9

ตอนที่ 9


 

 

เรื่องราวทั้งหมดระหว่างยอดผากับเจ้าสัวยอดชายถูกเล่าจากปากของยอดผาเอง ถึงแม้รมณจะรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของเจ้าสัวยอดชายแล้ว แต่พอได้ฟังยอดผาพูด เธอรับรู้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า ความรู้สึกที่ยอดผามีต่อเจ้าสัวยอดชายนั้น เต็มไปด้วยความเจ็บปวด โกรธ เสียใจ ปะปนไปสารพัด จนมันกลายเป็นแรงผลักดันให้เขามองและรู้สึกกับเจ้าสัวในทางลบ

“ไง? ฟังนิยายชีวิตของพี่แล้วรู้สึกยังไง”

“แล้วที่เป็นแบบนี้คุณมีความสุขไหมคะ โกรธกันไปมา มีเหรอคะคนเป็นพ่อจะตัดขาดจากคนเป็นลูกได้ อย่างน้อยความรักความผูกพันอาจจะมีอยู่ แต่ที่เห็นไม่สนใจนั่นคือทิฐิ”

“มีสิ! คนเป็นพ่อที่ตัดขาดกับคนเป็นลูก ก็เจ้าสัวยอดชายกับแม่พี่ไงล่ะ น้ำมนต์ไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนั้น เขาใจร้ายและโหดร้ายกว่าที่เห็นหลายร้อยหลายพันเท่า”

ยิ่งพูดน้ำเสียงของยอดผาก็ยิ่งห้วนขึ้น แสดงว่าเขายังมีอารมณ์กับเรื่องนี้ และยังไม่สามารถปล่อยวางมันได้

“แล้วจะให้ท่านทำยังไงคะ คุณถึงจะอภัยให้”

“ทำให้แม่พี่ฟื้นขึ้นมาสิ”

คำตอบสั้นๆ แต่มันทำให้คนฟังเย็นยะเยือก สะท้านไปทั้งหัวใจ

“พี่ว่าเราคุยกันเรื่องอื่นเถอะ เรื่องของเจ้าสัวยอดชายกับพี่มันคงยากเกินจะแก้ไขแล้วละ ให้มันเป็นแบบนี้ดีที่สุด ต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกัน”

หญิงสาวเผยอปากเตรียมจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่พอนึกได้ว่าเธอพูดอะไรไปตอนนี้ ยอดผาคงไม่ฟัง ดีไม่ดีอาจจะทะเลาะกันอีกจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“งั้นเราวิ่งกลับค่ายมวยดีกว่าค่ะ น้ำมนต์ไม่ได้วิ่งมาตั้งหลายวัน แรงหายหมดแล้วมั้งคะ”

ในเมื่อวันนี้ยอดผาไม่พร้อมที่จะเปิดใจฟังเรื่องเจ้าสัวยอดชาย เธอก็จะรอเวลาที่เหมาะสมอีกนิด รอมาได้ตั้งหลายปี รออีกหน่อยคงไม่เป็นไร

“รู้ไหม พี่ตื่นแต่เช้ามารอน้ำมนต์กี่วันแล้ว”

รมณย่นจมูกใส่เขา ดวงตาพราวระยับ

“ก็ใครอยากพูดไม่ดีใส่น้ำมนต์ก่อนทำไมล่ะ ตอนนั้นมันน้อยใจสุดๆ”

“ถ้าน้อยใจ...แสดงว่า ใครแถวนี้ก็ต้องรู้สึกยังไงๆ กับพี่บ้างละ”

ทั้งสีหน้าและแววตากรุ้มกริ่มของยอดผา เรียกรอยแดงบนแก้มสาวได้ทันที รมณหลบสายตาและไม่พูดอะไรตอบโต้ กลัวมันจะเข้าตัว

ยอดผาหัวเราะเบาๆ กับอาการเขินอายของเธอ กระชับมือที่จับแน่น เอ่ยเสียงนุ่มทุ้ม

“คราวหน้าถ้าพี่ปากเสียทำให้น้ำมนต์โกรธอีกละก็ น้ำมนต์วิ่งมาตบหน้า เตะ หรือต่อยพี่ก็ได้ เอาให้พี่ได้สติ อย่าหายหน้าไปแบบนี้ มันรู้สึก...บอกไม่ถูก”

หัวใจคนฟังเต้นแรงขึ้น ก้มหน้าลงต่ำ พยายามที่จะห้ามรอยยิ้มของตัวเอง แต่มันห้ามยากเหลือเกิน เพราะรู้สึกอิ่มเอมกับคำพูดของยอดผา เธอไม่ได้เด็กเสียจนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเธอ สิ่งที่ยอดผาแสดงออกมันบอกความรู้สึกของเขาได้อย่างชัดเจน

