2

ตอนที่ 2


 

ปัจจุบัน...

ค่ายมวย ย. ยอดยิมขยายกิจการใหญ่โต ตอนนี้มีทั้งยิมออกกำลังกายที่แบ่งแยกไว้เป็นสัดส่วน อุปกรณ์เครื่องเล่นนำเข้าจากต่างประเทศก็มีมากมายหลายชิ้น มีครูฝึกมากความสามารถคอยให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่เข้ามาใช้บริการอย่างทั่วถึง บวกกับบริการที่ประทับใจ แต่ที่โด่งดังจนสร้างชื่อเสียงให้แก่ค่าย ย. ยอดยิมมากเป็นพิเศษก็คือโรงเรียนสอนต่อยมวยไทย ที่อนุรักษ์แม่ไม้มวยไทยและศิลปะป้องกันตัวทุกแขนง ไม่ให้คนไทยลืมเลือนสมบัติอันล้ำค่าของประเทศไทย

ยอดผา ศิษย์ยอดชนะ หรือ ยอดผา กิตติธาดาธร บุตรชายเพียงคนเดียวของยอดชนะและยอดธิดาต้องสานต่อกิจการของครอบครัว จากนักมวยผู้สร้างชื่อเสียงไว้อย่างมากมาย เขาจึงกลายเป็นผู้บริหารในวัย ๓๔ ปี ด้วยรูปร่างหน้าตาและความสูงถึง ๑๘๕ เซนติเมตร ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นนักมวยที่มีคุณสมบัติครบถ้วนคนหนึ่ง ทั้งการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหาร และวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งเขาตั้งใจนำมาต่อยอดกิจการของครอบครัว ฐานะทางการเงิน สังคม เขาจึงถูกจับตามองในฐานะนักธุรกิจอนาคตไกล บวกกับการที่เขามีใจรักในศิลปะการต่อสู้ โดยเฉพาะมวยไทย เขาจึงพร้อมที่จะสานต่อกิจการของบิดาให้ดำรงสืบไปชั่วลูกหลาน

ข่าวยอดผามีให้เห็นบ้างตามนิตยสารการกีฬาและนิตยสารไฮโซบางเล่ม มีหลายครั้งที่ยอดผาถูกทาบทามให้เป็นดารา แต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า แค่บริหารค่ายมวย เขาก็แทบไม่มีเวลาว่างอยู่แล้ว

                ตอนนี้เขาต้องซ้อมหนัก เพื่อเข้าแข่งขันชกมวยการกุศล หารายได้ช่วยเหลือเพื่อนนักมวยอาวุโส โดยมียอดชนะผู้เป็นบิดาเป็นโค้ชให้  แต่ด้วยความที่ยอดผาเป็นนักมวยทักษะแน่นอยู่แล้ว การฝึกซ้อมจึงเป็นเพียงการเตรียมร่างกายให้พร้อมอยู่เสมอเท่านั้นเอง

“พี่ยอช์ต คนพวกนั้นมาอีกแล้วพี่”

คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากัน  คนพวกนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนของเจ้าสัวยอดชาย เมื่อหลายเดือนก่อน เขาถูกเจ้าสัวเรียกไปพบ ตอนแรกเขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แต่เป็นเพราะบิดาขอร้อง เขาจึงยอมไปพบเจ้าสัวยอดชาย

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับบิดาที่ใจร้ายที่สุดของมารดา หากไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง คนทั่วไปอาจคิดว่าเจ้าสัวยอดชายก็เหมือนชายชราคนหนึ่ง สีหน้าท่าทางดูใจดีเสียด้วย แต่ในความเป็นจริง เขารู้อยู่เต็มอกว่าภาพลักษณ์ทั้งหมดคือสิ่งลวงตา ชายชราที่ไร้พิษสงกลับซ่อนความโหดร้าย ใจดำ และเลือดเย็นไว้อย่างแนบเนียนที่สุด

เจ้าสัวบอกให้เขากลับไปอยู่บ้านหลังใหญ่ ทิ้งค่ายมวยนี่เสีย และเข้าไปบริหารบริษัทอัญมณีของท่านแทน แต่ยอดผากลับหัวเราะลั่นราวกับขบขันเสียนักหนา แล้วเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ ไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ ทำกับมารดาของเขาได้อย่างเลือดเย็น ยังมีหน้าให้เขากลับไปอยู่บ้าน ไปทำงานด้วยหรือ มันน่าทุเรศจริงๆ

ภาพมารดาร่ำไห้เสียใจ พร่ำเรียกหาแต่เจ้าสัวยังติดตาติดหัวใจของเขาอยู่ ไม่ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน ภาพนั้นก็ยังคงชัดเจนสำหรับเขา ชีวิตของเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้เขาก็มีความสุขดีอยู่แล้ว การศึกษาที่ได้รับก็มากพอชนิดที่เรียกได้ว่าไม่อายใคร การเงิน การงาน เขาไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าสัวยอดชายด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องสนใจพวกนั้นหรอก มันไม่กล้าทำอะไรหรอก ให้คนของเราคอยดูไว้ห่างๆ ก็พอ”

“ตาพี่ยอช์ตนี่เล่นไม่เลิกเนอะ”

ยอดผาพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกน้องในค่ายพูด เจ้าสัวยอดชายนี่เล่นไม่เลิก ทั้งที่เขาปฏิเสธอย่างชัดเจน ทั้งคำพูดและท่าทาง แต่ทางโน้นก็ยังไม่หยุดตื๊อ หรือไม่ก็คงอยากเอาชนะ  ก่อนมารดาจะเสียชีวิต สิ่งที่ทำให้เขาได้รู้จักเจ้าสัวยอดชายมากขึ้นนั่นก็คือรูปถ่าย มารดาพร่ำบอกว่า ตัวเองทำให้เจ้าสัวโกรธจนไม่อยากให้อภัย แม่บอกเขาเสมอว่า คนที่ทำให้เจ้าสัวยอมอภัยให้แก่แม่ได้นั่นก็คือยอดผา

ตอนนั้นเขารับปากมารดาหนักแน่นว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าสัวยอดชายอภัยให้แก่มารดา แต่พอถึงวันที่มารดาอาการหนัก วันสุดท้ายของชีวิต วันที่เขาต้องไปยืนตะโกนร้องเรียกเจ้าสัวที่หน้าบ้านหลังใหญ่ คุกเข่าอ้อนวอนท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

