4

ตอนที่ 4


 

 

รมณรู้สึกล้าที่ต้นขาและน่องเรียวทั้งสองข้าง หายใจเข้าออกถี่ๆ แต่กลับรู้สึกว่าหายใจไม่อิ่ม ใบหน้าหวานเริ่มซีดเซียว เหงื่อซึมตามขมับ เหนือริมฝีปาก จนถึงลำคอ เรียวปากบางพยายามฝืนยิ้ม เมื่อสายตาเห็นชื่อค่ายมวย ย. ยอดยิมอยู่ตรงหน้า ถึงแม้ภาพที่เธอเห็นจะพร่าเลือนก็เถอะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวรมณ อดทนไว้ หญิงสาวให้กำลังใจตัวเอง ด้วยความดีใจและขาดการระมัดระวัง เท้าที่กำลังก้าววิ่งอย่างอ่อนล้าจึงทรุดตัวล้มไม่เป็นท่า

                ไม่สิ! เธอจะล้มตอนนี้ไม่ได้ ชัยชนะอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง ความหวังของคุณตาจะพังเพราะเธอไม่ได้ มือเล็กยันร่างให้ลุกขึ้นยืน ถึงจะเซไปบ้าง แต่เธอก็พยายามทรงตัวให้อยู่

ยอดผาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ร่างสูงวิ่งถลาเข้าไปใกล้หมายจะประคอง แต่พอเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเองได้ จึงได้แต่มอง ความรู้สึกทึ่งพุ่งจับหัวใจ เห็นตัวเล็กแค่นี้ แต่อดทนเหลือเกิน ถ้อยคำที่เคยดูถูกรมณเลือนหายไป ดวงตาที่ทอประกายกร้าวอ่อนแสงลง ยิ้มชื่นชมหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว

รมณก้มลงเท้าแขนกับเข่าทั้งสองข้าง หายใจหอบสะท้าน ตอนนี้เธอหายใจทางปากแทนอย่างคนหายใจไม่ทัน เงยหน้าขึ้นมองป้ายค่ายมวย อยู่ตรงนั้นเอง อีกนิดเดียว หญิงสาวบอกตัวเองให้ฮึดอีกแค่อึดใจเดียว ก้าวจากนี้ไปจนถึงค่ายมวยแทบจะเป็นเดินเสียมากกว่า ความพร่ามัวตรงหน้าทำให้รมณสะบัดใบหน้า แต่คราวนี้กลับไม่ได้ผลเหมือนทุกครั้ง ก้าวได้เพียงอีกไม่กี่ก้าว ร่างบางก็ทรุดลงกับพื้น เสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินนั่นก็คือ เสียงร้องเรียกคล้ายตกใจของใครบางคน

“คุณ! คุณ!”

 

ยอดผาตกใจ ถลาเข้าไปหา ประคองใบหน้าที่ชื้นเหงื่อด้วยฝ่ามือข้างหนึ่ง และเขย่าเรียกให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว สีหน้าเขาเคร่งเครียด มองไปรอบตัว เผื่อเจอคนช่วย แต่หาอยู่สักพักก็อยากสบถออกมาดังๆ ปรกติคนในค่ายวิ่งผ่านแถวนี้เป็นพรวน ทีตอนนี้ละไม่มีสักคน ชายหนุ่มตัดสินใจช้อนร่างบางขึ้นไว้ในวงแขน แล้วอุ้มกลับไปยังค่ายมวย

                ชายหนุ่มแทบจะสบถออกมา กับน้ำหนักตัวของคนในวงแขน ตัวเบาอย่างกับนุ่น ตัวแค่นี้ริจะเรียนต่อยมวย

“ดีใจ! ดีใจ!”

ปากตะโกนเรียกคนงานในค่าย มือก็วางคนในอ้อมแขนบนเก้าอี้ยาวอย่างระมัดระวัง อากัปกิริยาของยอดผาเป็นไปอย่างอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่แค่ดีใจที่เดินออกมาเท่านั้น แต่ครูพนมและยอดชนะก็เดินตามมาด้วย สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเห็นรมณนอนไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้ยาว โดยเฉพาะยอดชนะที่ตวัดตาดุมองลูกชายทันควัน

“เกิดอะไรขึ้นเจ้ายอด แกทำอะไรหนูน้ำมนต์”