ภาพยอดผากับรมณเดินคุยกันกะหนุงกะหนิงเข้ามาภายในค่ายมวย ย. ยอดยิม เรียกเสียงแซ็วจากนักมวยรุ่นน้องหลายต่อหลายคนที่กำลังนั่งพัก

“พี่ยอด! ยิ้มออกแล้วเหรอพี่”

ภีมที่กำลังแกะผ้าพันมือออกเอ่ยเย้าทันทีที่เห็นหน้าระรื่นของยอดผา ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่รมณ

“อะไรภีม  ฉันก็ยิ้มแบบนี้เป็นปรกติ”

“เหรอพี่ ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย แล้วครูพนมบ่นถึงใครกันว่าเวลาซ้อมสมาธิไม่ดี ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนต้องให้ไปเคลียร์ปัญหาคาใจ”

ไม่ใช่แค่ยอดผาที่เขินอายกับคำเย้านั้น รมณเองก็ไม่ต่างกัน เธอไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาใครสักคน

“ใช่! พี่ภีมพูดถูกเจ๋งเป้งเลย”

จ้อยวิ่งเข้ามาสมทบ ส่งขวดน้ำให้ภีมและยอดผา ซึ่งชายหนุ่มเปิดฝาแล้วส่งต่อให้รมณ

 “ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวกล่าวขอบคุณคนใจดีพร้อมกับเอื้อมมือไปรับน้ำมาถือไว้

ยอดผาไม่สามารถถอนสายตาจากใบหน้าหวาน แถมยังส่งยิ้มอ่อนหวานกลับไปอีกจนถูกแซ็ว

“โอ๊ย! พี่ยอช์ต ลืมไปหรือไงว่ามีคนมองอยู่หลายคน บทจะทำตัวหวานก็หวานซะ บทจะทำตัวแข็งกระด้าง ก็ด่าเสียจนคนกระเจิง”

“ไอ้จ้อย เป็นเด็กเป็นเล็กเกี่ยวอะไรด้วย”

ยอดผาขึงตา พูดเสียงดุ แต่จ้อยหาได้กลัวไม่

“ก็มันจริงนี่ พี่น้ำมนต์รู้ไหม ตอนพี่น้ำมนต์ไม่มานะ ใครบางคนชะเง้อมองแต่ประตูทางเข้า ซ้อมมวยก็ไม่ได้ สมาธิไม่มี โดนพ่อครูต่อยตั้งหลายที”

“ไอ้จ้อย!”

ยอดผาถลึงตาใส่ ยกเท้าขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงขู่ว่าจะเตะ จ้อยเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งไปแอบหลังรมณอย่างรู้งาน

“พี่น้ำมนต์ดูสิ ก็เพราะเป็นแบบนี้นี่ไง พี่น้ำมนต์อยู่ใกล้ๆ คอยขัดเกลาหน่อยนะ”

รมณอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา มองหน้ายอดผายิ้มๆ ก่อนจะย่อตัวลงไปคุยกับจ้อย ไม่อยากให้ยอดผาเขินไปมากกว่านี้

“ไม่เห็นหน้าหลายวัน จ้อยหล่อขึ้นเป็นกองเลยนะ”

“จริงเหรอครับ!”

จ้อยตาโตเป็นประกาย ยิ้มกว้าง จนยอดผาอดหมั่นไส้ไม่ได้ ดูเหมือนเธอจะสนิทกับจ้อยมากกว่าเขาเสียอีก

“จริงครับ”

คำตอบของรมณทำให้คนถูกชมว่าหล่อเงยหน้าขึ้นมองยอดผา และยักคิ้วให้สองสามที

“ทำไมผมไม่เกิดเร็วกว่านี้นะ ไม่อย่างนั้นผมจะลองลงสนามจีบพี่น้ำมนต์แข่งกับพี่ยอช์ตเสียหน่อย”

“มากไปละไอ้จ้อย”

ยอดผาสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะครูพนมกับยอดชนะเดินเข้ามาสมทบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สังเกตได้ว่าครูพนมมีสีหน้าโล่งใจอย่างไรชอบกล

 “สวัสดีค่ะครูพนม”“หายโกรธเจ้ายอดแล้วรึ ดีจริง! เจ้าตัวดีมันจะได้มีสมาธิซ้อมเสียที ลุงยังหวั่นๆ ว่ามันจะแพ้ ถ้าขืนมันยังเป็นแบบนี้อยู่อีก”

“ป๊าก็...พูดเกินไป”

ยอดผาแย้งคำพูดของบิดาเสียงอ่อย

“รึไม่จริงล่ะเจ้ายอด จะให้ครูพนมเป็นพยานอีกคนไหม”

