ท่ามกลางความเงียบสงัดกลางดึก หลังจากล่วงเข้าวันใหม่มานับชั่วโมง ชายรูปร่างสันทัดสองคนที่แอบซุ่มดูอยู่นอกค่ายค่อยๆ ย่องและปีนกำแพงหนาเข้าไปในค่ายมวย ย. ยอดยิม ใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หมวกไหมพรมสีน้ำตาลเข้ม เห็นเพียงแค่ดวงตาเท่านั้น
พวกมันหันมามองหน้ากัน พยักหน้าให้สัญญาณแล้วเดินตรงไปยังถังคูลเลอร์ที่บรรจุน้ำได้สิบลิตร มีที่กดน้ำอยู่ด้านหน้า เปิดฝาขึ้นดู เห็นน้ำยังมีเยอะจึงมั่นใจว่าพรุ่งนี้คนในค่ายคงไม่เทน้ำทิ้ง ชายคนหนึ่งเทซองใสที่บรรจุผงสีส้มอมน้ำตาลเทลงไปแล้วปิดฝาไว้เช่นเดิม จากนั้นทั้งคู่ก็กลับออกไปทางเดิม
เวลาล่วงเลยผ่านจนเช้ามืด ยอดผายังคงวนเวียนไปดูแถวๆ หน้าปากซอยบ้านเจ้าสัวยอดชายครั้งแล้วครั้งเล่า มือหนาบีบเบรกห้ามล้อ หันมองเข้าไปในซอยลึกอย่างคาดหวัง แต่ทุกอย่างก็ว่างเปล่า กี่ครั้งแล้วที่เขาขี่จักรยานมาวนเวียนอยู่ละแวกนี้ แต่ทุกครั้งก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้หญิงที่เขารอเจอหน้า
ยอดผาไม่ละความพยายาม เขาปั่นจักรยานอยู่แถวนั้นจนฟ้าสว่างคาตา แต่ก็ยังไร้เงาของรมณ ชายหนุ่มอดทนต่อไปไม่ไหว แขนแข็งแรงหักหัวรถจักรยานเข้าซอยลึก สายตาคมเข้มกวาดมองไปตามหลังคาบ้านทุกหลัง ความอัดอั้นในหัวใจมีมากนัก นึกอยากตะโกนเรียกหญิงสาวให้ลั่นซอย
สีหน้าร้อนรน หัวใจเองก็ไม่ต่างกัน เขาอยู่เฉยไม่ได้ หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนที่เขาไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียงของเธอมันสร้างความทรมานให้แก่เขาอย่างหนักหน่วง จนต้องยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น เขากำลังตกหลุมที่เรียกว่าความรัก หรือหลุมอะไรก็แล้วแต่ที่รมณตั้งใจขุดดักเขา ตกลงไปอย่างเต็มใจ หมดทั้งตัวและหัวใจ
เสียงห้ามล้อของจักรยานดังยาวเหยียด รถคันเล็กจอดนิ่งสนิทหน้าบ้านหลังใหญ่ นานมาแล้วที่เขาเคยมาเยือนบ้านหลังนี้ ยอดผามองไปยังพื้นถนน ที่ตรงนี้ เขาเคยนั่งคุกเข่าท่ามกลางสายฝน ขอร้องคนเป็นตาให้ไปดูใจมารดาของเขาเป็นครั้งสุดท้าย อ้อนวอน ยิ่งคิดความโกรธก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ดวงตาวาววับมองจ้องบ้านหลังใหญ่
‘อย่าโกรธคุณตานะลูก อย่าโกรธ’
นั่นคือคำอ้อนวอนครั้งสุดท้ายของมารดาก่อนจะสิ้นใจ แต่จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร มารดาสิ้นใจไปพร้อมกับความผิดหวัง ไม่ได้เห็นหน้าคนเป็นบิดา ไม่ได้เอ่ยขอโทษ ขออโหสิกรรม
ยอดผาตัดสินใจหักหัวจักรยานกลับทางเดิม แม้แต่จะขี่ผ่านบ้านของเจ้าสัวยอดชายก็ยังไม่อยาก สีหน้าหงอยเหงา เหี่ยวเฉาราวกับต้นไม้ขาดน้ำ ไม่ต่างจากขามา
ยอดชนะกับครูพนมหันมามองหน้ากัน เมื่อเห็นสภาพไร้ชีวิตชีวาและสีหน้าเศร้า ไม่สดชื่น ดูก็รู้ว่ายอดผากับรมณยังไม่เข้าใจกัน ยอดชนะถอนหายใจยาวเหยียดอย่างหนักใจ เห็นทีต้องรีบจัดการปัญหานี้เสียแล้ว ปล่อยไว้คงเป็นปัญหาใหญ่ ดีไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่นาน
“พ่อครู...ลุงชนะ น้ำในคูลเลอร์มันยังเต็มอยู่เลย จ้อยไม่ต้องเปลี่ยนน้ำใหม่นะ”
“เออ...เสียดาย”
ครูพนมตอบแทนยอดชนะที่ยังคิดไม่ตกเรื่องยอดผา ก่อนเดินไปกำกับการฝึกซ้อมให้ภีม ที่กำลังซ้อมอย่างแข็งขัน การชิงแชมป์ครั้งนี้ต้องแข่งกับคู่แข่งขันที่ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวคนหนึ่งก็ว่าได้ นักมวยของค่ายเสี่ยกิตตินั้นฝีมือใช่ย่อย หากชะล่าใจอาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้ ที่สำคัญที่สุด พวกนั้นมักเล่นตุกติก ไม่โปร่งใส
“ไงยอด เคลียร์ปัญหาได้หรือยัง ขาดซ้อมมาวันหนึ่งแล้ว”
ยอดผามองบิดาพลางส่ายหน้า ถอนหายใจยาวเหยียด
“ยังครับป๊า ผมยังหาเจ้าตัวปัญหาไม่เจอเลยครับ”
“เป็นอันว่า เจ้าตัวปัญหาตัวนี้มีผลกับจิตใจเรา ว่างั้นเหอะ”
ยอดผาก้มหน้านิด เสมองไปทางอื่น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเขินอายที่ต้องยอมรับเรื่องของหัวใจกับบิดา
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นครับป๊า ไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าตัวปัญหาตัวนี้เข้ามาอยู่ในหัวใจเมื่อไร มารู้ตัวอีกทีก็อย่างที่ป๊าเห็นนี่แหละ”
คราวนี้ยอดชนะเป็นฝ่ายถอนหายใจ ยกมือขึ้นตบไหล่บุตรชาย
“ให้ป๊าช่วยไหม”
บุตรชายเงยหน้าขึ้นมองบิดา ยิ้มอย่างไม่สดชื่นสักเท่าไร
“ไม่เป็นไรฮะป๊า น่าอายตาเลย ถ้าต้องให้ป๊าช่วย เอาเป็นว่า ผมจะตั้งใจซ้อมครับ จะพยายามไม่ให้สมาธิหลุด”
คนเป็นพ่อพยักหน้า มองคนเป็นลูกที่กำลังพันผ้าที่มือ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยเห็นยอดผาให้ความสำคัญแก่ผู้หญิงคนไหนเท่ารมณ สงสัยยอดผาจะเจองานหนักเสียแล้ว
“พี่ยอด พี่ยอด!”
