแค่เขากับภีมเท่านั้น

“หิวน้ำมากขนาดนั้นเลยเหรอวะแก้ว”

ภีมเอ่ยถาม คิ้วขมวด ประหลาดใจไม่ต่างจากยอดผา

“เออ พักนี้เป็นอะไรไม่รู้คอแห้ง หิวน้ำบ่อย ไม่ได้กินน้ำนี่รู้สึกหงุดหงิด จ้อย! เอ็งแอบเหยาะยาบ้าในน้ำหรือเปล่าวะ พวกข้าถึงได้ติดน้ำของเอ็งนัก”

แก้วเย้าจ้อยเสียงดังลั่น นักมวยหลายคนหัวเราะอย่างขำๆ

“อย่าหาคุกให้ฉันสิพี่แก้ว”

ทุกคนหัวเราะกับคำพูดของจ้อย หลังจากดื่มน้ำและพักเหนื่อยกันครู่ใหญ่แล้ว นักมวยหลายคนแยกกันไปพักผ่อน บางคนก็ซ้อมต่อ ยอดชนะกับครูพนมกลับเข้าไปในบ้าน ยอดผาเดินไปที่ฟิตเนส เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยเฉกเช่นทุกอาทิตย์

ภีมขยับกายหมายจะขึ้นไปซ้อมบนสังเวียนมวยอีกรอบ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดอันโต แถมมีหมวกแก๊ปปิดศีรษะอีกหนึ่งใบ ผู้หญิง! แต่เป็นใครเขาไม่รู้

“คุณ! มาหาใครครับ ทางเข้าฟิตเนสอยู่ด้านหน้า ไม่ใช่ทางนี้”

นิตลดาลดแว่นตาลงต่ำ มองลอดแว่นไปยังผู้ชายตรงหน้า สายตากวาดลงต่ำไปยังเนื้อตัวที่มีเพียงกางเกงมวย เนื้อตัวเปียกลื่นด้วยเหงื่อ

“ฉันรู้ ถ้าฉันจะไปฟิตเนสฉันคงไม่เข้ามาถึงนี่หรอก ฉันมาหาพี่ยอช์ต”

ภีมมองตั้งแต่หัวจดเท้า นึกเยาะในใจ นี่ก็คงเป็นพวกคลั่งยอดผาแน่ๆ

“คุณมีธุระอะไรกับพี่ยอช์ต หรือว่า...พวกคลั่งนักมวย”

น้ำเสียงเหยียดๆ ตอนท้ายทำให้นิตลดาเบิกตากว้าง ประกายตาวาววับ ปากเล็กเม้มเข้าหากันแน่น กระชากแว่นตาออกจากใบหน้า

“ดูหน้าฉันให้ชัดๆ ซิ หน้าฉันเหมือนพวกคลั่งดารา คลั่งนักมวยไหมล่ะ ฉันมาที่นี่เพื่อจะเรียนมวยกับพี่ยอช์ต พี่เขานัดฉันไว้”

ภีมหรือตัวเล็กมองจ้องหน้าคนที่อวดอ้าง สายตาติดจะดูแคลน

“ถ้าจะอ้างพี่ยอช์ตก็น่าจะอ้างอย่างอื่นนะ คนอย่างพี่ยอช์ตไม่รับสอนมวยใครหรอก เชิญคุณกลับไปเถอะ”

“เอ๊ะ! ฉันบอกแล้วไงว่าพี่ยอช์ตอนุญาตแล้ว พ่อของพี่ยอช์ตเป็นคนบอกฉันเองว่าให้มาเรียนมวยได้ จะหาเทรนเนอร์ให้ฉัน”

“ผมไม่เห็นจะรู้เรื่อง มั่วหรือเปล่า อย่ามาอำนะคุณ ถ้าพี่ยอช์ตได้ยินมีหวังคุณถูกไล่ตะเพิดออกจากค่ายมวยไม่ทัน”

“ฉันก็บอกแล้วไงว่า พี่ยอช์ตอนุญาตแล้ว แล้วช่วยกรุณาดูหน้าฉันให้ชัดๆ ด้วย ระดับฉัน ไม่คลั่งผู้ชายไร้สาระแน่”

ภีมมองหน้าคนพูดพักหนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมา หัวเราะในลำคอ

“ใครล่ะ คุณเป็นใคร อั้ม พัชราภา หน้าตาก็ไม่ใช่แบบนี้”

เป็นครั้งแรกที่นักร้องสาวอยากจะกรีดร้องใส่หน้าผู้ชายคนนี้ให้แก้วหูแตกไปเลย แต่ทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าปอด เรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง เอ่ยเสียงหนักแน่น

“ฉันนิด้า นิตลดา เป็นไง คราวนี้นึกออกแล้วใช่ไหม”

“คุ้น! คุ้นว่าไม่รู้จัก”

ใบหน้าที่เชิดขึ้น รอยยิ้มเหยียดเยาะเมื่อเขาเอ่ยว่าคุ้นหุบลงฉับพลัน เมื่อได้ยินประโยคปิดท้าย

“คุณกลับไปเถอะ ก่อนที่ผมจะจับคุณโยนออกไป”

ภีมสาวเท้าเข้าไปใกล้ เล่นเอานักร้องสาวถอยกรูดไม่เป็นท่า

“เฮ้ย! นายจะทำอะไรน่ะ ช่วยด้วยๆ” นิตลดาร้องเสียงหลง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทำร้ายเธอจริงๆ

เสียงของนักร้องสาวทำให้จ้อยเดินออกมาดู พอเห็นว่าเป็นใครก็เอ่ยทัก

“อ้าว! พี่นิด้านั่นเอง นึกว่าใคร ซ้อมร้องเพลงอยู่เหรอครับ ดังลั่นค่ายเลย”

ไม่ใช่แค่จ้อยที่จำนิตลดาได้ นิตลดาเองก็จำจ้อยได้เช่นกัน นักร้องสาววิ่งไปหลบหลังจ้อยอย่างหาตัวช่วย พร้อมกับชี้ไปที่ภีม

“จ้อยช่วยด้วย นายคนนี้จะต่อยพี่”

“พี่ภีมเนี่ยนะ!”