“ทำอะไรเล่าป๊า ก็ลูกศิษย์ของป๊าไง อวดดีจนได้เรื่อง เป็นลมอยู่หน้าค่าย เดือดร้อนให้ผมต้องแบกมานี่แหละ คนอะไรตัวหนักชะมัด”

ปากพูดในสิ่งที่ตรงกันข้าม และบ่นอีกเล็กน้อยเพื่อลดความสนใจของคนเป็นบิดา

“ดีใจ ได้หรือยังน่ะยาดม”

“ไปเอาเดี๋ยวนี้แหละค่ะคุณยอช์ต”

ดีใจยิ้มแหย แล้ววิ่งไปหาของที่ยอดผาต้องการ ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกล่องยา ที่มียาสามัญประจำบ้าน และยาที่จำเป็นต่อนักมวยหากเกิดอุบัติเหตุ

“นี่ค่ะ”

ยอดผาหยิบยาดมในมือของดีใจมาจ่อที่ปลายจมูกเล็ก เว้นระยะห่างเล็กน้อย มือข้างที่ว่างหยิบหนังสือนิตยสารกีฬาเล่มที่ใกล้มือที่สุด พัดให้ความเย็นแก่คนหมดสติ สีหน้ายังไม่คลายกังวล ยอดผาไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสายตาของทุกคน โดยเฉพาะยอดชนะที่หันไปมองครูพนม กระดิกนิ้วโป้งไปทางยอดผา เป็นเชิงถามว่าเห็นหรือเปล่า

ผ่านไปไม่นาน เปลือกตาที่ปิดสนิทของรมณก็ค่อยปรือขึ้น สิ่งแรกที่เห็นก็คือใบหน้าขมึงทึงของยอดผา ยาดมที่จ่อปลายจมูกของเธอถูกดึงออกห่าง พร้อมกับการขยับออกห่างของยอดผา

“ไงแม่คุณ อวดดีจนได้เรื่อง”

น้ำเสียงพาลพาโลทำให้รมณพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอจำได้ว่าเธอวิ่งมาจนเกือบถึงค่ายมวยอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ! เธอถึงแล้วด้วยซ้ำ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ หลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้ตัวเลย

“ฉันทำได้แล้ว”

รมณไม่ได้กังวลอาการของตัวเองเลย สิ่งแรกที่เธอเอ่ยออกมาก็คือคำว่า ‘ฉันทำได้แล้ว’

“ทำได้แล้วไง ตัวเองเกือบตายอยู่รอมร่อ ยังไม่สำนึกอีก”

“คุณต้องรักษาสัญญา ในเมื่อฉันสามารถทำตามคำสั่งของคุณได้แล้ว คุณก็ต้องมาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้ฉัน”

ยอดผาขึงตากร้าวใส่ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างระอา ตัวเองเกือบจะแย่อยู่แล้ว ยังมีอารมณ์คิดถึงเรื่องอื่นอีก

“แค่นี้ยังเกือบจะไม่รอด คิดว่าจะฝึกได้รึไง คุณกลับไปเถอะ ผมไม่มีอารมณ์มาเปลืองเวลาเล่นสนุกกับคุณหรอกนะ”

“คุณไม่รักษาสัญญา” รมณมองยอดผาอย่างผิดหวัง

“แล้วถ้าผมรักษาสัญญา คุณจะอดทนฝึกได้กี่วัน หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง สองวัน หรือหนึ่งอาทิตย์”

ยอดผาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างท้าทาย

“ฉันไม่รู้ ฉันรู้แต่ว่า วันนี้ฉันทำตามคำท้าของคุณได้ และคุณต้องรักษาสัญญา ไม่ว่าฉันจะมีความพยายามฝึกได้กี่ชั่วโมง กี่วัน สองวัน สามวัน หรือแค่วินาทีเดียว คุณก็ต้องเป็นเทรนเนอร์ให้ฉัน ลูกผู้ชายอย่างคุณคงไม่ผิดคำพูดนะคะ คุณยอดผา”

อาการกลั้นหัวเราะในลำคอของยอดชนะทำให้ยอดผายิ่งหงุดหงิด หน้างอง้ำราวกับเด็ก เมื่อไม่มีใครเข้าข้างเขา

“ผมบอกว่าถ้าคุณวิ่งได้ ผมจะพิจารณาการเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวของคุณ ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมเป็นให้”

ไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของยอดผานั้น ทำให้กระบอกตาของรมณร้อนผ่าว เธอกะพริบตาถี่ๆ และหลุบตาลงต่ำ กิริยานั้นทำให้ยอดผาถึงกับพูดไม่ออก มองหญิงสาวอย่างตกใจ ทำไมต้องมาสำออยตอนนี้นะ

“ไงเจ้ายอด คิดจะผิดคำพูดหรือไง ลูกผู้ชายรึเปล่าครับคุณ”

“โธ่ป๊า! ป๊าก็ได้ยินที่ผมพูด แค่อาจจะ คุณนี่ก็อะไร แค่นี้ทำสำออย คิดว่าผมจะหลงกลคุณเหมือนตาแก่คนนี้หรือไง ไม่มีทางหรอก”

ยอดผาชี้นิ้วไปทางบิดา ไม่ได้หันมองเพราะสายตาจับจ้องที่รมณ

“อ้าว! ไอ้นี่ปากเสีย ตาแก่นี่พ่อคุณหรือเปล่าครับคุณยอดผา”

คำย้อนถามของยอดชนะทำให้เด็กในค่ายมวยที่ยืนลุ้นอยู่รอบๆ บริเวณหัวเราะ

“หนูกลับก่อนนะคะคุณลุง”

เจ้าของดวงตาแดงก่ำช้อนตามองยอดชนะ และยกมือไหว้ ไม่มองยอดผาแม้แต่นิด แต่ขณะที่เธอขยับตัวเตรียมจะลุกจากเก้าอี้ก็ได้ยินเสียงสะบัดของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน

“เออๆ ก็ได้ ผมยอมเป็นเทรนเนอร์ให้คุณก็ได้ แค่นี้ต้องทำมาบีบน้ำตา อ่อนชะมัด” ร่างสูงพูดจบก็เดินออกไป จึงไม่เห็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะของรมณ

หญิงสาวสบตายอดชนะ เห็นอีกฝ่ายยกนิ้วโป้งให้ พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเธอมาถูกทางแล้ว

“ขอบคุณนะคะคุณลุง สำหรับข้อแนะนำดีๆ”

“หัวไวเหมือนกันนะเรา ว่าแต่ลุงถามได้ไหม ทำไมถึงได้อยากให้เจ้ายอดเป็นเทรนเนอร์ให้ ทั้งที่ค่ายมวยเรามีเทรนเนอร์เก่งๆ ตั้งหลายคน”

ได้ยินคำถามแบบนี้รมณถึงกับอึ้ง ทำหน้าไม่ถูก หลบสายตาของยอดชนะ จนสุดท้าย เป็นยอดชนะที่หัวเราะออกมา ทำเหมือนไม่ได้เป็นคนถามคำถามนั้น

 “เอาละๆ ลุงไม่ถามก็ได้ พรุ่งนี้มาลุยกันต่อนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ”

รมณยกมือไหว้ยอดชนะกับครูพนม หลังจากหญิงสาวพ้นสายตาไป ครูพนมก็หันมาถามยอดชนะด้วยความสงสัย เพราะได้ยินที่รมณบอกว่ายอดชนะแนะนำเคล็ดลับดีๆ ให้ นั่นหมายถึงอะไร

“พี่ชนะ ข้อแนะนำอะไรน่ะ บอกฉันบ้างสิ เผื่อฉันจะได้เอาไว้จัดการกับเจ้ายอดมัน เดี๋ยวนี้ท้าเตะท้าต่อยเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว แรงมันเยอะ”

ยอดชนะถึงกับหัวเราะ แต่ไม่ตอบ เดินหนีออกไป ทิ้งให้ครูพนมมองตามด้วยความอยากรู้ ส่วนยอดผาที่เดินออกมาคนแรกกลับรู้สึกประหลาด ความประทับใจในตัวรมณพุ่งสู่หัวใจ สีหน้าเย่อหยิ่ง อดทน ไม่โวยวาย ไม่โอดครวญ กลับตรึงหัวใจของเขาไว้อยู่หมัด ใบหน้าคมเข้มก้มลงต่ำ ซ่อนรอยยิ้มมุมปาก ดวงตาพราวระยับ ต้องคอยดูกันต่อไปว่ารมณจะอึดได้นานแค่ไหน ของอย่างนี้ต้องใช้เวลาตัดสิน

 