จ้อยวิ่งร้องตะโกนเข้ามาอย่างตื่นเต้น หน้าตาเลิ่กลั่ก
“อะไรกันไอ้จ้อย ทำหน้าตาอย่างกับเห็นผีงั้นแหละ”
ยอดผาเอ่ยถาม ไม่ได้ตื่นเต้นกับน้ำเสียงและสีหน้าของจ้อยแม้แต่นิด
“ไม่ใช่ผีก็เหมือนกันนั่นแหละ รีบไปหน้าค่ายเร็วๆ เลยพี่ยอด”
“ไปทำไม ฉันกำลังจะซ้อมมวย”
“ถ้าไม่ไปจะเสียใจนะ มีผู้หญิงมาหา”
คำว่าผู้หญิงของจ้อยทำให้ยอดผาวิ่งถลาออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับยิ้มร่าอย่างยินดี ความตื่นเต้นมีเต็มหัวใจ คิดอย่างเดียวว่าต้องใช่รมณ เพราะผู้หญิงที่จะมาหาเขามีแค่คนเดียวเท่านั้น
จ้อยยกมือขึ้นเกาศีรษะ ออกอาการงง ว่าทำไมยอดผาถึงได้ดีใจขนาดนี้
“ใครมาน่ะจ้อย หนูน้ำมนต์รึ”
“ไม่ใช่หรอกลุงชนะ นักร้องน่ะ ชื่อนิด้า ตัวจริงสวยมากเลย เขามาหาพี่ยอด”
“เจ้ายอดเอ๊ย ความรักพุ่งชนโครมเบ้อเร่อ”
ยอดชนะมองไปทางยอดผาที่ออกวิ่งไปอย่างยินดีแล้วส่ายหน้าไปมา
ชายหนุ่มยิ้มทั้งใบหน้า ดวงตาพราวระยับ พอถึงประตูทางเข้าค่ายมวยก็ชะลอฝีเท้าลง ปรับสีหน้าไม่ให้ตื่นเต้น พยายามกลั้นรอยยิ้มยินดีเอาไว้ มองคนที่ยืนหันหลังอยู่ตรงประตูทางเข้าค่าย
“น้ำมะ...”
เสียงเรียกอย่างยินดีชะงัก เมื่อผู้หญิงที่ยืนหันหลังให้หันกลับมา
“พี่ยอช์ต สวัสดีค่ะ นิด้ามาตามสัญญาค่ะ”
จากสีหน้ายินดีเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง มองนิตลดาอย่างเสียอารมณ์
“คุณมาทำไม ผมบอกคุณแล้วว่าผมไม่รับเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้ใครทั้งสิ้น”
“นิด้าก็บอกพี่ยอช์ตแล้วไงคะ ว่านิด้าต้องการให้พี่ยอช์ตเป็นเทรนเนอร์ให้ ขอนิด้าเข้าไปดูค่ายมวยหน่อยนะคะ”
ไม่รอคำอนุญาตด้วยซ้ำ นิตลดาก็เดินผ่านยอดผาเข้าไปด้านใน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อได้เห็นค่ายมวย ย. ยอดยิมเต็มสองตา ไม่คิดว่าจะใหญ่และเต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่อยมวยเพียบพร้อมขนาดนี้ นักร้องสาวโบกมือทักทายนักมวยที่หยุดซ้อมและพากันหันมามองเธออย่างตื่นเต้น
“นั่นไงลุงชนะ พี่นิด้า นักร้องที่กำลังมีชื่อเสียงตอนนี้”
จ้อยชี้ให้ยอดชนะดูเมื่อเห็นนิตลดาเดินเข้ามาใกล้ เป็นจังหวะเดียวกับที่นิตลดาเห็นจ้อยพอดี เธอจึงเดินเข้ามาสมทบ
“ขอบใจนะที่ตามพี่ยอช์ตให้น่ะ ว่าแต่เราชื่ออะไรล่ะ ยังไม่รู้จักชื่อเลย”
จ้อยเบิกตากว้าง ยิ้มปากแทบฉีก ดีใจที่สุดที่นักร้องชื่อดังอยากทำความรู้จักด้วย
“ชื่อจ้อยครับ จ้อย คนนี้ชื่อลุงชนะ เป็นพ่อของพี่ยอช์ต”
นิตลดายิ้มหวานให้ยอดชนะ ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณลุง หนูชื่อนิด้านะคะ จะมาเรียนมวยกับพี่ยอช์ตค่ะ”
“อ้อ...เจ้ายอดมันรับสอนมวยให้หนูเรอะ”
“ยังไม่ยอมหรอกค่ะ คุณลุงช่วยหนูหน่อยสิคะ หนูอยากเรียนต่อยมวยจริงๆ แล้วก็อยากให้พี่ยอช์ตเป็นเทรนเนอร์ให้ด้วย”
“ผมบอกแล้วไง ว่าผมไม่มีเวลาสอนมวยคุณ ผมไม่เป็นเทรนเนอร์ให้คุณด้วย ถ้าคุณยังไม่ฟังอีก ผมจะจับคุณโยนออกไปนอกค่าย ไม่สนหรอกว่าคุณจะเป็นนักร้องดังแค่ไหน”
ยอดผาเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าคุกคามจนนิตลดาต้องวิ่งไปหลบหลังยอดชนะอย่างหาที่พึ่ง แปลก...เมื่อวันก่อนยอดผายังควบคุมอารมณ์ได้ดี ทำไมวันนี้ถึงดูเหมือนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มองเธอตาขวาง หน้าตาก็บึ้งตึง
“ใจเย็นก่อนยอด พูดกันดีๆ”
“ใจเย็นยังไงไหวล่ะป๊า ดื้อด้าน ผมบอกว่าผมจะไม่เป็นเทรนเนอร์ให้ ก็ยังตามตื๊อไม่เลิก บุกถึงค่าย เด็กอย่างนี้ไปอยู่บ้านนั่งกินนมดีกว่ามั้ง”
“โหย! ดูถูก เห็นหน้าอ่อนแบบนี้บรรลุนิติภาวะแล้วนะคะพี่ยอช์ต คุณลุงคะ หนูอยากเรียนมวยไทยจริงๆ นะคะ ดีเสียอีก ค่ายมวย ย. ยอดยิมจะได้พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย ถ้ารับหนูเป็นลูกศิษย์อีกคน นะคะคุณลุง”
เมื่อเข้าทางยอดผาไม่สำเร็จ นิตลดาจึงหันไปอ้อนวอนยอดชนะ
“ไม่อยากดัง ไม่อยากได้ด้วย แค่นี้ก็มีชื่อเสียงพออยู่แล้ว ไม่ต้องการคนสนับสนุนแบบคุณหรอก ออกไปซะ ค่ายมวย ย. ยอดยิมขอปฏิเสธ”