จ้อยร้องถามนิตลดา พร้อมกับชี้ไปที่ภีม

“ใช่ นายเถื่อนคนนี้แหละ”

คนถูกกล่าวหาว่าเถื่อนถลึงตาใส่

“จ้อย บอกผู้หญิงปากดีคนนั้นด้วยว่าให้ออกไปจากค่ายเร็วๆ อยู่ดีๆ มาอ้างว่าพี่ยอช์ตจะสอนมวยให้ เพ้อเจ้อ!”

จ้อยได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะลั่น

“พี่นิด้า วันนี้พี่ยอช์ตไม่อยู่ ออกไปที่ฟิตเนส ถ้าจะเรียนมวยตอนนี้ก็มีพี่ภีมคนนี้คนเดียวนี่แหละ”

จ้อยพยักพเยิดไปทางภีมที่หน้าบึ้งตึง บอกบุญไม่รับ

“ฉันไม่สอน จบนะ”

ภีมกล่าวจบก็เดินไปซ้อมชกกระสอบทราย เหมือนไม่มีนิตลดาอยู่ตรงนั้น สมาธิของเขามุ่งไปที่กระสอบทราย ต่อยอย่างมีจังหวะ นักร้องสาวเผลอมองภาพนั้นอย่างชื่นชม การออกหมัด ปล่อยหมัด การขยับเท้าไปมาของภีม เป็นไปอย่างสวยงาม

“เคลิ้มเลย”

นิตลดาสะดุ้งกับคำพูดของจ้อย ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“นึกว่าฉันอยากเรียนกับนายหรือไง พี่กลับก่อนนะจ้อย”

ว่าแล้วหญิงสาวก็หมุนกายเดินออกจากค่ายมวยไป แต่เพียงแค่พ้นประตูทางเข้าค่าย คนที่ตั้งใจซ้อมก็หยุดชกกระสอบทราย หันมาถามจ้อยอย่างสงสัย

“ใครวะจ้อย”

“โธ่! พี่ภีมไม่รู้จักเหรอ นั่นน่ะนิด้า นิตลดา นักร้องที่กำลังดังในตอนนี้เลยนะ มาขอเรียนมวยที่ค่ายเรา ลุงชนะอนุญาตแล้ว”

“แล้วทำไมไม่บอกว่าลุงชนะอนุญาต”

“เอ๊า! นี่ฉันผิดเหรอ”

จ้อยร้องถามอย่างงงๆ พลางชี้เข้าหาตัว

“แล้วพี่ยอช์ตจะเป็นเทรนเนอร์ให้เหรอ”

“พี่ยอช์ตไม่ยอมหรอก แต่ลุงชนะบอกให้มาเรียนได้ เดี๋ยวจะหาเทรนเนอร์คนใหม่ให้”

“แม่นักร้องใหญ่คงเบ่งน่าดู ลุงชนะถึงได้ยอม”

ภีมกล่าวอย่างดูแคลน ก่อนเดินกลับไปซ้อมชกกระสอบทรายต่อ คราวนี้เขามุ่งสมาธิไว้ที่กระสอบทราย

“พี่ภีม ฉันเปลี่ยนน้ำในคูลเลอร์ละนะ มันเริ่มมีตะกอนละ”

ภีมหยุดชกกระสอบทราย หันมามองหน้าจ้อย พยักหน้าอนุญาตแล้วขมวดคิ้ว ยามที่นึกถึงคำพูดของเจ้าสัวยอดชาย ยาเสพติดอย่างนั้นหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ใครกันนะที่ปล่อยข่าวนี้ออกไป ถ้าได้ยินถึงหูนักข่าวละก็ เป็นปัญหาใหญ่ของค่าย ย. ยอดยิมแน่

 

สิงหาลุกขึ้นยืน พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้คนที่กำลังลงบันไดมา หลังจากที่บอกเด็กรับใช้ในบ้านว่าเขาเป็นเพื่อนและมาขอพบเจนตา ไม่นาน เธอก็ลงมา แต่สีหน้ากับสายตาที่มองเขานี่สิ ชายหนุ่มนึกหวาดๆ ในใจ

“ผมมารับจ๋าไปกินข้าว”

เจนตาไม่ได้กล่าวอะไร เธอเดินมาใกล้จนเห็นรอยช้ำที่มุมปาก จึงนึกถึงคำพูดของรมณ ที่คุยกับเธอทางโทรศัพท์

“ไปหาเรื่องเขาถึงถิ่น สนุกดีไหมคะ”

สิงหายกมือขึ้นแตะมุมปากตัวเอง มองเจนตานิ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา

“ผมไม่ได้ไปหาเรื่อง แค่ไปหาความจริงบางอย่าง”

“แล้วได้คำตอบไหมคะ”

“ได้สิ ผมถึงได้กล้ามาหาจ๋านี่ไง”

หญิงสาวเดินมานั่งตรงโซฟา หัวใจเต้นแรง อยากได้ยินคำตอบของเขา

“ได้คำตอบว่ายังไงคะ”

สิงหาถอนหายใจยาวเหยียด พลางเดินมานั่งโซฟาตัวเดียวกับเจนตา ถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับมือของเธอมากุมเอาไว้

“ที่ผมไม่ได้ติดต่อคุณมาหลายวันนี่ เพราะผมคิดว่ามันไม่แฟร์สำหรับคุณ ถ้าผมจะเริ่มความรักครั้งใหม่ โดยที่ยังตัดความรักครั้งเก่าไม่ได้”

เจนตาใจเต้นระรัว ไม่คิดว่าจะได้ยินเขาพูดแบบนี้

“ผมรับรู้เต็มสองตาเลยว่า น้ำมนต์ชอบนายนั่น ตลอดหลายวันมานี่ ผมพยายามเคลียร์ความรู้สึกของตัวเอง และอยากมาหาจ๋าด้วยความรู้สึกใหม่”

“จ๋าบอกแล้วไงคะ ว่าจ๋าจะจีบคุณเอง”

“จีบผมเอง? แต่งอนผมเนี่ยนะ”

สิงหาบีบมือที่อยู่ในอุ้งมือเขาเบาๆ มองหญิงสาวอย่างล้อเลียน จึงได้ค้อนวงใหญ่กลับมา

“ก็คุณมากล่าวหาว่าจ๋าไม่รักเพื่อนนี่คะ แถมมาหงุดหงิดใส่จ๋าอีก จ๋าก็โกรธสิ”

“ผมขอโทษ หายโกรธผมนะ”

“ตอนนี้น้ำมนต์อยู่ในใจคุณกี่เปอร์เซ็นต์คะ”

เจนตาถามออกไปแล้วรอลุ้นคำตอบจนแทบลืมหายใจ

“น้ำมนต์อยู่ในใจผมมาหลายปีนะจ๋า จะให้ลบความรู้สึก มันคงจะยากหน่อย แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้มันไม่เยอะเหมือนวันแรกๆ ก็แล้วกัน”

เจนตายิ้ม เธอเข้าใจดี สิงหารักรมณมาหลายปี จะให้ลบความรู้สึกเหล่านั้นออกภายในไม่กี่วัน มันก็จะเกินไปหน่อย

“ถ้าอย่างนั้นคุณรอจ๋าเดี๋ยวนะคะ ขอไปเปลี่ยนชุดครู่หนึ่ง แล้วเราออกไปกินข้าวกัน”

กล่าวจบก็วิ่งขึ้นไปข้างบน สิงหามองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย อย่างน้อย เขาก็มั่นใจอย่างหนึ่งว่า ความรู้สึกที่เขามีต่อเจนตานั้น มันไม่ได้เลวร้าย

เกือบสามสิบนาที กว่าเจนตาจะกลับลงมา หญิงสาวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เอามือไพล่หลังไว้ทั้งสองข้าง เธอเดินมาหยุดตรงหน้าสิงหา แล้วยื่นดอกกุหลาบสีแดงที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังไปตรงหน้าเขา

“ดอกกุหลาบสำหรับคนหล่อค่ะ”

สิงหามองกุหลาบในมือเธอแล้วเกิดความประหม่า บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยมีใครให้ดอกไม้เขาแบบนี้มาก่อน

ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาท้ายทอย แก้มระเรื่อเล็กน้อย

“ผมเขินนะเนี่ย”

เจนตาหัวเราะคิกเมื่อเห็นท่าทางของเขา

“เดี๋ยวจะหายเขิน เพราะจ๋าจะทำให้ชินเอง”

สิงหาลุกขึ้นยืน เอื้อมมือไปรับดอกกุหลาบพร้อมกับมองหญิงสาวอย่างขอบคุณ

“ขอบคุณนะจ๋า”

“เวลาคุณเขินนี่น่ารักจังค่ะ”

เจนตาหัวเราะออกมาอีก เพราะเห็นรอยแดงข้างแก้มของสิงหา

“ไปค่ะ จ๋าไม่แซ็วแล้ว เราจะไปกินข้าวที่ร้านไหนดีคะ”

เจนตาเดินเข้าไปคล้องแขนแล้วพาเดินออกจากบ้านด้วยหัวใจที่พองโตราวกับติดปีก ตอนนี้เธอขอแค่นี้ แค่สิงหาเปิดใจ ยอมที่จะลบภาพรมณออกจากหัวใจ ไม่ต้องหมดในคราวเดียวก็ได้ แค่นั้นเธอก็พร้อมรอเสมอ

 

เสียงกระดิ่งรถจักรยานดังติดๆ กันหลายครั้งทำให้หญิงสาวที่ยืนรออยู่หันไปส่งยิ้มหวานให้ ไม่ต่างจากคนที่ปั่นจักรยานโฉบมาจอดตรงหน้าเธออย่างแม่นยำ

“เชิญครับคุณผู้หญิง”

รมณอดหัวเราะคำเรียกของยอดผาไม่ได้

“ไม่เห็นต้องมารับเลย น้ำมนต์ไปเองก็ได้ค่ะ”

“ไม่เอา พี่อยากบริการ จะปล่อยให้แฟนเดินไปหาได้ไง ตั้งไกล”

รมณอดย่นจมูกให้เขาไม่ได้

“น้ำมนต์ไม่ได้เดินไปหานะคะ เดินไปซ้อมมวยค่ะ พูดให้ถูก”

“นั่นแหละเหมือนกัน...ขึ้นรถเถอะ”

คำพูดที่ไร้คำลงท้ายอย่างสุภาพของยอดผาทำให้รมณอดทวงไม่ได้

“เอ? แล้วคำว่าครับมันหายไปไหนหมดคะ”

ยอดผาหัวเราะในลำคอ ใครบอกรมณเงียบ เรียบร้อย ความจริงเธอร้ายไม่เบา

“มาแล้วครับ เชิญครับ”

