7

ตอนที่ 7


 

บรรยากาศด้านนอกของร้านอาหารที่เปิดโล่งทำให้ได้กลิ่นอายของธรรมชาติลอยอบอวล เจนตาสูดลมหายใจ รับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด เธอเลือกที่จะนั่งด้านนอก เพราะเป็นส่วนตัวกว่านั่งในส่วนของห้องแอร์ที่ผู้คนพลุกพล่าน

                หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา กวาดตามองไปรอบด้านหาคนที่เธอนัดเอาไว้ เลยเวลานัดมาเกือบสี่สิบนาทีแล้ว แต่เธอยังไม่เห็นวี่แววของสิงหา มือเล็กเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็วางมันลงกับโต๊ะเช่นเดิม ไม่มีข้อความ หรือการติดต่อกลับมาของสิงหา หรือว่าเขากำลังล้อเล่นหลอกล่อหัวใจของเธอ

            ในที่สุดการรอคอยก็จบลง เจนตาตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านอาหาร ไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป เธอรอเขามานานพอแล้ว เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงพิสูจน์แล้วว่าสิงหาไม่มาตามนัดแน่ และเขาก็ไม่ให้ความสำคัญแก่เธอ เรียวปากบางสั่นระริกจนต้องเม้มเข้าหากัน น้ำตาคลอหน่วยตา เธอเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง

“เดี๋ยว! จ๋า เดี๋ยวก่อน”

ผู้กองหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบ ถลามาเกาะประตูรถแล้วรั้งไว้ไม่ยอมให้หญิงสาวปิดได้ ชายหนุ่มก้มลงหอบ ยกมือข้างหนึ่งกุมท้องเพราะเหนื่อยจนหายใจให้ทัน เขารีบวิ่งเข้าไปในร้านอาหาร แต่เห็นหลังเจนตาแว่บๆ จึงรีบวิ่งตามออกมา รู้ดีทีเดียวว่าเธอโกรธเขาแน่  บังเอิญวันนี้เขาติดงานด่วน และมันก็ยุ่งมากจนไม่มีเวลาแม้แต่จะโทร. บอกเธอ อีกอย่างเขากลัวว่าโทร. บอกแล้วเธอไม่เข้าใจ พอเสร็จงานเขาก็ให้ลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งที่ร้านนี่แหละ

“ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย”

เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบกลับของเจนตา สิงหามองหญิงสาวด้วยสายตาเว้าวอน เขารู้ว่าตัวเองผิด แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาสาย หรือลืมนัดเจนตาแม้แต่นิด

“จ๋า”

สิงหาครางออกมาอย่างรู้สึกผิด

“ถ้าคุณจะไม่มา หรือไม่เต็มใจมา คุณควรบอกฉัน ไม่ใช่ให้ฉันรออยู่แบบนี้ ฉันเป็นตัวตลกสำหรับคุณหรือไง”  เจนตาพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินในเวลานี้

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะจ๋า ผมอธิบายได้ เราไปนั่งกินอาหารในร้านกันดีกว่า ยังไม่ได้กินข้าวไม่ใช่เหรอ อีกอย่างตอนนี้ผมก็หิวแล้วด้วย”

“คุณก็ไปกินคนเดียวสิ”

น้ำเสียงห่างเหิน และการเมินหน้าไปมองทางอื่น ทำให้ผู้กองหนุ่มลอบถอนหายใจออกมา

“กินคนเดียวไม่อร่อย จ๋าไปกินเป็นเพื่อนผมได้ไหม”

“ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวนะคะ”

พูดจบเจนตาก็ทำท่าจะปิดประตูอีกครั้ง ถ้าไม่ติดมือหนาของสิงหาที่จับประตูเอาไว้ไม่ปล่อย

“จ๋าครับ” สิงหาลากเสียงยาวอย่างเว้าวอน

เจนตาตวัดสายตาไปมองจ้องอีกฝ่าย

“ผมรู้ว่าผมผิด แต่วันนี้ผมติดงานจริงๆ พอเคลียร์งานเสร็จ ผมก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์มานี่แหละ”

“ฉันขอโทษแล้วกัน ถ้านัดของฉันทำให้คุณลำบากขนาดนี้”

สิงหามองหญิงสาวอย่างเว้าวอน เจนตากำลังโกรธเขา โกรธมากด้วย

“จ๋า” เขาพยายามสบตาหญิงสาวที่เมินมองไปทางอื่น

 

“กรุณาเอามือออกด้วยค่ะ ฉันจะกลับ”

ยิ่งเธอพูดแบบนั้น มือที่จับประตูไว้ก็ยิ่งออกแรงมากกว่าเดิม

“ผมขอโทษ ผมไม่เคยล้อเล่นกับความรู้สึกคุณนะจ๋า อย่ากล่าวหาผมแบบนั้นสิ วันนี้มันสุดวิสัยจริงๆ”

ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างคนสองคน เป็นครั้งแรกที่สิงหารู้สึกหวาดหวั่น จับโจรมาเป็นร้อยยังไม่รู้สึกกลัวเท่าวันนี้เลย แต่กลัวอะไรเขาก็ไม่อาจตอบได้  

ช่างเป็นเวลาที่ยาวนาน กว่าที่เจนตาจะหันมาพูดกับเขา

“หิวไม่ใช่หรือไง มองหน้ากันแบบนี้มันคงไม่อิ่มหรอก”

เจนตาลงจากรถแล้วเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร ทิ้งให้ผู้กองหนุ่มยืนอึ้ง ไปไม่ถูกกับการตัดสินใจฉับไวของเธอ อย่างนี้แสดงว่าเธอหายโกรธเขาแล้วใช่ไหม

ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก กดรีโมตล็อกรถแล้วรีบเดินตามหญิงสาวไปติดๆ

...

“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมทำอะไรถึงมาช้า” สิงหาอดถามไม่ได้ เพราะปล่อยเวลาผ่านไปพักใหญ่แล้วยังไม่เห็นทีท่าว่าเจนตาจะถามถึงเหตุผลที่เขามาสายในครั้งนี้ จนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามเธอนี่แหละ

“ไม่ค่ะ ถ้าคุณอยากเล่าคุณก็เล่าเอง ถึงจ๋าอยากรู้ ต่อให้บังคับ แต่คุณไม่เล่าความจริง มันก็เท่านั้น”

สิงหามองอีกฝ่ายนิ่ง มองหาความโกรธที่อาจจะหลงเหลืออยู่บนใบหน้า แต่พอเห็นสีหน้าปรกติของเธอ เขาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเล่า ข้ามเรื่องนี้ไปเลยละกัน”

เจนตาเกือบเผลอท้วงอยู่แล้ว ถ้าไม่เห็นแววตาวิบวับของสิงหาเสียก่อน รู้ในทันทีว่าเขากำลังแกล้งเธอ หญิงสาวจึงเขวี้ยงค้อนใส่วงใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่ม