นิตลดาพยายามอ้อนวอนยอดชนะ สลับกับมองยอดผา เธอจะแข็งไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มีโอกาสได้เข้ามาในค่ายมวยนี้อีก และงานที่ได้รับมอบหมายก็จะไม่สำเร็จ
“ถ้าอย่างนั้นนิด้าขอเรียนมวยที่นี่ แต่ให้คนอื่นเป็นเทรนเนอร์ให้ก็ได้”
“ไม่ได้! เพราะที่นี่จะสอนเฉพาะคนที่อยากเรียนมวยไทยจริงๆ ดูจากลักษณะของคุณแล้วคงเรียนไปตามแฟชั่น ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก ไม่กี่วันก็เปลี่ยนใจ ถ้าจะเรียนก็เรียนที่ฟิตเนส ที่นั่นเรามีเทรนเนอร์มวยไทย มวยสากลพร้อม”
“แต่นิด้าอยากเรียนที่นี่”
“เอ๊ะ!”
“เอาละๆ ไม่ต้องเถียงกัน ป๊าตัดสินเอง หนูนิด้ามาเรียนมวยที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวลุงช่วยหาเทรนเนอร์ให้ วันนี้หนูกลับไปก่อน วันจันทร์ค่อยมาใหม่นะ”
ก่อนที่ทุกอย่างจะวุ่นวายไปมากกว่าเดิม ยอดชนะก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน พลางมองหน้าลูกชายด้วยแววตำหนิ ก่อนส่ายหน้า
นิตลดาเบิกตากว้างอย่างยินดี ยกมือขึ้นไหว้ยอดชนะอย่างขอบคุณ โบกมืออำลากับจ้อย แล้วเดินตัวลีบ แต่พอผ่านยอดผาก็รีบวิ่งไปยังประตูค่าย ทิ้งให้ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“ป๊า!”
“เอาเถอะน่า เรื่องนี้ป๊ารับผิดชอบเอง”
ยอดผาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วพยายามเพ่งสมาธิที่มีน้อยนิดในการอบอุ่นร่างกาย เตรียมขึ้นซ้อม ทำไมสองสามวันนี้ถึงมีแต่ปัญหารุมเร้า แค่รมณคนเดียวก็ทำเอาเขาแก้ไขปัญหาอื่นแทบไม่ได้อยู่แล้ว
เวลาผ่านไปจนถึงกลางวัน นักมวยแต่ละคนยังคงฝึกซ้อมกันอย่างเต็มที่ ไม่มีเสียงโอดครวญที่ต้องฝึกหนักเหมือนทุกวัน ครูพนมมองด้วยความพึงพอใจ ถ้าฝึกอย่างนี้ได้ทุกวัน แรงกำลังของนักมวยทุกคนคงเข้าที่ ขึ้นชกคราวใด แรงคงไม่ตก
“พี่ยอช์ต พ่อครู พี่แก้วเป็นลม”
จ้อยวิ่งหน้าตาเลิ่กลั่กเข้ามาบอก ครูพนมและยอดผาจึงเดินไปยังที่เกิดเหตุทันที
“เป็นอะไรแก้ว เมื่อคืนนอนน้อยหรือไง หรือว่าไม่สบาย”
“เปล่าครับพี่ยอช์ต เมื่อคืนผมเข้านอนปรกติ แล้วก็ไม่ได้ป่วยด้วย แค่รู้สึกหน้ามืดแล้วหัวใจมันเต้นแรงแค่นั้นเอง หรือว่าหิวข้าวก็ไม่รู้”
“ถ้างั้นไปกินข้าวก่อน แล้ววันนี้ถ้าไหวก็ซ้อมต่อ แต่ถ้าไม่ไหวหยุดซ้อมสักวันหนึ่ง พักให้แข็งแรง นักมวยอย่างเราต้องดูแลร่างกายให้ดี มันถึงจะฝึกซ้อมได้อย่างเต็มที่”
“ครับ พ่อครู” พูดจบก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปพักที่ห้อง
ครูพนมมองนักมวยที่เหลือ ต่างพากันซ้อมอย่างขะมักเขม้น ไม่ได้ยินเสียงบ่นเหมือนทุกวัน
“วันนี้แปลก...นักมวยของเราไม่หยุดพักสักคนเดียว”
ยอดผากวาดตามองนักมวยที่ขยันซ้อม สีหน้าครุ่นคิด
“นั่นสิครับครู ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน ทุกทีต้องมีอิดออดบ้าง แต่ทำไมวันนี้มันขยันซ้อมกันจัง”
“สงสัยเพิ่งคิดได้ว่าควรขยัน”
ครูพนมกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พลอยทำให้ยอดผาเลิกคิดมาก
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ เอ้า...พวกเราพักกินข้าวได้แล้ว”
ยอดผาตะโกนบอกนักมวยในค่าย แต่บางคนกลับตะโกนกลับมาว่าไม่อยากพัก ยังไม่เหนื่อย อยากซ้อมอีก สร้างความงงงวยให้แก่ยอดผาและครูพนมเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว มองภาพนักมวยในค่ายที่ยังคงซ้อมต่อเนื่องราวกับไม่เหน็ดเหนื่อย ทั้งที่ปรกติจะดีใจที่ได้หยุดพัก แต่วันนี้กลับมีเรี่ยวแรงซ้อมไม่หยุด เหมือนกินยาบ้าเข้าไปอย่างนั้นแหละ ยอดผาคิดอย่างขำๆ ก่อนจะเปิดฝาคูลเลอร์น้ำดื่ม ตักน้ำเตรียมจะดื่ม ถ้าไม่ได้ยินจ้อยตะโกนเรียกเสียก่อน
“พี่ยอช์ตมากินข้าวทางนี้พี่ กินน้ำตรงนี้ก็ได้ เย็นเฉียบ จะได้ชื่นใจ จ้อยเตรียมให้พี่พร้อมแล้ว น้ำแร่อย่างดี ต้องบำรุงกันหน่อย พักนี้เหนื่อยทั้งตัว เหนื่อยทั้งใจ”
ยอดผาถลึงตาใส่ เทน้ำที่ตักเอาไว้ตอนแรกกลับลงในคูลเลอร์
“สู่รู้!”
