ภายในสนามมวยชื่อดังในกรุงเทพมหานครวันนี้ มีผู้คนเข้ามารอดูมวยคู่เด็ดซึ่งมีถึงสี่คู่กันอย่างเนืองแน่น และสองในแปดคนนั้นก็มีนักมวยของ ย. ยอดยิม เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย เสียงตีกลองจังหวะสนุกสนานดังลั่น สลับกับการเปิดเพลงลูกทุ่งที่ทุกคนรู้จักกันดี สร้างสีสันและความสนุกสนานเพิ่มขึ้น ขณะที่พิธีกรภาคสนามก็กล่าวถึงประวัติของนักมวยคู่แรกที่จะขึ้นชกว่าแต่ละคนเคยชกมากี่ครั้ง แพ้กี่ครั้ง มาจากค่ายมวยไหน ใครเป็นเจ้าของค่ายมวย และใครเป็นผู้สนับสนุน
ยอดผามาในฐานะผู้ชมคนหนึ่ง เพื่อศึกษาและเก็บรายละเอียดของคู่แข่ง นำไปใช้ในการแก้ไขกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ และแนะนำวิธีการชกให้แก่นักมวยในค่าย เขาจึงไม่มีสิทธิ์ไปวุ่นวายบริเวณเวที ต่างจากครูพนมที่เป็นคู่ซ้อมและช่วยวอร์มนักมวยของตัวเองอยู่หลังเวที
“ป๊า...ผมว่าภีมวันนี้ดูไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร น่าจะคุมเกมได้ดี”
ภีม หรือ ตัวเล็กศิษย์ยอดชนะ เป็นหนึ่งในสองของนักมวยจากค่าย ย. ยอดยิมที่เข้ามาถึงรอบชิงแชมป์ ตัวเล็กไม่ได้เล็กอย่างชื่อ หุ่นบึกบึน จัดได้ว่าเป็นนักมวยที่หุ่นสวยคนหนึ่ง ฝีไม้ลายมือไม่ทิ้งแถวนักมวยรุ่นพี่อย่างยอดผา ที่กำลังผันตัวไปเป็นครูฝึกสอน และยังเป็นที่กล่าวขานกันในวงการมวยว่า ตัวเล็กศิษย์ยอดชนะอาจขึ้นเป็นมือหนึ่งของค่าย ย. ยอดยิม แทนยอดผา
เจ้าของค่ายมวยหลายค่ายเคยเข้ามาพูดจาทาบทามขอซื้อตัวภีมด้วยเงินมูลค่าสูง แต่ยอดผาไม่เคยตัดสินใจแทนใคร ทุกครั้งที่มีการทาบทามซื้อตัว ยอดผาจะให้ตัวเล็กอยู่ฟังด้วยเสมอ และให้คนที่ถูกทาบทามตัดสินใจเอง ซึ่งคำตอบก็เป็นอย่างที่เห็น ตัวเล็กยังอยู่กับ ย. ยอดยิมมาจนถึงตอนนี้
“ต้องดูตอนที่ภีมขึ้นชก ว่าจะใจเย็นคุมเกมได้เหมือนตอนนี้ไหม มวยต่อให้ชกดีแค่ไหน แต่ถ้าคุมสติไม่อยู่ มันก็ล้มได้เหมือนกัน”
“แต่คู่ต่อสู้ของภีมก็ไม่น่าประมาท ค่ายของเสี่ยสิทธาส่งนักมวยฝีแข้งหนักๆ มาทั้งนั้น ถ้าปะทะกันอย่างเดียวภีมอาจเสียเปรียบ มันต้องใช้ไหวพริบควบคู่กันไปด้วย”
ยอดชนะพยักหน้า เห็นด้วยกับยอดผา จากนั้นทั้งคู่ก็หันไปสนใจบนเวที เมื่อพิธีกรพูดเข้าเรื่องการแข่งขัน แฟนคลับนักมวยต่างเฮลั่น ปรบมือต้อนรับนักมวยที่ตัวเองชื่นชอบ
“สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้อง ขอต้อนรับเข้าสู่การแข่งขันแม่ไม้มวยไทย ศึกไทยไฟต์ชิงแชมป์และถ้วยรางวัลอันมีค่ามากมาย วันนี้ครับ นักมวยดาวเด่นขวัญใจแม่ยกพ่อยกทั้งหลาย และเป็นที่จับตามองจากค่ายมวยหลายต่อหลายค่าย ตัวเล็กศิษย์ยอดชนะและแก้วขวัญศิษย์ยอดชนะ นักมวยจากค่าย ย. ยอดยิมจะคว้าถ้วยรางวัลไปได้หรือไม่มาลุ้นกันดีกว่า
“การแข่งขันครั้งนี้ เราได้รับการสนับสนุนโดย ยาสีฟันดอกบัวเดี่ยว เครื่องดื่มชูกำลังกระทิงคู่ แอนตาเซี่ยม ถ้ามีแผลแตก รับแผลละห้าพันบาทนะครับ และวันนี้เราจะได้ชมจระเข้ฟาดหาง หรือหักงวงไอยราไหม แต่ไม่ว่าท่าไหนเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงทอง ท่านก็ให้ท่าละห้าพันบาทอยู่แล้ว มาแล้วครับ ต่อไปนี้เชิญพบกับนักมวยที่ถูกจับตามองและมีคนเชียร์เยอะมากคู่หนึ่ง ตัวเล็กศิษย์ยอดชนะ กับ ธาราลูกน้ำปิง”
สิ้นเสียงพิธีกร เสียงกลองก็ดังลั่นด้วยจังหวะสนุกสนาน เรียกเสียงปรบมือพร้อมกับร้องเรียกชื่อนักมวยทั้งสองคนก่อนจะตะโกนให้กำลังใจนักมวยที่ตัวเองชื่นชอบ ทำให้บรรยากาศการแข่งขันคึกคักขึ้น นักมวยทั้งคู่ขึ้นมายืนบนเวที ต่างทำพิธีไหว้ครูอย่างอ่อนช้อย หลังจากนั้นตัวเล็กศิษย์ยอดชนะก็กลับไปยืนที่มุมน้ำเงิน ธาราลูกน้ำปิงกลับไปยืนที่มุมแดง เพื่อให้ครูมวยถอดมงคลที่รัดรอบศีรษะออก ถือเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจให้นักมวยอีกวิธีหนึ่ง
เสียงระฆังยกแรกดังขึ้น ผู้คนที่มาเชียร์ต่างเงียบกริบ ตาจ้องบนเวทีเขม็ง สายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ยอดผาสูดลมหายใจเข้าปอด อดตื่นเต้นไม่ได้ นี่ขนาดเขาเจนวิธีไม่ต่างจากตัวเล็ก ทุกครั้งที่ขึ้นชก การกำหนดสมาธิตัวเองก็ถือเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง ท้าท้ายตัวเองว่าจะทำได้หรือไม่
“เริ่มยกที่หนึ่งนะครับ เป็นที่เล่าลือว่าลวดลายและฝีไม้ลายมือของตัวเล็กศิษย์ยอดชนะไม่เล็กดั่งชื่อเลยนะครับ เราทุกคนต่างรู้กันดี เอ้า...ธาราลูกน้ำปิงฟาดซ้ายด้วยลำแข็ง ตัวเล็กศิษย์ยอดชนะสวนกลับไปทันควัน ตามด้วยหมัดซ้าย อ้าว...อ้าว...ธาราลูกน้ำปิงมีเซเล็กน้อย กรรมการบนเวทีให้ชกต่อนะครับ แหม...มันบีบหัวใจเหลือเกิน ใครรักใครชอบใครช่วยเชียร์กันเลยนะครับ
“ตอนนี้ทั้งสองยังดูท่าทีกันอยู่ สายตาธาราลูกน้ำปิงจับจ้องที่ตัวเล็กศิษย์ยอดชนะเขม็ง เหมือนจะท้าทายว่าแน่จริงเอ็งฟาดแข้งมาสิ แล้วดูตัวเล็กก็ไม่แพ้กัน ตัวเล็กก็ไม่อยากให้ธาราลูกน้ำปิงเสียศรัทธาฟาดแข้งใส่หน้าแข้งของธารา”