สิ่งที่เขาเห็นนั่นก็คือ เจ้าสัวไม่ได้สนใจไยดีอะไรด้วยซ้ำ ทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาร้องขอ และนั่นทำให้ยอดผาเจ็บปวด ตะกอนความโกรธยังตกค้างอยู่ในหัวใจ

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ยอดผาก็ให้คำมั่นแก่ตัวเองว่า เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้าสัวยอดชายอีก ต่อไปนี้ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นหรือตาย เขาก็จะไม่สนใจ ชายหนุ่มสลัดเรื่องไร้สาระออกไปจากหัว แล้วเพ่งสมาธิกับการกระโดดเชือก อบอุ่นร่างกาย เพราะการแข่งขันในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า นับเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเขา

เขาจะแขวนนวมจริงๆ จังๆ สักที แต่คู่ต่อสู้ของเขาฝีมือใช่ย่อย เจอกันมาห้าครั้ง เขาชนะสาม เสมอสอง ฝ่ายโน้นก็คงแค้นใจอย่างมาก หมายจะเอาชนะในนัดนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเขาจะประมาทไม่ได้

ทุกอย่างอยู่ในสายตายอดชนะ แววตาของคนเป็นพ่อยามมองลูกชายเต็มไปด้วยความหนักใจ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสัวยอดชายกับยอดผาแย่กว่าเดิม ยอดผาเป็นคนรักแรงเกลียดแรง เมื่อครั้งที่เจ้าสัวบาดหมางกับยอดธิดานั้น มีแต่ยอดธิดาที่เพียรไปหาคนเป็นบิดา

ทว่าหลังจากที่ยอดธิดาเสียไป เจ้าสัวกลับเป็นฝ่ายมาหาเสียเอง แต่ยอดผาก็ไล่อย่างไร้เยื่อใย ภาพเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้ว ถึงแม้มันจะผ่านมาหลายสิบปี แต่สำหรับยอดชนะ มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน นึกแล้วก็สงสารเจ้าสัวยอดชายนัก เขาไม่อยากให้ลูกโกรธคนเป็นตาไปตลอดชีวิต...แค่ลูกกับพ่อก็ทรมานมากพอแล้ว แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขากลัว มันกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำอีก

“ยอด พวกนั้นมาอีกแล้วหรือ”

บิดามักเรียกเขาเช่นนี้เสมอ ในขณะที่มารดาเรียกเขาว่ายอช์ต เพราะเรือยอช์ตคือของรักของหวงของเจ้าสัวยอดชาย นอกจากนี้มารดายังอยากให้เขามีชีวิตที่มั่นคงดุจขุนเขา และมีชีวิตที่สูงส่งและแข็งแกร่งประดุจหินผา จึงตั้งชื่อเขาว่ายอดผา

“ครับป๊า”

“แล้วไม่ออกไปหน่อยหรือ เผื่อเจ้าสัวมีธุระ”

คนเป็นบิดาลองหยั่งเชิง แต่คำตอบที่ได้มาก็เหมือนอย่างที่คิด

“ไม่มีอะไรหรอกครับ น่าเบื่อมาก พูดใส่หน้าไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากจะคุยด้วย ก็ยังหน้าด้านหน้าทนบอกให้ผมไปทำงานด้วย ป๊าคิดดูสิครับ ผมจะทำงานกับคนใจร้ายที่ปล่อยให้แม่ตายตาไม่หลับคนนั้นได้ยังไง ต่อให้ตายผมก็ไม่ไป เขาเคยประกาศตัดพ่อตัดลูกกับแม่มาแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าผมก็ไม่ใช่หลานของเขา ให้เรื่องทุกอย่างเป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นน่ะดีแล้ว”

ฟังคำพูดคนเป็นลูกแล้วคนเป็นพ่อก็ถึงกับถอนใจ จะทำอย่างไรดีนะ ตากับหลานจะได้คืนดีกัน ในตอนนี้ให้ตาคืนดีกับหลานมันเป็นเรื่องง่าย แต่ให้หลานคืนดีกับตานี่ละ เรื่องยากที่สุด

“อย่าโกรธเจ้าสัวเลย ป๊าจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าแกจะไปทำงานกับเจ้าสัว แกเป็นทายาทเพียงคนเดียวของท่าน ยังไงก็ต้องรับช่วงกิจการต่อจากท่านอยู่แล้ว”

“ทายาทเหรอป๊า ไม่ใช่หรอกมั้ง เขาแค่ไม่เหลือใครมากกว่า เลยคิดจะบังคับให้ผมไปทำงานด้วย ที่จริงแล้วก็คงห่วงสมบัติ ห่วงบริษัท กลัวไม่มีใครดูแล ผมคงปั้นหน้าอยู่กับเขาตลอดเวลาไม่ไหวหรอกป๊า”

“โทษเจ้าสัวคนเดียวก็ไม่ถูก ท่านรักแม่ของยอดมาก ท่านจึงห่วงสารพัดว่าป๊าจะพาลูกของท่านไปลำบาก และเมื่อแม่ของยอดเลือกป๊า คนเป็นพ่อก็ผิดหวังเสียใจเป็นธรรมดา แกก็เห็นอยู่แล้วว่าทิฐิมันทำให้เราทั้งสองฝ่ายเจ็บปวด แล้วแกยังจะสร้างทิฐิในหัวใจแกอีกหรือ”

“ทั้งที่ทุกวันนี้เจ้าสัวไม่เคยพูดดีกับป๊าสักครั้ง มองหน้าก็ไม่เคย แล้วทำไมป๊าถึงอยากให้ผมดีกับเขานัก”

ใช่! สิ่งที่ยอดผาพูดคือเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่อยากให้ลูกชายจับมาเป็นประเด็นโกรธเคืองเจ้าสัวอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนเขาก็เคยโกรธเจ้าสัวบ้าง เสียใจแทนภรรยาที่ถูกบิดาเกลียด จนไม่ยอมมองหน้ากระทั่งตาย แม้ว่าภรรยาของเขาจะเพียรพยายามง้องอนมาตลอดหลายสิบปี ก็ยังไร้ผลแต่ถ้าเขามัวแต่แค้น สิ่งที่ภรรยาคาดหวังจะให้ยอดผาทำให้เจ้าสัวยอดชายหายโกรธ มันจะมีความหวังหรือ