จ้อยยิ้มแต้
“ก็มันจริงนี่ครับ เขาลือกันทั้งค่ายว่าพี่น้ำมนต์ไม่มาที่ค่าย พี่ยอดก็หน้าจ๋อย ไม่มีสมาธิซ้อม”
ชื่อของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มถึงกับกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ความคิดถึงวิ่งมาจุกที่คอ พานให้กินอาหารไม่ลง
“ฉันอิ่มแล้ว ขอบใจมากนะจ้อย”
จ้อยเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ
“แต่พี่ยอช์ตยังไม่ได้กินเลยนะพี่”
“ฉันไม่อยากกิน ไปซ้อมก่อนละ”
จ้อยมองตามแผ่นหลังของคนที่สวมเสื้อกล้ามด้วยความไม่เข้าใจ แล้วรีบวิ่งเข้าไปในส่วนของโรงครัว สีหน้าตื่นตระหนก เรียกหาแม่ครัวใหญ่ของค่ายอย่างร้อนใจ
“ป้าสำรวย! ป้าสำรวย!”
“อะไรไอ้จ้อย แกจะแหกปากร้องตะโกนทำไม”
ป้าสำรวยคือแม่ครัวประจำค่าย ย. ยอดยิมทำหน้าที่สรรหาอาหารกลางวันให้ลูกศิษย์ลูกหาภายในค่ายมวยแห่งนี้
“ก็ป้าน่ะสิ ทำกับข้าวยังไง พี่ยอช์ตถึงไม่ยอมแตะแม้แต่นิดเดียว มันไม่อร่อยเหรอป้า”
แม่ครัวถึงกับหน้าตาเหลอหลาตกใจกับสิ่งที่จ้อยพูด
“จริงเหรอวะไอ้จ้อย วันนี้ข้าฝีมือตกขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ใช่! ฉันเรียกพี่ยอช์ตมากินข้าว พอเห็นกับข้าวป้าเท่านั้นแหละ พี่ยอช์ตก็บอกว่าอิ่ม ป้าต้องคิดเมนูใหม่ๆ ได้แล้วนะ ทำกับข้าวเหมือนเดิม พี่ยอช์ตเบื่อจะกินแล้ว”
“แต่เมนูวันนี้ข้าเพิ่งทำวันแรกเองนะ”
“เอ๊า...แล้วทำไมพี่ยอช์ตถึงไม่ยอมกินล่ะ”
“ข้าว่ามันก็อร่อยเหมือนทุกวันที่เอ็งกินนั่นแหละ”
“เอ? แล้วทำไมพี่ยอช์ตถึงได้ทำหน้าเฉา ไม่กินข้าวกินปลา หรือจะไม่สบาย”
“อันนั้นข้าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือกับข้าวข้าอร่อยเหมือนเดิมแน่นอน”
จ้อยเกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมยอดผาถึงได้ไม่กินข้าว แต่ความสงสัยเหล่านั้นกลับหายไปเมื่อเสียงท้องร้องประท้วงดังขึ้น จนต้องรีบหาอาหารใส่ท้องตัวเอง
รมณชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอกำลังจะออกไปที่ค่ายมวย หลังจากปล่อยเวลาให้ผ่านมาหลายวัน คิดว่าป่านนี้อารมณ์โกรธของยอดผาคงทุเลาลง ที่สำคัญ เธออยากพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองให้แน่ชัดอีกครั้ง พอเห็นชื่อที่แสดงตรงหน้าจอ รอยยิ้มหวานของหญิงสาวก็แย้มออกมา
“สวัสดีค่ะสิงห์”
“สวัสดีครับน้ำมนต์ ว่างหรือเปล่าครับ”
คิ้วเรียวของหญิงสาวเลิกสูงขึ้น แต่ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงปรกติ
“กำลังจะออกไปค่ายมวยเลยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วย น้ำมนต์รอที่บ้านสักครู่นะครับ ไม่เกินสามสิบนาที”
คราวนี้ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่รมณเพิ่มขึ้น สิงหาจะไปที่ค่ายมวยทำไม
“เอ่อ...สิงห์จะไปค่ายมวยทำไมคะ”
“ผมก็แค่อยากไปทำความรู้จักคนที่ทำให้อกผมหักกระเจิง แค่นั้นไม่ได้เหรอครับ”
ด้วยความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจ รมณจึงได้แต่ตอบอนุญาตเท่านั้น
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นน้ำมนต์รอที่บ้านนะคะ”
“ครับ เดี๋ยวเจอกัน”
สิงหากดวางสายจากรมณ นิ้วกำลังจะกดไปหาใครอีกคนหนึ่ง แต่กลับชะงักไว้ เขาอยากมั่นใจในตัวเองมากพอ ก่อนที่จะเริ่มอะไรใหม่ๆ และที่สำคัญ เรื่องระหว่างเขากับรมณนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว
ไม่นานหลังจากนั้นผู้กองหนุ่มก็มาถึงบ้านเจ้าสัวยอดชาย รมณที่รอท่าในห้องรับแขกอยู่แล้ว ลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งยิ้มให้
“น้ำมนต์ประหลาดใจมาก ที่ได้ยินว่าสิงห์อยากไปที่ค่ายมวย”
สิงหามองรมณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินมานั่งตรงโซฟา ข้างเธอ
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับน้ำมนต์ ก่อนที่เราจะไปที่ค่ายมวย ย. ยอดยิม”
คิ้วเรียวของคนฟังย่นเข้าหากัน มองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
สิงหามองรมณนิ่งอย่างใช้ความคิด ว่าเขาควรพูดเรื่องนี้กับเธอหรือไม่