“นี่ ผมถามอะไรหน่อยสิ”

เจนตาช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมเข้มของสิงหา คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้นนิด ราวกับถามอีกฝ่ายว่า เขาจะถามอะไรเธอ

“คุณคิดจะจีบผมจริงหรือ”

กึก! เจนตาชะงักกับคำถามที่ตรงไปตรงมาของเขา แก้มสาวร้อนวาบจนไม่อาจทนมองหน้าเขาได้ สายตาของเธอจึงเมินมองไปทางอื่น

“ว่าไง จะจีบผมจริงหรือ”

“ก็...ก็...จะให้ตอบว่าไงล่ะคะ”

“คุณจ๋า คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่าหัวใจของผมในตอนนี้เป็นของใคร ผมไม่อยากจะเสียเพื่อนดีๆ อย่างคุณไป ถ้าวันใดวันหนึ่ง ผมไม่สามารถทำใจรักคุณได้”

ดวงตาเรียวยาวหม่นแสงลง แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ผู้กองหนุ่มเพื่อตอบคำถามของเขา ว่าเธอทราบดีทีเดียวว่าหัวใจของเขาเป็นของใคร

“ฉันรู้”

“รู้แล้วคุณยังอยากที่จะเสี่ยงกับผมอีกเหรอ”

“คุณไม่เคยได้ยินเหรอ น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับใจคน”

ผู้กองหนุ่มหัวเราะในลำคอ สายตาคมกริบจับจ้องที่ใบหน้าของเจนตา เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสสำรวจใบหน้านี้อย่างชัดเจน และตั้งใจ ไม่ใช่มองผิวเผินเหมือนทุกครั้งที่มีโอกาสได้เจอกัน ดวงตาเรียวยาวที่กรีดอายไลเนอร์สีดำช่วยให้ดวงตาเรียวยาวของเธอดูโตขึ้น จมูกโด่งแหลมเล็ก ริมฝีปากถูกเคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีชมพู เจนตาไม่ใช่คนสวย แต่ศิลปะในการแต่งหน้าทำให้ผู้หญิงตรงหน้าของเขาดูดีและน่ามอง

“ผมกลัว...กลัวว่าถ้าผมตัดน้ำมนต์ไม่ขาด สักวันผมจะทำคุณเจ็บปวด และความเป็นเพื่อนของเราก็จะเลือนหายไปด้วย ผมไม่อยากเสี่ยง”

เจนตามองสบตาคมกริบของสิงหา แย้มยิ้มอ่อนหวาน ตอกย้ำให้เขาได้มั่นใจพร้อมกับคำพูดของเธอ

“ฉันรับรอง ถึงแม้เราจะไม่ได้ลงเอยกัน ความเป็นเพื่อนของเราก็ยังอยู่”

สิงหามองเจนตาอย่างขอบคุณและขอร้อง

“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยผมได้ไหมจ๋า ช่วยให้ผมลืมน้ำมนต์ที ผมไม่อยากเจ็บปวดแบบนี้อีกต่อไป”

น้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสารเหลือเกินในความรู้สึกของเจนตาทำให้หญิงสาวถึงกับน้ำตารื้น

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย อย่าปิดกั้นหัวใจ อย่ามองเพียงแค่น้ำมนต์คนเดียว”

“ที่ผมมากินข้าวกับคุณนี่ ยังเรียกว่าไม่เปิดใจอีกเหรอจ๋า”

หัวใจของเจนตาอุ่นวาบ สบตากับอีกฝ่ายนิ่ง หญิงสาวมองมือตัวเองที่บีบกันแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะทำใจกล้าเลื่อนมือไปจับมือหนาที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร บีบอย่างให้กำลังใจ รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เมื่อไม่เห็นอาการต่อต้านหรือปฏิเสธ มุมปากบางจึงยกสูงขึ้นเล็กน้อย

สิงหามองมือเล็กนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ถ้าเขาจะตัดรมณให้ขาด เขาต้องไม่ปิดกั้นหัวใจตัวเองอีก ชายหนุ่มมองหน้าเจนตาแล้วยิ้มตอบกลับไป ไม่นานอาหารก็ถูกลำเลียงมาเสิร์ฟ เป็นมื้อแรกและครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากกว่าเดิม ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่ในฐานะของหนุ่มสาวที่กำลังเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

 

แว่นกันแดดถูกถอดออกแล้วเสียบที่คอเสื้อ ดวงตากลมโตไล่สายตาตามตัวอักษรขนาดใหญ่ ที่เขียนชื่อ ย. ยอดยิม ฟิตเนส พลางส่งยิ้มหวานให้แก่พนักงานตรงส่วนให้บริการลูกค้า หลายคนพากันอึ้ง ถึงกับอ้าปากค้างก็มี เพราะคนที่เพิ่งเข้ามานั้น ไม่มีใครไม่รู้จักนักร้องสาวแสนสวยอนาคตไกลนามว่านิตลดานั่นเอง ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงพัก เพื่อเตรียมทำอัลบัมใหม่

                “สวัสดีค่ะ นิด้าอยากฝึกมวยไทยค่ะ”

                พลอยจันทร์ซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับรีบเข้าไปให้คำแนะนำอย่างคล่องแคล่ว

“ได้ค่ะ เรามีบริการทั้งมวยไทย มวยสากล เทรนเนอร์เราได้รับการอบรมและมีความรู้ด้านนี้โดยตรงเลยค่ะ คุณนิด้าจะเข้ามาวันไหนบ้างคะ จะได้นัดเทรนเนอร์เอาไว้ล่วงหน้า”

“นิด้าไม่อยากได้เทรนเนอร์ที่ทางฟิตเนสจัดให้หรอกค่ะ นิด้าอยากให้คุณยอดผาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้ค่ะ”

 คำตอบนั้นทำให้พลอยจันทร์และพนักงานคนอื่นที่อยู่บริเวณนั้นออกอาการอึ้งไปพักใหญ่

“ต้องขอประทานโทษจริงๆ ค่ะ คุณยอดผาไม่ได้รับเป็นเทรนเนอร์ให้ใครค่ะ”

“แต่นิด้าอยากได้คุณยอดผาเป็นเทรนเนอร์ให้ คุณช่วยไปบอกคุณยอดผาได้ไหมคะ”

“เอ่อ...”