“ก็เพราะแม่ของยอดไง แม่อยากให้ยอดทำให้เจ้าสัวหายโกรธ ทำให้เจ้าสัวอภัยให้ป๊ากับแม่ แกจำคำขอร้องครั้งสุดท้ายของแม่ได้ไหม ไม่อยากให้แม่หมดห่วงเหรอ เรื่องในอดีตปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ มันเป็นเรื่องรุ่นพ่อรุ่นแม่ คนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่าไปผูกใจเจ็บด้วยอีกเลย”

“แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมด เจ้าสัวเป็นคนดึงผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ผมเห็นทุกอย่าง รับรู้ถึงความเสียใจของแม่ทุกครั้ง เห็นแม่น้ำตาไหลทุกวัน ป๊าจะให้ผมทำใจยอมรับได้ง่ายๆ เหมือนที่ป๊าพยายามทำอยู่อย่างนั้นเหรอ มันอาจจะง่ายสำหรับป๊า แต่สำหรับผมมันยากมาก ยากจนผมไม่รู้เลยว่า จะมีวันอภัยให้แก่คนใจร้ายคนนั้นได้หรือเปล่า” ยอดผากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่ต่างจากสีหน้า

 “แล้วจะให้พวกนั้นยืนขวางอยู่อย่างนั้นหรือ”

“ถ้าไม่เมื่อยก็ให้ยืนรอไปเถอะครับ ถึงยังไงผมก็ไม่มีทางไปกับพวกเขาหรอก”

ยอดผาหยิบผ้าซับเหงื่อเดินขึ้นสังเวียนมวย ไหว้เชือกคาดทุกมุมเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจ ตามกฎพื้นฐานของการต่อยมวย ที่สำคัญการไหว้ครูยังบ่งบอกถึงความสวยงามของแม่ไม้มวยไทยอีกด้วย

ชายหนุ่มเริ่มจากการยืดแข้งยืดขากับครูพนม เพื่อนรุ่นน้องของบิดาที่เป็นทั้งครูฝึกและคู่ซ้อมมวยไทยให้เขามาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเติบใหญ่มีชื่อเสียง ได้ถ้วยรางวัลและเข็มขัดแชมป์หลายสมัย

ยอดผาระบายลมหายใจออกทางปากอย่างแรง เรียกสมาธิของตัวเองให้กลับคืนมา เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องไร้สาระของเจ้าสัวยอดชายรกสมอง หรือรบกวนการซ้อมในครั้งนี้เด็ดขาด มือหนาถูกพันด้วยผ้าสีขาวขุ่นทั้งสองข้าง กายแข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามบ่งบอกว่าเจ้าของรักษาสุขภาพและร่างกายดีแค่ไหนเพื่อให้มันคงที่ตลอดเวลา บวกกับหน้าตาที่หล่อเหลา ทำให้บรรดากองเชียร์สาวน้อยสาวใหญ่ และแม่ยกทั้งหลายชื่นชอบ ซื้อบัตรเข้ามาดู หากยอดผาขึ้นชกวันไหน บัตรขายเกลี้ยงในวันนั้น

ยอดผาเต้นวอร์ม ยกมือขึ้นตั้งท่าจดมวย คือวางเข่าและมือให้ถูกต้องตามหลักการฝึก ซึ่งในการจดมวยนั้น ต้องรู้เหลี่ยมมวย ซึ่งมีอยู่สองเหลี่ยมคือ เหลี่ยมซ้าย และเหลี่ยมขวา

เหลี่ยมซ้ายคือ หมัดขวาอยู่ข้างหน้า สูงระดับหางคิ้ว หมัดซ้ายอยู่ชิดคาง เท้าขวาอยู่ข้างหน้า ให้ปลายเท้าชี้ไปยังคู่ต่อสู้ เท้าซ้ายอยู่ด้านหลัง ในลักษณะตั้งฉากกับเท้าหน้า ลำตัวเหยียดตรง

เหลี่ยมขวาก็ไม่ต่างจากเหลี่ยมซ้ายสักเท่าไร คือยื่นหมัดซ้ายไปข้างหน้า สูงระดับหางคิ้ว หมัดขวาอยู่ชิดคาง เท้าซ้ายอยู่หน้าเท้าขวา ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย เพื่อปิดคางและกันหมัด

“ต่อยซ้ายมา ขวา ขวา ซ้าย หลบ”

ครูพนมสั่งยอดผาขณะฝึกซ้อมตามปรกติ สักพักเสียงพูดนั้นก็หายไป และใช้ท่าทางสอนแทน มือที่สวมเป้าเตะอันใหญ่สวนกลับไปเหมือนกัน แตะโน่น โยกตรงนี้ เพื่อให้นักมวยมีทักษะการหลบหลีกหมัดคู่ต่อสู้ได้อย่างว่องไว และปล่อยหมัดสวนกลับมาได้อย่างเต็มที่

ยอดชนะมองการซ้อมของลูกชายอย่างพึงพอใจ สิ่งที่เขาต้องการอนุรักษ์เอาไว้ ยอดผาสามารถทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย

“ยอช์ต สลับฟันปลา” ครูพนมสั่งก่อนจะเตรียมตั้งรับ

ยอดผาปล่อยหมัดซ้ายไปที่หน้าคู่ฝึกซ้อม แต่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวไปทางขวาโดยการชักเท้าซ้ายถอยหลัง ตั้งรับให้มั่น และใช้มือซ้ายผลักแขนของยอดผาออกไปทางซ้าย แล้วสวนหมัดขวาออกไปในท่าเดียวกัน ยอดผาจึงเบี่ยงตัวมาทางซ้ายและใช้ฝ่ามือซ้ายตบผลักแขนของครูพนมไปทางซ้ายสลับกับการเคลื่อนไหวเท้าสลับเป็นฟันปลา

“อิเหนาแทงกริช”