“มีคนหวังดีโทร. มาหาผม แจ้งข่าวเกี่ยวกับเรื่องค่ายมวย ย. ยอดยิม”
คำว่าค่ายมวย ย. ยอดยิมทำให้รมณมองสิงหาอย่างตั้งใจ ไม่รู้ตัวเลยว่า สีหน้าที่แสดงความสนใจนั้น มันทำให้หัวใจของเขาแสบๆ คันๆ
“ย. ยอดยิมทำไมคะ”
รมณแทบเก็บความอยากรู้ไม่มิด
“เขาว่านักมวยในค่ายมีการใช้สารเสพติด และเจ้าของค่าย เป็นคนใส่ยาเสพติดให้นักมวยในค่ายกิน”
เย็นวาบไปทั้งหัวใจ รมณไม่รู้ตัวเลยว่า ใบหน้าของเธอนั้นซีดเผือด
“มัน...จะเป็นไปได้ยังไงคะสิงห์”
“นั่นแหละ คือสาเหตุที่ผมอยากไปดูที่ค่ายมวย ด้วยตาตัวเอง”
“มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำแบบนั้น”
รมณกระซิบเสียงแผ่วเบา ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
“น้ำมนต์มั่นใจได้ยังไงครับ”
น้ำเสียงของสิงหาทำให้รมณช้อนตาขึ้นมองสบตา
“น้ำมนต์มั่นใจ คุณยอดผาต้องไม่ทำเช่นนั้นแน่ ค่าย ย. ยอดยิม คือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา”
“น้ำมนต์ใช้อะไรตัดสิน ว่าเขาจะทำจริงหรือไม่ทำจริง”
คำพูดของสิงหาทำให้รมณนิ่งขึง ครู่หนึ่งจึงก้มหน้าลงต่ำ สิงหามองสีหน้าและท่าทางของรมณแล้วบิดมุมปากขึ้นสูง นึกเยาะหยันตัวเอง
“ผมคงแพ้นายยอดผาอะไรนั่นจริงๆ ก็วันนี้แหละ น้ำมนต์รู้ไหม ว่าคุณกำลังเป็นห่วงเขา”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง เห็นแววเศร้าเสียใจในดวงตาของสิงหา สิ่งที่เธอทำได้ก็คือ กล่าวคำขอโทษ
“น้ำมนต์ขอโทษ”
สิงหากระตุกยิ้ม ส่ายหน้าเชิงบอกว่า ไม่ต้องขอโทษเขาหรอก เรื่องของหัวใจ ใครจะห้ามกันได้
“เราไปที่ค่าย ย. ยอดยิมกันเถอะ”
รมณพยักหน้า แล้วเดินนำสิงหาออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจสักเท่าไร ข่าวที่ได้ยินจากสิงหา ทำให้เธอสับสน
ยอดผาทิ้งผ้าขนหนูผืนเล็กลงกับพื้นอย่างไม่สบอารมณ์ การซ้อมในวันนี้ไม่ดีเท่าที่ควรนัก สาเหตุหลักเป็นเพราะจิตใจของเขานั่นเอง ซึ่งเขาก็รู้ตัวดี ถึงแม้จะพยายามควบคุมความรู้สึกแต่ก็ไม่สำเร็จ พลาดโดนครูพนมสวนกลับหลายหมัดจนต้องยกเลิกการซ้อม เพราะไม่อยากให้ยอดผาเจ็บตัวไปมากกว่านี้
จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังลุกขึ้นยืน เขาหันไปเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามาในค่ายมวย แวบแรกนั้น หัวใจของเขาเต้นรัว ดวงตาพราวระยับ แทบถลาเข้าไปหาด้วยความคิดถึง ถ้าไม่เห็นว่ามีใครอีกคนหนึ่งเดินตามมาเสียก่อน
ยอดชนะที่นั่งอยู่ไม่ไกลเห็นรมณจึงออกไปต้อนรับ พอเห็นคนที่ยืนข้างกาย ก็อดปรายตาไปมองบุตรชายไม่ได้
“สวัสดีค่ะคุณลุง นี่ผู้กองสิงหาค่ะ เพื่อนน้ำมนต์”
สิงหายกมือขึ้นทำความเคารพ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นรับไหว้
“สวัสดีครับ ว่าแต่...หายหน้าหายตาไปหลายวันเลยนะหนูน้ำมนต์ คนทางนี้คิดถึง”
คำว่าคนทางนี้ทำให้รมณเผลอมองไปทางยอดผา แต่เธอกลับเห็นว่าชายหนุ่มง่วนอยู่กับการดึงผ้าพันมือออก ไม่ได้สนใจเธอสักนิด
“พอดีสิงห์เขาอยากมาดูที่ค่ายนี้น่ะค่ะ น้ำมนต์เลยพามา”
“ค่ายมวย มันใช่ที่ท่องเที่ยวหรือไง”
ไม่ใช่เสียงยอดชนะ แต่เป็นเสียงเข้ม ขุ่นมัวของคนที่นั่งดึงผ้าพันมือออก
“น้ำมนต์ขอโทษนะคะ ที่ไม่ได้ขออนุญาตลุงชนะก่อน”
“ค่ายมวยนี้เป็นที่ส่วนบุคคล ถ้าคุณอยากพาเพื่อน...ชายของคุณไปดู ก็ไปที่ฟิตเนส”
ยอดผาเดินมายืนข้างยอดชนะ ความยินดีที่ได้เห็นหน้ารมณไม่มีเหลือแล้วตอนนี้ ชายหนุ่มขบกรามแน่น ดูสิ! แค่จะเหลือบมองเขา เธอยังไม่คิดจะแล
“คุณคงเป็นคุณยอดผา เจ้าของ ย. ยอดยิมใช่ไหมครับ”
ดวงตาเข้มตวัดมองคนที่เอ่ยถาม สบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ผมร้อยตำรวจเอกสิงหาครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” สิงหาพูดพลางยื่นมือออกไปตรงหน้าคู่สนทนา
ยอดผามองมือนั้น แล้วทำเหมือนไม่เห็น “ผมไม่ยินดีที่ได้รู้จักคุณ”
“เจ้ายอด!”
ยอดชนะปรามบุตรชายเสียงเข้ม หันไปมองสิงหาที่ลดมือลงอย่างขอโทษ
“ขอโทษนะครับผู้กอง เจ้ายอดมันมีปัญหาทางการเข้าสังคมแบบนี้เสมอ”
“ใครจะไปมิตรเยอะ เพื่อนเยอะ เหมือน...”