“นิด้าจะไม่โวยวาย ถ้าได้ยินจากปากคุณยอดผาเองว่าไม่รับเป็นเทรนเนอร์ให้นิด้า แต่ถ้านิด้าไม่ได้คุย คุณคงรู้ว่าถ้านิด้าเอ่ยปากเพียงนิด ฟิตเนสของคุณคงเป็นข่าว ใครเป็นผู้จัดการที่นี่คะ”

“คุณจิรคมค่ะ แต่วันนี้คุณจิรคมไม่อยู่ ดิฉันพลอยจันทร์ เป็นผู้ช่วยคุณจิรคมค่ะ”

“คุณพลอยจันทร์ช่วยเชิญคุณยอดผามาที่นี่ทีนะคะ นิด้าขอนั่งรอ”

พูดจบนิตลดาก็เดินไปนั่งตรงโซฟารับแขก ส่งยิ้มให้คู่สนทนาก่อนบุ้ยปากไปทางประตู เป็นการบอกให้อีกฝ่ายรีบไปเชิญยอดผามาพบเธอเดี๋ยวนี้ มุมปากบางยกสูงขึ้นเมื่อพลอยจันทร์เดินออกไป เธอต้องการทำความรู้จักกับยอดผา นักมวยชื่อดัง เธอหาข้อมูลของเขาจากอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงข้อมูลที่ได้ยินจากปากผู้มีพระคุณ  อย่างไรเสียวันนี้เธอจะต้องได้เจอเขา

...

ประตูบานใหญ่จะเปิดกว้างออกหลังได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของห้องเรียบร้อยแล้ว ยอดผาที่วันนี้ไม่ได้ฝึกซ้อมเหมือนเช่นทุกวันเงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็นใครก็ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารบนโต๊ะต่อ สีหน้าเคร่งเครียด เพราะในหนึ่งอาทิตย์เขาต้องเคลียร์งานเอกสารเกี่ยวกับฟิตเนส บัญชีภายในค่าย ค่าใช้จ่าย รวมไปถึงรายได้ทั้งหมด

“มีอะไรจ้อย”

“พี่พลอยมาหาครับ”

 คิ้วหนาขมวดมุ่น ถ้าพลอยจันทร์มาถึงที่นี่ แสดงว่าที่ฟิตเนสคงมีปัญหา ยอดผาวางเอกสารในมือแล้วเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับจ้อย เห็นพลอยจันทร์ยืนสีหน้าร้อนรน

“มีอะไรพลอย เกิดเรื่องอะไร”

“คุณยอช์ตต้องไปฟิตเนสกับพลอยด่วนเลยค่ะ ตอนนี้”

ยอดผาขมวดคิ้ว มองพนักงานสาวอย่างไม่เข้าใจว่ามีอะไรรีบเร่งนัก

“มีอะไร พูดมาเลย”

“คุณนิด้าค่ะ คุณนิตลดานักร้องที่กำลังโด่งดังในตอนนี้ ให้พลอยมาเชิญคุณยอช์ตไปพบค่ะ”

นิด้า ใครกัน เขาไม่เห็นจะรู้จัก แล้วเธอต้องการพบเขาด้วยเรื่องอะไร

“ผมไม่รู้จักนี่ ทำไมต้องไปพบด้วยล่ะ”

“คุณนิด้าเธอต้องการให้คุณยอช์ตเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้ จ่ายไม่อั้น ถ้าคุณยอช์ตไม่ไป เธอจะอาละวาดให้ทั่วฟิตเนสเลยค่ะ”

ยอดผาหน้าตึง เริ่มหงุดหงิด

“บอกไปว่า ผมไม่เป็นเทรนเนอร์ให้ใคร พวกคุณก็รู้ ทำไมไม่ปฏิเสธลูกค้าไป”

พลอยจันทร์หน้าซีดเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เริ่มเปลี่ยนไปของเจ้านาย

“พลอยบอกแล้วค่ะ แต่เธอไม่ฟัง คุณยอช์ตไปกับพลอยนะคะ ถ้าคุณยอช์ตยืนยันด้วยตัวเอง เธอบอกว่าเธอจะไม่อาละวาดให้เป็นข่าว”

ยอดผาถอนหายใจยาวเหยียด สีหน้าบึ้งตึง ไม่ได้นึกโกรธพลอยจันทร์ แต่ไม่พอใจแม่นักร้องอะไรนั่นมากกว่า เห็นทีเขาคงต้องไปพูดทำความเข้าใจกับนิตลดาด้วยตัวเองเสียแล้ว ว่าเขาไม่ได้มีหน้าที่หรือรับเป็นเทรนเนอร์ให้ใคร ฟิตเนสของเขามีดารา เซเลบ ไฮโซ มาใช้บริการตั้งมากมาย แต่พวกนั้นไม่เห็นมาวุ่นวายกับเขาสักคน ชายหนุ่มเดินนำหน้าไปยังส่วนฟิตเนส พอไปถึงก็ได้ยินเสียงพนักงานสาวคนหนึ่งร้องบอกด้วยความดีใจ

                “คุณยอดผามาแล้วค่ะคุณนิด้า”

นิตลดาลุกขึ้นยืน หมุนกายไปมองทางด้านหลังของตัวเอง มองผู้ชายตรงหน้าอย่างชื่นชม ก่อนจะยิ้มกว้าง พร้อมกับยกมือไหว้ผู้มาใหม่ พยายามไม่ใส่ใจใบหน้าบึ้งตึงของชายหนุ่ม

“สวัสดีค่ะพี่ยอช์ต นิด้าดีใจที่ได้เจอพี่ยอช์ตตัวเป็นๆ นะคะ ได้ยินชื่อมานานแล้ว นักมวยหนุ่มรูปหล่อชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่จับตามองของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่”

“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ ผมก็แค่นักมวยคนหนึ่งเท่านั้นเอง คุณนิตลดาต่างหากที่เป็นที่ชื่นชม ค่ายมวย ย. ยอดยิมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่คุณนิตลดาให้เกียรติและไว้ใจในค่ายมวยของเรา”

“ก็นิด้ารู้น่ะสิคะว่าที่นี่มีสิ่งที่ดีอยู่”

สายตาของนักร้องสาวจับจ้องใบหน้าคมเข้มของยอดผาอย่างชื่นชม ไม่เก็บอาการแม้แต่นิด จนคนถูกมองรู้สึกอึดอัดกับการแสดงเจตนารมณ์อย่างเปิดเผยของเธอ

“คุณนิตลดามีอะไรให้ทางค่าย ย. ยอดยิมรับใช้หรือเปล่าครับ”

“แหม...อย่าเรียกนิด้าห่างเหินอย่างนั้นเลยค่ะ เรียกนิด้าว่านิด้าเถอะค่ะ เรารู้จักกันแล้วนี่คะ”

“ผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ คุณนิตลดาเรียกผมมาด้วยเรื่องอะไร”

“นิด้าอยากให้พี่ยอช์ตเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้ค่ะ”

“ต้องขอโทษคุณนิตลดาด้วยนะครับ ตอนนี้ผมไม่ได้ทำหน้าที่ส่วนนี้แล้ว เรามีเทรนเนอร์ที่ทำหน้าที่ประจำอยู่แล้ว มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าคุณอยากได้แบบไหนบอกได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะคัดเลือกพนักงานที่ชำนาญเป็นพิเศษให้”

“แต่นิด้าอยากได้พี่ยอช์ตเป็นเทรนเนอร์ให้นี่คะ”

“ผมคงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้”

