1

ตอนที่ 1


 

อดีต...แห่งความเจ็บปวดและบาดหมาง

เสียงสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจดังออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ เมื่อเธอถูกบังคับให้เลือก มันเป็นสิ่งที่เธอเลือกยากที่สุดในชีวิต ตั้งแต่เล็กจนโต เธอไม่เคยขัดคำสั่งผู้เป็นบิดา แต่ในวันนี้ เธอกำลังจะกลายเป็นลูกอกตัญญูที่ต้องเลือกระหว่างผู้ชายที่เธอรักกับบิดาผู้ให้กำเนิด

 “คุณพ่อขา อย่าให้หนูต้องเลือกเลยนะคะ หนูรักคุณพ่อที่สุด คุณพ่อคือผู้มีพระคุณสำหรับหนู ถ้าหนูไม่มีคุณพ่อหนูก็คงไม่สามารถเติบโตมาได้ แต่...พี่ยอดชนะคือผู้ชายที่หนูรัก”

ยอดธิดาสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวด เธอเลือกไม่ได้จริงๆ 

“แกต้องเลือก! ระหว่างฉัน พ่อผู้ให้กำเนิด ดูแลแกอย่างดี กับไอ้กระจอกนั่น นักเลงไปวันๆ เตะต่อยไร้อนาคต ฉันบอกแกได้เลย อยู่กับมันแกไม่สุขสบายเหมือนอยู่กับฉัน หากินกับการเป็นอันธพาลเตะต่อย อีกหน่อยมันก็คงจะเลี้ยงแกด้วยลำแข้ง และเมื่อถึงเวลานั้น แกจะมาคร่ำครวญให้ฉันสงสารคงไม่ได้หรอกนะ”

เจ้าสัวยอดชายเค้นเสียงลอดไรฟัน ดวงตาแดงก่ำ สันกรามบดเข้าหากันแน่น ใบหน้าที่มีร่องรอยตามวัยขมึงเครียด ดุจนน่ากลัว ใครๆ ในบ้านทราบกันดีว่าเจ้าสัวยอดชายนั้นดุขนาดไหน และหวงคุณยอดธิดามาก แต่ที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ ยอดธิดาจะกล้าพาคนรักเข้ามาในบ้าน ทั้งที่รู้ว่าเจ้าสัวยอดชายกำลังมองหาคนที่เหมาะสมให้แก่เธอ ไม่ใช่นักเลงเถื่อนแบบนี้

“ไม่ครับเจ้าสัว ผมสาบาน ผมจะดูแลธิดาให้ดีที่สุด เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ผมจะทำให้เธอมีความสุขที่สุด ถึงแม้ฐานะผมไม่ได้ร่ำรวยหากเทียบกับเจ้าสัว แต่ผมก็ไม่ได้พาธิดาไปลำบาก ผมสัญญา”

“ฮ่าๆ ฉันอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้าแกจริงๆ ดูแลลูกสาวฉันให้มีความสุขงั้นเหรอ นักมวยที่รับจ้างเตะต่อยไปวันๆ คงเลี้ยงลูกสาวฉันได้ดีหรอก”

คำดูถูกนั้น ทำให้ยอดชนะก้มหน้าลงมองมือที่ประสานกันแน่นบนเข่า  สันกรามบดเข้าหากันเมื่อได้ยินคำเหยียดหยามของเจ้าสัวยอดชาย ถึงแม้ครอบครัวของเขาไม่ได้ร่ำรวยเทียบเท่ากับเจ้าสัวยอดชาย แต่ก็ไม่ได้จนกรอบอดมื้อกินมื้อ เขาจะไม่ทำให้ยอดธิดาลำบาก จะรัก จะดูแล ให้ดีที่สุด

“คุณพ่อคะ...ถึงแม้พี่ชนะไม่ได้มีมากจนรวยล้นฟ้า แต่หนูก็เชื่อว่าพี่ชนะรักหนูจริง เขาจะไม่ยอมให้หนูลำบาก แต่ถึงหนูจะลำบาก หนูก็ยอม เพราะหนูรักเขา หนูอยากให้คุณพ่อเข้าใจหนู และอวยพรให้หนู ได้ไหมคะ อย่าให้หนูต้องเลือกเลยค่ะ ทั้งสองคนสำคัญกับหนูมาก นะคะคุณพ่อ”

เจ้าสัวยอดชายมองลูกน้อยที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยความที่ยอดธิดาขาดมารดา เขาเลยฟูมฟักลูกน้อยคนนี้อย่างดี ทั้งรักทั้งห่วง พยายามหาคนดีๆ เพื่อที่จะดูแลเธอได้หากเขาไม่อยู่ ไม่คิดเลยว่าลูกสาวจะเลือกทางนี้ เลือกคนที่ต่ำต้อยกว่า เจ้าสัวสูดลมหายใจเข้าปอด เชิดหน้าขึ้นด้วยความหยิ่งผยอง หากยอดธิดาเลือกยอดชนะ คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก

“ในที่สุดแกก็เลือกมัน ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉัน...ฉันจะถือเสียว่าชาตินี้ฉันบาปหนา เลี้ยงลูกได้ไม่ดี ถ้าหากบังเอิญมาเจอกันก็ไม่ต้องทักทาย ให้ทำเหมือนตายจากกันไป ฉันไม่เคยรู้จักและมีลูกอย่างแก”

น้ำตาบุตรสาวไหลพราก มองบิดาอย่างอ้อนวอน สะอื้นไห้หลังได้ยินคำตัดขาดที่เจ็บปวด ราวกับมีใครเอามีดกรีดหัวใจเธอ

“คุณพ่อขา หนูไม่อยากให้เป็นแบบนี้นะคะ หนูอยากดูแลคุณพ่อ อยากให้เราอยู่ด้วยกัน คุณพ่อเห็นแก่ความรักของหนูนะคะ ให้พี่ชนะได้พิสูจน์ว่าเขารักหนู และดูแลหนูได้จริง อย่าผลักไสหนูออกจากชีวิตของคุณพ่อเลยนะคะ”

แก้มที่มีรอยเหี่ยวย่นกระตุกสั่น มองลูกสาวด้วยสายตาเจ็บปวด มุมปากเหยียดขึ้นอย่างดูถูก

“ความรักที่กินไม่ได้ ความรักที่ไม่ทำให้แกอิ่มท้อง แล้วมีหรือผู้ชายอย่างมันจะไม่เห็นแก่เงินทอง ลองให้แกหมดตัวสิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเลี้ยงแกได้สักกี่น้ำ”

เสียงคำรามของเจ้าสัวดังออกมาสั่นสะท้าน มือที่ไขว้หลังเอาไว้บีบเข้าหากันแน่น เมินหน้าหนี ไม่อยากให้ตัวเองใจอ่อนกับภาพบุตรสาวที่ร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ

“คุณพ่อขา หนูขอร้อง หนูไม่อยากให้เราจากกัน หนูอยากดูแลคุณพ่อ อยากให้เราสามคนได้อยู่ร่วมกัน”

“แต่แกต้องเลือก!” เจ้าสัวยอดชายตวาดลั่น

ยอดธิดาสะอื้นจนตัวโยน น้ำตานองหน้า

“ความรักที่คุณพ่อมีให้หนู...หนูซาบซึ้งที่สุด แต่คุณพ่อลืมบางอย่างในชีวิตไป ความสุข หนูอยากได้ความสุขมากกว่าเงินทองที่คุณพ่อหามาให้หนูเสียอีก สิ่งที่หนูต้องการคือคุณพ่อ”

คำพูดนั้นเปรียบเหมือนมีดกรีดหัวใจคนเป็นพ่อ ตลอดเวลาที่ทำงานหนักก็เพื่อให้ลูกสาวได้อยู่ดีกินดี ไม่คิดเลยว่ายอดธิดาจะคิดแบบนี้ เจ้าสัวกล้ำกลืนความเจ็บปวด ตะโกนเสียงกร้าว

“ไสหัวออกไป ในเมื่อแกเลือกมัน ก็ไม่ต้องนับถือกันอีก ฉันจะถือว่าฉันไม่เคยมีลูกที่เลวอย่างแก ออกไป! ฉันบอกให้ออกไป!”