ยอดผาไม่พูดต่อ สายตาตวัดมองที่รมณ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาหมายถึงใคร
รมณเองก็พอจะรู้ตัว หน้าบึ้ง ตาเขียวขุ่น มองตอบยอดผาอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมขอดูรอบๆ บริเวณค่ายมวยได้ไหมครับ”
“แล้วถ้าผมบอกว่ารบกวนล่ะ คุณจะยังดื้อด้านเดินดูอีกหรือเปล่าครับ ผู้กอง”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของยอดผาชวนหาเรื่องยิ่งนัก แถมยังกวนอารมณ์มากยิ่งขึ้นด้วยการเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงถามด้วยสายตา
“เรากลับกันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวสิครับน้ำมนต์ มาถึงถิ่นมวยแล้ว ถ้าไม่ลองเชิงกับนักมวยคนดัง ผมว่ามันยังไงๆ อยู่นะ”
ไม่ตอบ ยอดผาเดินขึ้นไปยังสังเวียนมวย โยกศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงเรียก
“สิงห์คะ คุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำแบบนี้นะคะ”
รมณกล่าวเตือนสติ
“ถือว่าเป็นเกียรติมากเลยนะจะบอกให้ ผมไม่ยอมชกกับใครง่ายๆ นะครับ ช้าอยู่ทำไมผู้กอง”
ยอดผาบิดมุมปาก มองสิงหาอย่างเย้ยหยันอยู่ในที แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อสิงหาถอดเสื้อตัวนอกออก เหลือเพียงเสื้อกล้าม ก่อนเดินขึ้นมาบนสังเวียนมวย ยกมือขึ้นตั้งการ์ด อย่างคนรู้มวย
“คุณลุงคะ”
รมณหันไปมองยอดชนะ เหมือนจะขอให้ทำอะไรสักอย่าง
“ปล่อยให้ลูกผู้ชายเขาจัดการกันเองเถอะ”
คำตอบนั้นทำเอารมณหนักใจ สิงหาไม่ได้เป็นมวยอย่างยอดผา ย่อมเสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ ส่วนยอดผายิ่งแล้วใหญ่ จะต้องขึ้นชกอีกไม่กี่วัน ถ้าหากบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร
“แต่คุณยอดผาจะต้องแข่งชกมวยไม่กี่วันนี้แล้วนะคะ ถ้าเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง”
น้ำเสียงและสีหน้าเป็นห่วงทำให้ยอดชนะหันมอง ส่งยิ้มตาพราว
“ถ้าเจ้ายอดมันรู้ว่าหนูห่วงมัน ลุงว่ามันคงดีใจมาก”
รมณหลบสายตาผู้สูงวัยกว่า รู้สึกร้อนวูบวาบทั้งใบหน้า
ยอดชนะเห็นอาการนั้นแล้วหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาดูคนทั้งคู่บนสังเวียนมวย ในเวลานั้น นักมวยหลายคนต่างหยุดซ้อมและหันมาเชียร์ยอดผากันอย่างสนุกสนาน
สิงหามองยอดผาที่ขยับเท้าซ้ายขวาไปมา แต่สายตาจับจ้องที่เขานิ่ง
“พี่ยอช์ตสู้ๆ” นักมวยในค่ายตะโกนเชียร์ ให้กำลังใจยอดผา
สิงหาจับจ้องคู่ต่อสู้ ก่อนลองเชิงด้วยการส่งหมัดซ้ายไปที่ใบหน้าอีกฝ่ายซึ่งหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับสวนหมัดกลับมา สิงหายกมือขึ้นป้องกัน ก่อนสวนหมัดเข้าที่ใบหน้ายอดผาอย่างจังจนนักมวยหนุ่มถึงกับเซ
รมณมองภาพนั้นอย่างบีบหัวใจ
ยอดผายกมือขึ้นเช็ดที่มุมปาก รับรู้ได้ถึงรสเค็มของเลือด ดวงตาวาววับจับจ้องที่คู่ต่อสู้ ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ สลับขาหลอกล่อเพื่อหาจังหวะ หมัดแรกส่งตรงไปที่ใบหน้า แต่สิงหาเอนหลบได้อย่างว่องไว ยอดผาได้โอกาส ต่อยหมัดซ้ายเข้าที่ข้างลำตัว ตามด้วยหมัดขวา สิงหาเสียหลัก จึงถูกหมัดลุ่นๆ ของยอดผาซัดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง ผู้กองหนุ่มเซไปก้าวใหญ่ๆ ยอดผาถลาเข้าไปดึงคอเสื้อกล้ามสิงหาเอาไว้ ง้างหมัดเตรียมจะซ้ำ แต่เสียงห้ามของยอดชนะดังขึ้นเสียก่อน
“พอ! หยุด!”
ยอดผาปล่อยมือจากคอเสื้อสิงหาอย่างแรงแล้วก้าวลงจากสังเวียนมวย เดินออกไปนอกค่าย ไม่สนใจใครทั้งสิ้น
รมณเดินเข้ามาหาสิงหา มองมุมปากที่เลือดยังไหลซิบอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“สิงห์เป็นไงบ้างคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน้ำมนต์ ดีเสียอีก ได้สู้กันแบบลูกผู้ชายแบบนี้ ผมจะได้หายเจ็บใจ”
“เป็นยังไงบ้างผู้กอง เดี๋ยวทำแผลเสียหน่อยนะ”
ยอดชนะกล่าวกับสิงหาเสียงเข้ม นึกเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขา
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปทำแผลที่บ้านก็ได้ครับ ไปครับน้ำมนต์ กลับบ้านกัน”
สิงหาพยักหน้าชวนรมณให้เดินตาม แต่หญิงสาวลังเล เพราะเห็นว่ายอดผาเองก็เจ็บ แถมเดินหนีออกไปแบบนั้น จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
รมณเดินตามสิงหามาจนถึงหน้าค่ายมวย แล้วหยุดมองสิงหานิ่ง
“สิงห์กลับไปก่อนนะคะ น้ำมนต์ขอตัวสักครู่”
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ารมณจะไปไหน สายตาของเธอยามมองยอดผานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย
“คุณห่วงเขา?”