ยอดผาส่ายหน้าหวือ ลอบมองรมณว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้ยินแบบนี้

“คราวนี้ก็มีสมาธิซ้อมเสียทีนะยอช์ต”

ครูพนมเอ่ยเสียงนุ่ม มองหญิงสาวหนึ่งเดียวพลางส่งยิ้มให้

“ครูจะทดสอบเลยไหม ผมจะขอเอาคืนที่ครูปล่อยหมัดใส่หน้าผมไปหลายหมัด”

ครูพนมหัวเราะ พยักหน้าแล้วเดินขึ้นไปรอบนสังเวียนมวยก่อน ในขณะที่ยอดผาหันไปมองคนที่ยืนข้างกาย เอ่ยกระซิบข้างหูด้วยกลัวว่าคนเป็นพ่อกับจ้อยจะได้ยิน

“ให้กำลังใจพี่หน่อยสิ”

แก้มสาวร้อนวาบ ลอบมองไปทางยอดชนะกับจ้อยด้วยกลัวคนทั้งคู่จะได้ยิน ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธคำขอของเขา แต่ยอดผากลับเอ่ยตัดพ้อเสียงดัง จนเธออายกว่าเดิม ต้องรีบก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้ามองหน้าใคร 

“เฮ่อ! ใจร้าย ขอกำลังใจแค่นี้ให้ไม่ได้ ยายขี้งก”

พูดแล้วก็ขึ้นไปบนสังเวียนมวย ใส่อุปกรณ์ป้องกันตัว กระโดดไปมาบนเวทีเพื่ออบอุ่นร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง จึงสูดลมหายใจเข้าปอด เรียกสมาธิและจดจ่อที่ครูพนม เสียงกระทบของหมัดดังขึ้นเป็นระยะ

ยอดชนะลอบมองไปทางรมณ สีหน้าครุ่นคิดออกจะกังวลเล็กน้อย เมื่อเป็นที่มั่นใจแล้วว่าหญิงสาวคนนี้มีอิทธิพลต่อยอดผาในขณะนี้ นี่ขนาดว่าความสัมพันธ์อย่างไม่กระจ่างชัด ยอดผายังอาการหนัก แล้วถ้าวันใดวันหนึ่งทั้งคู่ได้ตกลงใจกันแล้ว และมีปัญหาเกิดขึ้น ยอดผาจะสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้หรือไม่ คงต้องดูกันไปก่อน

เสียงหมัดกระทบกันยังดังไม่ขาดสาย ครูพนมและยอดผาผลัดกันรุกผลัดกันรับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างน่าพอใจ จังหวะนั้นเองที่ภีมขยับเข้ามายืนใกล้รมณ

“ขอเวลาผมสักครู่ได้ไหมครับ คุณน้ำมนต์”

รมณตัวแข็ง หันไปมองข้างกาย พอเห็นว่าเป็นภีม สีหน้าของหญิงสาวก็ซีดเผือด

“เอ่อ...”

กล่าวออกมาได้เท่านั้น เพราะภีมออกเดินลัดเลาะผู้คนนำไปทางด้านหลังของค่ายมวย เลือกที่มีผู้คนน้อยที่สุด รมณมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใครสนใจ จึงเดินตามไป และหยุดยืนเว้นระยะห่างกับภีมพอสมควร “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

ภีมมองหน้ารมณนิ่งชั่วอึดใจ จนคนถูกมองเริ่มหวั่น

“คุณน้ำมนต์รู้จักเจ้าสัวยอดชายใช่ไหมครับ”

“คือว่า...”

“ผมเป็นคนของเจ้าสัวยอดชาย”

รมณชะงัก เผยอปากค้าง มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขากระซิบบอก

“หมายความว่าไงคะ”

“ถ้าให้อธิบายมันยาวครับ เอาเป็นว่า ผมก็เป็นคนของเจ้าสัวยอดชาย ที่ถูกส่งมาดูแลคุณยอช์ต ในค่ายนี้ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใคร...”

“สองคนนั้นทำอะไรกัน”

ทั้งคู่หันไปมองด้วยความตกใจ เห็นยอดผาที่ตัวเยิ้มด้วยเหงื่อยืนเอียงคอมอง สีหน้าสงสัยอย่างชัดเจน

“เอ่อ...พอดีน้ำมนต์จะเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ ภีมเลยพามาค่ะ”

“ใช่ครับ ผมก็ลืมคิด ว่าห้องน้ำในบ้านก็มี คงชินกับห้องน้ำรวมน่ะครับ”

ภีมเสริม พยายามไม่ทำตัวให้มีพิรุธ นึกภาวนาในใจ ขออย่าให้ยอดผาสงสัยเลย

“นั่นสิ น้ำมนต์เป็นผู้หญิง พามาเข้าห้องน้ำรวมของนักมวยแบบนี้ได้ยังไง มาจ้ะ เดี๋ยวพี่พาไป”