ยอดชนะมองแผ่นหลังกว้างของเจ้าสัวยอดชายด้วยความเสียใจ เขารู้ดีว่าคนเป็นพ่อเจ็บปวดเพียงใด เขาไม่ได้อยากให้เรื่องมันลงเอยแบบนี้ เพียงแค่อยากให้เจ้าสัวให้โอกาสเขาบ้าง โอกาสที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าเขารัก และจริงใจกับยอดธิดา บุตรสาวของท่านอย่างจริงใจ ไม่ใช่เงินทองเหมือนอย่างที่ท่านกล่าวหาเขาอยู่ในตอนนี้ ยอดชนะยกมือขึ้นไหว้ ก้มลงกราบแทบเท้าเจ้าสัวยอดชายอย่างเสียใจ

“ผมขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเสียใจ แต่ผมรักลูกสาวท่านจริงๆ และขอสาบานเลยว่า ผมจะทำให้ยอดธิดามีความสุขที่สุด หากท่านจะโกรธและเกลียดใครสักคนก็ขอให้เป็นผมเถอะ เห็นใจพวกเราสองคนด้วยนะครับ”

ยอดชนะเอ่ยเสียงสั่น พยายามอ้อนวอนขอ เพราะไม่อยากให้พ่อกับลูกต้องมาโกรธเกลียดกัน

“จำคำฉันไว้! ต่อให้ลำบาก ซมซานกลับมาหา ฉันก็จะไม่ใจอ่อน ฉันทำบุญให้หมา มันยังรู้คุณคนมากกว่าลูกอย่างแกเสียอีก ต่อให้ฉันตายก็ไม่ต้องมาเผาผี ตัดขาดกันไปเลย ออกไป! ฉันบอกให้ออกไป!”

เจ้าสัวยอดชายคำรามลั่น กายหนาสั่นสะท้านไปด้วยแรงโทสะ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลริน ไม่แม้แต่จะหันไปมองบุตรสาวที่ร่ำไห้ด้วยความเสียใจที่สุดในชีวิต อยากเดินออกไปจากชีวิตยอดธิดา อยากให้พ่อลูกได้อยู่กันพร้อมหน้า แต่ความรักที่เขามีให้ยอดธิดามันก็ไม่ได้น้อยกว่าเจ้าสัวยอดชายสักนิด

ยอดชนะมองหน้าหญิงคนรัก แล้วเอื้อมไปจับมือเล็กของเธอมากุมเอาไว้ พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอลุกขึ้น ยอดธิดามองบิดาอีกครั้งอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนกวาดตามองรอบบ้านที่เธอเกิดและเติบโตขึ้นมา มีทั้งความรักความเอ็นดูของมารดา มีความสุขมากมาย เธอไม่อยากจากบ้านหลังนี้ไป ด้วยรู้ดีเต็มหัวใจว่าหากก้าวออกไปแล้ว เธอคงไม่มีโอกาสได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก

“คุณพ่อขา หนูขอโทษ”

ยอดธิดาร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม มือเล็กบีบมือหนาของยอดชนะเอาไว้แน่นอย่างต้องการกำลังใจ และเหมือนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายจะรู้ มือหนาบีบกระชับตอบรับ ก่อนจะตัดใจเดินจูงมือยอดธิดาออกไปจากเขตรั้วบ้านหลังใหญ่

เพียงแค่พ้นสายตา ร่างหนาที่สั่นสะท้านก็ก้มศีรษะลงต่ำ ไร้ซึ่งความถือดี น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลอาบสองแก้ม ดวงตาเจ็บปวดหันไปมองยังทางที่คนทั้งคู่เดินออกไป มือที่สั่นไหวยกขึ้น หมายจะเรียกให้บุตรสาวกลับคืนมา แต่ทิฐิที่ค้ำคอกดเสียงเรียกเอาไว้  

ภาพบุตรสาวในอดีตย้อนกลับมา เสียงหัวเราะ เสียงร่ำไห้ เล่นสนุกสนานในบ้านหลังนี้ ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว เจ้าสัวยอดชายสะอื้นไห้อย่างไม่อาย ทำไมนะ...ทำไมยอดธิดาถึงได้โง่นัก ไอ้นักมวยกระจอกนั่นไม่มีทางมอบความสุข สบายเหมือนที่เขามอบให้บุตรสาวนับตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้

ร่างหนาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง ก็ดี! ในเมื่อยอดธิดาเลือกแบบนี้ เขาก็จะรอดูว่าไอ้นักมวยกระจอกนั่นมันจะไปได้สักกี่น้ำ ไม่นานยอดธิดาก็คงซมซานกลับมาหาเขา ดวงตาแดงก่ำของเจ้าสัวยอดชายลุกวาว ใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยเชิดสูง เมื่อถึงเวลานั้นยอดธิดาจะได้รู้ว่า ไม่มีใครรักเธอได้มากเท่ากับพ่อคนนี้ และไอ้นักมวยนั่นมันก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไป

 

นับตั้งแต่นั้นมา ข่าวคราวของยอดชนะกับยอดธิดาก็ลอยเข้าหูเจ้าสัวยอดชายทุกวัน เพราะเจ้าสัวยอดชายสั่งให้คนไปสืบข่าวลูกสาวอย่างต่อเนื่อง จนทราบว่ายอดชนะแข่งขันได้แชมป์หลายสมัย ชื่อเสียงเริ่มโด่งดัง และเปิดโรงเรียนสอนต่อยมวยของตัวเอง ค่าย ย. ยอดยิม ของยอดชนะไปได้ดี เจริญรุ่งเรือง เขาส่งนักมวยในค่ายไปแข่งขันในรายการต่างๆ และเป็นแชมป์หลายต่อหลายคนจนเป็นที่การันตีว่า ถ้านักมวยมาจากค่าย ย. ยอดยิม เมื่อไร ต้องได้แชมป์กลับไปทุกครั้ง

ถึงกระนั้นความโกรธที่มีต่อยอดธิดากับยอดชนะก็ยังไม่เสื่อมคลาย ยอดธิดาไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าบ้านได้อีกนับตั้งแต่วันที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน แต่ทุกวันอาทิตย์เธอจะนำของมาเยี่ยมบิดา และฝากไว้กับสีดา

“ป้าสีดาจ๋า หนูฝากคุณพ่อด้วยนะคะ ช่วงนี้หน้าฝน อากาศชื้น คุณพ่ออาจไม่สบาย หาอะไรอุ่นๆ ให้คุณพ่อทานนะคะ ชาตินี้หนูคงไม่มีวาสนาได้ดูแลท่านอีกแล้ว”

สีดามองหน้าคุณหนูของนางด้วยความสงสาร ความรักมันห้ามกันไม่ได้ นางเป็นแค่คนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอำนาจไปแสดงความคิดเห็น หรือแนะนำอะไรใครทั้งสิ้น ได้แต่มองคุณหนูที่นางเลี้ยงมาด้วยความสงสาร คนเป็นพ่อทิฐิแรงนัก ส่วนคนเป็นลูกเห็นไม่เถียง ไม่ดื้อ แต่ก็ใจแข็งสุดใจ

“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณหนู ป้าจะดูแลคุณท่านให้อย่างดี แต่คุณหนูก็อย่าลืมดูแลตัวเองบ้างนะคะ ผอมไปตั้งเยอะ”

ยอดธิดายิ้มอ่อน  ยามที่นึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองผอม เธอกินอาหารไม่ค่อยได้ กินอะไรนิดหน่อยก็อาเจียนออกมา ดีที่ยอดชนะพยายามสรรหาของกินมาให้เธอทุกวัน ไม่ว่าเธออยากกินอะไร เขามักจะรีบให้เด็กไปซื้อมาให้ หรือไม่ก็ขับรถไปซื้อเอง