เสียงระฆังหมดยกที่หนึ่งดังขึ้น นักมวยทั้งสองฝ่ายต่างกลับมายังมุมของตัวเอง ครูพนมรีบดึงฟันยางออกก่อนให้น้ำ ผู้ช่วยซึ่งเป็นเด็กในค่าย ช่วยบีบนวดคลายกล้ามเนื้อให้ตัวเล็ก
“ดูจากยกแรก ฝั่งโน้นด้อยกว่าฝั่งเรา ถ้ายกหน้าจัดการได้รีบจัดการเลยถ้ามีโอกาส อย่าปล่อยเวลา แต่ใช้ไหวพริบดีๆ นะ”
ตัวเล็กฟังคำสอนแล้วพยักหน้ารับ สีหน้ามุ่งมั่น
“ครับครู”
เมื่อระฆังยกที่สองดังขึ้น นักมวยทั้งสองคนก็เดินมายืนอยู่กลางเวที สายตาจับจ้องซึ่งกันและกัน พยายามข่มคู่ต่อสู้ด้วยสายตา
“เอาละครับ ตอนนี้มาถึงยกสองแล้วนะครับ ธาราลูกน้ำปิงดูมั่นใจขึ้นมาก ออกหมัดซ้ายไปก่อน แต่ตัวเล็กก็ไว หลบหมัดซ้ายของธาราได้อย่างว่องไว ตัวเล็กถอยออกห่างเล็กน้อย สายตาจับจ้องธาราเขม็ง ตัวเล็กหลอกด้วยหมัดซ้ายก่อนจะตามด้วยหมัดขวา แต่ธาราก็ใช่ย่อย หลบได้อย่างว่องไวเช่นเดียวกัน
“แหม...มันบีบหัวใจเหลือเกินครับ ธาราสาดลำแข้งเข้าสีข้างตัวเล็กอย่างแรง ตัวเล็กคว้าไว้ได้ เอ้า...เราจะได้เห็นท่าแม่ไม้มวยไทยหรือไม่ นาคาบิดหางจะมีหรือเปล่า ไม่ผิดหวังครับ นาคาบิดหางมาเต็มๆ อ้าว...ตามด้วยวิรุฬหกกลับ แตกแล้วครับ ธาราลูกน้ำปิงโดนกระแทกด้วยศอกขวาของตัวเล็ก เลือดสาดทันตาเห็น ตอนนี้กรรมการเดินเข้าไปดูแล้วครับ
“เอ้า...แล้วไงครับ กรรมการโบกมือไปมา เป็นอันว่ากรรมการไม่ให้ธาราลูกน้ำปิงแข่งต่อ ตัวเล็กศิษย์ยอดชนะของเราเป็นฝ่ายชนะน็อกไป แอนตาเซี่ยมได้จ่ายห้าพันแล้ว เครื่องดื่มกระทิงคู่จ่ายอีกหนึ่งหมื่นบาทให้แก่ตัวเล็กศิษย์ยอดชนะ เดี๋ยวเรากลับมาชมมวยคู่ที่สองกันต่อครับ”
ยอดผาลุกขึ้นยืนพร้อมกับชูนิ้วโป้งสองข้างให้กำลังใจตัวเล็ก ที่กำลังดีใจกับชัยชนะของตัวเอง
“ภีมไวมากครับป๊า มีสมาธิดีด้วย อย่างนี้คงไปได้สวย”
“เวทีสำคัญของตัวเองผ่านไปด้วยดีอีกเวทีหนึ่ง ยังเหลืออีกหลายเวที เราคงต้องฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ”
ยอดผาพยักหน้าเห็นด้วยกับคนเป็นบิดา การชกมวยขึ้นอยู่กับแรงด้วย ถ้าชกดีแรงไม่ตก ก็ได้เปรียบคู่ต่อสู้ ยิ่งไหวพริบดี สมาธิเยี่ยมด้วยละก็ ไปด้วยสวยทีเดียว
การชกมวยไทยไฟต์ในครั้งนี้ แก้วขวัญศิษย์ยอดชนะกลับพ่ายไปอย่างน่าเสียดาย แต่ขวัญและกำลังใจของนักมวยในค่าย ย. ยอดยิม นอกจากจะไม่ได้ลดลงแล้วยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะสามารถดึงเอาจุดด้อยมาพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขให้นักมวยในค่ายต่อไป
เช้ามืดของวันใหม่ ภายในค่าย ย. ยอดยิมต่างวุ่นวายกับการซ้อมเหมือนเช่นทุกวัน นักมวยต้องออกวิ่งรอบค่าย บางคนวิ่งในสวนสาธารณะขนาดเล็กที่อยู่ถัดไปไม่ไกลเพื่ออบอุ่นร่างกาย และกลับมากินอาหารเช้าก่อนเริ่มการฝึกซ้อม ซึ่งแบ่งเป็นช่วงเช้าและช่วงเย็น
อาหารของนักมวยในค่ายตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ยอดผาจะเป็นคนคิดเมนูขึ้นมาเอง เน้นประโยชน์ สุขภาพ รวมไปถึงรสชาติอร่อย เพื่อไม่ให้นักมวยเบื่ออาหารสุขภาพพวกนี้ การศึกษาเกี่ยวกับอาหารสุขภาพจึงมีประโยชน์ได้อย่างมาก เพราะต้องปรับปรุงรสชาติอยู่ตลอดเวลา และมีหนึ่งวันที่เป็นวันอิสระของนักมวยในค่าย คือ ใครจะกินอาหารอะไรก็ได้ ตามแต่ชอบ
“คุณยอช์ตไปไหนล่ะ นนท์”
นนท์ศิษย์ยอดชนะ คือนักมวยน้องใหม่ที่มีทักษะการชกยอดเยี่ยม สมาธิดี ไม่ตื่นเวที และกำลังเป็นที่จับตามองของคนในวงการมวย ตั้งแต่แข่งเก็บคะแนน เก็บลำดับมา เขายังไม่เคยแพ้ใคร และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขามีคิวการแข่งขันต่อจากตัวเล็ก ช่วงนี้จึงต้องซ้อมหนัก
“ไปโรงยิมโน่นป้า คงไปดูความเรียบร้อยมั้ง”
ชายหนุ่มชี้ไปทางขวามือ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของยิมออกกำลังกายขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์เครื่องเล่นที่ทันสมัย นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนนี้กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาลูกค้า เพราะเครื่องออกกำลังกายบางอย่าง ฟิตเนสเซนเตอร์บางที่ยังไม่มีด้วยซ้ำ
ปรกติยอดผาจะต้องเข้ามาตรวจงานเอกสารในยิมนี้อาทิตย์ละสามวัน หากมีเอกสารเร่งด่วน ผู้จัดการยิมจะนำเอกสารมาให้เขาที่ค่ายมวย ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาส่วนต้อนรับลูกค้า เห็นพนักงานส่งสายตาเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
“ดิฉันอยากให้คุณยอดผาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้ค่ะ”
พนักงานต้อนรับลูกค้ามองคนเป็นเจ้านายนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่เตรียมเอาไว้
“เอ่อ...คุณยอดผาไม่ได้เป็นเทรนเนอร์ในส่วนของยิมค่ะ เสียใจด้วยนะคะ ถ้าคุณต้องการเทรนเนอร์ เรามีให้เลือกหลายคนค่ะ ทุกคนมีความเชี่ยวชาญและทักษะที่ดีค่ะ ผู้หญิงก็มีนะคะ”
“ดิฉันยินดีจ่ายมากเท่าที่ต้องการ เพียงให้คุณยอดผาเป็นเทรนเนอร์ฉันเท่านั้น”