ยอดผาผลักแขนของครูชนะที่พุ่งเข้ามาออกห่างแล้วตอบโต้ด้วยการยกเข่าขึ้นแทงที่กลางลำตัว แต่ทั้งหมดมิได้ใช้ความรุนแรง เพราะเป็นเพียงแค่การซ้อมเท่านั้น

“ดีมากยอช์ต ถึงเวลาแข่งขันจริงจะไม่มีท่าแม่ไม้มวยไทยแบบนี้ ยอช์ตก็สามารถชนะได้อยู่แล้ว แต่ถ้ายอช์ตสามารถโชว์ท่ามวยไทยให้คนดูมวยได้เห็น นั่นถือว่าเป็นกำไรของคนดู พวกเขาดูมวยไทยมานาน แต่ท่ามวยไทยพวกนี้นักมวยทุกคนคงไม่สามารถใช้ในการชกได้บ่อยครั้ง ถือว่าเป็นวิทยาทาน ให้คนดูได้เรียนรู้ว่ายังมีท่าแม่ไม้มวยไทยพวกนี้หลงเหลืออยู่” ครูพนมเอ่ย

                 บรรดาท่าที่เขาบอกยอดผาเป็นท่าที่อยู่ในการเรียนรู้มวยไทยอยู่แล้ว และเขารู้ดีว่ายอดผาเก่งกาจทุกท่า เพราะฝึกซ้อมอย่างหนัก ชายหนุ่มได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะบิดาที่เป็นนักมวยเก่าถ่ายทอดท่วงท่าที่สวยงามให้แก่บุตรชาย ซึ่งมีพรสวรรค์ทางด้านนี้มาตั้งแต่เล็ก เรียกได้ว่าเลือดพ่อแรง

“โธ่ครู! ขืนมัวแต่เน้นลีลาผมโดนต่อยร่วงไปกองกับพื้น เสียหน้าทั้งค่าย ทั้งครู คราวนี้ได้อายกันบ้างละ”

ยอดชนะกับครูพนม รวมทั้งนักมวยรุ่นน้องที่กำลังฝึกอยู่ในบริเวณนั้น ต่างหัวเราะกับคำพูดของยอดผา คนที่อยู่ไกลหน่อยจึงหันมองด้วยความสงสัย ว่าทั้งหมดหัวเราะเรื่องอะไร พอรู้ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย

นักมวยในค่าย ย. ยอดยิมมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก เพราะต้องพักอาศัยและกินอยู่กับทางค่าย โดยแต่ละคนจะมีห้องพักเป็นของตัวเอง อาหารสามมื้อ และตารางการซ้อมเคร่งครัดและหนักหน่วง เพื่อชื่อเสียงและชัยชนะในอนาคตซึ่งเป็นความฝันของนักมวยทุกคน

 

มือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาดึงลิ้นชักหัวเตียงเปิดออก หยิบรูปที่อยู่ด้านในขึ้นมาดู แววตาเศร้าหมอง น้ำอุ่นๆ คลอดวงตาทั้งสองข้างยามคิดถึงเรื่องราวในอดีต หากในตอนนั้นทิฐิที่มีลดน้อยลง เขาคงไม่ต้องมานั่งเสียใจอยู่เพียงลำพัง ความร่ำรวยที่ได้มาไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ได้ทำให้เขาซื้อหาความสุขได้ หากเพียงย้อนเวลาหมุนกลับไปได้ เขาคงไม่ทำเช่นนั้น เปลือกตาหนากะพริบขับไล่น้ำตาให้เลือนหายไป ความคิดล่องลอยไปเมื่อหลายสิบปีก่อน

‘เจ้าสัวคะ มีข่าวดีค่ะ’

สีดาเดินเข้ามานั่งกับพื้นเยื้องเก้าอี้ของเจ้าสัวยอดชาย แววตาตื้นตัน ยินดีล้นพ้น

‘มีอะไรสีดา วิ่งหน้าตื่นเข้ามาเชียว หรือมีหนุ่มๆ ที่ไหนชวนไปกินข้าวด้วย’

คำเย้านั้นทำให้นางอดไม่ได้ที่จะค้อนใส่คนเป็นเจ้านาย ก่อนจะบอกข่าวดีที่นางเพิ่งได้ยินมา

‘คุณหนูค่ะ คุณหนูกำลังตั้งท้อง’

หากมองไม่ผิด นางคิดว่าเห็นความยินดีในแววตาของเจ้าสัวยอดชายแน่ แต่มันแปรเปลี่ยนไวเหลือเกิน จนนางไม่แน่ใจ คิดว่าตัวเองตาฝาดไป แถมสิ่งที่นางได้ยินยังเป็นน้ำเสียงเย็นชา ไม่มีอาการตื่นเต้น หรือดีใจอยู่ในน้ำเสียงนั้นเลย

‘แล้วไง  มันซมซานกลับมาขอค่านมให้ลูกมันหรือไง’

แววยินดีของสีดาเลือนหายไป มองคนตรงหน้าอย่างผิดหวัง นางรู้ว่าตลอดเวลาเจ้าสัวคิดถึงยอดธิดามากแค่ไหน ทุกวันเจ้าสัวจะต้องเข้าไปในห้องนอนของลูกสาว จมอยู่กับความคิดในห้องนั้นพักใหญ่ กว่าจะกลับออกมาได้ แล้วดูตอนนี้สิ เจ้าสัวกำลังพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับใจ ทั้งหมดเป็นเพราะทิฐิตัวเดียว

‘ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คุณหนูมาบอกด้วยความยินดีค่ะ อยากให้คุณท่านทราบ และยินดีไปกับเธอด้วย ที่กำลังจะมีลูก มีหลานให้เจ้าสัวยังไงล่ะคะ’

‘ใคร! ใครจะยินดีกับมัน ฉันบอกไปแล้วว่ามันไม่ใช่ลูกฉัน ถ้าคราวหน้ามันมาอีก ให้บอกมันด้วยว่าอย่าสอนให้ลูกมันเรียกฉันว่าตา เพราะฉันไม่นับญาติกับมัน’