คำถามตรงๆ นั่นเล่นเอารมณพูดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าหลบสายตา
“เอาเถอะครับ ผมพอจะเข้าใจ แต่...อย่าลืมเรื่องที่เราคุยกัน และถ้าไม่อยากให้คุณยอดผาเป็นฝ่ายถูกกล่าวหา คุณต้องช่วยผม”
รมณยิ้มให้อย่างขอบคุณ
“ขอบคุณนะคะสิงห์”
“เป็นอันว่าผมคงต้องอกหักจริงๆ เสียแล้ว”
สิงหายิ้มเศร้า มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างตัดใจ
“สิงห์รู้ใช่ไหม ว่ามีใครบางคนรอสิงห์อยู่”
ผู้กองหนุ่มนึกถึงใครอีกคนหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ
“พรุ่งนี้นะน้ำมนต์ พรุ่งนี้! ผมจะเป็นเพียงเพื่อนที่หวังดีของคุณ ผมสัญญา”
รมณจับมืออีกฝ่ายมากุมไว้ ยิ้มให้อย่างขอบคุณ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในค่ายมวยอีกครั้ง ปล่อยให้สิงหาเดินกลับไปที่รถคนเดียวในสภาพเจ็บทั้งกาย ปวดทั้งใจ
หญิงสาวชะงักเมื่อเห็นนักมวยคนหนึ่งยืนขวางเธออยู่ ถ้าจำไม่ผิด ยอดผาเคยบอกว่าคนนี้คือตัวเล็ก ศิษย์ยอดชนะ นักมวยอนาคตไกลอีกคนหนึ่งของค่าย ย. ยอดยิม
“เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
รมณเอ่ยถามอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเธอ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมองซ้าย มองขวา ด้วยแล้ว คิ้วเรียวยิ่งขมวดมุ่น
“คุณรู้จักเจ้าสัวยอดชายใช่ไหมครับ”
คำถามนั้นทำเอาคนถูกถามตัวเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ตาเบิกกว้าง ริมฝีปากเผยอค้าง ชั่วอึดใจกว่าจะตั้งสติ มองภีมอย่างพิจารณา
“มะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือผม...”
“ภีม มาเอากล่องยาไปทำแผลให้เจ้ายอดหน่อย สงสัยไปสงบสติอารมณ์อยู่ที่สวนสาธารณะ อ้าว! หนูน้ำมนต์ก็อยู่เหรอ นึกว่ากลับไปแล้ว”
ยอดชนะเดินเข้ามาสมทบ ในมือถือกล่องทำยาเอาไว้
“เดี๋ยวหนูไปทำแผลให้คุณยอดผาเองค่ะ”
หญิงสาวมองหน้าภีมแวบหนึ่ง ก่อนจะคว้ากล่องทำแผลในมือของยอดชนะมาถือเอาไว้ แล้วเดินตรงไปยังสวนสาธารณะ ที่เธอมักไปวิ่งก่อนเรียนมวยเป็นประจำ รมณอดใจระทึกไม่ได้เมื่อคิดว่าเหตุใดภีมถึงถามแบบนั้น หรือว่าเขาจะรู้ สีหน้าไม่สบายใจฉายชัด หากความลับของเธอถูกเปิดเผยในตอนนี้ มันไม่ดีแน่
...
รมณมองแผ่นหลังของใครบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหน้าเข้าบ่อน้ำขนาดไม่ใหญ่นักกลางสวนสาธารณะ หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ เห็นแผลที่หลังมือของยอดผาอย่างชัดเจน หัวใจเธอบีบรัด ถ้าเขายังยึดอาชีพต่อยมวยอยู่เช่นนี้ บนตัวเขาคงมีรอยฟกช้ำและบาดแผลอีกมากมาย เธอสลัดความรู้สึกนั้นออกแล้วเดินอ้อมมานั่งบนเก้าอี้
ยอดผาหันมามอง พอเห็นว่าเป็นใคร เขาก็เมินไปมองทางอื่น
รมณอมยิ้ม รับรู้ถึงอาการงอนของเขา
“มาค่ะ น้ำมนต์ทำแผลให้” พูดพลางเอื้อมไปจับมือยอดผาหมายจะทำแผลที่หลังมือของเขาให้ แต่อีกฝ่ายกลับชักมือหนี
“ไปท้าต่อยกับสิงห์ทำไมคะ”
ชายหนุ่มหันขวับมามองรมณอย่างไม่พอใจ เหมือนรอคำถามนี้อยู่แล้ว
“ถ้าห่วงมันมาก จะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม”
ยอดผากล่าวเสียงสะบัด ผินหน้าไปทางอื่น จึงไม่เห็นรอยยิ้มของคนที่นั่งข้างกาย
รมณแอบสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความกล้า ตอนนี้แหละ ที่เธอต้องพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อยอดผา ว่ามันเป็นอย่างที่เจนตาบอกหรือไม่
“ก็ห่วงคนตรงนี้มากกว่า ถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้”
พูดไปแล้วก็รอลุ้น แทบลืมหายใจ ใบหน้าร้อนวูบวาบ ยามที่เห็นยอดผาหันมามอง หญิงสาวต้องรีบหลบสายตาของเขา
“ให้พูดอีกครั้งหนึ่ง ว่าจริงหรือเล่น”
“ไม่พูดแล้ว!”
รมณทำเสียงขึงขัง หน้าตาจริงจัง ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดน้ำยาฆ่าเชื้อโรคบนแผลบริเวณหลังมือของเขา ทำอย่างเบามือ และเป่าให้ยาแห้งเร็วๆ
“อีกไม่กี่วันก็ขึ้นชกแล้ว ทำไมยังหาเรื่องเจ็บตัวอีกคะ” พร้อมกับช้อนตาขึ้นมอง แต่พลันตัวเย็นวาบ เมื่อสบตาที่มองเธออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“พากันมาหยามขนาดนั้น ใครจะทนไหว”
ตึกตัก!