“พี่ยอช์ตรังเกียจนิด้าเหรอคะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ผมแค่จะบอกว่าผมไม่ได้มีหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวของใคร”

“ก็นิด้าคนแรกไงคะ”

ยอดผาถอนหายใจยาวเหยียดกับการตื๊อไม่เลิกของนิตลดา  

“ผมไม่มีสิทธิ์ฝึกใครได้หรอกครับ และไม่มีเวลาด้วย ผมต้องซ้อมอย่างหนัก เพื่อจะลงแข่งขัน ผมว่าคุณนิตลดาเลือกเทรนเนอร์คนอื่นจะดีกว่า เอาเป็นว่าผมให้ส่วนลดคุณอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในฐานะที่ไม่สามารถอำนวยความสะดวกให้คุณได้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

                “นิด้าจะมาอีก พรุ่งนี้เจอกันที่ค่ายมวยนะคะ ไม่ใช่ที่ฟิตเนส”

                ยอดผาชะงัก หันขวับมามองนิตลดาด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่นักร้องสาวหาได้สนใจไม่ ไหวไหล่น้อยๆ แล้วเดินผ่านร่างสูงของยอดผาออกไป

                “ผมว่า ผมพูดกับคุณรู้เรื่องแล้วนะ คุณนิตลดา”

                คราวนี้เป็นนักร้องสาวที่ชะงัก แต่เธอหันกลับมามองแล้วส่งยิ้มให้ยอดผาอีกครั้ง ก่อนโบกมืออำลา

                “นิด้าก็คิดว่าพูดกับพี่ยอช์ตรู้เรื่องแล้วนะคะ พรุ่งนี้เจอกันที่ค่ายค่ะ” นิตลดาพูดจบก็เดินออกไป ไม่สนใจเจ้าของค่ายมวย ย. ยอดยิม ที่ยืนหน้ามุ่ย บูดบึ้ง

ยอดผาแทบจะสบถออกมาอย่างขัดใจ ให้มันได้อย่างนี้สิ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง เขาเดินกระแทกด้วยความขัดใจกลับไปยังห้องทำงานที่เพิ่งผละมาไม่นาน งานเอกสารก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว ยังจะมาเจอคนพูดไม่รู้เรื่องอีก

...

ชายหนุ่มเพ่งสมาธิกับกองเอกสารเกี่ยวกับการเข้าเรียนของเด็กที่ต้องการเรียนมวยไทยรุ่นใหม่ตรงหน้า เขาทำหน้าที่คัดสรร เลือกเด็กนักเรียน พร้อมกับสัมภาษณ์ผู้ปกครองด้วยตัวเองว่าทำไมถึงอยากให้ลูกเรียนมวยไทย ซึ่งการรับเด็กคลาสใหม่จะเริ่มขึ้นหลังจากการแข่งขันเสร็จสิ้น

ประตูบานใหญ่เปิดออกอย่างไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังเคร่งเครียดกับเอกสารกองใหญ่ชักสีหน้าหงุดหงิด ปวดหัวเรื่องนิตลดาไม่ทันไรจะมีเรื่องใหม่มาให้เขาปวดหัวอีกแล้วหรือไง 

“นี่ไอ้จ้อย บอกกี่ครั้งแล้วว่าก่อนเข้ามาให้เคาะประตูก่อน”

จ้อยยิ้มแหยให้คนหน้าบึ้ง ตาดุ

“เคาะไม่ทันแล้วพี่ยอช์ต ตาพี่มาหา”

ยอดผาอยากสบถออกมาให้ดังลั่น วันนี้เป็นวันอะไร มีเรื่องวุ่นวายตั้งแต่เช้า เรื่องนิตลดายังไม่พอ นี่เจ้าสัวยอดชายยังจะมาก่อกวนอารมณ์เขาแบบไหนอีก ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ดวงตาคมกร้าว เดินออกไปจากห้องทำงานอย่างรวดเร็วราวกับพายุ

ชายสูงวัยส่งยิ้มให้ร่างสูงที่เดินหน้าบึ้งตึงเข้ามาใกล้

“สวัสดีเจ้ายอช์ต”

 ยอดผาชักสีหน้าไม่พอใจใส่ “คุณก็รู้ว่าที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ”

รอยยิ้มของเจ้าสัวเลือนหายไป แต่เพียงครู่เดียว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาใหม่

“ตามาหาเจ้า”

“ผมไม่ต้อนรับ กลับไปซะ”

“เจ้ายอด!”

ยอดชนะปรามบุตรชายเสียงแข็ง

“ก็จริงนี่ครับป๊า ผมไม่เคยต้อนรับผู้ชายคนนี้อยู่แล้ว เขาไม่ได้เป็นญาติอะไรกับพวกเรา เขาจะมาหาผมทำไม เชิญครับ”

ยอดชนะกำลังจะต่อว่าคนเป็นลูก แต่เจ้าสัวกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เอาละ อย่าไปว่าลูกเลยชนะ สิ่งที่เจ้ายอช์ตพูดมันก็เรื่องจริงนั่นแหละ”

“แต่นั่นมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ มันเกิดขึ้นนานแล้วครับ”

“ผมจะไม่พูดถึงเรื่องในอดีต ที่ผมไม่เคยรู้ ผมจะพูดแค่เรื่องปัจจุบัน ที่ผมได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้ชายคนนี้ทำให้แม่ของผมเสียใจ ร้องไห้จนกระทั่งวันตาย เรื่องนี้ผมคงยุ่งได้ใช่ไหมครับ”

ยอดผาพูดเสียงกร้าว สีหน้าและแววตาดุดัน บอกอารมณ์ที่อยู่ในใจ

“ยอด...”

เจ้าสัวยอดชายครางออกมาอย่างเจ็บปวด คำพูดของคนเป็นหลานเปรียบเหมือนมีดกรีดบนหัวใจของท่าน

“อย่ามาเรียกผมว่ายอด ชื่อนี้มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่เรียกได้ คุณเป็นคนนอก กรุณาเรียกชื่อที่ควรเรียกของผมด้วย”

ชายชรากลืนความเจ็บปวดเข้าอก คำว่าคนนอก มันยิ่งตอกย้ำความผิดเมื่อครั้งอดีต

“ไอ้ยอด แกพูดแรงไปแล้ว ยังไงเจ้าสัวก็เป็นตาของแก”

ยอดชนะสุดจะทนได้อีกต่อไป ไม่อยากให้ลูกชายบาปไปมากกว่านี้

“ไม่เป็นไรชนะ ยอช์ตพูดถูก ฉันทำผิดกับพ่อกับแม่และก็ตัวเขาไว้เยอะ ถ้าจะไล่ฉันก็คงไม่ผิด”

เสียงสั่นเครือของเจ้าสัว แม้จะทำให้หัวใจของยอดผาสั่น แต่ชายหนุ่มก็ฝืนทนเอาไว้ ภาพเมื่อครั้งมารดาร้องเรียกหาเจ้าสัวยอดชายยามไม่ได้สตินั้น มันยังบาดหัวใจของเขา และติดตาติดหูมาจนทุกวันนี้