“ป้าสีดาขา ตอนนี้หนูกำลังท้อง ที่ผอมนี่ก็เพราะแพ้ท้องมาก แต่พี่ชนะก็หาของมาบำรุงหนูมากมายเลยค่ะ ไม่ยอมให้หนูแตะงานบ้านหรืองานอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ได้แต่กินกับนอนอย่างเดียว ดูไร้ประโยชน์สิ้นดี”

ยอดธิดาเอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมความสุข มองสีดาที่น้ำตาคลอ ยิ้มอย่างยินดีกับเธอ สองมือของสีดาจับมือเล็กของยอดธิดาแน่น

“โธ่! แม่คุณของป้า คุณท่านได้ยินคงยินดีไม่น้อย คุณหนูพยายามทานอาหารให้ได้เยอะๆ นะคะ เดี๋ยวคุณหนูน้อยๆ ในท้องจะไม่แข็งแรง ถ้าทานไม่ได้ ให้ทานทีละนิด แต่ให้ทานบ่อยครั้งขึ้น”

คำพูดของสีดาทำให้รอยยิ้มของคนฟังเลือนหาย สีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นทันตาเห็น เมื่อนึกถึงคนเป็นบิดา

“หนูก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่ท่านคงไม่ดีใจหรอกค่ะ ท่านเกลียดหนูไปแล้ว”

“ไม่เอาค่ะ อย่าคิดอะไรแบบนั้น คุณท่านเป็นคนมีทิฐิ ปากหนัก คุณหนูพยายามมาหาคุณท่านบ่อยๆ เดี๋ยวคุณท่านก็ใจอ่อน ยิ่งพาหลานมาหา ป้าเชื่อว่าคุณท่านไม่ใจแข็งกับหลานหรอกค่ะ”

คำปลอบใจนั้นกระทบหัวใจของยอดธิดาอย่างแรง น้ำตาหญิงสาวไหลรินอาบแก้ม ยิ้มเศร้า เธอรู้ดีทีเดียวว่าสีดาแค่ปลอบใจเธอเท่านั้น ไม่มีวันที่คนเป็นบิดาจะอภัยให้เธอแน่ 

“ฝากบอกคุณพ่อว่าหนูคิดถึง แล้วหนูจะมาใหม่นะคะ”

ยอดธิดาเดินกลับออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ หากเพียงแต่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปยังชั้นสองบ้านละก็ เธอก็จะเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนมองเธอด้วยความคิดถึงไม่แพ้กัน

เจ้าสัวยอดชายยกมือขึ้นเหมือนจะเรียกให้บุตรสาวกลับคืนมา แต่มือนั้นก็หยุดชะงักกลางอากาศ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น รีบหันหลังหนีภาพนั้น กลัวตัวเองจะใจอ่อน ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ก่อนที่สีดาจะเดินเข้ามานั่งกับพื้น และวางอะไรบางอย่างตรงหน้าเจ้าสัวยอดชาย

“คุณท่านคะ คุณหนูฝากอาหารมาให้ค่ะ และฝากบอกให้สีดาดูแลคุณท่านอย่างดี ช่วงนี้หน้าฝน ให้หาอะไรอุ่นๆ ให้คุณท่านทาน ดูสิคะ คุณหนูยังเป็นห่วงคุณท่านมากนะคะ”

“หยุดสีดา! ไม่ต้องพูดอะไรอีก ถ้ามันห่วง มันรักฉัน มันคงไม่เลือกไปอยู่กับไอ้นักเลงนั่นหรอก”

“แต่คุณท่านคะ...”

สีดาหยุดพูดเมื่อสบตาดุกร้าวของเจ้าสัวยอดชาย

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้ว อย่าเอ่ยชื่อมันในบ้านฉัน”

“คุณท่านเจ้าขา เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว พอไม่มีคุณหนู บ้านหลังนี้เงียบเหงานัก คุณท่านให้อภัยคุณหนูเถอะนะคะ”

สีดาเอ่ยเสียงสั่น ทุกครั้งที่มีโอกาสได้คุยกับเจ้าสัวยอดชาย นางมักจะขอร้องเช่นนี้เสมอ

“ฉันไม่มีลูกอย่างมัน”

“แต่คุณท่านคะ...”

เจ้าสัวยอดชายหาได้สนใจฟังไม่ เขาหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง ไม่อยากฟังในสิ่งที่สีดากำลังจะกล่าวออกมา

“เอาของสกปรกนั่นออกไปด้วย ฉันไม่กินของของมัน”

สีดาน้ำตาซึม สงสารทั้งเจ้าสัวยอดชายและยอดธิดา คนหนึ่งก็ทิฐิมาก ในฐานะที่เป็นบิดา เป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ไม่ยอมโอนอ่อน อีกคนหนึ่งก็เลือกตามที่หัวใจต้องการ หญิงรับใช้หยิบอาหารที่ยอดธิดาฝากมาให้คนเป็นพ่อมาถือเอาไว้ แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เจ้าสัวยอดชายยืนกัดฟันแน่น แต่ถึงอย่างไรหัวอกคนเป็นพ่อก็คิดถึงลูกสาวเหลือเกิน

 

จากวันเป็นหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน จวบจนยอดธิดาให้กำเนิดลูกชาย ความยินดีมีเต็มเปี่ยม นี่คือลูกคนแรก หลานคนแรก และเธอก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากบิดาของเธอได้เห็นหน้าหลาน ความโกรธที่มีอยู่จะเลือนหายไป

                ยอดชนะมองภรรยาอุ้มลูกน้อยลงจากรถ ทุกครั้งที่มองเธอ เขารู้สึกถึงความผิดเต็มหัวอก แต่ความรักที่มีต่อเธอ ทำให้เขายอมเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความรักของตัวเอง

“พี่ชนะ ฉันเชื่อว่าถ้าคุณพ่อได้เห็นหน้าหลาน ท่านต้องหายโกรธเราแน่”

รอยยิ้มยินดีทั้งดวงตาและสีหน้าทำให้ยอดชนะพูดไม่ออก สงสารคนเป็นภรรยาอย่างเหลือเกิน เขารู้คำตอบดี เพราะถ้าเจ้าสัวยอดชายจะหายโกรธ คงหายตั้งแต่วันที่ได้รู้ว่ายอดธิดาตั้งครรภ์ ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนปีกว่าเช่นนี้

“จ้ะ”

ยอดชนะตอบสั้นๆ แล้วกางร่มบังแดดให้ภรรยาและลูกน้อยในอ้อมแขนของเธอ ตัวเขาจะโดนแดดร้อนแค่ไหนก็ช่างมัน ชายหนุ่มกดกริ่งหน้าบ้านสองครั้ง มองเข้าไปในบ้านอย่างรอคอย ไม่นาน สีดาก็เดินออกมาอย่างเร่งรีบ ด้วยรู้ดีว่าใครเป็นคนที่กดกริ่งเรียก รอยยิ้มและแววตายินดีผุดขึ้นยามที่มองทารกน้อยในอ้อมแขนของยอดธิดา

“โธ่! คุณหนูน้อยยังเล็กอยู่เลย คุณหนูพาออกมาตากแดดตากลมทำไมคะ”

ยอดธิดายิ้มอ่อน มองทารกน้อยในอ้อมแขนด้วยความรัก

“หนูอยากให้คุณพ่อได้เห็น หากท่านเห็นหน้าตายอช์ต เอ่อ...ลูกของหนูชื่อเล่นชื่อยอช์ต หรือเรียกตายอดก็ได้ค่ะ พ่อเขาชอบเรียกตายอด ส่วนหนูอยากให้ชื่อยอช์ต เพราะมันเป็นชื่อเดียวกับสิ่งที่คุณพ่อชอบ” น้ำเสียงตอนท้ายสั่นเครือเล็กน้อย น้ำตาคลอเบ้า

 “แม่คุณของสีดา”

คนที่เลี้ยงยอดธิดามาแต่เล็ก มองคุณหนูที่นางรักพร้อมกับน้ำตาคลอตาด้วยเช่นกัน

“วันนี้คุณท่านอยู่บ้านพอดี เข้าไปข้างในกันดีกว่าค่ะคุณหนู ถ้าคุณท่านได้เห็นหน้าคุณยอช์ต ท่านจะได้หายโกรธ”

“ใครอนุญาตให้มันสองคนเข้ามาในบ้านฉัน!”