รอยยิ้มหวานแต้มใบหน้าเมื่อได้ยินคำลงท้ายของเขา หญิงสาวนั่งคร่อมเบาะท้ายรถ มือเล็กจับขอบเหล็กตรงอานคนขี่

“เกาะเอวพี่สิครับ จับแบบนั้นเดี๋ยวตก”

“ไม่เอาค่ะ น้ำมนต์นั่งได้ รีบถีบไปเถอะ”

เมื่อเธอดื้อแพ่ง คนที่ไม่ยอมใครง่ายๆ อย่างยอดผามีหรือจะปล่อยผ่าน มือหนาเอื้อมไปจับมือเล็กของหญิงสาวมาโอบรอบเอวหนาของตัวเอง

“พี่บอกให้เกาะแน่นๆ น้องก็ฟังพี่สิครับ”

“แน่ใจนะคะว่าห่วง ไม่ได้คิดเอาเปรียบ”

ยอดผาหัวเราะจนตัวโยน นับวันรมณจะเข้าใจเขายิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก

“รู้ทันอีกละ เอาน่า ถือว่าเป็นรางวัลที่พี่บริการมารับถึงที่”

“แต่น้ำมนต์ไม่ได้ขอให้มารับนี่คะ”

“น้องครับ ทำตามดีๆ ไม่ได้เหรอครับ โน่นนั่นนี่เยอะจัง”

นิ้วเล็กบิดเนื้อที่เอวหนาของยอดผา จนเจ้าตัวร้องเสียงหลง

“โอ๊ย! เดี๋ยวเถอะ อย่าให้พี่เอาคืนบ้างนะ อย่ามาร้องว่าพี่เอาเปรียบทีหลังล่ะ”

คำขู่ของยอดผาไม่ได้ผล เพราะรมณทุบหลังเขาอั้กใหญ่ มือเล็กปล่อยเอวหนา แล้วนั่งทรงตัวโดยไม่จับอะไร ได้ยินเสียงบ่นอู้อี้ของคนปั่นลอยลมมาเป็นระยะ

...

เมื่อมาถึงค่าย ย. ยอดยิม รมณอบอุ่นร่างกายพักใหญ่ ก่อนที่ยอดผาจะเรียกขึ้นไปบนสังเวียนมวย

“ไหนลองซ้อมที่พี่เคยสอนไปซิ”

รมณกำหมัดแน่นในท่าที่เตรียมพร้อม

“ไหนลองต่อยมาที่เป้าในมือพี่ให้เต็มแรง ไม่ต้องกลัวเจ็บ”

หญิงสาวลังเลเล็กน้อย แต่พอเห็นยอดผาพยักหน้าให้กำลังใจ เธอจึงเริ่มปล่อยหมัดแรกไปที่เป้าในมือเขาหนึ่งทีอย่างลองเชิง เมื่อมันไม่เจ็บเหมือนที่เขาพูด หมัดที่สองสามเลยตามมา

เมื่อเห็นว่าเธอผ่อนคลายในการซ้อมมวยและไม่เกร็งเหมือนคราวแรก ยอดผาจึงเริ่มขยับขาเบี่ยงตัวหลบหมัดอีกฝ่าย

“เวลาที่เราต่อยมวย เราต้องมีสมาธิอยู่ที่คู่ต่อสู้ เอาละ คราวนี้พี่จะสอนเตะบ้าง”

รมณพยักหน้าอย่างตื่นเต้น นัยน์ตาพราวระยับ ราวกับเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ ยอดผาเห็นเข้าเต็มสองตา จึงอดเอ่ยเย้าอีกฝ่ายไม่ได้

“ตาพราวแบบนั้น เพราะคนสอน หรือเพราะอยากเรียนมวย”

คนถูกแซ็วย่นจมูกใส่ทันทีที่เขาพูดจบ

ยอดผาอดหัวเราะไม่ได้ “เขินเพราะพี่จับได้ละสิ”

“หลงตัวเองจริงๆ”

ยอดผาส่ายหน้าหวือ กับคำพูดของรมณ

“ไม่ได้หลงตัวเองหรอก ตอนนี้พี่หลงน้ำมนต์”

นั่นไง! ยอดผายิ้มเมื่อเห็นรอยแดงข้างแก้ม รมณจะรู้ไหมหนอ ว่าเวลาเขินอายแบบนี้มันยิ่งดูสวย น่ามอง จนเขาละสายตาไม่ได้

ชายหนุ่มกระแอม เรียกสมาธิกลับคืนมา

“มาพูดถึงการเตะกัน การเตะมีหลายแบบ วันนี้พี่จะสอนน้ำมนต์เตะตรง กับเตะตัด เตะตรงคือการเตะเสยจากพื้นขึ้นไปส่วนบนในลักษณะที่ตั้งฉากกับพื้น ไหนลองทำซิ”

รมณยกเท้าขึ้นตามที่ยอดผาบอก ชายหนุ่มพยักหน้าเมื่อเห็นหญิงสาวทำได้ถูกต้อง

“อันที่สอง การเตะตัด คือการเตะที่ใช้เท้าวาดขึ้น ขนานไปกับพื้น สามารถเตะตัดได้ทั้งส่วนล่างลำตัวและส่วนบน เดี๋ยวพี่จะทำให้ดู น้ำมนต์ทำตามนะ”

ยอดผาสาธิตวิธีการเตะตัดช้าๆ เพื่อให้รมณทำตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง จนเขาอดยิ้มและเอ่ยเย้าไม่ได้

“ไม่เสียแรง ที่มีแฟนเป็นนักมวย”