“เจ้าสัวอย่าไปถือสาเจ้ายอดมันเลยครับ ผมต้องขอโทษแทนลูกด้วยที่เลี้ยงมันมาไม่ดี”

ยอดชนะยกมือไหว้เจ้าสัวยอดชาย รู้สึกผิดที่ยอดผาพูดออกมาแบบนั้น

“ป๊า! ไปขอโทษเขาทำไม ที่ผมนิสัยไม่ดีก็เป็นเพราะเขานั่นแหละ ทำให้ผมดูเป็นตัวอย่าง”

ยอดผาเอ่ยอย่างหงุดหงิด ไม่พอใจในสิ่งที่บิดาทำ

“เอาละ อย่าทะเลาะกันเลย ที่ตามาวันนี้ก็เพราะอยากมาเยี่ยมเจ้า ตาคิดถึง”

คนเป็นตากล่าวออกมาอย่างเสียใจ แล้วเดินออกไปจากค่ายมวย ไหล่หนาห่อลง แต่สักพักก็ชะงักเมื่อเห็นหลานสาวบุญธรรมเดินเข้ามา เจ้าสัวส่งสายตาบอกอีกฝ่ายไม่ให้ทักทายหรือทำเป็นรู้จัก และดูเหมือนหญิงสาวจะเข้าใจในความหมายที่เจ้าสัวยอดชายพยายามบอก จึงมีเพียงสายตาเป็นห่วงมองตามไปจนร่างของชายชราลับสายตาของเธอไป

“อ้าว หนูน้ำมนต์มาแล้วรึ”

รมณถอนสายตาหันกลับมามองเจ้าของเสียงร้องทักทาย พลันสายตาเหลือบไปมองร่างสูงที่ยืนหน้าบึ้งตึง  หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

“นั่น...เจ้าสัวยอดชายนี่คะ”

“ใช่ ท่านมาเยี่ยม หนูคงไม่รู้ เจ้าสัวเป็นตาแท้ๆ ของเจ้ายอด”

รมณมองยอดผา หรี่ตาลงเล็กน้อย อยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

“มาเยี่ยมเหรอป๊า มาดูว่าพวกเราย่อยยับแล้วหรือเปล่าต่างหาก”

ยอดผาโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว จนคนฟังอย่างรมณไม่พอใจ แต่ก็ทำได้แค่เก็บไว้ข้างใน

“ไม่เอาน่าเจ้ายอด อย่าคิดแบบนั้น”

ยอดชนะเตือนบุตรชาย แต่อีกฝ่ายโทสะพุ่งสูง ไม่ยอมฟัง

“คิดแบบนี้น่ะถูกที่สุดแล้วป๊า”

“อคติไปไหมคะ”

รมณพูดเพียงเท่านั้น ดวงตาที่ฉายแววไม่พอใจก็ปราดมาจับจ้องที่รมณทันที

“คุณไม่รู้เรื่อง อย่าพูดเลย”

เสียงกร้าวถูกเค้นออกมาจากลำคอ เขาพยายามข่มโทสะ แต่มันยากเหลือเกิน ยิ่งคิดว่า รมณปลาบปลื้มเจ้าสัวยอดชายอยู่ หัวใจของเขายิ่งระอุ ร้อนมากกว่าเดิม

“ฉันก็แค่อยากเตือนให้คุณใจเย็น ขอโทษนะคะ ถ้าฉันก้าวก่ายความรู้สึกของคุณ”

“นี่! ผมถามจริงๆ นะ คุณรู้จักมักจี่กับเจ้าสัวยอดชายหรือไง ถึงได้เข้าข้างเขานัก”

ยอดผาไม่รู้หรอกว่าคำถามนั้นจี้หัวใจของเธออย่างแรง

“ฉันก็แค่พูดเป็นกลาง”

รมณพยายามเตือนตัวเองให้ใจเย็น ไม่ร้อนไปกับคำพูดหาเรื่องของเขา

“เป็นกลางหรือเข้าข้าง คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างผมกับเจ้าสัวยอดชาย คนนอกอย่างคุณ อย่ามาพูดเลยดีกว่า”

หญิงสาวสะอึกเมื่อได้ยินคำพูดของยอดผา ความร้อนวิ่งมาจุกที่หัวตา ยิ้มสั่นๆ ให้ชายหนุ่ม

“จริงสิ ฉันคนนอก ขอโทษด้วยนะคะ ที่แสดงความคิดเห็น หนูขอหยุดซ้อมหนึ่งวันนะคะลุงชนะ สวัสดีค่ะ”

ประโยคแรกกล่าวกับยอดผา ประโยคถัดมาเอ่ยกับยอดชนะ พร้อมกับยกมือไหว้ลา

“เออดีจริง! นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป เห็นที่นี่เป็นสวนสาธารณะหรือไง มาเมื่อไรก็ได้”

ยอดผาตะโกนใส่หน้ารมณเสียงดังลั่น ทำให้นักมวยหลายคนที่อยู่ละแวกนั้นหยุดซ้อมและหันมอง หนึ่งในนั้นก็คือตัวเล็ก ศิษย์ยอดชนะ หรือภีมนั่นเอง

“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ต้องมาเลยดีไหมล่ะ”

ความน้อยใจทำให้รมณพูดออกไปแบบนั้น

“นั่นมันก็เรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับผม ป๊า...ผมไปวิ่งก่อนนะ”

                ยอดผากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไปนอกค่าย ไม่สนใจ ไม่มองรมณแม้แต่นิด

                หญิงสาวยืนอึ้งอยู่พักใหญ่กว่าจะได้สติ เธอเดินออกจากค่ายมวย ย. ยอดยิม ดวงตากลมโตคลอด้วยหยาดน้ำ ริมฝีปากบางสั่นระริก ความยินดีก่อนหน้านี้หายไปสิ้น

                ...