ยังไม่ทันที่สีดาจะกล่าวจบด้วยซ้ำ เสียงกร้าวก็ดังลั่น พร้อมกับที่เจ้าสัวยอดชายปรากฏตรงหน้า สีหน้าและแววตาแข็งกร้าว

ยอดธิดาทำใจกล้า ส่งยิ้มซีดเซียวให้คนเป็นบิดา

“คุณพ่อขา หนูพาตายอช์ตมา...”

“สีดา! ไล่พวกมันออกไป!”

เจ้าสัวยอดชายตะโกนลั่น ไม่แม้แต่จะมองหน้าคนเป็นลูกเป็นหลานแม้แต่น้อย

“เจ้าสัวครับ ธิดากับผมตั้งใจพาหลานมาให้คุณท่านขริบผมให้”

“ใครเป็นหลานฉัน! ฉันไม่มีลูก ไม่มีหลาน รู้ไว้ซะ”

คำตัดขาดนั้นทำให้ยอดธิดาน้ำตาไหลพราก มองบิดาอย่างอ้อนวอน เวลาผ่านมาเนิ่นนาน แต่ทำไมบิดาของเธอ ถึงยังไม่ยอมยกโทษให้

“ถึงคุณพ่อจะตัดขาด หรือไล่หนูสักกี่ครั้ง หนูก็จะมาหาคุณพ่อแบบนี้ทุกวัน จะมาจนกว่าคุณพ่อจะหายโกรธ”

“ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก ไปแล้วก็ไปให้ลับ อย่าคิดจะเอาไอ้เด็กที่มีเลือดนักเลงเตะต่อยไปวันๆ มาบอกว่าเป็นหลานฉัน เพราะฉันจะไม่ยอมรับมันแน่นอน”

“คุณพ่อ!”

ยอดธิดาร้องเรียกด้วยความเสียใจ ยิ่งเห็นบิดาหมุนกายกลับเข้าไปในบ้านอย่างไม่ไยดีก็ยิ่งสะอื้นไห้

ยอดชนะที่ยืนอยู่ใกล้ เดินเข้ามาโอบประคองอย่างปลอบโยน

“อย่าร้องธิดา วันนี้ท่านไม่ให้อภัยเรา วันหน้าเราก็มาอีก พี่สัญญา เราจะช่วยกันทำให้เจ้าสัวหายโกรธเราให้ได้”

คำสัญญาที่ปลายเสียงสั่นทำให้ยอดธิดาเงยหน้าขึ้นมอง น้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกตื้นตัน เธอตัดสินใจไม่ผิดเลยที่เลือกยอดชนะ เขาไม่เคยทำให้เธอลำบาก ไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ จริงอยู่ แม้ฐานะของยอดชนะจะเทียบบิดาของเธอไม่ได้ แต่ก็สามารถเลี้ยงดูเธอกับลูกได้อย่างสบาย

“ธิดากลัวเหลือเกิน วันหนึ่งหากธิดาไม่อยู่บนโลกใบนี้ คุณพ่อจะโกรธจะเกลียดตายอช์ตไปด้วย”

“ไม่เอาน่าธิดา อย่าพูดแบบนั้น พี่ไม่ชอบฟังเลย”

ยอดชนะปรามด้วยความใจหาย

“จริงค่ะ คุณหนูอย่าพูดอะไรแบบนั้นสิคะ คุณท่านน่ะไม่ได้ใจแข็งเหมือนช่วงแรกแล้วค่ะ ก่อนนอน ป้าเห็นคุณท่านแวะไปห้องคุณหนูทุกคืน คุณท่านคิดถึงคุณหนูนะคะ เพียงแต่ทิฐิของคุณท่านยังมีมาก ทำให้แสดงความรู้สึกที่ตรงข้ามกับใจ คุณหนูเคยได้ยินไหมคะ น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับหัวใจของคนคะ พาคุณยอช์ตมาที่นี่ทุกครั้งที่มีโอกาส คุณท่านได้เห็นความน่ารักน่าชังของคุณยอช์ต ความโกรธที่ตกตะกอนในใจก็จะเลือนหายไป”

“แล้วถ้ามันไม่เลือนหายไปล่ะคะ หนูคงต้องตายไปพร้อมกับความผิดบาปในครั้งนี้”

“ไม่เอา! เราไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า ผมกลับก่อนนะครับป้าสีดา วันหลังพวกเราจะมาอีก”

ยอดชนะยกมือไหว้หญิงสูงวัย แล้วเดินโอบประคองภรรยากับลูกน้อยกลับไปที่รถยนต์ ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล ทั้งคู่ไม่เห็นว่ามีสายตาของใครคนหนึ่ง ซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังผ้าม่าน มองตามคนทั้งคู่ขึ้นรถและจากไปด้วยความอาลัย

เจ้าสัวยอดชายถอนหายใจสะอื้น เก็บความเจ็บปวดไว้ในอก เชิดใบหน้าขึ้น พร้อมกับคำพูดที่พูดกรอกหูตัวเองทุกวันนั่นคือ ท่านไม่ผิด

 

ผู้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นมักเห็นหญิงสาวคนหนึ่งอุ้มลูกน้อยในอ้อมกอด ยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่จนชินตา บางคนอยากรู้ บางคนก็ไม่อยากรู้ ไม่สนใจ เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง จากอาทิตย์เป็นเดือน หญิงสาวคนนั้นไม่เคยหยุดมา ไม่เคยท้อใจ สีดาเดินมาหน้าบ้านอย่างรู้เวลา ยิ้มหน้าบาน เมื่อเห็นคุณหนูตัวน้อย ที่ยอดธิดาอุ้มไว้

“คุณหนูยอช์ตของป้าสีดา มาค่ะ ขอป้าอุ้มหน่อยนะคะ”

ยอดธิดายิ้มพร้อมกับส่งลูกน้อยวัยเลยหนึ่งขวบมาไม่กี่เดือนให้สีดาซึ่งอุ้มด้วยความรักใคร่

“คุณหนูยอช์ตหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ โตขึ้นต้องหล่อแน่”

คนโดนชมว่าหล่อยิ้มแต้ ทำให้คนมองหัวเราะอย่างสุขใจ

“ป้าสีดาคะ คุณพ่ออยู่ไหมคะ”

รอยยิ้มของสีดาค่อยๆ เลือนหาย มองคุณหนูของนางอย่างเห็นใจ ผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่เจ้าสัวยอดชายก็ยังไม่ใจอ่อน นางสงสารยอดธิดาเหลือเกิน และภาวนาอย่าให้ยอดธิดาท้อถอยเลย

“อยู่ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น หนูฝากซุปไก่ตุ๋นให้คุณพ่อด้วยนะคะ”

สีดามองสิ่งที่ยอดธิดายื่นให้ สีหน้าเศร้าสลด

“ถึงรู้ว่าคุณพ่อไม่ทาน แต่หนูอยากทำมาให้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะป้าสีดา ถ้าคุณพ่อให้เททิ้ง ก็ไม่เป็นไร หนูชินแล้วค่ะ”

หญิงสูงวัยน้ำตารื้น ก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกที่ลำคอยามมองคุณหนูที่นางรัก ทำไมนะ ทำไมสองพ่อลูกที่รักกันมากต้องมาหมางใจกัน

“คุณหนูอย่าเพิ่งท้อนะคะ อีกไม่นานหรอก ป้าเชื่อว่าคุณท่านจะต้องใจอ่อน”

ยอดธิดายิ้มบางๆ นัยน์ตาเศร้า ยกมือขึ้นรับลูกน้อยที่โผเข้าหาเธอด้วยความติดแม่

“ไม่หรอกค่ะ หนูไม่ท้อแน่นอน ต่อให้ต้องขอโทษคุณพ่อตลอดชีวิตของหนู...หนูก็ยอม แค่อยากให้คุณพ่อเมตตาตายอช์ตบ้าง”