รมณทำเสียงชิเบาๆ แกมหมั่นไส้ในความมั่นใจของยอดผา

“คุณยอช์ตช่วยสอนท่าแม่ไม้มวยไทยให้น้ำมนต์หน่อยสิ”

สรรพนามที่รมณใช้ทำให้ยอดผาหุบยิ้ม หน้าตาบึ้งตึง ท่าทางกระตือรือร้นอยากจะสอนเมื่อครู่หายวับไปกับตา

“เรียกใหม่เดี๋ยวนี้ เหมือนที่น้ำมนต์เรียกเมื่อวาน”

“อะไรเหรอคะ”

รมณแกล้งถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ทั้งที่เธอเข้าใจดี

“ก็เรียกพี่ว่าพี่ไง เหมือนเมื่อวาน เรียกใหม่เดี๋ยวนี้เลย”

“เอ...ถ้าเราอยากให้คนอื่นทำตามที่เราพูด มันก็ควรพูดให้เพราะกว่านี้นะคะ”

“น้ำมนต์ครับ ช่วยเรียกพี่ว่าพี่เหมือนเมื่อวานได้ไหมครับ”

รอยยิ้มของรมณแย้มบนใบหน้า ส่งสายตาหวานระยับให้คนที่พูดเพราะ

“ได้ค่ะพี่ยอด”

เพียงเท่านั้นรอยยิ้มก็เต็มหน้ายอดผา สบตากลมโตของรมณอย่างอ่อนโยน ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านแววตาคู่คมของเขา พลางนึกถึงสิ่งที่เขาต้องพูดกับเธอ

“อีกสองวันพี่ต้องลงแข่งแล้ว”

รมณมองหน้าคนพูด รอฟังอย่างตั้งใจ

“น้ำมนต์รู้ใช่ไหม ว่าตัวเองมีอิทธิพลกับหัวใจของพี่”

ได้ยินแบบนั้น รมณถึงกับใจสั่น หลุบตามองแค่ปลายคางของเขา สองมือบีบกันแน่น

“แค่น้ำมนต์อยู่ใกล้ๆ สมาธิของพี่ก็แตกกระเจิง”

“เกินไปหรือเปล่าคะ”

“ไม่เกินหรอก พี่พูดเรื่องจริง การแข่งขันครั้งนี้ พี่อยากชนะ แต่ก็ยังอยากได้กำลังใจจากน้ำมนต์ พี่...” ยอดผาพูดไม่ออก ก้อนแข็งๆ มาจุกที่ลำคอ

คนฟังช้อนตาขึ้นมอง เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเขาจึงยิ้มให้กำลังใจ พร้อมกับเอ่ยแทน เหมือนอ่านใจเขาออก

“อยากให้น้ำมนต์ให้กำลังใจ แต่ไม่อยากให้น้ำมนต์ไปเชียร์ติดขอบเวที”

“ไม่โกรธพี่ใช่ไหม”

ยอดผาถามอย่างหยั่งเชิง ดวงตาของเขาฉายแววอ้อนวอนไม่รู้ตัว ไม่อยากให้เธอเข้าใจเขาผิด

“โกรธค่ะ”

เย็นวาบไปทั้งหัวใจเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

“พี่...”

“โกรธที่พี่ยอดไม่กล้าพูดความจริงกับน้ำมนต์ คิดอะไรในใจก็บอกสิคะ”

หัวใจของยอดผาที่หล่นไปอยู่ที่ปลายเท้าเมื่อสักครู่ กลับมาอุ่นวาบ ยามที่เห็นสายตาของรมณในตอนนี้

“อำเก่งนักนะ ใจพี่หายหมดเลย นึกว่าน้ำมนต์โกรธพี่จริง”

“ความจริงน้ำมนต์ก็คิดว่าจะไม่ไปดูพี่ยอดอยู่แล้ว กลัวพี่ยอดเจ็บแล้วน้ำมนต์จะทนไม่ได้”

หัวใจยอดผาอุ่นวาบไปทั้งดวง

“ทำไมไม่พูดแบบนี้ตอนอยู่กันสองคนนะ”

สีหน้าและแววตาไม่เข้าใจฉายชัดบนใบหน้าหวาน ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น

“ทำไมคะ”

“ถ้าอยู่กันสองคน พี่จะจูบให้ขาดใจเลย ที่รักพี่”

แก้มสาวร้อนวูบวาบไปทั้งใบหน้า ไม่กล้ามองสบตายอดผาในเวลานี้

“บ้า!”

“โอ๊ย! อย่ามาน่ารักตอนนี้ได้ไหมน้ำมนต์ เดี๋ยวอดใจไม่ไหว ได้จับจูบอวดนักมวยในค่ายนี้หรอก”

ยิ่งพูด รอยแดงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำ

“ลามก! คิดแต่เรื่องลามกอยู่ใช่ไหมคะ”

ยอดผาหัวเราะลั่น นี่คือหยาบที่สุดแล้วหรือ

“อยู่กับน้ำมนต์ จะให้คิดอะไรออกล่ะ นอกจากเรื่องนี้ จะว่าพี่ลามกก็ยอมละ บางทีพี่ก็อยากได้กำลังใจบ้าง”

“แต่ก่อน ยังไม่เจอน้ำมนต์ ยังขึ้นชกได้เลย”

ยอดผาแอบกลั้นหัวเราะใบหน้างอง้ำของรมณ ทำไมเขาถึงเห็นว่ามันน่ารักนะ

“ก็ตอนนั้นพี่ยังไม่รู้จักน้ำมนต์นี่ ตอนนี้รู้จักแล้ว พี่ก็อยากได้กำลังใจจากน้ำมนต์บ้างสิ”