                ร่างสูงหยุดชะงักเมื่อวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง มือหนายกขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิด สายตาเต็มไปด้วยความสับสนและเสียใจยามมองกลับไปยังทางที่ตนเองเพิ่งจะวิ่งออกมา หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอึดอัด ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเจ้าสัวยอดชายคนนั้น เขาหงุดหงิดและหาทางระบายออกไม่ได้ รมณมาถูกจังหวะเวลาพอดี แถมยังพูดเข้าข้างเจ้าสัวอีก เลยถูกเขาเหวี่ยงใส่

                “เป็นบ้าอะไรของแกวะยอด เธอไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ”

                ยอดผาสบถ เตะฝุ่น เตะหญ้า ระบายอารมณ์อยู่พักใหญ่ก็กลับไป ย. ยอดยิมอีกครั้ง แต่ไร้เงาของรมณเสียแล้ว ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันแน่น รู้เต็มอกว่าตัวเองผิด ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกอย่างแรง เดินเข้าห้องนอนของตัวเอง หยุดซ้อมหนึ่งวัน เพราะซ้อมไปก็ไม่มีสมาธิ

                ภีมมองยอดผาที่เดินหน้าบึ้งตึงกลับเข้ามา แล้วปลีกตัวเดินออกมาทางด้านบ้านพัก ล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขหนึ่งแล้วกดปุ่มโทร. ออก ไม่นาน อีกฝั่งหนึ่งก็รับสาย

                “สวัสดีครับท่าน”

                “ว่าไงภีม”

                “เกิดเรื่องที่ค่ายครับ คุณยอดอาละวาดใส่ทุกคนเลย”

                ภีมได้ยินเสียงทอดหายใจยาวเหยียดดังจากปลายสาย ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยออกมา

“ยอดผาใจร้อนเสมอ นี่แหละคือข้อเสียของเขา เท่านี้นะภีม”

เสียงวางสายดังขึ้น ภีมค่อยๆ ลดโทรศัพท์มือถือมามอง ถอนหายใจยาวเหยียด รู้สึกหนักใจไม่แพ้กัน นักมวยหนุ่มหย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมกับเดินกลับมาซ้อม ทำทุกอย่างให้เป็นปรกติ

 

ผู้กองหนุ่มกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้าง ใบหน้าเคร่งเครียด ในมือถือแท็บเล็ตที่มีข้อมูลพร้อมรูปภาพประกอบเกี่ยวกับค่ายมวย ย. ยอดยิม อยู่บนหน้าจอ คำพูดของผู้หวังดีในวันนั้นทำให้เขานิ่งนอนใจไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับค่ายมวยนี้เพื่อความสบายใจ หากไม่เป็นความจริงก็ดีไป แต่ถ้าหากเกี่ยวพันกับยาเสพติดจริงละก็ ข่าวใหญ่แน่

“ค่ายมวยใหญ่นี่หว่า ไม่เห็นมีประวัติด้านยาเสพติดมาก่อน”

ผู้กองหนุ่มไล่เปิดรูปและข้อมูลประวัติของค่าย ย. ยอดยิมอย่างละเอียด ทันทีที่เห็นใบหน้าเจ้าของค่ายที่มีดีกรีแชมป์เปี้ยนหลายสมัย หัวใจที่เคยคิดว่าดีขึ้นของเขาก็กลับมาเจ็บแปลบ หากภาพที่เขาเห็นนี้จะเป็นผู้ชายหน้าตาขี้เหร่ ใบหน้ามีแต่รอยแผล มันก็คงดี แต่นี่ ยอดผา กีรติธาดาธร เจ้าของค่ายมวยและฟิตเนสเซนเตอร์ที่กำลังได้รับความนิยมจากไฮโซ เซเลบ ดารา นางแบบ หลายต่อหลายคนนั้นกลับหล่อเหลา การศึกษาระดับปริญญาโท ฐานะทางบ้านไม่ต้องพูดถึง ขนาดผู้ชายอย่างเขายังต้องเอ่ยปากชม แล้วมีหรือผู้หญิงอย่างรมณจะไม่หวั่นไหว

ความคิดของสิงหาหยุดเพียงแค่นั้น เมื่อข้อความทางระบบแชตระบบหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมดังขึ้น ตัวการ์ตูนสีขาวยิ้มแป้นแร้น ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์

‘จ๊ะเอ๋ พ่อหนุ่มทำอะไรอยู่เอ่ย’

สิงหาแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่ส่งข้อความเข้ามาทักทายเขาเป็นใคร

‘ตาแก่ ทำอะไรอยู่ สายตาไม่ดี มองตัวหนังสือไม่เห็นเหรอคะ ตอบช้าจังเลย’

มือที่กำลังจิ้มแป้นพิมพ์เล็กๆ เลื่อนไปกดลบข้อความเดิม เมื่ออีกฝ่ายพิมพ์ข้อความใหม่มา พิมพ์เสร็จก็กดส่ง แล้วอมยิ้มอย่างถูกใจ

‘ยาย ใจเย็น ตาแก่แล้ว พิมพ์ช้า

ไม่นานการ์ตูนสีขาวอ้าปากกว้างคล้ายหัวเราะก็ถูกส่งมา แต่การสนทนาทางข้อความดูเหมือนจะไม่ทันใจเขา สิงหาเลยกดโทร. ออก เขามีเรื่องจะถามเจนตาเหมือนกัน และคิดว่าเธอคงให้คำตอบเขาได้บ้าง เสียงสัญญาณรอสายดังไม่นาน อีกฝ่ายก็กดรับ

“ว่าไงครับคุณยาย อย่างนี้เร็วกว่าไหมครับ”

“แหม สิงห์คะ บางครั้งคนเราก็ไม่ได้อยากได้ยินเสียงหรอกนะ คุยกันแบบนั้นมันได้อารมณ์กว่าเยอะ”

สิงหาถึงกับส่ายหน้า เขาเดาใจเจนตาไม่เคยถูกเลย

“ผมนี่เดาใจคุณไม่เคยถูกเลยจริงๆ จ๋า”

“ก็หัดใช้ใจเดาใจสิคะ เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง”

สิงหาหัวเราะเบาๆ ขำเจนตาที่หาจังหวะหยอดทุกครั้งที่มีโอกาส อ้อ...สิงหาอุทานในใจ เกือบลืมเรื่องสำคัญ เขามีบางอย่างจะถามเจนตาเกี่ยวกับรมณ

“จ๋า ผมมีอะไรจะถาม”

“อะไรเหรอคะ”

“น้ำมนต์เคยเล่าเรื่องผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยให้จ๋าฟังบ้างไหม”

รอยยิ้มกว้างเลือนหายไปจากใบหน้าเจนตาทันทีที่ได้ยินสิงหาเอ่ยถึงคนที่เขาแอบมีใจให้ ถึงแม้จะเตรียมใจไว้อยู่แล้ว แต่ก็อดรู้สึกเจ็บนิดๆ ไม่ได้

“เจ้าของค่ายมวย ย. ยอดยิมค่ะ ชื่อ ยอดผา กิตติธาดาธร เขาเป็นหลานแท้ๆ ของเจ้าสัวยอดชาย คุณตาที่น้ำมนต์รักและเทิดทูนนั่นแหละค่ะ”

“แล้วทำไมเจ้าสัวถึงอยากให้น้ำมนต์แต่งงานกับคุณยอดผายอดดอยอะไรนั่นล่ะ”

“เขาชื่อยอดผา เรียกให้มันถูกหน่อยสิคะผู้กอง ความจริงจ๋าก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก น้ำมนต์เล่าให้ฟังแค่ว่า เจ้าสัวยอดชายเคยทำผิดกับแม่ของคุณยอดผาอย่างมากในอดีต ทำให้คุณยอดผาโกรธและเกลียดเจ้าสัว...เจ้าสัวเลยขอให้น้ำมนต์เป็นกาวสมานรอยร้าวระหว่างท่านกับคุณยอดผา ก็แค่นี้”