พูดจบก็เดินขึ้นไปข้างบน ไม่หันมามองคนรับใช้เก่าแก่ที่นั่งทอดถอนใจด้วยความสงสาร ทำไมนางจะไม่รู้ว่าเจ้าสัวคิดถึงคนเป็นลูกมากเพียงใด หลายครั้งที่เห็นเจ้าสัวเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง มองห้องของยอดธิดา และแอบหลับในห้องของลูกสาว ทุกคนเห็น แต่ไม่มีใครพูด เพราะกลัวเจ้าสัวยอดชายจะโกรธไปมากกว่าเดิม หากถูกจับได้ว่าคิดถึงลูกสาวสุดดวงใจ นางสงสารทั้งลูกทั้งพ่อ ลูกก็เลือกความรัก พ่อก็ทิฐิเหลือเกิน

ข่าวคราวของยอดธิดายังวนเวียนมาให้ได้ยินเสมอ เธอคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย ทันทีที่ได้ยินข่าว ความยินดีเอ่อล้นหัวอกคนเป็นตา แต่ต้องเก็บเอาไว้ข้างใน ปั้นหน้าแสร้งทำเป็นไม่สนใจ เวลาเวียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยอดธิดายังวนเวียนไปหาผู้เป็นบิดาอย่างสม่ำเสมอ จนพักหลังความถี่ในการมาเยี่ยมเริ่มเว้นช่วงห่างออกไป ยอดธิดาป่วยหนักแต่ไม่มีใครรู้สักคน

ภายในโรงพยาบาล มีชายสูงวัยคนหนึ่งแอบมองภาพลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างเจ็บปวดอยู่หน้าห้องพักฟื้น น้ำตารื้นขอบตา อยากเดินเข้าไปหา อยากกอด แต่ทิฐิที่มีมันก็ค้ำคอ เด็กหนุ่มที่จับมือมารดาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย นั่นคือหลานชายของเขา หลานชายที่เขาไม่เคยได้จูบ ได้กอด อยากเดินเข้าไปหาเหลือเกิน แต่เท้าแข็งแรงขยับก้าวไปได้นิดก็ชะงัก แล้วหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว กลัวตัวเองใจอ่อน

หากจะมีใครสักคนที่เดินเข้ามา พวกนั้นต้องเป็นฝ่ายเดินมาหาเขา ไม่ใช่เขาเป็นฝ่ายเดินไปหา

ท่ามกลางสายฝน ภาพยอดผาคุกเข่ากับพื้น ร่ำไห้ร้องเรียกเขา มันช่างเป็นภาพที่บีบหัวใจคนดูอย่างเขาเหลือเกิน แต่ก็ต้องทำเป็นไม่สนใจ ไม่เห็น ไม่รู้สึก แต่ใครจะรู้ หัวใจคนเป็นพ่อนั้นแทบแตกสลาย ยามเมื่อสีดาวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบอกว่า ยอดธิดา บุตรสาวที่ท่านรัก กำลังจะจากโลกนี้ไป

เขากำลังช็อก ทำอะไรไม่ถูก จึงหมุนกายกลับ หวังเพียงแค่ตั้งสติเท่านั้น ไม่คิดเลยว่า การกระทำเช่นนั้นจะทำให้ยอดผาที่วิ่งเข้ามาเห็นเข้าใจผิด คำว่าเกลียดของยอดผา เหมือนรอยสักที่กดลึก ย้ำอยู่ในหัวใจ ลบอย่างไรก็ลบไม่ออก

ปลายนิ้วเลื่อนไปเลื่อนมาสัมผัสรูปของคนทั้งคู่ กระบอกตาปวดร้าว เขาจำได้ว่า ตอนนั้นเขาหมดสติล้มลงไป ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็เป็นวันเผาศพของยอดธิดา จะมีใครเจ็บปวดได้เท่าเขา แทนที่คนผมดำจะเผาศพคนผมขาว กลับกลายเป็นคนผมขาวต้องเผาศพคนผมดำ หัวใจคนเป็นพ่อแทบแตกสลาย

เขารีบออกจากโรงพยาบาลทั้งที่หมอยังไม่อนุญาต ฝืนความเจ็บป่วยมาถึงวัด แต่ก็ทำได้เพียงแค่แอบมองจากมุมหนึ่งไกลๆ ส่งลูกสาวอันเป็นที่รักขึ้นสวรรค์ น้ำตานองหน้า เป็นครั้งแรกที่เขาคิดได้ว่า ทุกอย่างได้สายไปเสียแล้ว เพราะคำว่าทิฐิเพียงตัวเดียว

เจ้าสัวยอดชายละสายตาจากยอดเมรุที่มีควันดำลอยละล่องกลางอากาศ มองคนที่ยอดชนะกอดเอาไว้...ยอดผา คือสิ่งเดียวที่ท่านจะสามารถไถ่โทษในสิ่งที่ท่านได้ทำกับยอดธิดาได้

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพแล้ว เจ้าสัวยอดชายเดินทางไปค่ายมวย ย. ยอดยิมพร้อมกับลูกน้องอีกสามคน เขายังจำได้ดีว่ายอดชนะตกใจแค่ไหนที่เห็นหน้าเขา และเดินออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ยังคงมีร่องรอยความเศร้าจากการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคนเป็นภรรยา 

‘สวัสดีครับท่าน’ ยอดชนะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

 ‘ฉันมีเรื่องอยากพูดด้วย’

ยอดชนะแทบกลั้นหายใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงราบเรียบของเจ้าสัวยอดชาย 

‘เรื่องอะไรหรือครับ’

‘ฉันอยากจะรับยอดผาไปอยู่ด้วย’

‘ไม่!’