คิ้วเรียวของรมณขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเมื่อเห็นรถที่คุ้นตาจอดอยู่ในบ้าน ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างดีใจ วิ่งเข้าไปในห้องรับแขกอย่างลืมอาการปวดกล้ามเนื้อทันที เพราะความตื่นเต้นเข้ามาแทนที่

“จ๋า...กลับมาเมื่อไร”

คนถูกเรียกหันมาส่งยิ้มอย่างยินดี เธอรู้จักกับรมณมานาน เพราะตอนเด็กบ้านอยู่ติดกัน ก่อนที่ครอบครัวของเธอจะย้ายออกไป และมาเจอกันอีกครั้งเมื่อเข้าเรียนในโรงเรียนสตรีมีชื่อแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นทั้งสองก็สนิทกัน ช่วงมหาวิทยาลัยก็ยังสอบติดที่เดียวกัน คณะเดียวกัน ล่าสุด เธอไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวหลายเดือน เลยไม่ได้ไปมาหาสู่กัน แต่ก็ยังคงติดต่อกันเป็นระยะ

“เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี่เอง คิดถึงแกเลยรีบมาหา”

“ฉันก็คิดถึงแก”

“คิดถึง...แต่ไม่ยอมบอกเรื่องแต่งงาน”

คำพูดนั้นทำให้รมณถึงกับอึ้ง เจนตาจะรู้จากใคร ถ้าไม่ใช่สิงหา

“สิงห์บอกแกหรือไง”

“ใช่...พอฉันมาถึง เห็นหน้านายสิงห์หงอยเป็นอันดับแรก”

รมณมองหน้าคนพูด รับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่สดชื่นนัก

“ชอบสิงห์ขนาดนี้ ทำไมถึงเก็บเอาไว้ ไม่บอกฉันล่ะจ๋า”

คำพูดของรมณทำให้เจนตาเบิกตากว้างมองเพื่อนสนิท ไม่คิดว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเธอ รมณจะมองออก

“แกรู้?”

“เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปี มีอะไรทำไมไม่บอกฉัน ถ้าฉันเกิดปักใจ แต่งงานกับสิงห์ไปล่ะ แกจะเป็นยังไง”

เจนตายิ้มหยันตัวเองกับคำพูดของเพื่อน

“ก็หน้าชื่นอกตรมไปน่ะสิ แต่ยังไง สิงห์ก็ไม่หันมองฉันหรอกน่า”

“โธ่! จ๋า ตอนนี้สิงห์อาจจะมองไม่เห็นความดีของแก...แต่ฉันเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องเห็น”

รมณเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่ม ส่งยิ้มให้เจนตาอย่างให้กำลังใจ เมื่อทั้งคู่สบตากัน

“ว่าแต่...แกตัดสินใจแน่แล้วนะ ว่าสิงห์ไม่ใช่ผู้ชายที่แกรออยู่ เพราะฉันจะจีบสิงห์เต็มที่ ลุยแบบไม่ให้สิงห์ตั้งตัวเลย”

“แกควรทำนานแล้ว ไม่ใช่มาบอกฉันตอนนี้”

เจนตายิ้มอย่างขอบคุณ จับมือเพื่อนสาวมากุมไว้และมองหน้านิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยในสิ่งที่เธออยากจะพูด ไม่ได้พูดเพราะเห็นว่าใครเสียใจ หรือช้ำใจ

“ความจริง ฉันก็อยากให้แกคิดให้ดีเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน ชีวิตแกทั้งชีวิต”

รมณมองเพื่อนรัก ยิ้มเล็กน้อย บีบมือตอบ

“ฉันคิดดีแล้วละจ๋า นี่เป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะได้ตอบแทนคุณตา ฉันสงสารคุณตา ฉันไม่อยากให้บั้นปลายชีวิตของคุณตามีแต่ความทุกข์ ตอนนี้คุณตาสำนึกแล้ว”

เจนตาถอนหายใจยาวเหยียด รู้สึกสงสารเจ้าสัวยอดชายก็ส่วนหนึ่ง แต่สงสารรมณมากกว่า

“แกคิดดีแล้วเหรอน้ำมนต์ บุญคุณกับชีวิตของแกเลยนะ แกไม่จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณเจ้าสัวยอดชายด้วยวิธีนี้ก็ได้”