“แล้วนายยอดผาอะไรนั่นมีอาชีพสุจริตหรือเปล่า”

“เท่าที่ฉันรู้ เขาก็เป็นนักมวยดัง กิจการมั่นคง มีชื่อเสียง การศึกษาก็ดี ไม่เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีของ ย. ยอดยิม หรือตัวคุณยอดผาเลย คุณถามทำไมคะสิงห์”

“เปล่า ก็แค่อยากรู้อะไรนิดหน่อย”

“อ้อ ฉันรู้อีกอย่าง เจ้าสัวยอดชายยกมรดกทั้งหมดให้คุณยอดผา และนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่เจ้าสัวอยากให้น้ำมนต์แต่งงานกับคุณยอดผา”

“แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่านายนั่นเป็นคนดีจริงๆ”

“เจ้าสัวยอดชายไงคะ”

“นั่นมันตาของเขา ท่านก็ต้องมองว่าหลานดีนั่นแหละ ผมรู้สึกว่านายยอดผานั่นไม่น่าไว้ใจสักเท่าไร แล้วอย่างนี้เราควรจะปล่อยน้ำมนต์ไปแต่งงานด้วยเหรอ”

เจนตาอึ้ง รู้สึกเจ็บจี๊ด เมื่อรู้ว่าสิงหายังเป็นห่วงรมณ

“ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงน้ำมนต์ แต่เรื่องนี้น้ำมนต์ตัดสินใจแล้ว เราคงทำได้แค่มองดูห่างๆ”

“คุณพูดแบบนี้เหมือนไม่รักเพื่อนเลยจ๋า”

“แล้วที่คุณมาหาเรื่อง เหวี่ยงใส่จ๋าแบบนี้ มันคือการแสดงความรัก ความห่วงใยกับน้ำมนต์หรือไงคะ”

ชายหนุ่มเหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา หลังได้ยินเจนตากล่าวเช่นนี้

“จ๋า ผม...”

“เอาละค่ะ จ๋าเข้าใจว่าคุณยังรัก ยังห่วงใยในตัวน้ำมนต์ ความรักของคุณจะตัดตอนนี้คงไม่ได้ แต่อย่ามากล่าวหาว่าจ๋ารักเพื่อนจ๋าน้อยกว่าคุณ จ๋าไม่ชอบ” พูดจบก็ตัดสายไป

สิงหามองโทรศัพท์ด้วยความสับสน นึกอยากตบปากตัวเอง ที่พูดไปแบบลืมคิดถึงความรู้สึกของเจนตา ผู้กองหนุ่มหลับตา ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม เอามือก่ายหน้าผาก มองโทรศัพท์มือถือที่วางข้างตัว คืนนี้จะนอนหลับได้หรือ

 

ใบหน้าเคร่งเครียดเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ พยายามอย่างยิ่งที่จะรวบรวมสมาธิตัวเองให้กลับคืนสู่ตัว และจดจ่ออยู่กับเป้าหมายตรงหน้า แต่ก็รู้ตัวเองดีว่าต่อให้เขาพยายามมากเท่าไร สมาธิก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

                ชายหนุ่มหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นเมื่อไม่สามารถหลบหมัดของครูพนมผู้ฝึกสอนได้

“ยอช์ต เป็นอะไร ทำไมไม่มีสมาธิ ครูว่าพักก่อนดีกว่า ขืนซ้อมต่อยต่อไป ร่างกายอาจจะช้ำ”

ยอดผาถอนหายใจยาวเหยียด มองครูพนมอย่างลุแก่โทษ เขาเดินมานั่งตรงเก้าอี้ข้างสังเวียนมวยด้วยความหงุดหงิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะต้องคิดเรื่องรมณให้มากความทำไม ถ้าเขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาพูดมันถูกต้อง แต่...เขาไม่มั่นใจน่ะสิ  

“ทำไมวันนี้ไม่มีสมาธิ ใกล้จะถึงวันแข่งอยู่แล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ละก็ เห็นลางแพ้มาแต่ไกลเลย”

ยอดชนะเดินเข้ามาตบไหล่ลูกชายที่นั่งหน้าเครียดอยู่ข้างสังเวียนมวย

“ผมคงจะหงุดหงิดเรื่องเจ้าสัว”

“เรื่องเจ้าสัวอย่างเดียวรึ เอาให้แน่นะเจ้ายอด”

ยอดผามองหน้าคนเป็นพ่อนิ่ง แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้

“ป๊าหมายความว่าไงฮะ”

“ถามใจแกก่อนดีกว่าไหม เจ้ายอด ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้แกไม่มีสมาธิในวันนี้ ใช่เจ้าสัวตาของแกแน่หรือเปล่า”

จนด้วยคำแก้ตัว ยอดผารู้อยู่เต็มอก แต่เขาไม่อยากยอมรับกับตัวเองเท่านั้นเองว่า คนที่กำลังมีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาไม่ใช่เจ้าสัวยอดชาย แต่กลับเป็นรมณ 

“เมื่อถามตัวเองและได้คำตอบ ก็แก้ปัญหาอันนั้นซะ จะได้มีสมาธิในการซ้อม แกอยากให้เวทีนี้เป็นเวทีสุดท้ายไม่ใช่หรือไง อยากให้คนจำแกในแบบที่สวยงามชื่นชม หรือด่าทอ ดูถูก”

ยอดผาสูดลมหายใจเข้าปอด มองคนเป็นบิดานิ่ง กว่าจะยิ้มออกมาได้

“ขอบคุณครับป๊า”

พูดจบร่างสูงก็เดินแกมวิ่งไปที่รถจักรยานแล้วปั่นออกไปทันที ทิ้งให้คนเป็นบิดากับครูฝึกมองหน้ากันอย่างหนักใจ เมื่อมั่นใจแล้วว่าปัญหาที่ทำให้ยอดผาไม่มีสมาธิคือรมณ แล้วถ้าการแข่งขันครั้งนี้ยอดผายังแยกไม่ออก มีหวังเรื่องที่เขากลัวมันจะเกิดขึ้นจริง

“สงสัยเจ้ายอช์ตมันเจอปัญหาอย่างจังแล้วละพี่ชนะ หวังว่ามันคงผ่านไปได้นะ ถ้าสิ่งที่พี่ชนะคิดมันถูกละก็”

“เห็นทีต้องคุยกับเจ้ายอดให้รู้เรื่องเสียแล้ว ถ้ายังไม่มีสมาธิแบบนี้อยู่ละก็ มีหวังเจ้ายอดได้วางมือแบบแพ้หมดสภาพแน่นอน”

ยอดชนะเปรยกับครูพนม นัยน์ตามองตรงไปยังเส้นทางที่ยอดผาเพิ่งจะขี่จักรยานออกไป อยากเห็นลูกชายประสบความสำเร็จก่อนแขวนนวม แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้าตัวเองด้วย...ยอดผาต้องแก้ปัญหาเปลาะนี้เอาเอง