คราวนี้เป็นเสียงยอดผา ที่ตะโกนลั่น สีหน้าขมึงทึง ดวงตาของเด็กหนุ่มวาววับด้วยแรงโทสะ จับจ้องคนที่ได้ชื่อว่าเป็นตาเขม็ง ภาพเหตุการณ์หลายวันก่อนย้อนเข้ามาในมโนนึก ท่ามกลางสายฝน เขานั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ร้องตะโกนให้ผู้ชายใจร้ายคนนี้ไปเยี่ยมมารดาของเขา แต่ผู้ชายใจร้ายคนนี้กลับนิ่งเฉย แม่...ผู้หญิงที่น่าสงสารที่สุด ขนาดใกล้จะหมดลม ยังสั่งเสียให้เขาไปเยี่ยมคนเป็นตาบ่อยๆ อย่าโกรธ อย่าเกลียด และขอให้ช่วยทำให้คนเป็นตาอภัยให้ท่านด้วย แต่สิ่งที่ผู้ชายใจร้ายคนนี้กระทำต่อมารดาของเขา มันช่างโหดร้ายสิ้นดี

‘ผมไม่ไปอยู่กับผู้ชายใจร้ายคนนี้นะป๊า เขาไม่ได้เป็นญาติอะไรกับเรา ผมไม่ไป’

ยอดชนะหันไปทำตาดุใส่คนเป็นลูก ปรามให้ลูกชายหยุดพูดจาเหลวไหลแบบนั้น

‘ยอด! หยุดพูดจาก้าวร้าวคุณตาเดี๋ยวนี้’

‘ไม่! เขาไม่ใช่ตาของผม เขาไม่ใช่ญาติ ถ้าเขาเป็นตาของผมจริง เขาคงไม่ใจร้ายกับแม่...แม่รอเขาจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต รอด้วยความหวัง รอตลอดเวลาที่หายใจ  ผมรู้ว่าแม่กับป๊าเคยทำผิด แต่ป๊าก็พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วนี่ ว่าป๊าไม่เคยพาแม่มาลำบาก สุขสบายด้วยซ้ำ ผมได้เรียนโรงเรียนดีๆ ไม่น้อยหน้าใคร ไม่เคยอดมื้อกินมื้อ แค่นี้มันยังไม่พอกับการให้อภัยอีกเหรอ คนอย่างนี้สมควรอยู่คนเดียวตลอดชีวิต’

ยอดชนะอึ้ง พูดไม่ออก เพราะสิ่งที่ยอดผาพูดออกมาคือความจริง แต่เขาจะปล่อยให้บุตรชายคิดแบบนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นตากับหลานคงไม่มีวันคืนดีกัน ในขณะที่คนฟังอีกคนหนึ่งยอกไปทั้งหัวใจ ดวงตาฝ้าฟางปวดร้าว ต้องเก็บความเสียใจไว้ข้างใน เพราะคำพูดของคนเป็นหลานเปรียบเสมือนมีดปักตรงกลางหัวใจของท่าน จริงทุกอย่าง จริงอย่างที่ยอดผาพูด มือที่จับไม้เท้าสั่นเล็กน้อย

‘ผมบอกท่านไว้เลยนะ ต่อให้ผมอดตาย ไม่มีที่ซุกหัวนอน ผมก็จะไม่ซมซานไปหาคนใจร้ายอย่างท่านหรอก เชิญท่านเสวยสุขกับความหยิ่งยโสต่อไปเถอะ หลายปีที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้จักกันอย่างไร ต่อไปนี้เราก็ไม่เคยรู้จักกันอย่างนั้น ต่างคนต่างอยู่ อย่าได้มาวุ่นวายกับครอบครัวผมอีก สิ้นแม่ไปแล้ว ก็ถือเสียว่าเราตัดขาดกัน ไม่เหลือความผูกพันใดๆ ต่อกันอีก หรืออยากให้ผมกรวดน้ำ คว่ำขันให้ด้วย ท่านจะได้พอใจ’

เด็กหนุ่มพูดจบก็เดินจากไป ทิ้งให้เจ้าสัวยอดชายมองตามด้วยความปวดร้าว สมควรแล้ว...ที่ท่านได้รับการปฏิบัติแบบนี้  

‘ผมต้องขอโทษแทนเจ้ายอดมันด้วยครับ เป็นเพราะผมสั่งสอนมันไม่ดี หากท่านจะโกรธก็โกรธที่ผมเถิด’

เจ้าสัวยอดชายมองยอดชนะนิ่ง เมื่อหลายสิบปีก่อนเขาไม่เคยมองคนที่เป็นลูกเขยแบบนี้มาก่อน ทุกวินาทีในตอนนั้น ความรู้สึกของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด เจ้าสัวยอดชายถอนหายใจออกมายาวเหยียด

‘ไม่เป็นไร เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะฉันคนเดียว เจ้ายอดแสดงกิริยาแบบนี้มันก็สมควรแล้ว’

เงียบกริบ จนกระทั่งเจ้าสัวยอดชายเดินออกไปจากค่ายมวย ร่างที่เคยสูงสง่า ใบหน้าเชิดตรงอย่างถือเกียรติอยู่เสมอ ตอนนี้กลับก้มต่ำ เท้าที่เคยก้าวอย่างมุ่งมั่น กลับช้าลง ยอดชนะไม่เคยเห็นเจ้าสัวยอดชายในแบบนี้มาก่อน พอเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เจ้าสัวไม่เหลือใครอีกแล้ว ในขณะที่เขายังมียอดผา

                ...

            ภาพในอดีตลบเลือนหายไป เมื่อประตูห้องนอนถูกเคาะเรียก ไม่นานก็เปิดออก เจ้าสัวหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ที่เธอนำมาให้ท่านทุกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนฉายบนใบหน้า 

“ดูรูปอีกแล้วหรือคะ น้ำมนต์ต้มซุปมาให้ค่ะ คุณตาจะได้ทานร้อนๆ ก่อนนอน”

“ขอบใจนะลูก”

เจ้าสัวยอดชายทอดตามองน้ำมนต์ หรือ รมณ เด็กกำพร้าที่ถูกนำมาทิ้งไว้หน้าบ้านของท่าน ดีที่วันนั้นท่านเห็นพอดี ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาเห็นตอนไหน  หลังจากยอดธิดาเลือกหนทางชีวิตของตัวเอง บ้านหลังใหญ่ก็เงียบเหงา แววตาเด็กน้อยในตอนนั้นช่างเหมือนกับบุตรสาวของท่าน ความสงสารบวกกับความรู้สึกหนึ่งที่เกาะกินหัวใจ ทำให้เจ้าสัวตัดสินใจรับอุปการะ ส่งเสียเลี้ยงดู ในฐานะหลานสาว พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า รมณ ไพศาลเกรียงไกร

รมณรู้ดีทีเดียวว่าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าสัวยอดชายทางสายเลือด เธอรู้ที่มาที่ไปของตัวเอง แต่การศึกษา และการเลี้ยงดูที่เธอได้รับประหนึ่งเธอเป็นหนึ่งในสายเลือดของเจ้าสัว ทำให้รมณสำนึกตลอดมา เธอคงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้ หากไม่มีเจ้าสัวยอดชาย