มุมปากหนากระตุก มองแผ่นหลังของแม่คนอวดรวยด้วยสายตาเย็นชาปนดูถูกอย่างชัดเจน พลางยกมือขึ้นกอดอก
“ไม่ได้ยินหรือครับ น้องเขาบอกว่าคุณยอดผาไม่ได้เป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้ใคร ต่อให้คุณเอาเงินมาจ้างมากขนาดไหน คุณยอดผาก็ไม่รับ จบนะครับ”
รมณหันหลังกลับไปมองยังต้นเสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง จำได้ดีว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอค้นหาข้อมูลเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะได้เจอยอดผามาแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาเร็วขนาดนี้ ยิ่งเห็นการแต่งตัวของเขาที่สวมแค่กางเกงวอร์มตัวเดียว หญิงสาวถึงกับต้องเบือนหน้าหนี แก้มสาวร้อนวูบวาบ คนอะไร เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ ผู้คนผ่านไปมาตั้งมากมาย ไม่อายบ้างหรือไง
ดวงตาคมกริบของยอดผาหรี่ลง เขาเดินไปหยุดหน้าหญิงสาวแล้วพิศดูใกล้ๆ ดวงตากลมโตราวกับตากวางดำขลับ จมูกโด่งเรียวรับกับใบหน้า ริมฝีปากได้รูปกระจับ แต่สิ่งที่สะดุดสายตาเขามากที่สุดนั่นก็คือ รอยแดงบนแก้มทั้งสองข้างของแม่เศรษฐี
ชายหนุ่มก้มหน้าลง ซ่อนยิ้มมุมปากเอาไว้ เมื่อคิดว่า...นี่เธอกำลังอายเขาหรือ
“แต่ดิฉันอยากให้คุณเป็นเทรนเนอร์ให้จริงๆ นะคะ”
คำยืนยันนั้นทำให้ยอดผาชักสีหน้า เพราะหญิงสาวตรงหน้ารู้แล้วว่าเขาคือใคร มือหนายกขึ้นเท้าเอวทั้งสองข้าง กางขาออกเล็กน้อย เอียงคอมองด้วยสายตาหงุดหงิด
“คุณผู้หญิงครับ ผมว่าผมบอกคุณแล้วนะครับ ว่าผมไม่รับเป็นเทรนเนอร์ให้ใคร อีกอย่างคุณรู้หรือเปล่าว่าถ้าให้ผมเป็นเทรนเนอร์ให้ ผมไม่ได้ฝึกตรงนี้นะ ต้องไปฝึกในค่ายมวย ผู้ชายทั้งนั้นนะคุณ บางคนใส่กางเกงต่อยมวยตัวเดียว บางคนก็...ใส่แต่กางเกงใน คุณจะทนดูไหวเรอะ”
รมณเข้าใจในน้ำเสียงเยาะหยันนั้นอย่างชัดเจน หญิงสาวสูดลมหายใจ ทำใจกล้ามองสบตายอดผา
“ก็ถ้าเกิดนักมวยของคุณไม่ได้แก้ผ้าต่อยมวยละก็ ฉันคิดว่าฉันทนได้”
“ก็ไม่แน่นะ อาจจะมีบางคนเดินล่อนจ้อนออกมาก็ได้ ใครจะรู้”
“ฉันเพิ่งรู้นะคะว่าค่ายมวย ย. ยอดยิม ค่ายมวยแถวหน้าของเมืองไทย นักมวยไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าใส่ซ้อมมวย เอาเป็นว่าถ้าคุณรับเป็นเทรนเนอร์ให้ฉัน...ฉันจะบริจาคเสื้อผ้าใส่ซ้อมมวยให้ค่ายของคุณเอง”
คำพูดที่ราบเรียบเช่นเดียวกับสีหน้า ไม่แสดงความรู้สึกอะไร ทำให้ยอดผาหน้าตึง ดวงตาวาววับ เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้กลัวคำขู่ของเขา
“อ้อ! หรือว่า ที่อยากมาเรียนต่อยมวยนี่เพราะอยากดูกล้ามล่ำๆ ของนักมวย คุณนี่...ร้ายไม่เบานะ”
รมณพยายามนับหนึ่งถึงร้อยในใจ สูดลมหายใจเข้าปอด พยายามไม่ถือสาน้ำเสียงเย้ยหยันของยอดผา แววตาระริกที่มองเธอนั่นก็อีก
“ฉันยืนยันว่าฉันมาเรียนต่อยมวย ไม่ได้หวังผลอย่างอื่นอย่างที่คุณพูด”
ยอดผาเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นราบเรียบ ไม่กรี๊ด ไม่โวยวาย
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็สมัครเรียนในยิม เรามีเทรนเนอร์ให้อยู่แล้ว คงไม่ต้องเดือดร้อนถึงผมหรอก”
ยอดผากล่าวจบก็หมุนตัวเตรียมไปทำงานอย่างอื่นต่อ แต่กลับต้องชะงัก เพราะคำพูดเรียบๆ ของผู้หญิงที่เขาปฏิเสธการเป็นเทรนเนอร์ให้
“คุณไม่มั่นใจว่าตัวเองมีความสามารถ มีศักยภาพพอที่จะเป็นเทรนเนอร์ให้ฉันหรือคะ คุณยอดผา”
คำพูดสบประมาททำให้ยอดผาตวัดตาเขียวขุ่นมองรมณ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ
“ถ้าผมไม่มีฝีมือ คุณก็คงไม่ต้องการให้ผมเป็นเทรนเนอร์จนต้องทุ่มเงินมากขนาดนั้นหรอก จริงไหมครับ คุณเศรษฐี”
รมณช้อนสายตาขึ้นมองคู่สนทนาแน่วนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา
“ก็เพราะฉันรู้ว่าคุณมีความสามารถยังไงล่ะคะ ฉันถึงอยากให้คุณเป็นเทรนเนอร์ให้”
ยอดผายกมุมปากสูง พลางกวาดสายตามองคนตรงหน้าทีละส่วน
การมองของเขาสร้างความหวั่นไหวให้หญิงสาวไม่น้อย แต่แม้จะไม่พอใจการกระทำของเขา เธอก็ต้องเก็บความไม่พอใจเอาไว้
“ยิมของเรามีเทรนเนอร์มากความสามารถอีกหลายคน อย่างที่พนักงานแนะนำ มีทั้งชายทั้งหญิง คุณเลือกได้ตามใจชอบ เวลาของผมมีค่ามาก ผมไม่อยากจะเสียเวลาให้พวกคุณหนูไฮโซที่อยากฝึกเรียนมวยตามแฟชั่น สมัยนิยม ตัวก็แค่นี้ เรียนไม่กี่วันก็คงเบื่อ” ยอดผาพูดพลางมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก
รมณพยายามข่มความไม่พึงพอใจเอาไว้ สีหน้าของหญิงสาวจึงมีแต่ความเรียบเฉย ดูไร้ความรู้สึก
“เพิ่งรู้นะคะว่าเจ้าของ ย. ยอดยิมใจแคบ ยังไม่ทันจะให้ลูกค้าฝึกเลย ก็ดูถูกลูกค้าเสียแล้ว”
“ดูถูกก็ยังดีกว่าดูผิด ผมไม่มีเวลาให้ลูกคุณหนูที่แก้เบื่อด้วยการเรียนโน่นนั่นนี่แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เลือกเทรนเนอร์คนอื่นเถอะ แต่ถ้าไม่ถูกใจละก็ ทาง ย. ยอดยิมต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างคุณได้ ประตูอยู่โน่น เชิญ!”