ยอดผายิ้มหวานพร้อมกับพยักหน้าให้เธอเดินตาม

รมณหันไปมองภีม ส่งยิ้มให้นิด ก่อนจะเดินตามยอดผาออกไป

“ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือนะ เสร็จแล้วก็อย่าเพิ่งกลับ รอพี่อาบน้ำเดี๋ยวนะ พี่จะไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำมนต์กลับเองได้”

“อย่าขัดใจพี่”

ยอดผาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขังแล้วเดินแยกไปทางอีกฝั่งหนึ่งของบ้าน ทิ้งให้รมณมองตาม จนด้วยคำพูด

 

 

“เริ่มวันนี้เลยนะ”

ยอดผาที่ผิวปากเป็นเพลงมาตลอดทางจนคนนั่งซ้อนท้ายอดยิ้มไม่ได้พูดขึ้นพร้อมกับหยุดปั่นจักรยาน  เขาหันมามองหญิงสาวที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง ดวงตาหวานระยับ

รมณขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัยว่ายอดผาพูดถึงเรื่องอะไร

“เริ่มอะไรคะ”

ยอดผายิ้ม มองสบตาคู่หวานของหญิงสาว เอ่ยเสียงนุ่มทุ้ม

“เริ่มเป็นแฟนกันเลยนะ วันนี้นี่แหละ”

คนถูกจู่โจมเบิกตากว้างครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาคมกริบของยอดผา ใบหน้าหวานแดงก่ำ ร้อนวูบวาบจนวางหน้าไม่ถูก

“เขินเหรอ”

น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของยอดผายิ่งทำให้คนที่ก้มหน้าออกอาการเขินจัด

“พี่คิดว่าเราโตๆ กันแล้ว ความรู้สึกน่าจะชัดเจน อย่างน้อยก็พี่คนหนึ่งละ พี่รู้ว่าหัวใจพี่ต้องการอะไร”

หัวใจดวงน้อยพองโตจนคับอก เธอพูดไม่ออกเพราะความตื้นตัน ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่กังวลอยู่ลึกๆ

“ถ้าเราเป็นแฟนกันเราต้องเชื่อใจกัน ให้เกียรติกัน ให้อภัยหากอีกฝ่ายทำผิดใช่ไหมคะ”

ยอดผาพยักหน้ายืนยันให้เธอได้แน่ใจ

“แล้วถ้าน้ำมนต์ทำผิด แต่การทำผิดของน้ำมนต์เต็มไปด้วยความหวังดี คุณจะยอมอภัยให้น้ำมนต์ได้ไหมคะ”

“ก็ถ้ามันเป็นเพราะความหวังดีอย่างที่น้ำมนต์พูด พี่สัญญาว่าจะไม่โกรธน้ำมนต์”

รมณเงยหน้าขึ้นมองยอดผาด้วยแววตาที่อ่อนโยน เรียวปากแย้มยิ้มอ่อนหวาน

“สัญญาแล้วนะคะ”

“ถ้าให้พี่สัญญาแบบนี้ แสดงว่าตกลงเป็นแฟนกันแล้วนะ”

ถามย้ำด้วยประกายตาหวาน จนคนถูกมองต้องก้มหน้าหลบสายตาอีกครั้ง พยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบตกลงคำขอเป็นแฟนของเขา

 “ขอบคุณนะน้ำมนต์”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างยินดีและจริงใจเสียจนรมณต้องช้อนตาขึ้นมองสบตาอีกฝ่ายอย่างขอบคุณไม่แพ้กัน

ยอดผาปั่นจักรยานด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบ ผิดจากหญิงสาวที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง เพียงแค่เขาหันหน้าไปมองทาง รอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้าพลันเลือนหายไป เหลือเพียงความกังวลเข้ามาแทนที่ ทำไมนะ ทำไมเธอถึงไม่ดีใจ

ยอดผาหยุดจักรยานเมื่อปั่นมาถึงหน้าปากซอย แล้วหันมาบอกคนที่นั่งซ้อนท้าย 

“วันนี้พี่จะไปส่งน้ำมนต์ให้ถึงบ้าน”

คนฟังหัวใจเต้นแรง สีหน้าตื่นตระหนก ซ่อนอาการไม่มิด

“ไม่ดีมั้งคะ ที่บ้านน้ำมนต์ยังไม่มีใครรู้เรื่องคุณสักคน”

“ไม่ดียังไง...เผื่อเราไม่เข้าใจกันอีก พี่จะได้ตามง้อน้ำมนต์ถูกที่”