เจ้าสัวให้ชีวิตเธอ ชีวิตของเธอจึงเป็นของเจ้าสัว ไม่ว่าท่านจะอยากได้หรือต้องการอะไร เธอจะหามาให้ท่านทุกอย่าง

เจ้าสัวยอดชายเก็บรูปไว้ในลิ้นชักตามเดิม แววตาอ่อนแสงทอดมองหญิงสาวตรงหน้า รมณ...แปลว่าความสุข ท่านอยากให้หลานสาวคนนี้พบพานแต่ความสุข พบแต่สิ่งดีๆ เพราะเธอพบสิ่งที่เลวร้ายตั้งแต่ถือกำเนิด  ถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อกับแม่ทิ้งได้อย่างใจดำที่สุด

สายตาที่ผ่านโลกมามากกวาดมองไปทั่วใบหน้า รมณเป็นผู้หญิงที่จัดว่าสวยคนหนึ่ง ดวงตากลมโต ดำขลับ คิ้วเรียวยาวได้รูป จมูกโด่ง ริมฝีปากเป็นกระจับ นิสัยเรียบร้อย ใจเย็น และความใจเย็นของเธอนี่แหละ ทำให้ท่านนึกอะไรบางอย่างออก

“ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วลูก”

คนถูกถามมองด้วยความประหลาดใจ อยู่ดีๆ เจ้าสัวยอดชายถามถึงอายุเธอทำไม

“ยี่สิบสามค่ะ”

เจ้าสัวพยักหน้ารับรู้คำตอบของเธอ รมณเป็นคนน่ารัก ใครอยู่ด้วยก็สบายใจ และถ้าหากยอดผาได้อยู่ใกล้ ท่านคิดว่ารมณคงทำให้ยอดผาใจเย็น หัวใจที่แข็งแกร่งคงอ่อนลงได้ เพราะไม่ว่าใครคนไหนก็ยอมให้แก่ความน่ารักของรมณทั้งนั้น

“ตามีเรื่องอยากจะขอร้องหนู ฟังดูแล้ว อาจจะเห็นแก่ตัว หนูอาจจะเกลียดตา แต่มันก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยตาให้มีความสุขได้ หนูจะยอมรับหรือไม่ยอมรับคำขอร้องของตา ก็แล้วแต่หนูจะเห็นสมควร ตายอมรับการตัดสินใจของหนู ระหว่างเรายังเหมือนเดิม หนูยังเป็นหลานที่น่ารักของตาเสมอ”

แววตาเต็มไปด้วยคำถามของรมณ มองสบตาคนสูงวัยตรงหน้า

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณตา”

เจ้าสัวยอดชายลอบถอนหายใจ ชั่วอึดใจจึงยอมเอ่ยออกมา

“ตาอยากให้หนูใช้ความน่ารัก อ่อนหวาน ละลายหัวใจแข็งแกร่งของใครคนหนึ่ง ทำให้เขาอภัยให้ตา ก่อนที่ตาจะตาย ตาเคยทำร้ายเขาไว้มาก ชาตินี้เขาคงไม่ให้อภัยตา”

น้ำเสียงเศร้าและสั่นพร่าของเจ้าสัวยอดชายทำให้รมณร้อนใจไปด้วย ฟังแล้วเธอใจไม่ดี เจ้าสัวไม่เคยพูดถึงเรื่องเป็นเรื่องตายมาก่อน

“พูดอะไรอย่างนั้นคะคุณตา ไม่เอาค่ะ คุณตาต้องอยู่กับหนูอีกนาน”

เจ้าสัวหัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะหลานสาวตรงหน้า

“ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ตาไม่เคยกลัวความตาย แต่ก่อนตาย ตาอยากให้คนที่เกลียดตา อภัยให้แก่ตา”

“ใครคะ มีใครที่เกลียดคุณตาที่ใจดีคนนี้ของหนูคะ”

คำพูดของรมณทำให้เจ้าสัวยิ้มอ่อน แววตาเจ็บปวด ยามที่คิดถึงคนที่เกลียดท่าน

“ยอดผา พี่ยอดผา”

รมณมองคนพูดอย่างตกตะลึง ทำไมเธอจะไม่รู้จัก ยอดผา กิตติธาดาธร นักมวยคนนั้น...ค่ายมวยใหญ่ที่อยู่ห่างจากบ้านหลังนี้ไปไม่กี่ซอยและกำลังจะขยายกิจการให้ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าคมเข้มในนิตยสารหลายเล่มที่เธอเคยอ่านลอยเข้ามาในหัว ภาพที่เขากำลังขึ้นชก คิ้วแตก เลือดสาด หญิงสาวคิดอย่างหวาดหวั่น เธอไม่ชอบอาชีพของเขาเลย

“คุณตาจะให้หนูทำอะไรคะ”

“ตาอยากให้หนูแต่งงานกับพี่เขา มันไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ของตาเพียงอย่างเดียวนะลูก แต่ตาอยากให้หนูมีผู้ชายที่ดีมาดูแล ตายอช์ตเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง ถ้าไม่นับความโกรธและทิฐิที่มีต่อตาแล้ว หลานตาคนนี้สามารถดูแลหนูได้ดีและทำให้หนูมีความสุขได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ตาจะตายอย่างมีความสุขมาก”

รมณเย็นวาบไปทั้งกาย หลังจากได้ยินคำพูดของผู้มีพระคุณ แต่งงาน! ผู้ชายที่ดูดุดันคนนั้นน่ะหรือ จะดูแลเธอได้ดีจริงๆ ภาพการชกมวยของเขาลอยเข้ามาในมโนนึกอีกครั้ง รอยแผล รอยเลือดของยอดผายังติดตาเธอไม่รู้เลือน ความหวาดหวั่นเกิดขึ้นในหัวใจ เธอจะต้องอยู่กินกับผู้ชายแบบนั้นน่ะหรือ

“จำไว้ ตาไม่ได้บังคับหนู ตาเคารพในการตัดสินใจของหนู ไม่ต้องคิดมาก”