ดีที่ตัวเองเป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่อย่างนั้น รมณคงแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า กับความไร้มารยาทของยอดผาในตอนนี้แน่ เธอเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าสิ่งที่เจ้าสัวยอดชายบอกเธอมันเป็นความจริง
“แล้วถ้าฉันเรียนได้ คุณจะเป็นเทรนเนอร์ให้หรือเปล่าล่ะ”
“นี่คุณ! หน้าตาก็ดี หูหนวกหรือไง บอกว่า...ไม่เป็นเทรนเนอร์ให้ใคร ดูปากผมนะ ไม่-เป็น-เทรน-เนอร์-ให้-ใคร จบนะ”
“ปรกติคุณคิดค่าจ้างเท่าไร ฉันให้คุณเพิ่มเป็นสองเท่าค่ะ”
ยอดผากลอกตาก่อนเอียงคอมองแม่คนอวดรวยด้วยแววตาเยาะหยัน มุมปากหนายกสูง
“รวยนักหรือไง”
“ใช่ค่ะ ฉันรวย ฉันมีจ่ายตามที่คุณเรียกร้อง หากคุณยอมเป็นเทรนเนอร์ให้ฉัน”
คำตอบราบเรียบ ไร้อารมณ์ของรมณ กลับทำให้ยอดผาสะบัดหน้าไปทางอื่น ไม่อย่างนั้นเขาคงเก็บอารมณ์ไม่ไหว ได้ออกปากไล่แม่สาวอวดรวยอย่างหยาบคายแน่ ยอดผาก้มหน้าลงต่ำ สูดลมหายใจเข้าปอดชั่วอึดใจ ก่อนจะตวัดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง มองตั้งแต่หัวจดปลายเท้า มองให้รู้ว่ามอง มุมปากหนากระตุกสูงเมื่อมองต่ำไปถึงขาเรียวเล็ก ดูไร้เรี่ยวแรง ขาเล็กอย่างตะเกียบ ตัวเท่าเมี่ยง ทำปากดีกล้าท้าทาย ได้...ในเมื่ออยากนัก เขาก็จะสนองความอยากให้
“ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้ตีสี่ครึ่งเจอกัน ถ้าคุณฝึกพรุ่งนี้ผ่าน ผมจะพิจารณาข้อเสนอของคุณดู แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะยอมเป็นเทรนเนอร์ให้คุณนะ แค่จะนะ May be น่ะ”
รมณนึกหมั่นไส้กับสำเนียงภาษาอังกฤษของอีกฝ่าย รู้ทีเดียวว่าเขากำลังยั่วอารมณ์เธอ
“ตกลงค่ะ ถ้าพรุ่งนี้ฉันมาทัน และฝึกตามที่คุณบอกได้ ถือว่าคุณตกลงที่จะเป็นเทรนเนอร์ให้ฉันแล้วนะคะ”
รมณพูดจบก็เดินออกมาอย่างปรกติที่สุด แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจของเธอเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ลมแทบจับ กลัวว่าหากเขาลุแก่โทสะแล้วชกเธอขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวคิดถึงสายตาถือดีของยอดผา นี่ขนาดเธอมาในฐานะลูกค้าผู้มาใช้บริการ เขายังเก็บอารมณ์ไม่อยู่ แล้วในชีวิตจริง เขาจะน่ากลัวขนาดไหน รมณเตือนตัวเองว่าอย่างคิดมาก เธอกำลังคิดมากเกินไปแล้ว รอดูวันพรุ่งนี้ก่อน บางทีอะไรมันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิดก็เป็นได้
...
ยอดผาเดินกลับมายังค่ายมวย สีหน้าบึ้งตึง ไม่สบอารมณ์ จนยอดชนะผู้เป็นบิดาอดเอ่ยทักไม่ได้ เมื่อก่อนหน้านั้นยังอารมณ์ดี บอกเขาว่าจะเข้าไปตรวจงานในฟิตเนส แล้วทำไมกลับมาหน้าถึงเป็นตูดแบบนี้
“เป็นอะไรน่ะเจ้ายอด หน้ายังกับตูด”
ยอดชนะเอ่ยเย้าคนเป็นลูกชาย ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“เจอผู้หญิงงี่เง่าแต่เช้าเลยป๊า น่าเบื่อจริง สวย ใส ไร้สมอง คิดแต่จะเอาเงินฟาดหัวคนอื่น”
คิ้วหนาที่เริ่มมีเส้นสีขาวเลิกสูงขึ้น มองลูกชายอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เฮ้ย! แค่แกชมว่าสวย ป๊านี่แทบอยากเห็นหน้าเลยว่ะ ผู้หญิงที่ไหนนะ ที่ทำให้ยอดผาศิษย์ยอดชนะ หงุดหงิดงุ่นง่าน เก็บมาเป็นอารมณ์ได้แบบนี้”
“ไอ้สวยมันก็สวยอยู่หรอกนะป๊า แต่ความสวยหายไปหมดก็ตอนที่เธอเอาเงินฟาดหน้าผมนี่แหละ อยู่ๆ ก็อยากให้ผมเป็นเทรนเนอร์ให้ พอผมปฏิเสธ แม่คุณรีบบอกเลยว่า ‘ฉันให้คุณสองเท่า ถ้าคุณจะมาเป็นเทรนเนอร์ให้ฉัน’ อวดรวยเสียจริง ตัวก็บางแทบจะปลิวลม แค่สะกิดก็ล้มแล้วมั้ง ยังจะปากดี”
คำกระแนะกระแหนที่ยอดผาทำเลียนแบบเสียงของรมณ ทำให้ยอดชนะอดขำไม่ได้
“แล้วแกตอบไปว่าไง”
“ก็จะให้ตอบว่ายังไงล่ะป๊า ดูก็รู้ว่าแม่คุณเป็นคุณหนูไฮโซ พรุ่งนี้ไม่ตื่นหรอกครับ แต่ถึงจะตื่น พอเจอบททดสอบของผมก็ขยาดไปเองแหละ พวกเรียนมวยเพราะเห็นว่าเป็นแฟชั่น ไม่ได้อยากเรียนจริงจัง ให้เวลาสามวันแม่คุณก็เผ่นหางจุกตูดไปแล้ว ตี่สี่นะป๊า แม่คุณคงนอนอืดน้ำลายยืดอยู่บนเตียงนั่นแหละ”
น้ำเสียงเยาะหยัน บวกกับสายตา ทำให้ยอดชนะนึกอยากเห็นหน้าคนขี้อวดของยอดผาเสียจริง ใครนะ ที่ทำให้ยอดผาหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่แบบนี้ น่าสนใจมาก ยอดชนะมองบุตรชายที่ฮึดฮัดแล้วอมยิ้ม
“ป๊า...ยิ้มอะไร”
คำถามของลูกชายทำให้คนเป็นพ่อปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
“ก็แค่อยากเห็นหน้าแม่หนูคนขี้อวดของแกไงล่ะ ถ้าเผื่อแม่หนูคนนั้นทำได้ขึ้นมา แกต้องรับผิดชอบคำพูดของแกนะเจ้ายอด”
“โธ่ป๊า! อย่าไปสนใจเลย เชื่อผมเถอะ พรุ่งนี้ไม่มีทางเห็นแม่เศรษฐีคนนั้นหรอก ดีแต่ปาก ผมเอาหัวเป็นประกัน”
“ที่สนใจไม่ใช่อะไรหรอก ปรกติไม่เคยเห็นแกจะใส่ใจใคร ไม่ว่าหญิงหรือชาย แต่คราวนี้แกกลับมายืนหน้านิ่วคิ้วขมวด แกว่าไม่แปลกหรือไงเจ้ายอด”
คำพูดของบิดาทำให้ยอดผาชะงัก ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา คำสันนิษฐานของบิดาไม่มีทางเป็นจริง
“ป๊าดูปากผมนะ ผม-ไม่-สน-ใจ-แม้-แต่-นิด-เดียว”
ชายหนุ่มพูดช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับชี้นิ้วมาที่ปากตัวเอง ย้ำให้คนเป็นบิดาที่ยิ้มกริ่มได้เข้าใจ พรุ่งนี้เถอะ ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เขาพูด คุณหนูไฮโซ มีหรือจะแหกขี้ตาตื่น มุมปากของยอดผายกสูงขึ้น นึกเยาะหยันในใจ แล้วบิดาจะได้เห็นว่าไอ้สิ่งที่เขาคาดคะเนนั้นเป็นความจริง
สิงหายิ้มยินดี ดวงตาทอประกายวิบวับทันทีที่เห็นรมณเดินเข้ามาในสายตา เขาโบกมือให้หญิงสาวเห็นว่าเขารอเธออยู่ตรงนี้
“น้ำมนต์ ทางนี้ครับ”
รมณยิ้มหวานให้ร้อยตำรวจเอกสิงหา ซึ่งเป็นเพื่อนที่เธอรู้จักมานาน และเธอก็รู้ดีทีเดียวว่าเขาแอบมีใจให้ แต่สำหรับเธอนั้น สิงหาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง เธอเคยพยายามบอกความรู้สึกของตัวเองให้ชายหนุ่มเข้าใจ แต่อีกฝ่ายกลับบิดเบือน ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่วันนี้สิงหาต้องเข้าใจในสิ่งที่เธอจะบอก เพราะเธอตัดสินใจมั่นเหมาะแล้ว ถึงจะสงสารเพื่อนหนุ่มคนนี้มากก็เถอะ แต่การปล่อยให้เขาคิดเป็นอื่นกับเธอไปเรื่อยๆ มันดูเห็นแก่ตัวและใจร้ายเกินไป
“สิงห์มานานหรือยังคะ”
รมณเอ่ยถาม พลางนั่งลงฝั่งตรงข้ามสิงหา
“ไม่นานหรอกครับ เพิ่งถึงเหมือนกัน น้ำมนต์มีอะไรหรือเปล่าถึงเรียกผมออกมาแบบนี้”
รอยยิ้มของรมณค่อยๆ เลือนหายไป ดวงตากลมโตทอดมองไปทั่วใบหน้าขาว ตาสองชั้นหลบใน จมูกโด่งเป็นสัน สิงหาจัดว่าเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีคนหนึ่ง สักวันเขาต้องเจอผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขา รมณมองหน้าสิงหานิ่ง พยายามปั้นหน้าให้เป็นปรกติ เอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“น้ำมนต์...ต้องแต่งงาน”
กึก!