“ไม่เอาค่ะ...ให้น้ำมนต์พร้อมกว่านี้ แล้วน้ำมนต์จะพาคุณไปที่บ้านนะคะ”

คราวนี้ยอดผามองคนที่นั่งซ้อนท้ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ทำไม น้ำมนต์รังเกียจพี่เหรอ”

รมณรีบส่ายหน้า มองเขาอย่างวิงวอน กลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนารมณ์ของเธอผิดไป

“เปล่าค่ะ น้ำมนต์แค่ยังไม่พร้อมจริงๆ”

ยอดผาถอนหายใจยาวเหยียด ผินหน้ากลับไปมองทางเดิม เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“มันคงไม่น่าภูมิใจ ที่จะมีแฟนเป็นนักมวย”

หญิงสาวก้าวลงจากรถแล้วเดินไปยืนตรงหน้ายอดผา มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“น้ำมนต์ขอโทษ ถ้าทำให้คุณโกรธ แต่น้ำมนต์ยังไม่พร้อมจริงๆ หากว่าคุณจะโกรธ น้ำมนต์ก็เข้าใจ ปั่นจักรยานกลับบ้านดีๆ นะคะ”

ไม่มองหน้า ไม่ตอบโต้ ใบหน้ายังคงบึ้งตึง

“ปั่นจักรยานกลับบ้านดีๆ นะคะ”

ยอดผาทำเหมือนไม่ได้ยิน หักหัวรถจักรยานไปทางเดิม ทำท่าจะถีบออกไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงหวานเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“พี่ยอดคะ ปั่นจักรยานกลับบ้านดีๆ นะคะ”

คำเรียกขานของเธอทำให้คนที่ใบหน้าบูดบึ้งดวงตาพราวระยับ กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ก่อนจะปรับสีหน้าให้เคร่งขรึมยามหันมามอง

“ว่าอะไรนะ”

“น้ำมนต์บอกว่า พี่ยอดคะ ปั่นจักรยานกลับบ้านดีๆ นะคะ น้ำมนต์เป็นห่วง”

ได้ฟังอีกครั้ง รอยยิ้มหวานยิ่งเกลื่อนใบหน้า ดวงตาที่มองรมณพราวระยับอย่างยินดี เอ่ยตอบหญิงสาว เสียงดังฟังชัด

“ครับผม!”

รมณโบกมืออำลา ยอดผาก็ทำเช่นเดียวกัน อีกมือจับแฮนด์รถอีกมือยกขึ้นโบกลาเธอ หญิงสาวรอจนเขาขี่จักรยานไปไกลสุดตา รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า หมุนกายเดินเข้าไปในซอย คิดวนไปเรื่อยกับสิ่งที่สิงหากล่าว

 

“กลับมาแล้วเหรอลูก วันนี้ดึกเชียว”

            เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้เจ้าสัวหันไปมอง ดวงตาอ่อนแสงลงเมื่อเห็นสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยของหลานสาว

รมณส่งยิ้มอ่อนให้คนเป็นตา เดินมานั่งใกล้ๆ

“คุณตารอน้ำมนต์อยู่เหรอคะ มีอะไรหรือเปล่า”

เจ้าสัวยอดชายมองรมณอยู่ครู่หนึ่ง จึงยกมือขึ้นลูบศีรษะคนเป็นหลาน

“เหนื่อยมากเหรอลูก ตาทำให้น้ำมนต์ไม่มีความสุขเลยเหรอ”

รมณยิ้มอ่อน ดึงมือที่วางบนศีรษะเธอมากุมเอาไว้ มองอีกฝ่ายด้วยความรัก

“ไม่หรอกค่ะ เพียงแต่น้ำมนต์มีเรื่องเครียดนิดหน่อย”

เจ้าสัวยอดชายได้ยินแล้วถึงกับพ่นลมหายใจออกมา

“ถ้าอย่างนั้นตาก็คิดถูก...”

คิ้วเรียวของรมณย่นเข้าหากันเล็กน้อย มองเจ้าสัวยอดชายอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านกล่าวมา

“คิดถูกเรื่องอะไรคะ น้ำมนต์ไม่เข้าใจ”

คนถูกถามไม่ได้ตอบ เพียงแค่ส่งยิ้มกลับไป พร้อมกับบีบมือหญิงสาวแน่น

“เอาเป็นว่า ตาจะหาทางไม่ให้หนูต้องทุกข์ใจอีก”

“น้ำมนต์บอกแล้วไงคะ น้ำมนต์เต็มใจช่วยคุณตา จริงสิ! น้ำมนต์เกือบลืมไป วันนี้ภีมมาทักน้ำมนต์ คุณตาส่งภีมไปที่ค่ายมวยเหรอคะ”