สิ่งที่เจนตาเอ่ยออกมา รมณคิดทบทวนแล้วหลายรอบ เธอไม่เคยลังเลแม้แต่นิด เธอมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้เพราะเจ้าสัวยอดชาย ต่อให้สิ่งที่เจ้าสัวขอคือชีวิตของเธอ...เธอก็สามารถมอบให้ได้โดยไม่คิดลังเล

“ถ้าแกเป็นฉัน แกจะไม่ลังเลที่จะทำให้คุณตามีความสุข ฉันมีวันนี้เพราะคุณตา”

“แล้วความสุขของแกล่ะ”

แววตาของรมณหม่นลงเมื่อได้ยินคำถามของเจนตา ความสุขหรือ ความสุขของเธอคืออะไร เธอไม่เจอคำตอบ รู้แค่ว่า แค่เห็นเจ้าสัวยอดชายยิ้มได้ หัวเราะได้ เท่านั้นก็พอ

“ความสุขของฉันก็คือเวลาที่ฉันเห็นคุณตายิ้ม หัวเราะ”

“น้ำมนต์เอ๊ย”

เจนตาถึงกับส่งเสียงครางออกมาเมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนสาว

“เอาเป็นว่าถ้าแกมีความทุกข์ ไม่สบายใจ อย่าลืมบอกฉันนะ ฉันพร้อมจะช่วย”

รมณยิ้มออกมาเล็กน้อย เอื้อมไปจับมือเจนตามากุมเอาไว้ บีบอย่างให้กำลังใจ ทั้งเพื่อนและตัวเธอเอง

“ฉันไม่ลืมแกแน่นอน”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกพักใหญ่เจนตาก็ขอตัวกลับก่อน เพราะที่บ้านโทร. มาตาม รมณยืนส่งเพื่อนจนสุดสายตา ก่อนจะลากร่างที่เริ่มร้าวระบมกลับไปยังห้องนอนตัวเอง เธอเอื้อมมือไปหยิบกระปุกยาแก้ปวด เปิดฝาออกแล้วหยิบออกมาหนึ่งเม็ด กลืนลงคอตามด้วยน้ำเปล่าจนเกือบหมดแก้ว

หวังว่ายาแก้ปวดคงช่วยทุเลาอาการปวดกล้ามเนื้อของเธอได้ เสียดายที่ไม่มียานวดคลายกล้ามเนื้อ ใครจะคิดว่าเธอจะต้องมาเจอแบบนี้ เห็นทีพรุ่งนี้คงจะต้องไปหาซื้อยามาเก็บเอาไว้ ตอนนี้มันสำคัญกับเธอมากทีเดียว

รมณสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วลุกไปเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย ใช้เวลาไม่นานเหมือนทุกวัน เพราะตอนนี้เธออยากล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม พรุ่งนี้จะได้มีแรงออกไปสู้กับยอดผา มุมปากบางยกสูงขึ้นนิดอย่างเหนื่อยอ่อน จะว่าไปแล้ว ยอดผาก็ไม่ได้น่ากลัว น่าเกลียด หรือจิตใจหยาบช้าเหมือนที่เธอวาดภาพไว้ตอนแรก ถึงเขาจะเป็นคนพูดห้วนและห่าม แต่โดยเนื้อแท้แล้วชายหนุ่มไม่ได้เลวร้าย สังเกตได้จากคนใกล้ตัว ยอดชนะบิดาของยอดผานั่นเอง

 

คิ้วเรียวของเจนตาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เมื่อเห็นรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำคันใหญ่ เลขทะเบียนคุ้นตาจอดอยู่ไม่ห่างจากรั้วบ้านของเธอ สิงหานี่...เขามาทำอะไรที่หน้าบ้านของเธอ แถวนี้มีโจรผู้ร้ายชุมหรือไง ถึงต้องมีตำรวจคอยตรวจตรา รถยุโรปคันเล็กจอดท้ายรถคันใหญ่ เจนตาเปิดประตูออกมา เดินไปมองผ่านกระจกด้านคนขับเข้าไปภายในรถ มือเล็กเคาะกระจกรถหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ

                หญิงสาวยกมือขึ้นป้องแสงแล้วพยายามมองเข้าไปในรถอีกครั้ง เห็นเจ้าของรถฟุบหน้าอยู่กับพวงมาลัย ความห่วงใยวิ่งเข้าสู่หัวใจ จนต้องเคาะกระจกรถแรงขึ้นพร้อมกับร้องเรียกคนที่อยู่ด้านใน