“เอาเป็นว่า ถ้าพี่ยอดชนะ น้ำมนต์ให้ขอรางวัลได้หนึ่งอย่าง โอเคไหมคะ”

คำเสนอของรมณทำให้คนฟังตาพราวระยับ รีบย้ำคำพูดของหญิงสาว กลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

“จำคำพูดตัวเองไว้ให้ดี ถ้าพี่ชนะ พี่จะมาทวงรางวัลจากน้ำมนต์”

“แต่ต้องเป็นสิ่งที่น้ำมนต์ให้ได้นะคะ”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เพราะสิ่งที่พี่จะขอ น้ำมนต์ให้ได้อยู่แล้ว”

หญิงสาวย่นจมูกใส่เมื่อได้ยินคำพูดของยอดผา กิริยาน่ารักของหญิงสาวเล่นเอายอดผาใจแกว่ง ต้องห้ามใจตัวเองอย่างแรง ไม่ให้จูบจมูกน่ารักนั่น

ยอดผากระแอมเรียกสติตัวเองอีกครั้ง

“มา พี่จะสอนท่ามวยไทยให้ ท่านี้เป็นลูกไม้มวยไทย ซึ่งแตกยอดมาจากแม่ไม้มวยไทย ชื่อท่าว่า เอราวัณเสยงา ไหนน้ำมนต์ลองต่อยหมัดซ้ายมาที่หน้าพี่ซิ”

รมณตั้งท่าเตรียมพร้อม ปล่อยหมัดซ้ายตรงไปที่ใบหน้ายอดผา

“ตรงนี้ พี่จะใช้แขนขวาปัดหมัดของน้ำมนต์ให้เบนออกไปด้านข้าง พร้อมกับสืบเท้าขวาทแยงออกไปทางขวา เพื่อกะระยะหมัดเสย แล้วเหวี่ยงหมัดซ้ายจากล่างขึ้นเสยคางน้ำมนต์แบบนี้ นี่แหละเอราวัณเสยงา คราวนี้น้ำมนต์เป็นฝ่ายรับบ้าง” ยอดผาบอกทีละขั้นตอน เพื่อให้ลูกศิษย์สาวทำตามได้ถูกต้อง

ขณะที่กำลังสอนอยู่นั้น เสียงแหลมของใครคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านล่าง ข้างสังเวียนมวย

“ไหนพี่ยอช์ตบอกว่าไม่รับสอนมวยให้ใครไงคะ แล้วนี่อะไร”

ยอดผากับรมณหันขวับไปมองตามเสียง ยอดผาถึงกับหลับตา ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลืมตาขึ้นมองนิตลดาด้วยสีหน้าเซ็งๆ

“คุณมาทำไม”

“ก็มาเรียนมวยไงคะ จำไม่ได้หรือไง อนุญาตให้นิด้ามาเรียนเองก็ลืมเอง”

ได้ยินประโยคนั้นเต็มสองหู รมณถึงกับเม้มปากตัวเอง มองยอดผาเขม็ง จนเจ้าตัวยืนไม่นิ่ง รู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากดวงตาคู่คมของรมณ

“ใครคะ”

รมณพยายามอย่างที่สุด ที่จะทำเสียงให้นุ่ม ไม่แข็งกระด้าง

“คุณนิตลดา นักร้องชื่อดัง เขาอยากเรียนมวยไทย แต่ป๊าเป็นคนอนุญาตนะ พี่ไม่ได้รับสอนเอง น้ำมนต์ก็รู้ พี่ไม่สอนมวยให้ใคร”

ถ้าเป็นเวลาปรกติ เธอคงจะอดหัวเราะไม่ได้ เพราะเขารีบพูดแก้ตัวแบบรัวเร็ว กลัวเธอเข้าใจผิด แถมยกมือทั้งสองข้างขึ้นโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ

“ฉันว่าคุณไปที่ฟิตเนสจะเหมาะกว่านะคะ”

รมณบอกเสียงเย็น

“แต่ฉันอยากเรียนมวยที่นี่”

“ผมว่าผมบอกคุณแล้วนะ ว่าผมไม่ได้รับเป็นเทรนเนอร์ให้ใคร”

“แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเรียนมวยกับพี่ยอช์ตได้ล่ะคะ แบบนี้ลำเอียง เลือกปฏิบัติหรือเปล่าคะ”

ยอดผาอ้าปาก เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ชะงักเพราะเสียงหวานที่ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“คุณแน่ใจนะคะ ว่าอยากเรียนมวยไทยจริง”

“ถามทำไมคะ ฉันว่าคำถามนี้พี่ยอช์ตน่าจะเป็นคนถามมากกว่า”

นิตลดาไหวไหล่ เหล่มองรมณอย่างไม่เป็นมิตรนัก ถ้าผู้หญิงคนนี้มีความสำคัญกับยอดผา เท่ากับว่าเธอมีคู่แข่ง งานที่เธอรับปากกับผู้มีพระคุณก็คงยากกว่าเดิม

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องโดนทดสอบเหมือนฉัน ตีสี่ครึ่งต้องวิ่งไปกลับที่สวนสาธารณะหนึ่งรอบ ตอนสายซ้อมต่อยเป้านิ่ง ซ้อมเตะกระสอบทราย กระโดดเชือกอีกห้าร้อยครั้ง และวิ่งโดยเอาถุงทรายหนักหนึ่งกิโลฯ ผูกกับข้อเท้าทั้งสองข้างบนลู่วิ่ง แค่นี้คุณทำได้ไหมล่ะ”

ยอดผาอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้าง กับสิ่งที่รมณกล่าวออกมา