เจ้าสัวยอดชายถอนหายใจ มองรมณครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าช้าๆ ยอมรับในสิ่งที่รมณถาม

“ตาเป็นห่วงเจ้ายอช์ต โตมาคนเดียวแบบนั้น กลัวไม่มีเพื่อนคุย เพื่อนคิด เลยขอร้องให้ภีมไปช่วย”

“ค่อยสบายใจหน่อย น้ำมนต์คิดว่าจะถูกจับได้เสียอีก”

“ที่หนูหน้าเครียดกลับมา เพราะเรื่องนี้เหรอลูก”

คำถามของเจ้าสัวยอดชายทำให้รมณชะงักไปนิด ช้อนตาขึ้นมองสบตาคนที่สูงวัยกว่า ตัดสินใจอยู่นาน ว่าเธอควรจะบอกความจริงกับเจ้าสัวยอดชายหรือไม่

“เปล่าค่ะ แต่เป็น...”

“เรื่องอะไรลูก ตายอช์ตเหรอ”

คำถามนั้นตรงใจคนถูกพอดี จึงพยักหน้ารับ

“มีเรื่องอะไร บอกตามาเดี๋ยวนี้ ดูจากหน้าตาน้ำมนต์แล้ว เรื่องใหญ่เหรอลูก หรือว่าตายอช์ตจับได้แล้วว่าน้ำมนต์รู้จักกับตา”

น้ำเสียงร้อนรนของเจ้าสัวทำให้รมณรีบส่ายหน้า

“เปล่าหรอกค่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องอะไร เล่ามาเลย ตาพร้อมจะฟัง”

รมณมองหน้าเจ้าสัวชั่วอึดใจ ก่อนจะเล่าเรื่องที่ได้ยินจากสิงหาให้คนเป็นตาฟัง

“สิงห์บอกว่า มีคนหวังดีโทร. เข้าไปที่สถานีตำรวจ แจ้งว่า ค่ายมวย ย. ยอดยิมพัวพันกับยาเสพติด”

เจ้าสัวยอดชายหน้าเคร่งเครียด ขบกรามแน่นจนขึ้นสัน ตาวาววับ

“บ้าจริง! ตาไม่เชื่อหรอกว่ายอดชนะจะทำเรื่องแบบนั้นได้”

“หนูก็ไม่เชื่อค่ะ เท่าที่หนูดู ทุกคนในค่ายอยู่กันเหมือนคนในครอบครัว รักใคร่ ไม่มีทางที่คนในค่ายจะทำร้ายคนในครอบครัวแบบนั้น”

“แล้วตายอช์ตรู้เรื่องนี้หรือยัง”

“ยังค่ะ...ในค่ายไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เพราะสิงห์เพิ่งบอกให้หนูทราบ วันนี้เขาก็เข้าไปที่ค่ายมวยพร้อมกับหนู”

“แล้วผู้กองว่ายังไง เห็นอะไรผิดปรกติไหม”

“ไม่ว่าอะไรค่ะ แค่เข้าไปดูลาดเลาเฉยๆ”

“เห็นทีตาต้องคุยเรื่องนี้กับภีมแล้วละ จะได้คอยเป็นหูเป็นตา ถึงตาจะมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่ค่าย ย. ยอดยิมมีคู่แข่งเยอะ อาจจะมีคนให้ร้ายก็ได้ ตาจะให้คนของตาสืบความจริงเรื่องนี้”

เจ้าสัวยอดชายพูดจบก็กดโทรศัพท์โทร. หาคนที่เป็นทั้งทนายความและเลขาฯ ส่วนตัวของเขาให้มาหาที่บ้านทันที รออยู่ไม่นานทนายก็มาถึง เจ้าสัวและรมณเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้มาใหม่ฟัง และสั่งคนของตัวเองให้ไปเฝ้าที่ค่าย ย. ยอดยิมอย่างลับๆ เพื่อดูความผิดปรกติภายในค่าย เพราะภีมคงทำงานได้ไม่ถนัดนัก

 

เมื่อกลับมาถึงค่ายมวย ยอดผาจอดจักรยานคู่ใจแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ชะงักกึกเมื่อเห็นบิดากับครูพนมนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก สีหน้าเคร่งเครียด

“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าเครียดกันจัง”

“ป๊ากับครูพนมมีเรื่องจะคุยกับยอด นั่งลงสิ”

คิ้วหนาของยอดผาขมวดเข้าหากัน เดินมานั่งข้างบิดา

“เรื่องอะไรครับ บอกมาได้เลย”

ยอดผาพลอยเครียดไปด้วย แววตาจับจ้องที่ผู้มีพระคุณทั้งสองคน

“เรื่องที่แกจะต้องไปแข่งการกุศล แกก็รู้ว่างานนี้มีคู่แข่งที่จ้องจะล้มแกอยู่ ป๊าอยากให้แกมีสมาธิ”