“สิงห์คะ สิงห์”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับมา หัวใจของเจนตาเต้นแรง เมื่อคิดว่าอาจเกิดเหตุร้ายกับนายตำรวจหนุ่ม หญิงสาวจึงเลื่อนมือไปดึงที่เปิดประตูอย่างแรง ก่อนจะถอนหายใจเมื่อมันไม่ได้ล็อก หญิงสาวนึกตำหนิตัวเองที่ตื่นตระหนก ไม่ลองเปิดประตูรถดูก่อน

เพียงแค่ประตูรถถูกเปิดกว้าง สายลมจากด้านนอกพัดปะทะร่างสูงที่ฟุบกับพวงมาลัยรถ เสียงยานคางพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ก็โชยออกมาจนเจนตาต้องยกมือขึ้นโบกไปมาแถวจมูกตัวเอง หวังจะให้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์นั้นหายไป

“คราย...ช้านเป็นตำรวจ...ถ้าม่ายอยากถูกจับก็สายหัวปาย”

เจนตาถอนหายใจยาวเหยียด ส่ายหน้าเล็กน้อยกับสภาพของผู้ชายตรงหน้า รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจ ยามที่คิดว่าสิงหาเสียใจมากแค่ไหนที่ถูกรมณตัดเยื่อใย

“เป็นตำรวจแล้วมาเมาอยู่ข้างทางเนี่ยนะ น่าดูตายละ”

คนเป็นตำรวจแหงนหน้ามองยังต้นเสียง ตาปรือเกือบปิด พยายามเบิกตาให้กว้าง เพื่อมองให้ชัดเจนว่าใครที่บังอาจมาพูดแบบนี้ เรียวปากหนาเหยียดยิ้ม เปลือกตาปิดลง เมื่อเห็นหน้าคนมาใหม่ถนัด

“คูณจ๋า”

“ใช่ ฉันเอง แล้วแถวนี้มีโจรหรือไง คุณถึงมานั่งเฝ้าอยู่หน้าบ้านฉัน”

คนเมาส่ายหน้าหวือ พยายามเบิกตาให้กว้างเข้าไว้ แต่มันช่างยากเย็นสำหรับเขาเหลือเกิน

“แล้วคุณมาทำไม กลิ่นเหล้าหึ่งขนาดนี้ กลับไปนอนดีกว่าไหมผู้กอง”

น้ำเสียงไม่ยินดีเท่าไรของเจนตาทำให้คนฟังกระตุกมุมปากนิดๆ นึกสมเพชตัวเองในใจ

“ช่ายเซ่ ม่ายมีใครต้องการผม ม่ายมี”

เจนตาส่ายหน้า มองคนเมาอย่างนึกสงสาร แต่เธอสงสารตัวเองมากกว่า เพราะยิ่งสิงหาเสียใจมากเท่าใด หัวใจเธอก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น

“ก็เมาเหมือนหมาแบบนี้ ใครจะต้องการ”

“แม้กระทั่งคูณก็รังเกียจผม คูณจ๋า ผมเสียจายนะ”

“คุณเมาไม่ได้สติแล้วสิงห์ กลับบ้านเถอะ”

“ม่าย ผมอยากมาหาคูณ”

สิงหาสวนกลับด้วยเสียงยานคาง มือหนาเอื้อมไปจับมือเล็กของเจนตามากุมเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าหญิงสาวจะหนีหายไป

“นี่! ผู้กอง อกหักขนาดหนักเลยหรือไง ฉันน่ะไม่อยากเป็นตัวสำรองของใครหรอกนะ”

คำพูดของเจนตายิ่งทำให้ใบหน้าของผู้กองหนุ่มหมองลง จนคนพูดนึกเสียใจกับคำพูดของตัวเอง

“จริงสิ! ผมอกหัก อกผมเละไม่เหลือเลย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ควรไปบอกยายน้ำมนต์ ไม่ใช่มาบอกฉัน”

“คุณจ๋า คุณจ๋า”

เสียงคร่ำครวญของเขา ทำให้หัวใจดวงน้อยของเจนตาอ่อนยวบ

“ผมไม่ดีตรงไหน ผมมันไม่ดีใช่ไหม คุณจ๋า”

เจนตาเม้มปาก ยามที่ได้ยินน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ ต่อว่าตัวเองของสิงหา