“คุณยอช์ตหน้าตาน่าเอ็นดูขนาดนี้ คงช่วยทำให้คุณท่านใจอ่อนได้ในไม่ช้าหรอกค่ะ”

“หนูก็หวังเช่นนั้น”

ยอดธิดาเปรยด้วยความหวัง สายตามองไปยังตัวบ้าน อันเป็นตำแหน่งห้องนอนของเจ้าสัวยอดชาย ผู้เป็นบิดา รอยยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน ถึงแม้ไม่ได้เห็นหน้า แค่เห็นห้องนอนของบิดา เธอก็มีความสุขแล้ว จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกวูบ เซเหมือนจะล้ม ดีที่สีดาประคองไว้ได้ทัน

“คุณหนูเป็นอะไรคะ” สีดาร้องถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าร้อนรน

 “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช่วงนี้หนูเพลียๆ ทานอาหารไม่ค่อยลงค่ะ”

“ตายจริง! คุณหนูเข้าไปนั่งในบ้านก่อนเถอะค่ะ”

แม่บ้านสูงวัยประคองยอดธิดา พยายามพาเข้าไปในบ้าน แต่หญิงสาวขืนตัวไว้

“ไม่ดีหรอกค่ะ ถ้าคุณพ่อมาเห็นเข้า คงเกิดเรื่อง”

“แต่คุณหนูจะเป็นลมนะคะ คุณท่านคงไม่ใจร้ายใจดำปล่อยให้ลูกตัวเองล้มลงไปต่อหน้าต่อตาหรอกค่ะ มาเถอะค่ะ มานั่งพักสักครู่ เราไม่ได้เข้าไปในบ้านสักหน่อย แค่นั่งที่เก้าอี้หน้าบ้านเท่านั้นเอง”

พูดจบ สีดาก็ประคองเชิงบังคับให้ยอดธิดาเดินตามตัวเองมา หญิงสาวหัวใจอุ่นวาบไปทั้งดวง เมื่อได้เข้ามาสู่อาณาเขตบ้านหลังใหญ่ บ้านที่เธอเติบโตมาแต่เด็ก เธอนั่งลงบนเก้าอี้เหล็กสีขาว ที่ทำเป็นลวดลายดอกไม้ ตอนนี้ยอดผาถูกสีดาแย่งไปอุ้ม เพราะกลัวว่าเธอจะเป็นลม แล้วพานพายอดผาล้มไปด้วย

 “ป้าสีดาอุ้มตายอช์ตนานๆ จะเมื่อยเอานะคะ น้ำหนักไม่ใช่น้อย ปล่อยเดิน ปล่อยคลานก็ได้ค่ะ ให้เล่นดินเสียบ้าง ภูมิคุ้มกันจะได้มีเยอะๆ ที่สำคัญจะได้เป็นคนติดดิน”

สีดาปล่อยเด็กน้อยลงบนสนามหญ้าสีเขียว เพียงแค่ได้แตะพื้นหญ้า ยอดผาก็คลานเล่นไปทั่ว เจอที่สูงหน่อยก็เกาะยืนเล่นอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างถูกใจเป็นระยะ นางมองอยู่สักพักจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงเดินมานั่งข้างยอดธิดา มองสีหน้าอิดโรยของคนที่นางรัก และเลี้ยงดูมาอย่างดี

“คุณหนูหน้าซีดมาก ผอมลงด้วย ไปหาหมอบ้างนะคะ”

ยอดธิดายิ้มอ่อน เอื้อมไปจับมือของสีดาเอาไว้

“หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่เพลียเท่านั้นเอง”

คิ้วของคนฟังขมวดมุ่น มองคู่สนทนาอยู่นาน ก่อนตัดสินใจถาม

“คุณยอดชนะดูแลไม่ดีหรือคะ ใช้ทำงานหนักหรือเปล่า”

ยอดธิดาหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าไปมา

“รายนั้นแทบไม่ให้หนูหยิบจับอะไรเลยค่ะ ที่บ้านเราไม่ได้ลำบากอะไรเลย มีกินมีใช้ เพียงแค่ว่า ไม่ได้มีเท่าคุณพ่อเท่านั้นเอง ป้าสีดาไม่ต้องกลัวหนูลำบากหรอกค่ะ”

สีดาถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางเหลือบไปมองคุณหนูตัวน้อย ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“คุณยอช์ต! คุณยอช์ตไปไหนแล้ว”

ได้ยินคำพูดของสีดา ยอดธิดาจึงหันไปมองหาลูกชายตัวน้อย แล้วพลันใจหายวาบ เพราะไม่เห็นลูกน้อย คลานเล่นที่สนามหน้าบ้าน หญิงสาวรีบตามหาลูกน้อยทันที ไม่ต่างจากสีดา ที่วิ่งลืมแก่ ตามหาคุณหนูตัวน้อยของนาง

...

เจ้าสัวยอดชายชะงัก มองเด็กตัวอ้วนจ้ำม่ำ น่ารัก ที่คลานเล่นอย่างสนุกสนานอยู่กลางสนามหญ้า เขาเพียงแค่อยากเดินออกมาสูดอากาศคลายความเครียด แต่กลับมาเจอเด็กน้อยคนนี้ ด้วยสัญชาตญาณทำให้เจ้าสัวยอดชายหัวใจเต้นแรง ยิ่งเห็นเด็กน้อยที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันนั่งลง ยกแขนทั้งสองข้าง คล้ายให้อุ้ม ก็ถึงกับกัดฟันแน่น ทำเป็นมองไม่เห็น

“แม่แกไปไหนล่ะ ปล่อยปละละเลยลูกแบบนี้ ดีไม่ตกน้ำตกท่าไป”

“แอ๊ะ!”

เด็กน้อยส่งเสียงคำราม น้ำลายไหลออกจากมุมปาก

“เออ! ว่าแม่แกหน่อยก็ไม่ได้ ไปเลยไป ไม่อยากจะเห็นหน้า”

แทนที่จะหน้าเสีย เด็กน้อยกลับยิ้มแป้นแร้น ปากที่พยายามเกร็งไม่ให้ยิ้มตอบของเจ้าสัวถึงกับสั่น เห็นอาการยกไม้ยกมือของเด็กน้อยแล้วหัวใจพานไหววาบ

“ต่ะ ต่ะ ต่ะ”

รอยยินดีฉายชัดในดวงตา เขาฟังไม่ผิดแน่ ยอดผากำลังเรียกเขาว่าตา

“ใครตา ไม่ได้เป็นตา” น้ำเสียงยังมีความถือตัวอยู่

 “ต่ะ ต่ะ” ยอดผาไม่ยอมแพ้ ยังคงส่งเสียงเรียกเช่นเดิม

มือที่สั่นเล็กน้อยของเจ้าสัวกำลังจะเอื้อมไปจับยอดผาอยู่รอมร่อ หากไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกเด็กน้อยขึ้นเสียก่อน เจ้าสัวยอดชายจึงยืดตัวขึ้น ใบหน้าเชิดสูง ตีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิม

ยอดธิดากับสีดาอ้าปากค้าง สีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด รีบถลาเข้าไปยืนใกล้ๆ ยอดผา

“กล้าดียังไงเข้ามาในบ้านฉัน!”