หัวใจของรมณเต้นแรง ไม่กล้ามองสูงกว่าปลายคางของยอดผา ทำไมเธอจะไม่รู้ความหมายของเขา เธอไม่ได้อ่อนเดียงสาขนาดนั้น แต่พอคิดถึงคำพูดของที่เขาเคยกล่าวว่าเธอเป็นคนนอก แล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อน เหมือนหยันตัวเอง
“จะมาทนกับคนนอกอย่างน้ำมนต์ทำไมคะ”
พูดจบก็หยิบสำลีก้อนใหม่ชุบเบตาดีน แล้วยื่นไปเช็ดที่มุมปากแดงช้ำอย่างเบามือ จังหวะนั้นเองที่เธอสบตาคมเข้มของยอดผา แววตาที่มีความเสียใจอยู่ในนั้น รมณหลุบตาลงมองมือของยอดผาที่เลื่อนมากุมมือที่กำลังทำแผลให้เขาของเธอ
“ขอโทษ”
คำแค่คำเดียว แต่เขย่าหัวใจของคนฟังให้สั่นไหว
เมื่อหญิงสาวช้อนตาขึ้นมองสบตา ยอดผาก็เอ่ยเสียงเบาราวกระซิบอีกครั้งหนึ่ง
“พี่ขอโทษ”
ชายหนุ่มเอ่ยย้ำให้เธอได้เข้าใจความรู้สึกของเขา ว่าเขากลั่นคำพูดนี้จากหัวใจ จากความรู้สึกจริงๆ และไม่รอให้รมณได้ตั้งตัว เขาก็หยิบกล่องยาไปไว้อีกฝั่งหนึ่ง แล้วจับตัวหญิงสาวขึ้นมานั่งซ้อนตัก
หญิงสาวเย็นวาบไปทั้งตัว พยายามดิ้นลง แต่ก็ถูกวงแขนของเขารัดแน่น แถมยังซบใบหน้ากับไหล่ของเธอ
“ปะ...ปล่อยค่ะ”
“ไม่มีทาง...กว่าจะจับตัวได้ตั้งหลายวัน คิดถึง”
คำว่า ‘คิดถึง’ นั้นสั่นพร่าเล็กน้อย บ่งบอกความรู้สึกจนคนฟังแก้มร้อนวาบ ก้มหน้าลงต่ำ
“ปล่อยก่อนเถอะค่ะ...ถ้าไม่อย่างนั้นน้ำมนต์จะโกรธคุณอีกนะคะ”
ได้ผล วงแขนที่รัดแน่นค่อยๆ คลายออก แต่สีหน้าคนกอดไม่ได้เต็มใจแม้แต่นิด ในที่สุดเธอก็เป็นอิสระ หญิงสาวรีบเลื่อนตัวลงจากตักกว้าง มานั่งตรงเก้าอี้ข้างเขาเหมือนเดิม
“เวลาน้ำมนต์เรียกแทนตัวเองแบบนี้ น่ารักชะมัดเลย”
ยอดผามองรมณด้วยสายตาที่อ่อนโยน นัยน์ตาหวานระยับ ยิ่งเห็นรอยแดงบนแก้มขาวนั่น ก็นึกอยากเอามือไล้เบาๆ
“วันนั้นโกรธมากไหม”
คำถามนั้นทำให้คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองสบตา และลดต่ำลงมองแค่ปลายคาง ไร้คำตอบ
“ไม่พูดแบบนี้แสดงว่าโกรธมาก มิน่า...โทร. ไปก็ไม่รับสาย”
รมณเงยหน้าขึ้นมอง คิ้วขมวดมุ่น
“โทร.ไปเหรอคะ หมายความว่ายังไงคะ”
“พี่โทร. ไปหาน้ำมนต์ตั้งหลายครั้ง แต่น้ำมนต์ไม่รับสายพี่”
คำว่าพี่ พูดอย่างไหลลื่น ไม่รู้สึกกระดากแม้แต่นิด ราวกับว่าเขาเคยแทนตัวเองว่าพี่กับเธอบ่อยครั้ง ในขณะที่คนฟังหน้าร้อนวูบวาบไปหมด
“แล้วไปเอาเบอร์มาจากไหนคะ”
เมื่อโดนถามถึงเรื่องที่มาของเบอร์โทรศัพท์ ยอดผาจึงออกอาการอึกอักเล็กน้อย ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเก้อเขิน ส่งยิ้มไม่เต็มที่นักให้อีกฝ่าย
“ก็จากประวัติน้ำมนต์ไง เพิ่งรู้นะว่าน้ำมนต์ไม่ได้กรอกบ้านเลขที่ กรอกแต่ซอย แต่ก็ยังดีที่มีเบอร์โทร. ติดต่อ”
หัวใจสั่นเล็กน้อย นึกขอบคุณตัวเอง ที่ไม่ได้กรอกบ้านเลขที่เอาไว้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างคงพัง
“ผิดจรรยาบรรณ” อดแอบค่อนแคะอีกฝ่ายไม่ได้
“ตอนนั้นไม่คิดถึงจรรยาบงจรรยาบรรณอะไรนั่นหรอก น้ำมนต์เล่นหายหน้าหายตาไปตั้งหลายวัน”
“ก็กลับไปคิดไงคะ ความจริงคุณพูดถูกนะคะ น้ำมนต์เป็นคนอื่น ไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่มีสิทธิ์ที่จะออกความเห็นด้วยซ้ำไป ที่มาวันนี้ก็จะมาขอโทษ”
“ขอโทษด้วยการพาผู้ชายอื่นมาด้วยน่ะเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น ไม่ต้องขอโทษหรอก”
น้ำเสียงขึ้นจมูก ใบหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย พูดพลางก้มลงมองมือตัวเองที่จับมือหญิงสาวเอาไว้
“สิงห์เขาแค่อยากมาดูที่ค่ายมวยเท่านั้นเองค่ะ”
“มาดูหรือมาหาเรื่อง มองตามันก็รู้ ว่ามันไม่ได้คิดกับน้ำมนต์แค่เพื่อนหรอก ตั้งใจวัดกับพี่เลยละ”
“พาลอีกแล้ว ว่าแต่...น้ำมนต์ถามได้ไหมคะ เรื่องเจ้าสัวยอดชาย”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นฟังออกว่าไม่ค่อยมั่นใจ สายตาที่มองเขานั่นก็ด้วย
ยอดผามองสบสายตานั้นอยู่นาน ก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด
“เรื่องมันยาวน่ะ”
“น้ำมนต์พร้อมฟังมากค่ะ” ตอบด้วยเสียงหนักแน่น สีหน้าเองก็ด้วยยอดผายิ้ม เมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของหญิงสาว
“ถ้าอย่างนั้นเราเดินไปเรื่อยๆ ดีกว่า เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ยอดผาลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปตรงหน้าหญิงสาว พยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้รมณที่เงยหน้าขึ้นมอง และยิ้มตอบ ก่อนจะสอดมือเข้าเกาะกุมมือหนา ยอดผาบีบกระชับมือน้อยมั่น พากันเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบเร่ง รอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าทั้งสองคน หัวใจเบาหวิวราวกับติดปีก ท้องฟ้าในวันนี้สวยที่สุดในความคิดของทั้งคู่
ความคิดเห็น |
---|