“คิดจะขู่ฉันเหรอ ฉันไม่กลัวหรอกนะ กว่าจะเป็นนักร้องได้ ฉันฝึกหนักยิ่งกว่านั้นอีก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจอกันนะคะพี่ยอช์ต ตีสี่ครึ่ง อย่าลืมล่ะ”

คล้อยหลังนิตลดา ยอดผาก็หันมามองรมณอย่างอึ้งๆ 

“พี่เคยให้น้ำมนต์ฝึกหนักขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้กระโดดเชือก เตะกระสอบทราย เอาถุงทรายหนักหนึ่งกิโลฯ ผูกข้อเท้าแล้ววิ่งน่ะ พี่ไม่เคยให้น้ำมนต์ทำนะ โหดไปมั้ง”

ยอดผาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในขณะที่รมณยิ้มขำกับการกระทำของตน

“ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก น้ำมนต์ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกไปอย่างนั้น น่าเกลียดจัง”

ดวงตาคมกริบของยอดผาพราวระยับยามมองสบตาของหญิงสาว

“หึง”

“อะไรนะคะ”

“หึง! แบบนี้เขาเรียกว่าหึง”

แก้มสาวร้อนวาบ แดงก่ำราวกับอยู่ใกล้ไฟ

“ม่ะ...ไม่จริงมั้งคะ”

“ฮ่าๆ นี่แหละที่เรียกว่าหึง ถ้าหึงก็แปลว่ารัก น้ำมนต์รักพี่”

“พี่ยอด! จะตะโกนทำไมคะ”

รมณรีบปรามเสียงหลง แต่อีกฝ่ายหาได้ฟังไม่

“ก็พี่ดีใจ ที่น้ำมนต์รักพี่”

ยอดผาพูดเสียงดังจนรมณต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาด้วยความอาย แต่ชายหนุ่มหาได้อยู่นิ่งไม่ ไม่นานเสียงหัวเราะของหนุ่มสาวก็ดังลั่นบนสังเวียนมวย ตามด้วยเสียงหยอกล้อดังแว่วเป็นระยะ

 

สีหน้ากระวนกระวายใจของนิตลดาฉายชัดเจน หญิงสาวเดินวนเวียนไปมาอย่างคิดไม่ตก สิ่งที่เธอเห็นในวันนี้ทำให้เธอมั่นใจว่า ระหว่างรมณกับยอดผาไม่ใช่การเสแสร้ง ความรู้สึกของทั้งคู่เป็นเรื่องจริง เธอกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งทันที รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับ

“คุณท่านคะ คุณรมณนี่คือหลานสาวบุญธรรมของคุณท่านใช่ไหมคะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องให้นิด้าเข้าไปทำให้พี่ยอช์ตสนใจด้วยล่ะคะ”

เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดังลอดสายเข้ามา

“ก็เพราะตอนแรกฉันคิดว่าสองคนนั้นจะไม่รักกัน และมันคงดี หากมีใครอีกคนหนึ่งเข้าไปเป็นตัวเลือกในชีวิตของยอดผา”

“สองคนนั้นรักกันแน่นอนค่ะ แค่สายตาพี่ยอช์ตเวลามองคุณรมณ เด็กยังมองออกเลยค่ะ”

เจ้าสัวยอดชายยิ้มออกมานิด ถ้าเป็นอย่างที่นิตลดาพูด ท่านคงไม่รู้สึกผิดมากนัก

“หนูไม่ได้สนใจในตัวเจ้ายอช์ตใช่ไหม ไม่อย่างนั้น ฉันคงรู้สึกผิด ที่ดึงหนูมายุ่งกับเรื่องนี้”

“โธ่ คุณท่านคะ ตั้งแต่นิด้าเดินเข้าไปทำความรู้จักกับพี่ยอช์ต นิด้ายังไม่เคยเห็นสายตาที่เขามองนิด้า เหมือนที่มองคุณรมณเลยค่ะ อีกอย่างพี่ยอช์ตก็ดุ๊ดุ ไม่ถูกใจนิด้าแน่ค่ะ”

“เฮ้อ! ถ้าอย่างนั้นค่อยเบาใจหน่อย ไหนๆ หนูก็เข้าไปทำความรู้จักกับคนในค่ายมวยแล้ว ช่วยสืบเรื่องหนึ่งให้ฉันที”

 คิ้วเรียวของนิตลดาขมวดเข้าหากัน เอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย

“เรื่องอะไรคะ”

เจ้าสัวยอดชายเล่าเรื่องที่ ย. ยอดยิมถูกตำรวจจับตามองให้นิตลดาฟัง สีหน้าเธอพลอยเคร่งเครียดไปด้วย

“มันเกิดขึ้นได้ยังไง ย. ยอดยิมมีศัตรูหรือคู่แข่งที่ไหนหรือเปล่าคะ”

“อันนั้นฉันก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ใจอย่างหนึ่งคือ มันต้องการทำลายชื่อเสียงของ ย. ยอดยิม”

“ถ้าอย่างนั้นนิด้าจะช่วยสืบเรื่องนี้ให้คุณท่านเองค่ะ”

“ขอบใจหนูมากนะ แต่อย่าทำอะไรที่เสี่ยงจนมีภัยกับตัวเอง ถ้าจวนตัวให้ไปบอกภีม หรือตัวเล็กของค่าย ย. ยอดยิม”

ชื่อที่ออกจากปากเจ้าสัวสะดุดหู นิตลดาจึงเอ่ยถามอย่างไม่เก็บความสงสัย

“ภีม! อย่าบอกนะคะว่านั่นก็คนของคุณท่าน”

“ใช่ ฉันให้เขาเข้าไปเป็นเพื่อนเจ้ายอช์ต มีอะไรให้เขาช่วยได้”