หัวใจสิงหาเหมือนจะหยุดเต้น ดวงตาเบิกกว้าง มองรมณอย่างตกใจ ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน
“อะไรนะครับ! น้ำมนต์พูดว่าไงนะ”
“น้ำมนต์กำลังจะแต่งงาน”
คำยืนยันทำให้สิงหาไม่สามารถปฏิเสธได้
“มะ...หมายความว่าไง”
“น้ำมนต์จะแต่งงาน น้ำมนต์ไม่อยากให้สิงห์จมอยู่กับน้ำมนต์ มันดูเห็นแก่ตัวมาก น้ำมนต์รู้ว่าสิงห์คิดยังไงกับน้ำมนต์ แต่...ตอนนี้น้ำมนต์ให้ในสิ่งที่สิงห์ต้องการไม่ได้”
สิงหาอึ้งอยู่นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ มือที่วางบนโต๊ะอาหารกำเข้าหากัน มุมปากหนาบิดสูงขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววเสียใจมองผู้หญิงที่เขาคิดเกินเพื่อน
“ใคร...คือคนโชคดีคนนั้นครับ น้ำมนต์บอกผมได้ไหม ผมไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนเข้ามาในชีวิตของน้ำมนต์เลย ถ้าน้ำมนต์อึดอัดที่ผมรู้สึกเกินเพื่อนกับน้ำมนต์ ผมสัญญาว่าจะถอยห่างออกไป แค่บอกว่าสิ่งที่ผมได้ยินมันไม่ใช่เรื่องจริง น้ำมนต์แค่ล้อผมเล่น”
“มันคือเรื่องจริงค่ะ เขาชื่อยอดผา...เจ้าของค่ายมวย ย. ยอดยิม เขาเป็นหลานแท้ๆ ของคุณตา”
ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไร เธอเห็นเค้าความเสียใจบนใบหน้าของสิงหาแล้วนึกสงสารชายหนุ่มเหลือเกิน
“น้ำมนต์โดนบังคับใช่ไหม ถ้าเจ้าสัวยอดชายบังคับน้ำมนต์ ผมจะไปพูดกับเจ้าสัวเอง ว่าผมรู้สึกยังไงกับน้ำมนต์ แล้วถ้าท่านไม่รังเกียจ ผมจะสู่ขอน้ำมนต์กับท่านเลย”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นค่ะสิงห์ น้ำมนต์ไม่ได้ถูกบังคับ น้ำมนต์เต็มใจ ที่สำคัญ เราจะแต่งงานกันได้ยังไง ในเมื่อน้ำมนต์ไม่เคยรู้สึกกับสิงห์เกินกว่าเพื่อน น้ำมนต์ไม่ได้อยากพูดเรื่องที่มันทำร้ายจิตใจสิงห์นะคะ แต่น้ำมนต์ไม่อยากให้เรื่องระหว่างเราเลยเถิดไปมากกว่านี้ ต่อให้สิงห์จะรอน้ำมนต์อีกกี่ปี ยังไงน้ำมนต์ก็คิดกับสิงห์ได้แค่เพื่อน สิงห์ตัดใจจากน้ำมนต์นะคะ มองหาใครสักคนที่คู่ควร”
คำพูดของรมณบาดหัวใจสิงหาเหลือเกิน เมื่อก่อนคิดเอง เออเอง ชอบเองคนเดียว มันยังไม่เจ็บเท่ากับการที่ได้ยินเธอเอ่ยออกมาตรงๆ แบบนี้
“แล้วน้ำมนต์เคยรู้จักผู้ชายคนนั้นหรือครับ สนิทสนม เคยคุย เคยพูดจากันไหม อย่าโกหกว่าเคย เพราะผมเห็นมาตลอดเวลาว่าน้ำมนต์ไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ ขนาดผม น้ำมนต์ยังทำเป็นไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับน้ำมนต์”
“สิงห์คะ น้ำมนต์ขอโทษ สิงห์จะโกรธจะเกลียดน้ำมนต์ยังไงก็ได้ แต่น้ำมนต์พูดจริง ถึงแม้น้ำมนต์จะไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนั้น แต่น้ำมนต์เชื่อว่า เขาเป็นคนดี”
สิงหาฟังแล้วรู้สึกเจ็บลึก ขนาดไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนั้น แต่หญิงสาวยังแก้ตัวแทน นั่นเท่ากับเขาเห็นลางแพ้ชัดๆ
“คนดีเหรอน้ำมนต์ เขาอาจจะเถื่อน กักขฬะ ชอบลงไม้ลงมือ น้ำมนต์จะยอมตกนรกทั้งเป็นเหรอ อาชีพเขาก็บอกอย่างชัดเจนแล้ว น้ำมนต์ยังจะเสี่ยงอีกเหรอครับ”
“ถ้าเขาไม่ดีอย่างที่สิงห์พูด ก็ถือเสียว่าเป็นกรรมเวรของน้ำมนต์แล้วกันค่ะ”
สิงหาก้มหน้า หลับตาลงอย่างเจ็บปวด เมื่อได้ยินรมณกล่าวเช่นนั้น
“ยังไงน้ำมนต์ก็จะแต่งงานใช่ไหม น้ำมนต์เลือกที่จะทำตามคำสั่งของเจ้าสัว”
รมณมองหน้าสิงหา แววตาเสียใจ พยักหน้าตอบรับคำถามของเขา
“น้ำมนต์เลือกบอกกับสิงห์ เพราะไม่อยากให้สิงห์ต้องรอ ยังไงความรู้สึกของน้ำมนต์ก็ไม่เปลี่ยน เราเป็นเพื่อนกันนะคะ”
คำตอกย้ำนั้นยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่สิงหา เจ็บจนต้องขบกรามแน่น
“การตัดใจจากคนที่เราแอบหวัง แอบชอบมานาน มันไม่ได้ตัดกันง่ายๆ นะน้ำมนต์ แล้วถ้าผมจะรอน้ำมนต์ล่ะ รอจนกว่าน้ำมนต์จะเลิกกับผู้ชายคนนั้น”
“น้ำมนต์คิดมาตลอด ถ้าน้ำมนต์จะแต่งงานกับใครสักคน ถึงแม้ชีวิตครอบครัวจะรอดหรือไม่รอด น้ำมนต์จะแต่งงานเพียงครั้งเดียว สิงห์ไม่ควรที่จะต้องรอน้ำมนต์ ยังมีผู้หญิงอื่นที่ดีกว่าน้ำมนต์ตั้งเยอะ อย่าให้น้ำมนต์รู้สึกผิดไปมากกว่านี้เลยนะคะ”
“ผมรักน้ำมนต์มาหลายปี จะให้ตัดใจในวันเดียวคงจะไม่ได้ เอาเป็นว่า ผมจะไม่ปิดโอกาสผู้หญิงอื่นแล้วกัน น้ำมนต์จะได้สบายใจ”
สิงหายิ้มขื่นๆ เขาคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ อย่างน้อยยังเหลือความเป็นเพื่อน แค่เพื่อนก็ยังดี
“สิงห์คะ...”