 

ยอดผาปั่นจักรยานคันเล็กวนไปเวียนมาบริเวณปากซอยรอบแล้วรอบเล่า นึกด่าตัวเองในใจ เมื่อคราวที่แล้วที่มาส่งรมณ เขาน่าจะรอดูว่าเธอเดินเข้าบ้านหลังไหน ชายหนุ่มหยุดรถจักรยานแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ กดหาหมายเลขที่ต้องการจนเจอ นิ้วโป้งชะงักกลางอากาศ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะโทร. ดีหรือไม่โทร. ดี

                คิดอยู่อีกพักใหญ่ เมื่อความต้องการของหัวใจมีมากกว่า ชายหนุ่มจึงตัดสินใจกดโทร. ออก หัวใจเต้นแรงเพียงแค่ได้ยินเสียงสัญญาณรอสาย แต่รออยู่นานก็ไม่มีคนรับ ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด รอจนสัญญาณตัดแล้วกดใหม่อีกครั้ง แต่ก็เป็นเช่นเดิม ความร้อนรนวิ่งเข้ามาเกาะกุมหัวใจ

                ยอดผากวาดตามองไปสุดสายตารอบด้าน ในที่สุดก็ตัดสินใจปั่นจักรยานกลับไปยังค่ายมวยด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เท้าที่ปั่นจักรยานแทบไม่มีแรง

คิ้วเรียวของรมณขมวดเข้าหากัน มองเบอร์โทร. ล่าสุดที่โชว์บนหน้าจอโทรศัพท์ เธอเดินออกไปรับเจนตาที่หน้าบ้าน พอกลับเข้ามาปลายสายก็วางไปเสียแล้ว เบอร์ใครกัน ไม่เห็นคุ้น

“มีอะไรเหรอน้ำมนต์”

“ใครก็ไม่รู้โทร. มา เบอร์ก็ไม่คุ้น”

“ไหนดูสิ เดี๋ยวฉันโทร. กลับให้เอาไหม”

“ไม่ต้องหรอก ปล่อยไว้งั้นแหละ ถ้าเขามีธุระจริงเดี๋ยวคงโทร. เข้ามาอีก”

เจนตามองหน้าที่ค่อนข้างเศร้าของรมณ เพื่อนของเธอพยายามซ่อนความเศร้าไว้ภายใต้ความเฉยเมย แต่ไม่ว่ารมณจะพยายามซ่อนมันเพียงไหน แววตาที่ไร้ความสุขมันก็ยังแสดงออกอย่างชัดเจน รมณกำลังเจอปัญหา และปัญหานี้ก็น่าจะเกิดจาก...ยอดผา

“ฟังจากที่แกเล่ามา แกจะโกรธคุณยอดผาก็ไม่ถูก ถ้าฉันเป็นคุณยอดผา ฉันก็คงโกรธเจ้าสัวเหมือนกัน ในฐานะที่แกเป็นคนกลาง แกควรให้ความเป็นธรรมแก่คุณยอดผาด้วย”

“ฉันรู้ แต่ที่ฉันโกรธไม่ใช่เรื่องนี้”

“แล้วเรื่องอะไร เรื่องที่เขาพูดว่าแกเป็นคนอื่นงั้นสิ แกรู้ตัวไหมน้ำมนต์ แกกำลังให้ความสนใจ ใส่ใจกับว่าที่เจ้าบ่าวที่คุณตาแกให้แต่งงานด้วย ถึงกับเก็บเอามาคิด หรือว่า...แกชอบคุณยอดผาเข้าให้แล้ว”

รมณหันไปมองเพื่อนสาวอย่างตกใจ ไม่คาดคิดว่าเจนตาจะพูดออกมาแบบนั้น

“เหลวไหลแล้วจ๋า”

“เหลวไหลที่ไหน ถ้าตัดเรื่องเจ้าสัวยอดชายออกไป แกก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธหรือน้อยใจคุณยอดผาแม้แต่นิดเดียว ถ้าแกไม่มีใจให้เขา”

คำพูดของเจนตาทำให้ใบหน้าหวานของรมณร้อนวูบวาบ หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำเมื่อคิดตามคำพูดของเพื่อน

“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาหรอกน่า ฉันทำทุกอย่างเพื่อช่วยคุณตา และถ้าวันหนึ่งคุณยอดผาเข้าใจและยอมให้อภัยกับเรื่องทั้งหมด ทุกอย่างมันก็จบ”

“แล้วถ้าคุณยอดผาไม่อยากให้มันจบล่ะ”

คำถามนี้ทำให้หญิงสาวถึงกับอึ้ง ไม่มีคำตอบให้เพื่อนสาวถ้ายอดผาไม่อยากให้มันจบ เธอควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่

“คงไม่เป็นอย่างนั้นมั้ง”

“แกคิดและทบทวนหัวใจตัวเองให้ดี ทำไมกับสิงห์แกถึงรู้สึกได้แค่เพื่อน ทั้งที่รู้จักสิงห์มานาน แต่กับคุณยอดผาเพิ่งรู้จักกันไม่เท่าไร แกกลับแคร์คำพูดของเขา”

จริงหรือ เธอกำลังแคร์คำพูดของยอดผา ถ้าเธอแคร์นั่นหมายความว่า...เธอกำลังรู้สึกอะไรบางอย่าง อะไรที่เธอพยายามผลักไสมันออกไป ไม่กล้าที่จะยอมรับ หันไปมองสบตาเพื่อนด้วยแววตาหวาดหวั่น สับสน ราวกับขอความช่วยเหลือ ขอให้เจนตาให้คำตอบแก่สิ่งที่เธอกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้

“ฉัน...”

น้อยครั้งนักที่เจนตาจะเห็นรมณเป็นแบบนี้ ลังเล ไม่กล้าที่จะตัดสินใจกับความรู้สึกของตัวเอง

“ใช้หัวใจตัดสิน อย่าใช้สมอง”

สายตาลังเลและกลัวการยอมรับเสียงที่ดังอยู่ในหัวใจของตัวเอง รมณมองเจนตาอย่างหวาดหวั่นเพราะเธอเพิ่งรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก

“แกจะกลัวอะไร ในเมื่อฉันเองยังยอมรับหัวใจตัวเองเลย ฉันไม่อาย ที่ฉันจะเป็นคนเริ่มจีบสิงห์ก่อน”

คำพูดของเจนตาทำให้รมณยกมือขึ้นทาบบริเวณหัวใจ ยามที่นึกถึงใบหน้ายอดผา หัวใจยิ่งเต้นแรง นึกถึงสายตาเย็นชา คำพูดห่างเหินที่เธอเคยได้ยินและทำให้หัวใจเธอเจ็บปวด รมณเบิกตากว้าง ตกใจกับคำตอบของหัวใจ หรือว่า...เธอชอบเขาอย่างที่เจนตาบอก

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น