“ฉันว่าคุณควรทำใจเถอะ ต่อให้คุณเมาจนตาย ยายน้ำมนต์ก็ไม่มองคุณเป็นอื่น”

“เพื่อนคุณใจร้าย รู้ทั้งรู้ว่าผมมีใจให้ กลับทำเฉยชา คุณก็เหมือนเพื่อนคุณนั่นแหละ คุณจ๋า ใจร้าย”

“อ้าว...พูดแบบนี้ก็สวยสิผู้กอง ถ้าฉันใจร้ายจริง ฉันคงไม่ยืนฟังคุณพล่ามอยู่แบบนี้หรอก เป็นตำรวจได้ยังไง อ่อนแอชะมัด”

“ผมหมดแรงแล้วคุณจ๋า คุณจะด่าจะว่าผมยังไงก็ได้ ผมไม่อยากเถียงกับคุณหรอก ตอนนี้ขออะไรอย่างได้ไหม”

“อะไรล่ะ ตำรวจมากเรื่อง” เจนตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

 “ช่วยขับรถของผม ไปส่งที่คอนโดผมที ขืนผมขับกลับเองมีหวังโดนข้อหาเมาแล้วขับแน่ๆ”

ดวงตาเรียวยาวแต่กำเนิดเบิกกว้าง แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นี่ขนาดเมาจนแทบจะไม่พูดรู้เรื่อง ยังมีจรรยาบรรณนึกถึงหน้าที่ของตัวเองอีก ให้มันได้อย่างนี้สิ ดั้นด้นมาถึงบ้านเธอเพียงเพื่อให้เธอขับรถไปส่งเขาที่บ้านเนี่ยนะ หญิงสาวหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนลืมตามองผู้ชายตรงหน้า

“นี่เห็นฉันเป็นคนขับรถหรือไง”

น้ำเสียงห่างเหิน นึกน้อยใจในตัวผู้ชายคนนี้นัก เขาเห็นเธอเป็นอะไร พอมีปัญหาก็วิ่งโร่มาหา

“ก็ผมเหลือคุณคนเดียวแล้วนี่ ตอนนี้ผมมีคุณคนเดียวแล้วนะจ๋า คุณจะใจร้ายกับผมอีกคนหรือไง ผู้หญิง! ทำไมใจร้ายทุกคน”

เธอควรจะดีใจกับน้ำเสียงน้อยใจของสิงหาใช่หรือไม่ ที่เขาเห็นเธอเป็นที่พึ่งสุดท้าย เจนตามองร่างสูงที่พยายาม ควานหากุญแจรถทั้งที่มันก็เสียบคาอยู่ตรงที่สตาร์ต แล้วถึงกับต้องเม้มปากแน่น นึกเคืองหัวใจตัวเองที่มันอ่อนยวบตั้งแต่ได้ยินน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจของเขา เจนตาตัดสินใจเปิดประตูรถออก แล้วไล่เขาไปนั่งเบาะข้างคนขับแทน

“เขยิบไปสิ เดี๋ยวฉันขับไปส่งที่คอนโด”

ผู้กองหนุ่มแอบยิ้มเล็กน้อย เขยิบเลื่อนที่นั่งตามคำสั่งของหญิงสาวหน้ามุ่ย ที่เข้ามานั่งเบาะคนขับอย่างกระแทกกระทั้น

“ฉันก็แค่ไม่อยากให้คุณไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น”

ดวงตาที่เยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์มองหญิงสาวข้างกายด้วยความรู้สึกหลากหลาย หากเธอเป็นรมณ เขาคงรู้สึกดีไม่น้อย ทำไมนะ ทุกครั้งที่เขามีปัญหา คนที่อยู่ตรงหน้ามักจะเป็นเจนตาเสมอ

 “คุณนี่เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ นะจ๋า”

คำว่าเพื่อน สำหรับเจนตา ฟังแล้วเจ็บหน่วงๆ ที่หัวใจไม่น้อย สำหรับสิงหา เธอคงมีค่าแค่คำว่าเพื่อนใช่ไหม เธอปรายตามองสบตาเยิ้มฉ่ำของเขา ไม่สิ...ต่อไปนี้เธอจะสู้สักหนึ่งตั้ง คำว่าเพื่อนอาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน มุมปากบางยกสูงขึ้น ก่อนกล่าวเย้าผู้ชายตรงหน้า

“ถ้าอยากให้ฉันขับรถให้นั่งแบบนี้บ่อยๆ ต้องเปลี่ยนคำว่าเพื่อนเป็นอย่างอื่นแล้วละ”

พูดไปแล้วก็ต้องกลั้นหายใจ เสมองไปยังหน้ารถ รอคำตอบของสิงหาอย่างใจจดจ่อ

เงียบ!