เสียงคำรามลั่นทำให้ยอดธิดาก้มหน้าลง ซ่อนความเสียใจเอาไว้

“หนูขอโทษค่ะ หนูกำลังจะกลับแล้วค่ะ”

“พอดีคุณหนูไม่สบายค่ะ ทำท่าเหมือนจะเป็นลม สีดาเลยพามานั่งที่เก้าอี้หน้าสนามหญ้า”

สีดาออกตัวแทน เพราะไม่อยากให้หญิงสาวถูกคนเป็นพ่อโกรธมากกว่าเดิม

“ฉันเคยสั่งแล้วใช่ไหมสีดา ว่าฉันไม่ต้อนรับคนพวกนี้ หรือว่าคำสั่งของฉันไม่สำคัญ”

“คุณพ่ออย่าว่าป้าสีดาเลยค่ะ หนูขอโทษ” ยอดธิดาเอ่ยเสียงสั่น ยกมือไหว้บิดาอย่างลุแก่โทษ

นาทีนั้น ยอดผาคลานต้วมเตี้ยมไปเกาะขาเจ้าสัวยอดชาย แล้วพยายามลุกขึ้นยืน

“ต่ะ ต่ะ”

ทั้งยอดธิดาและสีดาต่างลุ้นกับภาพที่เห็นจนแทบหยุดหายใจ เจ้าสัวยอดชายเองก็เช่นกัน ยิ่งสบตากลมใสซื่อของยอดผา ใจหนึ่งอยากอุ้มชู แต่อีกใจหนึ่ง ทิฐิก็ยังค้ำคอ ไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลังก็สลัดขาตัวเองออกจากการเกาะกุม เด็กที่ขายังไม่แข็งแรงจึงล้มลงและร้องไห้ตกใจ

ยอดธิดาถลาเข้าไปกอดลูกไว้แน่น น้ำตาไหลพราก

“สีดา ไล่มันออกไป!”

เจ้าสัวยอดชายคำรามลั่น ขบกรามแน่น เมินหน้าไปทางอื่น

“คุณท่านเจ้าขา”

สีดาเอ่ยเสียงสั่น ร้องอ้อนวอนแทนยอดธิดา

“ต่อไปอย่าให้เข้ามาในบ้านฉันอีก ต่อให้ตายตรงหน้าบ้าน ก็ไม่ต้องเอาเข้ามาในบ้าน ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกมัน”

ยอดธิดาร่ำไห้ กอดบุตรชายไว้แน่น

“คุณพ่อขา หากไม่สงสารลูก ก็สงสารหลานเถอะค่ะ หนูแค่อยากพาตายอช์ตมาไหว้คุณตาเท่านั้น”

“มาไหว้ หรือมาขอเงินกันแน่ ผัวนักเลงของแกมันเลี้ยงแกไม่อิ่มเหมือนที่ฉันเลี้ยงใช่ไหมล่ะ ถึงได้ดั้นด้นมาที่บ้านนี้ทุกวัน”

“ไม่ใช่ค่ะคุณพ่อ ไม่ใช่แบบนั้น”

“ออกไปซะ!”

ยอดผาเบะปากร้องไห้อีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นของเจ้าสัวยอดชาย

“คุณหนูกลับไปก่อนนะคะ ดูซิ...คุณหนูร้องไห้ใหญ่แล้ว”

ยอดธิดาที่น้ำตานองหน้ามองบิดาอย่างเสียใจ กอดลูกชายที่สะอื้นไห้ไว้แน่น เอ่ยกับบิดาเสียงเจือสะอื้น

“ตายอช์ตชื่อจริงชื่อยอดผา ชื่อเล่นว่ายอช์ต มาจากเรือยอช์ตที่คุณพ่อชอบ ยอดผานี่ก็มาจากชื่อของคุณตา ไม่ต้องอภัยให้หนูก็ได้ค่ะ แต่ตายอช์ตไม่รู้เรื่อง แกยังบริสุทธิ์นัก หนูแค่อยากให้แกได้มาเจอคุณตา ได้เห็น ได้รู้จักคุณตาของแกบ้าง หนูขอโทษ ถ้ามันทำให้คุณพ่อโกรธ อย่าโกรธป้าสีดานะคะ หนูผิดเอง หนูลาละค่ะ”

ยอดธิดายกมือไหว้คนเป็นบิดา ก่อนจะเดินออกไปจากบ้านหลังใหญ่พร้อมกับลูกน้อยที่กอดซบมารดาไว้แน่น สายตาของเด็กน้อยมองมาที่คนเป็นตา เจ้าสัวยอดชายตวัดสายตามามองจึงทันได้เห็นความไร้เดียงสาในแววตาคู่นั้น

 

เวลาดำเนินผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากที่ยอดธิดาเคยมาหาเกือบทุกวัน ก็กลับกลายเป็นวันเว้นวัน สามสี่วันครั้ง และอาทิตย์ละครั้ง จวบจนเดือนละครั้ง และทุกครั้งที่เห็น สีดาจะเป็นกังวล เพราะรับรู้ถึงอาการไม่สบายของยอดธิดา นางเพียรพยายามบอกเรื่องนี้แก่เจ้าสัวยอดชาย แต่กลับได้รับเพียงการเมินเฉย บางครั้งก็นึกอยากต่อว่าอีกฝ่ายนักว่าใจดำกับลูกกับหลาน เวลาผ่านมานับสิบปี ยังไม่ละทิฐิอีก

เด็กชายยอดผาในวัยสิบเอ็ดขวบ ร่างกายสูงยาว ใบหน้ามีเค้าความหล่อยืนมองบ้านหลังใหญ่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย หากไม่เป็นเพราะมารดาขอร้องให้มาที่นี่บ่อยเท่าที่จะทำได้ เขาก็ไม่มาหรอก เพราะมาแล้วก็ได้แต่ยืนหน้าบ้าน ไม่ได้เจอคุณตาที่มารดาพูดถึงสักนิด

เขาแย้มยิ้มออกมา เมื่อเห็นสีดาออกมาต้อนรับเช่นทุกครั้ง

“สวัสดีครับยายสีดา”

ยอดผาไหว้สีดาอย่างนอบน้อม ไม่มีความรังเกียจหรือแบ่งชนชั้นสักนิด

“สวัสดีค่ะคุณยอช์ต มาค่ะ เข้ามาข้างในกันดีกว่า วันนี้คุณตาไม่อยู่ ไม่ต้องกลัว”

เด็กชายส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยื่นปิ่นโตที่มารดาตั้งใจต้มซุปมาให้เจ้าสัวยอดชาย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไร

“วันนี้อยู่นานไม่ได้ครับยาย แม่ไม่ค่อยสบาย ผมต้องไปดูแลแม่”

สีดาที่เริ่มชราตามวัยมองคนตรงหน้านิ่ง สีหน้าเคร่งเครียดเต็มไปด้วยความห่วงใย

“คุณแม่ยังไม่ดีขึ้นอีกหรือคะ ไปหาหมอหรือยัง เห็นป่วยกระเสาะกระแสะอย่างนี้มานานหลายปีแล้ว”

“ไปแล้วครับ แต่แม่ก็อาการไม่ดีขึ้น สงสัยไม่มีกำลังใจ”

พูดจบ แววตาคนพูดก็หม่นแสงลง เขามองไปยังบ้านหลังใหญ่ ที่ซึ่งมีตาที่เขาไม่เคยได้เห็นหน้าชัดๆ สักทีครอบครองอยู่ เขาไม่เข้าใจนักว่า มารดาของเขาทำอะไรผิด เจ้าสัวยอดชายถึงได้โกรธถึงขนาดตัดพ่อตัดลูกนานนับสิบปี

“คุณท่านใจอ่อนลงมากแล้วนะคะ ยอมให้คุณยอช์ตเข้ามาเดินเล่นในรั้วบ้าน ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยให้คุณแม่เข้าบ้านสักนิด”

“ก็เขาใจร้ายไงครับ ใจร้ายมาก”

คำพูดของเด็กชายทำให้สีดายกมือขึ้นทาบอก ตาโต ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินยอดผากล่าวออกมาเช่นนั้น

“ไม่เอาค่ะ ไม่คิดแบบนี้นะคะ อย่าว่าคุณตา มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ มันละเอียดอ่อน คุณยอช์ตอาจจะไม่เข้าใจในตอนนี้”

“แต่แม่ของผมก็เป็นลูกเขานะครับ เขาไม่รักแม่ผมสักนิดเลยเหรอ”

“รักสิคะ เพราะรักมาก คุณตาเลยโกรธคุณแม่มาก เอาไว้คุณยอช์ตโตกว่านี้แล้วจะเข้าใจ”