ช่วยหรือ? นายนั่นได้ช่วยซ้ำเธอแน่

“นิด้าเห็นพี่ยอช์ตแล้วก็พอจะเข้าใจ ว่าทำไมคุณท่านต้องห่วงใยเขาแบบแอบๆ”

เจ้าสัวยอดชายยิ้มเศร้า

“ตายอช์ตก็เหมือนฉันตอนหนุ่มๆ นั่นแหละ หากไม่เป็นเพราะฉัน ทุกคนคงไม่ต้องวุ่นวายกันแบบนี้หรอก”

“อย่าโทษตัวเองนะคะ นิด้ามั่นใจว่าทุกคนเต็มใจทำให้คุณท่านทั้งนั้น”

“ขอบใจนะหนูนิด้า หนูเลยพลอยมาเสียการเสียงานเพราะฉัน”

“เพื่อตอบแทนบุญคุณคุณท่าน ต่อให้ต้องออกจากงาน นิด้าก็ยอมค่ะ”

“ขอบใจมาก ขอบใจ” เจ้าสัวยอดชายเอ่ยเสียงแหบพร่า ก่อนจะวางสายไป

นิตลดาคิดอย่างเคร่งเครียด หากเธอต้องการรู้เรื่องภายในค่ายมวย เธอต้องสนิทกับคนใน แล้วใครล่ะ...จู่ๆ ใบหน้าของภีมก็ลอยเข้ามา จริงสิ! เริ่มจากคนของเจ้าสัวนี่แหละ

 

สิงหาเลี้ยวรถเข้ามาจอดในบ้านหลังใหญ่ หลังจากวางสายจากรมณไปแล้ว เขาก็รีบบึ่งมาที่นี่เลย เหตุเพราะว่า เจ้าสัวยอดชายมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ชายหนุ่มลงจากรถ เดินไปยังห้องรับแขกด้วยความคุ้นเคย พอเห็นคนที่รอเขานั่งอยู่ก็ยกมือไหว้

“สวัสดีครับเจ้าสัว”

“นั่งๆ ผู้กอง ต้องขอโทษด้วยที่เรียกมาแบบนี้”

“ไม่เป็นไรครับ”

สิงหานั่งบนเก้าอี้ไม้สัก ข้างรมณ ส่งยิ้มให้หญิงสาวอย่างทักทาย ก่อนจะหันไปพูดกับคนที่เรียกเขามาพบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เจ้าสัวจะคุยกับผม เรื่องค่ายมวยใช่ไหมครับ”

คำถามนั้นทำให้เจ้าสัวหันมองรมณนิด ก่อนจะถอนหายใจ พร้อมกับพยักหน้ารับ

“ผมแค่อยากรู้ว่า ผู้กองได้ยินอะไรมาบ้าง”

“ก็อย่างที่ผมเล่าให้น้ำมนต์ฟังนั่นแหละครับ ตอนนี้ผมยังไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันได้ว่า ค่าย ย. ยอดยิมเป็นอย่างที่ผู้หวังดีโทร. มาแจ้งหรือเปล่า”

เจ้าสัวพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของผู้กองหนุ่ม

“ผมอยากปรึกษาผู้กอง ว่าเราจะพิสูจน์อย่างไร เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของค่ายมวย ย. ยอดยิม”

สิงหามองเจ้าสัวยอดชายอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพูดบางอย่างออกมา

“ท่านไม่คิดว่าทางโน้นจะทำเรื่องแบบนี้เหรอครับ”

คำถามนั้นทำให้เจ้าสัวตวัดตามามอง สีหน้าจริงจัง

“ไม่ครับ ผมมั่นใจในตัวหลานชายและลูกเขยของผม เจ้ายอช์ตไม่มีทางทำแบบนั้นแน่”

“แล้วถ้าฝ่ายโน้นทำล่ะครับ”

“ผมจะเป็นคนจับเจ้ายอช์ตส่งตำรวจให้ผู้กองเอง”

สิงหาอึ้งกับคำตอบที่หนักแน่นของเจ้าสัว พักใหญ่ กว่าจะเอ่ยออกมา

“ถ้าเราใช้คนอยู่โยงเฝ้าเวรตลอดเวลา มันก็จะเป็นเรื่องที่น่าสงสัย เอาอย่างนี้ไหมครับ ให้คนของเราเข้าไปติดกล้องภายในค่ายมวย โดยไม่ให้คนในค่ายรู้ตัว เอาตรงจุดที่คิดว่าเป็นส่วนรวมมากที่สุด”

รมณพยายามคิดว่าตรงไหนที่มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา และเป็นจุดศูนย์รวมของนักมวยในค่าย

“จริงสิ! ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย”

“น้ำมนต์คิดว่าตรงจุดพักดื่มน้ำในค่าย ตรงนั้นน่าจะเป็นที่ที่เหมาะที่สุด”

“ผมอยากให้เรื่องที่เราพูดกันนี้ มันเป็นแค่ข้อสงสัย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เจ้าสัวอย่าลืมคำพูดตัวเองก็แล้วกัน”

สิงหาย้ำกับเจ้าสัวยอดชายอย่างหนักแน่น เขาช่วยได้เท่านี้ เพราะเขาก็มีหน้าที่ของเขา

“ผมไม่ลืมแน่ ขอบคุณผู้กองมาก”

“ผมก็แค่อยากช่วยเพื่อน...อย่างน้ำมนต์”

สิงหาหันไปมองรมณ ส่งยิ้มให้ หญิงสาวก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นเดียวกัน เพิ่งรู้สึกว่า คำว่าเพื่อนสำหรับเขาในตอนนี้ มันไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น