“อย่าห้ามผมเลยน้ำมนต์ สงสารผมบ้างเถอะ แค่รอ และไม่ปิดโอกาสผู้หญิงอื่น ผมทำได้เท่านี้จริงๆ ถ้ามากกว่านี้คงจะไม่ไหว น้ำมนต์เข้าใจผมด้วย”
รมณมองสิงหาอย่างเห็นใจ เธอรู้ดี เธอไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้
“แล้วนายยอดผาอะไรนั่นรู้หรือยังว่าตัวเองโชคดีขนาดไหน ที่กำลังจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่มีค่าที่สุดอย่างน้ำมนต์”
คำถามนั้นทำให้รมณอึ้ง มองหน้าสิงหาอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“เขายังไม่รู้หรอกค่ะ เขาโกรธคุณตา เขาไม่ยอมรับว่าคุณตาเป็นตาของเขา เรื่องมันยาวน่ะสิงห์ เอาไว้น้ำมนต์จะเล่าให้ฟังทีหลัง แต่น้ำมนต์ได้เข้าไปทำความรู้จักกับเขาไว้แล้ว เขาไม่ได้ดูน่ากลัว...เหมือนที่เราคิดเอาไว้”
มุมปากหนายกสูง ผู้หญิงที่ถือว่าวางตัวดีและถือตัวอย่างรมณ เข้าไปทำความรู้จักมักจี่กับผู้ชายก่อน แค่คิดก็อิจฉานายคนนั้นเสียแล้ว เขารู้จักกับรมณมาหลายปี เธอยังไม่เคยเปิดโอกาส
“ไม่คิดเลยว่า ผู้หญิงอย่างน้ำมนต์จะเป็นฝ่ายเข้าไปทำความรู้จักกับผู้ชายก่อน น่าอิจฉานายนั่นชะมัด”
คราวนี้กลับกลายเป็นรมณที่ฝืนยิ้ม คำพูดของสิงหากระทบหัวใจของเธออย่างแรง
“อย่าอิจฉาเขาเลยค่ะ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ น้ำมนต์ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คุณตาสบายใจ บุญคุณของคุณตาช่างมากมายเหลือเกิน หากมีทางใดที่น้ำมนต์สามารถทดแทนบุญคุณได้ น้ำมนต์ก็ยอม สิงห์ก็รู้ว่าคุณตาคือคนชุบชีวิตใหม่ให้น้ำมนต์ หากไม่มีท่าน ก็ไม่มีน้ำมนต์อย่างทุกวันนี้”
“แต่เราเลือกตอบแทนด้วยวิธีอื่นได้ไหมน้ำมนต์ นี่เท่ากับพาตัวเองไปตกนรก”
คำถามของสิงหาทำให้ดวงตาคู่หวานไหววูบ เปลือกตาบางกะพริบถี่
“ถึงแม้มันจะทำให้น้ำมนต์ตกนรก น้ำมนต์ก็ยอม”
หึ! สิงหาเยาะหยันตัวเองในใจ หันไปมองทางอื่น ดวงตายังคงแดงก่ำ บรรยากาศในโต๊ะอาหารเงียบกริบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่สิงหาเป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบในอึดใจต่อมา
“แต่เจ้าสัวไม่น่าจะเห็นแก่ตัว บังคับให้น้ำมนต์ทำแบบนี้ ชีวิตทั้งชีวิตของน้ำมนต์เลยนะ”
“ไม่นะคะสิงห์ คุณตาไม่ได้บังคับ น้ำมนต์เต็มใจเองค่ะ”
รมณแก้ไขความเข้าใจผิดของสิงหาทันควัน
“พูดในฐานะเพื่อนนะครับ ผมไม่เห็นด้วยกับน้ำมนต์อยู่ดี ชีวิตทั้งชีวิต จะทิ้งให้แก่ผู้ชายที่ไม่รู้จัก มันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือครับ”
“น้ำมนต์มั่นใจค่ะ ว่าสิ่งที่คุณตาเลือกให้ ต้องดีเสมอ น้ำมนต์ยอมเสี่ยง ไม่ว่านิสัยที่แท้จริงของคุณยอดผาจะเป็นยังไง น้ำมนต์ก็อยากที่จะพิสูจน์ด้วยตัวเอง บางทีเราจะวัดนิสัยของใครคนหนึ่ง แค่หน้าตากับอาชีพของเขาก็คงไม่ได้”
หญิงสาวยืนยันให้สิงหามั่นใจ แต่เจ้าตัวกลับไม่มั่นใจเลยสักนิด การเจอกับยอดผาครั้งแรกยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าเขาดีหรือไม่ดี แต่ต่อไปนี้ เธอจะได้เห็นและเรียนรู้นิสัยของยอดผาด้วยตัวเอง
รมณกับสิงหาคุยกันอีกพักใหญ่เธอก็ขอตัวกลับ ทิ้งให้ผู้กองหนุ่มนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนั้น ตอนนี้เรี่ยวแรงจะขยับตัวแทบไม่มี อาการหน่วงที่หัวใจยังคงมีตลอดเวลา และเขาก็คิดว่ามันคงจะเจ็บหน่วงแบบนี้ไปอีกนาน จนกว่าเขาจะทำใจได้
รมณตื่นขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก เพราะความกังวล กลัวตื่นไม่ทันเวลาที่นัดหมายเอาไว้ ทำให้เธอนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายอยู่ค่อนคืน วันนี้เธอถึงไม่ค่อยสดชื่นนัก แต่ก็ยังฝืนลุกจากที่นอน เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกาย ความจริงค่ายมวย ย. ยอดยิมตั้งอยู่ไม่ห่างจากบ้านเจ้าสัว แค่อยู่กันคนละฝั่งถนน ถัดไปจากซอยบ้านเจ้าสัวไม่ถึงสามกิโลฯ แต่ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้านถึงได้ห่างไกลนัก
บรรยากาศในตอนเช้ามืดทำให้คนที่ไม่คุ้นชินอย่างเธออดหวาดระแวงไม่ได้ ผู้คนละแวกนั้นเริ่มตื่นนอน บ้านหลายหลังเปิดไฟสว่าง ในซอยลึกมีไฟสว่างเป็นจุดตลอดทาง รมณลงจากรถคันเล็ก เธอเลือกจอดเอาไว้เกือบจะต้นซอยและเดินเท้าเข้ามา หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงอัด พยายามบอกตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น เธอจะทำให้ความหวังของเจ้าสัวสำเร็จ ยอดผาจะได้รับรู้ว่าเจ้าสัวนั้น สำนึกในความผิดที่เคยทำ และอยากให้ยอดผาอภัยให้แก่ท่าน
รมณเดินมาหยุดที่หน้าค่ายมวย ย. ยอดยิม ประตูค่ายถูกเปิดกว้าง ทำให้รู้ว่าคนข้างในตื่นกันแล้ว หญิงสาวเดินเข้ามาในค่ายมวย เมื่อเห็นเด็กชายอายุประมาณเก้าถึงสิบขวบ ตัวค่อนข้างอวบอ้วน กำลังกวาดเศษขยะและเศษใบไม้หน้าค่าย