มือเล็กบีบเข้าหากันแน่น ก้มหน้าต่ำ คิดวนไปเวียนมา บุญคุณ คำนี้ใหญ่หลวงนักสำหรับเธอ การที่เจ้าสัวดูแลเลี้ยงดูเธออย่างดี ให้การศึกษาอย่างดี และความรักที่เธอมีให้เจ้าสัวอย่างมากมาย ทั้งรักทั้งนับถือ ชาตินี้เธอตอบแทนท่านเท่าไรก็ไม่มีวันหมด หากเธอตกลง แล้วยอดผาล่ะ ผู้ชายคนนั้นจะยอมหรือ ปัญหามันคงไม่ได้อยู่ที่เธอแล้วละ

                “ตกลงค่ะ”

เสียงเบา แต่ทว่าหนักแน่น จนคนที่เอ่ยปากขอร้องต้องมองหน้า ไม่คิดว่ารมณจะให้คำตอบแก่เขาได้เร็วขนาดนี้

“หนูไม่มีคำคัดค้านเลยหรือลูก ถ้าหนูปฏิเสธ ตาก็จะยอมฟังนะ ตาไม่อยากบังคับหนู คิดให้ดีก่อนที่จะตอบก็ได้ ตาไม่ว่าอะไรเลย”

                รมณเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“หนูเต็มใจค่ะ ไม่ได้ถูกบังคับใดๆ ทั้งสิ้น หนูเชื่อในสิ่งที่คุณตาเลือกให้ เพราะคุณตาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้หนูมาตลอดชีวิต ถ้าการแต่งงานกับ...คุณยอดผา คือสิ่งที่คุณตาเลือกแล้ว ตรองดูแล้ว หนูก็เชื่อว่ามันคือสิ่งที่ดีสำหรับน้ำมนต์ค่ะ”

คำตอบนั้นทำให้เจ้าสัวอดละอายใจไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะเห็นแก่ตัว แต่เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ คนอย่างยอดผาต้องได้ผู้หญิงอย่างรมณนี่แหละ ถึงจะอยู่กันได้ มือหนายกขึ้นวางบนศีรษะของหญิงสาวอย่างเอ็นดู เอ่ยถามเสียงพร่า

“หนูไม่โกรธตาหรือลูก”

“ไม่หรอกค่ะ หนูอยากให้คุณตามีความสุข หากสิ่งที่คุณตาอยากให้น้ำมนต์ทำ มันจะทำให้คุณตามีความสุข ไม่ต้องทุกข์เศร้าเหมือนทุกวันนี้ หนูจะทำค่ะ”

เจ้าสัวสูดความตื้นตันเข้าปอด นับถือในน้ำใจของหญิงสาวเหลือเกิน เห็นอ่อนโยน ใจเย็น แต่เธอไม่ได้อ่อนแอเลย หัวใจเธอแข็งแกร่งนัก แข็งแกร่งกว่าชายอกสามศอกอย่างเขาด้วยซ้ำ

“ตาเชื่อ ตาดูคนไม่ผิด เจ้ายอดผาแม้ดูดุ กระด้าง แต่มันก็เหมือนตาสมัยหนุ่มนั่นแหละ ดื้อหัวชนฝา ทิฐิเยอะ เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำว่าถูกต้องเสมอ ตาไม่อยากให้เจ้ายอช์ตหลงอยู่ในความทุกข์ระทมเหมือนกับตา”

เสียงเจ้าสัวยอดชายแหบพร่า สั่นสะท้าน จนรมณทนไม่ไหว เอื้อมมือไปบีบมือหนาของเจ้าสัวอย่างให้กำลังใจ

“หนูขออะไรคุณตาสักอย่างได้ไหมคะ”

คำขอนั้นทำให้เจ้าสัวมองสบตาและพยักหน้าเร็วๆ

“ได้สิ บอกมาเลย ตาให้ได้ทุกอย่าง”

“อย่าให้คุณยอดผารู้ว่าหนูเป็นใคร หนูอยากเข้าไปทำความรู้จักกับเขาด้วยตัวหนูเอง รู้จักในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง หนูอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา และอยากให้เขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของหนูด้วย แค่นี้ค่ะที่หนูอยากจะขอ”

เจ้าสัวยอดชายมองหน้าหญิงสาวที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงให้มั่นสัญญาแก่เธอ

“ได้สิ ตาขอบใจหนูอีกครั้งนะน้ำมนต์ และขอให้เชื่อตา หนูจะไม่ผิดหวังในสิ่งที่ตาเลือกให้ ตายอช์ตเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง หนูจะต้องมีความสุขแน่นอน”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณตาพักผ่อนนะคะ เลิกคิด เลิกเศร้าใจ ปล่อยให้เรื่องทั้งหมดเป็นหน้าที่ของหนูเอง”

รมณยิ้มแทนคำสัญญา แล้วดูแลการพักผ่อนของเจ้าสัวอีกพักใหญ่ก็เดินกลับมาที่ห้องตัวเอง หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนุ่ม สีหน้ากังวล ความหวาดหวั่นที่ซ่อนเอาไว้ฉายชัดออกมา เธอไม่เคยชอบอาชีพนักมวยเลย การเตะ การต่อย เลือดไหลเต็มหน้า ทำให้เธอหวาดกลัว

หญิงสาวหยิบแท็บเล็ตขนาดกะทัดรัดขึ้นมาเซิร์ชหาข้อมูลที่ตัวเองอยากรู้ ไม่นานภาพยอดผาก็ปรากฏบนหน้าจอ ส่วนมากจะเป็นภาพการต่อยมวยของชายหนุ่ม เธอวางแท็บเล็ตลงบนเตียงนอนอย่างหมดแรง แค่เห็นเลือดในภาพ เธอยังหวาดหวั่น แล้วถ้าได้เห็นของจริงแบบนี้ทุกวัน เธอจะทนได้หรือไม่

หญิงสาวหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอด เรียกความมั่นใจให้กลับคืนมา เอาน่า! มันอาจไม่เป็นอย่างที่เธอคิดก็ได้ อย่าเพิ่งตัดสินยอดผาจากรูปเพียงแค่ไม่กี่รูป รมณเตือนตัวเองแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาค้นหาข้อมูลอย่างอื่น คืนนั้นกว่าเธอจะได้พักผ่อนเวลาก็ล่วงเลยไปอีกวันหนึ่งแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น