ยอดผาส่ายหน้า ทั้งสีดา บิดา และมารดา ต่างพากันบอกเขาว่า เจ้าสัวยอดชายไม่ผิด ห้ามโกรธ ห้ามเกลียด หรือว่าร้ายคนเป็นตา แต่สำหรับเขา เจ้าสัวยอดชายคือผู้ชายใจร้ายคนหนึ่ง ขนาดกับลูกยังใจดำได้ขนาดนี้ แล้วกับเขาซึ่งเป็นแค่หลาน ความผูกพันน่ะหรือ อย่าได้พูดเลย แทบไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ มีหรือเจ้าสัวยอดชายจะเห็นใจ ยอมอภัยให้

“ดูสิครับ ทั้งๆ ที่แม่ป่วย แต่ก็ยังลุกขึ้นจากเตียง ต้มน้ำซุปมาให้เขา ผมว่าสุดท้ายเขาก็เททิ้ง ไม่ได้กินหรอก ผมฝากยายสีดาให้เขาด้วยแล้วกันนะครับ ผมต้องรีบกลับ” กล่าวจบก็ยื่นปิ่นโตใส่น้ำซุปส่งให้ แล้วรีบวิ่งกลับบ้าน

สีดามองตามหลังพลางถอนหายใจ เจ้าสัวยอดชายจะรู้ไหมหนอ ตะกอนความเกลียด ความโกรธที่มีต่อยอดธิดา มันกำลังส่งถึงยอดผา นางมองจนเขาสุดสายตาก็หมุนกายกลับเข้าไปในบ้าน

...

“ลดความเร็วลงหน่อย”

ขณะที่ยอดผากำลังวิ่งกลับบ้านนั้น รถเอสยูวีสีดำมันปลาบคันหนึ่งก็ชะลอความเร็วตามคำสั่งของคนเป็นนายที่นั่งอยู่ด้านหลัง

เจ้าสัวยอดชายมองเด็กชายที่กำลังวิ่งผ่านรถคันใหญ่ของตัวเองไป แววตาที่มองดูอ่อนลง มุมปากยกสูงขึ้นคล้ายจะยิ้ม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ายอดผาต้องมาจากบ้านของเขาแน่ แต่ทำไมวันนี้กลับเร็ว ไม่นั่งเล่นแถวสนามหญ้าเหมือนทุกครั้ง แล้วหัวใจก็หายวาบ เมื่อคำพูดของสีดาลอยเข้ามาในหัว ยอดธิดาไม่สบาย ป่วยกระเสาะกระแสะ ที่ยอดผารีบกลับอาจเป็นเพราะมารดาป่วย อาการไม่ดี สีหน้าเจ้าสัวยอดชายเคร่งเครียด สายตามองตามยอดผาด้วยความเป็นห่วง

“คนของเรารายงานเรื่องบ้านโน้นว่ายังไงบ้าง”

น้ำเสียงติดจะห่วงใยยามเอ่ยถามข่าวคราวกับคนที่เป็นทั้งคนขับรถและบอดีการ์ดส่วนตัว ติดตามเขาไปทุกที่

“เหมือนเดิมครับ เพิ่มขึ้นมาก็ตรงที่ปีนี้ นักมวยในค่ายได้แชมป์เพิ่มขึ้นมาอีก ยิ่งมีชื่อเสียงไปใหญ่ครับ”

“แล้ว...คนอื่นล่ะ”

ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่คนถูกถามก็รู้ว่าเจ้าสัวยอดชายหมายถึงใคร

“ปีนี้คุณยอดธิดาป่วยมากกว่าเดิมครับ เห็นไปโรงพยาบาลบ่อย”

ได้ยินแบบนั้น หัวใจของคนเป็นพ่อก็ปวดหนึบ สีหน้าเศร้า ความห่วงใยมีเต็มเปี่ยม

“ถ้าอย่างนั้นเราไปเยี่ยม...”

กล่าวได้เท่านั้นก็เงียบกริบ เพราะสบดวงตาแข็งกร้าวที่มองตรงมาผ่านกระจกมองหลัง

“ไม่! กลับบ้าน”

เสียงกร้าวนั้นทำให้คนขับรถเหยียบคันเร่ง พุ่งตรงกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ทันที เจ้าสัวยอดชายนั่งตัวตรง สองมือที่วางพาดอยู่บนที่วางแขนกำแน่น ห้ามใจตัวเองด้วยทิฐิ ไม่ให้หันกลับไปมอง จึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่ายอดผาชะงักฝีเท้า และหันมองตามรถที่เพิ่งวิ่งผ่านหน้าตัวเองไป

ยอดผามองอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก็ออกวิ่งต่อ จังหวะเดียวกันนั้น รถเอสยูวีคันใหญ่ก็เบนพวงมาลัยเตรียมเลี้ยวเข้าจอดในบ้าน แต่เจ้าสัวยอดชายเห็นกล่องอะไรบางอย่างวางชิดกำแพง เลยประตูบ้านไปไม่มาก

“นั่นกล่องอะไร” พูดจบก็เดินลงจากรถ โดยไม่รอใครทั้งสิ้น

เสียงเด็กร้องดังขึ้น เจ้าสัวยอดชายจึงรีบถลาเข้าไปชะโงกหน้าดูในกล่องใบนั้น แล้วแทบสบถออกมา พ่อแม่คนไหนช่างใจดำ ทิ้งลูกตัวแดงๆ ได้ลงคอ เขาอุ้มเด็กขึ้นมา แล้วกวาดมองไปทั่วบริเวณ เผื่อจะเจอพ่อแม่ใจร้าย แต่ทุกอย่างกลับว่างเปล่า แปลก...สายตาที่ดุกร้าวก่อนหน้านั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยามที่มองเด็กทารกในอ้อมแขน

ภาพใครคนหนึ่งในตอนเด็กผุดขึ้นมา เด็กทารกคนนี้ช่างคล้ายยอดธิดายิ่งนัก ไม่ว่าจมูก ปาก ล้วนจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น่าเอ็นดู เจ้าสัวจึงตั้งชื่อให้ว่า รมณ ที่แปลว่าความสุข นับตั้งแต่นั้น บ้านหลังนี้ก็มีคุณหนูคนใหม่ ทุกคนในบ้านตื่นเต้นกับสิ่งใหม่จนหลงลืมสิ่งเก่าไปบ้าง กว่าจะกลับมาคิดถึงอีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปอย่างน่าใจหาย

ยอดผาที่เคยมาบ่อยครั้ง ก็ทิ้งระยะห่างออกไป จากเดือนเป็นปี ทำให้เจ้าสัวยอดชายห่วงใยไม่น้อย ถึงแม้พยายามทำเป็นไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ แต่ข่าวคราวที่ได้รับจากลูกน้องก็ทำให้เขาใจเย็นไม่ไหว

เจ้าสัวทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่มืดมัว เมฆสีดำลอยต่ำ เสียงคำรามลั่นดังอยู่ไกลๆ เป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตก ทำไมอากาศวันนี้ถึงได้เศร้าเช่นนี้ ไม่นานฝนเม็ดแรกก็ร่วงลงสู่พื้นดิน และสาดเข้ามาที่หน้าต่างตามแรงลม มือที่เอื้อมไปหมายจะปิดหน้าต่างชะงัก เมื่อเห็นร่างที่คุ้นตายืนเกาะประตูรั้ว ตะโกนอะไรสักอย่างแข่งกับสายฝน

ยอดผา!