“อ้าว...พี่คนสวยมาทำอะไรแต่เช้ามืด ถ้าจะมาสมัครออกกำลังกายต้องรอฟิตเนสเปิด เก้าโมงโน่นน่ะครับ”
จ้อยอดประหลาดใจไม่ได้ กับการชะเง้อราวกับมองหาอะไรบางอย่างของคนที่ไม่รู้จัก
“พี่ไม่ได้มาสมัครฟิตเนสหรอก พี่มาหาคุณยอดผา เขานัดพี่ไว้”
จ้อยมองคนพูดเหมือนไม่เชื่อ ส่ายหน้าหวือ ร้อยวันพันปียอดผาไม่เคยนัดใครมาเช้ามืดแบบนี้สักคน ยิ่งผู้หญิงด้วยแล้ว เชื่อยาก
“พี่อย่ามาอำผมน่า ผมยังไม่เห็นพี่ยอช์ตออกมาจากห้องนอนเลย ถ้านัดใครเอาไว้เช้ามืดแบบนี้ ก็น่าจะบอกจ้อยบ้างนะ นี่กลับเงียบเฉยเสียอย่างนั้น”
คำพูดของจ้อยทำให้รมณเริ่มขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“คุณยอดผานัดพี่ไว้จริงๆ เอ่อ...ชื่อจ้อยใช่ไหม ตามคุณยอดผาให้พี่หน่อยได้ไหมคะ บอกว่าน้ำมนต์มาหา ตามที่นัดกันเอาไว้”
“ไอ้ได้น่ะ มันได้แหละครับ แต่พี่คนสวยยืนยันแน่นะว่าพี่ยอช์ตนัดพี่ไว้จริง ปรกติถ้านัดใครเอาไว้ พี่ยอช์ตไม่เคยสายนะ”
“ไปถามคุณยอดผา แล้วจ้อยจะรู้ว่าพี่พูดจริง”
“ถ้าอย่างนั้นพี่สาวไปนั่งรอที่โต๊ะไม้นั่นก่อนแล้วกัน จ้อยจะไปตามพี่ยอช์ตให้”
“จ้ะ พี่รอตรงนี้นะ”
จ้อยพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปด้านหลังค่ายมวย ซึ่งมีบ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่ ส่วนห้องพักของนักมวยในค่ายอยู่ถัดไปด้านในสุด
“อ้าว...พี่ยอช์ตตื่นแล้วเหรอพี่”
จ้อยร้องถาม ยังไม่ทันเดินถึงตัวบ้านด้วยซ้ำ ก็เห็นยอดผาในชุดออกกำลังเดินออกมาเหมือนทุกวัน
ชายหนุ่มมองหน้าจ้อยอย่างประหลาดใจ เพราะเขาก็ตื่นแบบนี้ทุกวัน
“เออ...ฉันก็ตื่นแบบนี้ทุกวัน ถามอะไรแปลก”
“พี่ยอช์ตนัดใครเอาไว้หรือเปล่า”
คิ้วหนาย่นเข้าหากันนิดๆ เอียงคอเล็กน้อยขณะครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“เปล่านี่ ฉันไม่ได้นัดใครเอาไว้”
“สาวไงพี่ สวยด้วยนา”
ยอดผานิ่วหน้า เอ่ยถามจ้อยอย่างนึกไม่ออก
“สาวที่ไหนวะไอ้จ้อย ฉันไม่เคยนัดผู้หญิงมาที่ค่ายมวย อีกอย่างเช้ามืดขนาดนี้ ให้ฉันนัดสาวมาวิ่งรอบค่าย...”
“ฉันเอง...ฉันคิดว่าคุณเป็นคนนัดฉันไว้ตอนตีสี่ครึ่งนะคะคุณยอดผา”
พูดถึงการวิ่งแล้วยอดผาถึงกับชะงัก นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าใครคือคนที่เขานัดเอาไว้ จ้อยไม่ทันได้ตอบ เสียงราบเรียบของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน ทำให้ทั้งคู่หันขวับไปมอง ยอดผาเบิกตากว้าง ตกใจกับสิ่งที่เห็น
รมณกอดอก เอียงคอมองผู้ชายตรงหน้าราวกับถาม เห็นจากสายตาแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้เพิ่งตื่น อาจจะตื่นนานแล้วด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่ออกไปรอก็เพราะคิดว่าเธอไม่มา
“อะไรวะไอ้จ้อย เอะอะแต่เช้า”
ยอดชนะเดินออกมาอีกคน ร้องถามจ้อยเพราะได้ยินเสียงเอะอะลอยเข้าหู
“ก็พี่ยอช์ตน่ะสิลุงชนะ นัดสาวไว้แล้วลืม พี่สาวคนนี้มายืนรออยู่หน้าค่ายตั้งนานแล้ว”
ยอดชนะหันไปมองทิศที่จ้อยชี้ ประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมุมปากสูง พลางหันไปเอ่ยปากถามยอดผาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“อ๋อ...แม่หนูคนนี้น่ะหรือ ที่แกบอกว่าไม่น่าจะมีปัญญาตื่นเช้าได้ ตัวก็เล็กนิดเดียว แค่สะกิดก็ล้มแล้ว แถมแกยังบอกว่าเป็นเศรษฐีขี้อวด ฟาดหัวแกด้วยเงิน คนนี้น่ะเหรอเจ้ายอด”
ยอดผาถลึงตามองคนเป็นบิดา ไม่คิดว่ายอดชนะจะหักหลังเขาแบบนี้
“ขอโทษนะคะ ที่ทำแบบที่คุณคิดไม่ได้ คนอย่างฉัน ไม่ชอบให้ใครท้าด้วยสิ”
คราวนี้ยอดชนะหัวเราะในลำคอ มองคนพูดอย่างชื่นชม น้ำเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ของคนพูดสักนิด แบบนี้สิ ถึงทำให้คนกลัวได้
“สวัสดีค่ะ ขอบคุณนะคะที่ทำให้หนูได้รู้ว่าคุณยอดผาแอบนินทาลับหลังหนูว่ายังไง”
“นี่คุณ! ผมไม่ได้แอบนินทาคุณนะ ผมพูดตามความเป็นจริง”
“แล้วฉันในตอนนี้เป็นอย่างที่คุณคิดไหมล่ะ นัดฉันเอง ก็ช่วยรักษาคำพูดหน่อย หรือว่า ยอดผาศิษย์ยอดชนะ นักมวยมากฝีมือ เป็นคนไม่รักษาคำพูด”
“คุณ!”
ยอดผาตะโกนใส่หน้าพร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้ารมณอย่างเอาเรื่อง แต่ยอดชนะห้ามทัพเสียก่อน
“เอาละ ถือว่าหนูชนะไปข้อหนึ่ง ลุงจะเป็นคนตัดสินให้ ถ้าเจ้ายอดมันไม่สอนมวยให้ ลุงนี่แหละ จะสอนให้หนูเอง”
ยอดผาเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าคนเป็นพ่อจะเอ่ยเช่นนั้น ชายหนุ่มเท้าเอว สะบัดหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากเห็นหน้าคนที่ทำให้เขารำคาญใจ
“ขอบคุณนะคะคุณลุง แต่หนูอยากให้คนที่รับปากหนูรับผิดชอบค่ะ ว่าไงคะคุณยอดผา ฉันทำตามที่คุณพูดได้แล้ว ตื่นทันนัดตีสี่ครึ่ง คุณจะว่ายังไง”
“หึ!”