“ผมทราบครับ ผมจะไม่ประมาท”

“ก่อนหน้านั้นป๊าเคยชวนหนูน้ำมนต์ไปดูแกชก แต่ตอนนี้ ป๊าเปลี่ยนใจละ”

ชายหนุ่มตัวแข็ง มองบิดาอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมบิดาถึงได้พูดออกมาแบบนั้น

“ทำไมครับป๊า ผมขอทราบเหตุผล”

ยอดชนะถอนหายใจยาวเหยียด เดินเข้าไปใกล้คนเป็นลูก ยกมือขึ้นวางบนบ่าหนาพร้อมกับเอ่ยถึงเหตุผล

 “แกน่าจะรู้ตัวนะเจ้ายอด ว่าหนูน้ำมนต์มีอิทธิพลกับตัวแกมากแค่ไหน สมาธิที่แกเคยควบคุมได้ หายไปแค่รู้ว่าหนูน้ำมนต์อยู่ใกล้ตัว”

ยอดผานิ่งอึ้ง จริงอย่างที่บิดาพูด เขาเองก็รู้ตัวดีทีเดียว

“แล้วถ้าผมสัญญาว่าผมจะทำให้ดีที่สุด...”

“ป๊าอยากให้แกชนะในการแข่งขันครั้งนี้นะยอด อยากให้วางมืออย่างมีศักดิ์ศรี ป๊ากับครูพนมบอกได้แค่นี้แหละ ที่เหลือยอดตัดสินใจเอาเองแล้วกัน ไปนอนพักเถอะ”

พูดจบทั้งยอดชนะและครูพนมก็กลับไปพักผ่อน ยอดผาเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง สีหน้าครุ่นคิด สิ่งที่บิดาพูดคือเรื่องจริง เขารู้เต็มอก มุมปากหนากระตุกยิ้มพลางส่ายหน้า รมณมีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากจนควบคุมไม่ได้ การบอกรมณนั้นไม่ใช่ปัญหาหนัก เขาเชื่อว่าเธอเป็นคนมีเหตุผล และพร้อมที่จะรับฟัง แต่คนที่มีปัญหาที่สุดก็คือตัวเขานี่แหละ

 

ยามค่ำคืนอันแสนสงบก็เป็นเหมือนทุกครั้ง จอมโจรสองคนที่ลักลอบเข้ามาในค่าย ย. ยอดยิมกระหยิ่มยิ้มย่อง เมื่อทางโล่งโปร่งเหมือนทุกวัน คนในค่ายยังไม่มีใครสงสัย แต่ก็ดี เพราะถ้ายาบ้าเข้าไปสะสมในร่างกายนานๆ และมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น ผลเสียก็ย่อมเกิดขึ้น

“เสี่ยครับ เรียบร้อยแล้วครับ มันง่ายกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก”

“ฮ่าๆ ดีมาก เพิ่มยาเข้าไปอีก ให้มันสะสมไปเรื่อยๆ”

“ครับเสี่ย”

พวกมันลงมืออย่างรวดเร็ว และกลับออกไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน จังหวะเดียวกันนั้น ภีมที่เดินเพิ่งออกมาถึงกับขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนเห็นเงาอะไรบางอย่าง แต่พอเพ่งมองให้ชัด กลับไม่เห็นอะไรเลย เขาคงตาฝาดไป นักมวยหนุ่มมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นทางปลอดจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“ขอโทษครับท่าน ที่ให้รอสายนาน”

“ไม่เป็นไร ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง”

“ท่านส่งคุณน้ำมนต์มาหาพี่ยอช์ตเหรอครับ”

“ใช่! มีอะไรหรือเปล่า”

ภีมลอบถอนหายใจ สีหน้าหนักใจ

“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่ยอช์ตกำลังรู้สึกพิเศษกับคุณน้ำมนต์ และถ้าพี่ยอช์ตรู้ว่าคุณน้ำมนต์คือคนของท่าน ผมเกรงว่าพี่ยอช์ตจะอาละวาด และคนที่จะโดนหนักที่สุดก็คือคุณน้ำมนต์”

คิ้วหนาที่เริ่มแซมด้วยเส้นขนสีขาวขมวดมุ่น สีหน้าเคร่งเครียด ถ้าเช่นนั้นท่านก็คิดผิด ที่ส่งนิตลดาไปเป็นตัวเลือกอีกตัวหนึ่ง หากยอดผาถูกชะตากับนิตลดา รมณจะไม่ต้องทำในสิ่งที่ฝืนต่อหัวใจ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด

“ตาทำพลาดอีกแล้วเหรอนี่”

เจ้าสัวยอดชายครางเสียงแหบพร่า

“อะไรนะครับท่าน”