ความยินดีฉายชัดในแววตา ขยับตัวเพื่อเดินลงไปหา แต่แล้วก็ชะงัก เพราะทิฐิในหัวใจ เจ้าสัวขบกรามแน่น มือจับขอบผ้าม่านไว้ จ้องเด็กหนุ่มเขม็ง

“เจ้าสัว! เจ้าสัวได้ยินไหม”

ยอดผาในวัยย่างสิบห้าตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน แข่งกับสายฝนที่โปรยปรายลงมา แต่ก็ไร้แววว่าจะมีใครออกมา

“เจ้าสัว! แม่ผมกำลังจะตาย แม่ผมเรียกหาแต่เจ้าสัว ช่วยไปหาแม่ผมที”

ตั้งแต่จำความได้ ยอดผาไม่เคยร้องไห้สักครั้ง แต่ครั้งนี้เขาทนต่อไปไม่ไหว มารดาที่กำลังเหลือลมหายใจเพียงแผ่วเบา ปากพร่ำร้องเรียกหาแต่บิดา ภาพนั้นมันทรมานหัวใจเขาเหลือเกิน

“เจ้าสัว! ออกมา ได้ยินไหม แม่ผมกำลังจะตาย”

ยอดผาตะโกนลั่น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นปูน มือกำซี่เหล็กของประตูหน้าบ้านไว้แน่น ร่ำไห้อย่างไม่อายใคร

“เจ้าสัว ได้โปรดเถอะ ช่วยแม่ผมหน่อย”

ยอดผาตะโกนสุดเสียง คลายมือจากซี่เหล็กประตู แล้วเลื่อนมาจับที่เข่าตัวเอง ก้มหน้าลงต่ำ สะอื้นไห้อย่างไม่อาจฝืนต่อไป ตลอดระยะเวลาที่ป่วยหนัก มารดาที่ผ่ายผอมเรียกหาแต่เจ้าสัวยอดชายผู้เป็นบิดา จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งหมอบอกว่าอาจจะไม่พ้นคืนนี้ด้วยซ้ำ มารดาของเขาก็ยังใช้แรงเฮือกสุดท้าย เรียกหาคนเป็นพ่อ เรียกหาผู้ชายใจร้ายคนนั้น

ร่ม!

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นว่ามีอะไรบางอย่างยื่นมาตรงหน้าเขา ในใจนึกภาวนาให้เป็นเจ้าสัวยอดชาย ที่นำร่มมาให้เขา แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เขารีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาด้วยความเคยชิน ทั้งที่ใบหน้าชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน

เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เขาไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้สามสี่ปี เด็กคนนี้ลูกใครหรือ

“ตายแล้ว คุณน้ำมนต์”

สีดาวิ่งถลาฝ่าสายฝนออกมา เมื่อเห็นคุณหนูตัวเล็กของนางยืนตากฝนอยู่หน้าประตูบ้าน นางหันไปปิดหน้าต่างเพียงแค่แวบเดียว หันมาอีกทีก็ไม่เห็นรมณยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ร้องเรียกอยู่นานสองนาน เมื่อเดินออกมาหน้าบ้านก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม เพราะเห็นยอดผานั่งคุกเข่า ตัวเปียกซ่กอยู่หน้าประตู สภาพของรมณก็ไม่ต่างกัน นางจึงรีบไปหยิบร่มแล้วกางกันฝนออกมา

“คุณน้ำมนต์ถือไว้นะคะ”

สีดาส่งร่มให้รมณ แล้วหยิบร่มคันที่รมณเสียบไว้ตรงช่องเหล็กของประตูรั้วมาถือไว้ เปิดประตูเหล็กออกไปกางร่มกันฝนให้ยอดผา นางเอนร่มในมือไปทางเด็กหนุ่ม ส่วนตัวนางเปียกก็ไม่เป็นไร

“คุณยอช์ต ลุกขึ้น เข้าไปในบ้านก่อนค่ะ”

“ยายสีดา ผมรอไม่ไหวแล้ว แม่อยากเจอเจ้าสัวมาก แม่ผม...” ก้อนสะอื้นวิ่งมาจุกที่ลำคอจนยอดผาพูดต่อไม่ได้

 สีดาเริ่มใจเสียเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้

“เข้ามาก่อนค่ะ มีอะไรเข้ามาคุยข้างใน เดี๋ยวคุณยอช์ตจะไม่สบายอีกคน เชื่อยายสีดานะคะ”

คำอ้อนวอนของสีดาทำให้เด็กหนุ่มยอมลุกขึ้น เดินตามสีดาที่ประคองรมณเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็รีบเรียกคนงานอีกคนหนึ่งให้พารมณไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และหาผ้าขนหนูมาให้ยอดผา

“ยายสีดาครับ ผมรอไม่ได้นะครับ เจ้าสัวอยู่ไหน ช่วยเรียกให้ผมที”

ยอดผาจับมือสีดา ดวงตาแดงก่ำมองอย่างอ้อนวอน

“มีอะไรคะ คุณหนูเป็นอะไรคะ แล้วทำไมหายหน้าไปนาน ไม่ติดต่อยายบ้าง รู้ไหมคะยายสีดาเป็นห่วง”

“แม่...อาการไม่ดีแล้ว หมอบอกว่าอาจไม่พ้นคืนนี้”

“คุณพระ!”

สีดาอุทานอย่างตกใจพร้อมกับยกมือขึ้นทาบอก หน้าซีดเผือด ใจหายวาบ

“แม่เรียกหาแต่เจ้าสัว ผมอยากให้เจ้าสัวไปดูใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรดเถอะยายสีดา บอกเจ้าสัวให้ผมที”

ร่างที่กำลังเดินลงมาจากชั้นบนหยุดชะงัก เซจนต้องจับราวบันไดเอาไว้ และบีบแน่นจนแขนสั่นไหว เขาได้ยินเต็มสองหู ยอดธิดา บุตรสาวคนเดียวของท่านกำลังจะตาย

เสียงฝีเท้าที่รีบวิ่งขึ้นบันไดมาทำให้เจ้าสัวยอดชายยืดตัวขึ้น ดวงตาแดงก่ำมองสีดานิ่ง

“คุณท่าน ได้ยินแล้วใช่ไหมคะ คุณหนูเธอ...” สีดาข่มก้อนสะอื้นก็วิ่งมาจุกอก ก่อนพูดต่อ “คุณท่านรีบไปดูใจคุณหนูเถอะค่ะ อย่าถือทิฐิอีกเลย นี่เป็นวาระสุดท้ายแล้วนะคะ คุณหนูคงคิดถึงคุณท่านมาก คุณท่านเองก็คิดถึงคุณหนูมากเช่นเดียวกัน ไปเถอะนะคะ”

 

สีดาร่ำไห้ อ้อนวอนคนเป็นเจ้านาย แต่อีกฝ่ายกลับหมุนตัว เหมือนจะเดินกลับไปที่เดิม ซ่อนน้ำตาที่ไหลพราก แต่ไหล่ที่สั่นสะท้านทำให้นางเข้าใจได้ว่า เจ้าสัวเองก็กำลังร่ำไห้เช่นเดียวกัน แต่คงเพราะทิฐิยังค้ำคอ

“ใจดำ! สุดท้าย ท่านก็ใจดำเหมือนที่ผมเข้าใจมาตลอด”

ทั้งสองคนหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตกใจ จึงเห็นว่ายอดผายืนมองอยู่ สีหน้าโกรธจัด ตาแดงก่ำ สองมือของเด็กหนุ่มกำแน่น

“ขนาดแม่ผมจะตาย ท่านยังไม่สนใจ ใจท่านทำด้วยอะไร แม่ผมไม่น่ามีพ่อใจดำแบบท่านเลย ผมเกลียดท่าน เกลียด!” พูดจบก็วิ่งออกไปทันที

เจ้าสัวยอดชายยกมือขึ้นหมายจะเรียก แต่เสียงที่ออกจากปากนั้นเบาหวิว ไม่ต่างจากเสียงกระซิบ

“ตายอช์ต”

 “คุณยอช์ตคะ คุณยอช์ต” สีดาร้องเรียกเสียงหลงพร้อมกับรีบวิ่งตามยอดผาไป

ยอดผาวิ่งฝ่าสายฝนออกไปแล้ว ไม่ได้ฟังเสียงเรียกเบื้องหลังสักนิด 

โครม!

สีดาหันไปมองด้านในบ้าน ตาเบิกกว้าง สีหน้าตกใจ รีบวิ่งไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว

“คุณท่านคะ! คุณท่าน!”

ภาพเจ้าสัวยอดชายหมดสติ ทรุดลงไปกองกับที่พักบันได ทำให้เกิดความโกลาหลเกิดขึ้นพักใหญ่หลังจากสีดาร้องเรียกให้คนช่วยด้วยความตกใจ ก่อนที่คนป่วยจะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล รู้สึกตัวอีกครั้ง ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น