“หึ...อะไรไอ้ยอด แกผิดคำพูดกับแม่หนูคนนี้เอาไว้ แถมยังพูดจาดูถูกเขาเอาไว้เยอะ ป๊าได้ยินกับหู เป็นสุภาพบุรุษหน่อยสิวะเจ้ายอด”
ถึงสีหน้าของหญิงสาวจะเรียบเฉย แต่สายตาเยาะหยันที่มองมาทำให้ยอดผาหงุดหงิด ยิ่งมีบิดาถือหางอยู่แบบนี้ ยายคนอวดรวยคนนี้คงได้ใจ
“ตื่นทันก็ไม่ได้หมายความว่าจะวิ่งได้ตามที่ผมกำหนดนะ ถ้าคุณวิ่งได้รอบสวนสาธารณะ และวิ่งกลับมาถึงค่ายมวยได้ เมื่อนั้นแหละ ผมจะพิจารณาข้อเสนอของคุณ อย่าเพิ่งดีใจไป สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร เคยได้ยินไหมล่ะ”
ยอดผาแสดงสีหน้าดูถูกหญิงสาวอย่างชัดเจน ในขณะที่รมณยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย เก็บความรู้สึกได้อย่างมิดชิด
“ไกลไปไหมเจ้ายอด รอบสวนสาธารณะ ขนาดนักมวยเราบางคนยังวิ่งไม่รอบเลย แม่หนูคนนี้เป็นผู้หญิงนะ ยอมกันนิดหน่อยไม่ได้หรือไง”
ยอดผาหันขวับ ขึงตาให้บิดา ไม่คิดว่ายอดชนะจะเข้าข้างรมณออกนอกหน้าขนาดนี้
“จะได้รู้ยังไงล่ะป๊า ว่าแม่คุณหนูไฮโซอวดรวยคนนี้ เก่งจริงอย่างปากพูดหรือเปล่า”
“ฉันไม่ใช่คุณหนู ไม่ใช่ไฮโซ ฉันชื่อรมณ หรือจะเรียกน้ำมนต์ก็ได้ กรุณาเรียกให้ถูกด้วยค่ะ คุณยอดผา”
คำพูดสวนกลับฉับไวทำให้ยอดชนะทึ่ง พยักหน้าหงึกๆ งานนี้ยอดผาเจอของจริงเสียแล้ว เขานึกชื่นชมแม่หนูคนนี้จริงๆ
“น้ำมนต์ ชื่อเพราะจริง ลุงชื่อยอดชนะเป็นพ่อของเจ้ายอด นายยอดผาคนนี้แหละ เรียกลุงว่าลุงชนะก็แล้วกันนะ ถือว่าคนกันเอง”
“ขอบคุณนะคะคุณลุง คุณลุงใจดี มีเมตตาจังค่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะว่าจะมีลูกชายแบบนี้”
รมณไม่ได้กลัวคนที่ถลึงตาแทบถลนใส่เธอแม้แต่นิด แถมยังวางหน้าเฉย นั่นยิ่งทำให้ยอดผาหงุดหงิดงุ่นง่าน ผู้หญิงอะไรไร้อารมณ์
“ผมจะไปวิ่งแล้ว...บอกลูกศิษย์คนใหม่ของป๊าด้วยนะว่า ถ้าวิ่งกลับมาถึงค่ายได้อีกครั้ง ผมจะยอมเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้โดยไม่คิดเงินสักบาท”
ทั้งแววตา สีหน้า น้ำเสียง เยาะหยันอย่างเต็มที่ และไม่วายหันไปยิ้มหยันใส่หญิงสาว ก่อนจะออกวิ่งนำหน้าไป
“ไปเถอะหนูน้ำมนต์ วิ่งช้าๆ เรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ เวลาเท่าไรไม่ต้องห่วง เพราะเจ้ายอดมันไม่ได้ระบุ แค่กลับมาให้ถึงค่ายเป็นพอ ลุงเอาใจช่วย อ้อ...อีกอย่างนะ เจ้ายอดน่ะ ถึงจะดูกระด้างแบบนั้น แต่มันแพ้น้ำตาผู้หญิง หนูคงรู้นะว่าจะต้องทำยังไง ยามคับขัน”
รมณงงเมื่อแรกฟัง สักครู่จึงแย้มยิ้ม พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจที่ยอดชนะพูด หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ ก่อนหมุนกายวิ่งเหยาะๆ ตามหลังชายหนุ่มที่นำหน้าไปก่อน อย่างน้อยในค่ายมวยนี้ก็ยังมียอดชนะที่พอจะพึ่งพิงได้
เวลาผ่านไปพอสมควร เท้าเธอเริ่มหนัก ไม่คิดว่าการวิ่งเรื่อยๆ จะทำให้เธอเหนื่อยได้ขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ร่างกายเลยไม่ชิน เหงื่อเริ่มซึมเปียกไรผม ลมหายใจเข้าออกเริ่มถี่ขึ้น
ฟ้าสว่างมากแล้ว ยามที่เธอเห็นคนหลายคนวิ่งนำหน้าเธอไป รมณมองตามคนเหล่านั้น คิดในใจว่าอาจเป็นนักมวยของ ย. ยอดยิม ที่ออกมาวิ่งวอร์มร่างกาย สีหน้าเธอเริ่มเหยเก เท้าเริ่มล้า มันหนักเหมือนมีใครถ่วงด้วยกระสอบทราย ตอนนี้ไม่เห็นเงาของยอดผาสักนิด รมณเม้มปากแน่นยามที่นึกถึงสายตาเยาะหยัน ดูถูกเธอของยอดผา ก่อนจะออกแรงวิ่งมากกว่าเดิม
“ไหวไหมแม่คู๊น”
ไม่ใช่ใคร ยอดผานั่นเอง ชายหนุ่มยืนพิงต้นไม้ใหญ่ มองเธอพลางส่ายหน้าไปมา
“ไม่ไหวก็เลิกวิ่งเถอะ กลับบ้านคุณไปซะ เห็นสภาพคุณตอนนี้แล้วรู้สึกสังเวช”
เงียบ ไม่ตอบ จนยอดผาถอนหายใจหงุดหงิดกับสีหน้าเย็นชา ไร้อารมณ์
“นี่คุณ ผมถามหน่อยเถอะ ยิ้มเป็นไหม โกรธเป็นไหม หน้าบึ้ง ถลึงตา หัวเราะเสียงดัง คุณทำเป็นหรือเปล่า หรือว่าทำเป็นแต่หน้าตาย ไร้อารมณ์อย่างกับต้นไม้”
อีกฝ่ายไม่ตอบอีกเช่นเคย ยอดผาถึงกับสบถออกมา แล้วเดินมาดักหน้าคนที่วิ่งจนเหนื่อยอ่อน
“หงุดหงิดชะมัด”
รมณไม่ได้สนใจคนหาเรื่องเลย เธอเบี่ยงตัวหนีร่างสูงที่ขวางทางแล้ววิ่งต่อไป แต่อาการไม่สนใจอะไร ราวกับเธอวิ่งเพียงลำพัง ขัดสายตาของยอดผาเหลือเกิน
“คุณ...คุณน้ำกรด ถ้าไม่ไหวก็หยุดเถอะ ยอมแพ้แล้วกลับบ้านไปซะ อย่าฝืนเลย เดี๋ยวก็ตายเอาหรอก”
ใช่ว่าจะหยุด ถึงก้าวแต่ละก้าวจะช้า รมณก็ไม่ยอมแพ้ เตือนตัวเองไม่ให้สนใจคนที่ตะโกนหาเรื่อง เธอต้องวิ่งกลับไปยังค่ายมวยให้ได้เท่านั้นพอ
“คุณ! ทำไมถึงอยากให้ผมเป็นเทรนเนอร์ให้นักฮ๊า”
ไม่! อย่าไปสนใจ รมณ นับหนึ่งถึงร้อยเข้าไป ต่อให้เขาจะยั่วให้เธอโกรธแค่ไหน เธอก็จะต้องไม่สนใจ ถึงเขาจะเปลี่ยนชื่อให้เธอก็เถอะ
“ถามก็ไม่พูด กลัวแรงวิ่งหมดหรือไงคุณ”
คนช่างยั่ววิ่งถอยหลัง เว้นระยะห่างระหว่างตัวเองกับรมณหนึ่งช่วงแขน ยอดผาไม่กลัววิ่งชนอะไร เพราะเขารู้จักเส้นทางนี้ดี หลับตาวิ่งยังได้ จังหวะนี้เองที่ทำให้ชายหนุ่มพิศมองหน้าที่เริ่มซีดของหญิงสาวถนัดตา
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าการวิ่งทำให้สมรรถภาพทางปากของคนเราลดลงไปด้วย”
ยอดผาหยุดวิ่ง ยกมือขึ้นเท้าเอว ปล่อยหญิงสาววิ่งผ่านเขาไปแล้วหมุนตัวมองตามแผ่นหลังของแม่คนอวดดี ทำไมนะ สีหน้ากับท่าทางอวดดีของรมณมันช่างกวนอารมณ์เขาเสียจริง จนนึกอยากจะทำอะไรสักอย่างให้หญิงสาวระเบิดอารมณ์ใส่ ชายหนุ่มมองสภาพคนถือดีที่แทบไม่มีแรงวิ่งอย่างหงุดหงิด วิ่งจะไม่ไหวอยู่แล้วยังจะดื้อด้าน
ความคิดเห็น |
---|