“เอ่อ...ไม่มีอะไร ที่ฉันโทร. มาวันนี้ เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับค่ายมวย ย. ยอดยิม เรื่องร้ายแรงทีเดียว”

คราวนี้เป็นภีมที่ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งเครียดไปด้วย

“เรื่องอะไรครับท่าน”

“ฉันได้ข่าวจากวงในตำรวจ มีข่าวว่าค่าย ย. ยอดยิมให้นักมวยใช้สารเสพติด”

ภีมหยุดหายใจชั่วขณะกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่ดวงตาจะทอประกายวาววับด้วยความโกรธ

“ไม่จริงครับท่าน พี่ยอช์ตไม่เคยทำแบบนั้น”

“นั่นแหละที่ฉันอยากให้แกช่วยดู ส่วนฉันจะสืบดูว่าใครกันที่ปล่อยข่าวเลวๆ แบบนี้ออกไป”

“ท่านต้องเชื่อใจพี่ยอช์ตนะครับ ไม่มีเรื่องเลวๆ แบบนั้นในค่าย ย. ยอดยิมแน่นอน”

ภีมยืนยันเสียงหนักแน่น

“ฉันเชื่อหลานฉันเสมอ ไม่ต้องห่วงหรอกภีม ว่าแต่แกเถอะ ถ้าเจ้ายอช์ตจับได้ คงอาละวาดกับแกเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรครับ หากมันทำให้ผู้มีพระคุณกับผม กับพ่อ อย่างคุณท่านมีความสุข ผมก็ยอม”

เจ้าสัวยอดชายยิ้มปนเศร้า เพราะท่านคนเดียว ทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันทั่ว

“ขอบใจนะภีม แล้วก็ขอโทษด้วย”

“ท่านอย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมรู้ว่าท่านหวังดีและรักพี่ยอช์ต ถึงส่งผมมาที่นี่”

ภีมไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเดินออกมาจากห้องนอน ยอดผาหิวน้ำ จึงเดินไปที่ห้องครัว และเห็นว่ามีใครแอบทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงที่ซ้อมมวย จึงเดินออกมาดู

“ทำอะไรน่ะภีม”

นักมวยหนุ่มตัวแข็ง ลดโทรศัพท์ลง แอบกดตัดสายทิ้ง พยายามตั้งสติ ทำสีหน้าให้เป็นปรกติ ก่อนจะหันมามองยอดผา ที่เดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ ที่พร่องไปกว่าครึ่ง

“มาคุยโทรศัพท์ครับ พี่ยอช์ต”

คิ้วหนาของยอดผาย่นเข้าหากัน มองภีมอย่างสงสัย

“แล้วออกมาคุยที่ซ้อมมวยเนี่ยนะ คุยในห้องก็ได้มั้ง”

“พอดีผมนอนไม่หลับ อยากออกมาสูดอากาศข้างนอกน่ะครับ เลยออกมาคุยโทรศัพท์ตรงนี้”

ยอดผาพยักหน้า หมุนตัวเดินกลับไปยังห้องนอน แต่ก็ชะงัก หันมามองภีมอีกครั้ง เล่นเอาภีมใจสั่น

“นอนไม่หลับ ไม่สบายหรือเปล่าภีม นายต้องดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ ล่ะ ไม่สบายให้รีบบอกฉัน”

ภีมยิ้มกับความห่วงใยของยอดผา

“ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอกพี่ ว่าแต่พี่เถอะ ทำไมยังไม่นอน คิดถึงสาวอยู่ละสิ ใจแตกตอนแก่นะเราน่ะ”

ยอดผาขึงตาใส่นักมวยรุ่นน้อง

“ทะลึ่งละ ไปนอนได้แล้วไป”

ทำเสียงขรึม ก่อนจะหมุนกายเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้ภีมมองตามด้วยความรู้สึกหนักใจ เขาเข้ามาที่ค่าย ย. ยอดยิมแห่งนี้ได้เกือบหกปีแล้ว ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา เขาซ้อมอย่างหนัก จนสามารถคว้าแชมป์ แต่วัตถุประสงค์หลักไม่ใช่เรื่องการได้แชมป์แต่อย่างใด

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะผู้มีพระคุณอย่างเจ้าสัวยอดชาย ส่งเขามาดูแล เป็นหูเป็นตา และคอยส่งข่าวเกี่ยวกับยอดผา หลานชายที่ท่านรักและห่วงใย ซึ่งท่านไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

ภีมถอนหายใจยาวเหยียด หากยอดผาทราบเรื่อง เขายังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มเดินกลับไปยังห้องพักของตัวเอง ตัดปัญหาหนักอกทิ้งไป ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตจะดีกว่า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น