หญิงสาวไม่ได้ยินเสียงใดๆ ตอบกลับมาจนต้องหันไปมอง แล้วก็อยากจะกรี๊ดใส่หน้าชายหนุ่มด้วยความหงุดหงิดหัวใจ ในขณะที่เธอต้องรวบรวมความกล้า กว่าจะเอ่ยวาจานั้นออกมาได้

หลับ!

เขาหลับได้หน้าตาเฉย เจนตากระตุกมุมปากอย่างเยาะหยัน ถ้าผู้หญิงข้างกายเขาตอนนี้เป็นเพื่อนรักของเธอละก็ เธอเชื่อว่าสิงหาต้องไม่อยู่ในสภาพนี้แน่ ไม่สิ ถ้าหากเธอจะพิชิตหัวใจชายหนุ่มผู้นี้ เธอต้องไม่คิดถึงความรู้สึกของสิงหาที่มีต่อรมณ

สายตาอ่อนโยนของเจนตากวาดมองไปทั่วใบหน้าขาว ใสสะอาดของสิงหา คิดถึงวันแรกที่รมณแนะนำสิงหาให้เธอได้รู้จักในฐานะเพื่อน สิงหาไม่รู้หรอกว่าเธอเก็บความประทับใจเอาไว้ลึกสุดใจตั้งแต่วันแรกพบ ครั้งแรกที่ได้รู้จัก เธอเห็นสายตาของสิงหายามเผลอมองรมณ มันเต็มไปด้วยความชื่นชอบ เธอรู้ได้ในทันทีว่าสิงหาคิดกับรมณเช่นไร

เจนตาถอนสายตาไปมองทางตรงหน้า ติดเครื่องยนต์ และขับออกไป ไม่นานก็มาถึงคอนโดหรูของสิงหา ทุกอย่างนิ่งสนิท เป็นอีกครั้งที่เจนตาหันไปมองคนที่หลับสนิท

“ผู้กอง ผู้กองคะ ถึงแล้วค่ะ”

เสียงอืออาพร้อมกับโบกมือปัดไปมาอย่างรำคาญทำให้เจนตาย่นจมูกใส่อย่างเอือมระอา เปิดประตูรถด้านตัวเองออก เดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่ง เปิดประตูรถออกกว้าง เอื้อมมือไปจับไหล่หนาแล้วเขย่าให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

“ตื่นค่ะผู้กอง ถึงคอนโดคุณแล้ว”

สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเสียงอืออา ผินหน้าหนีไปอีกทาง ไม่มีอาการว่าจะลืมตาแม้แต่นิด

“ถ้าคุณไม่ตื่น ฉันจะทิ้งคุณไว้ในรถนี่แหละนะ”

ขู่ก็แล้ว แต่ก็เหมือนเดิม คนขู่จึงได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนโน้มตัวเข้าไปในรถ ยกแขนข้างหนึ่งของเขาขึ้นคล้องคอตัวเอง ออกแรงดึงคนตัวสูงให้ลุกขึ้น แต่มันไม่ง่ายสักนิด เพราะเมื่อลุกขึ้นยืนได้แล้ว คนเมากลับไม่สามารถทรงตัวได้ คนตัวเล็กกว่าอย่างเจนตาจึงเซจนแผ่นหลังแนบไปกับตัวรถ ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ ดวงตาเรียวยาวเบิกกว้าง มองใบหน้าเนียนกริบราวกับผู้หญิงของสิงหาด้วยความรู้สึกหลากหลาย จนต้องลอบกลืนน้ำลาย บอกไม่ถูกกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น

“นี่ผู้กอง! ยืนให้มันดีหน่อย ฉันรับน้ำหนักไม่ไหวนะ เดี๋ยวก็พากันล้มลงไปกองกับพื้นหรอก”

เสียงแหลมๆ สร้างความรำคาญให้คนเมาจนต้องเบิกตาขึ้นมอง ก่อนตะโกนเสียงดัง

“เฮ้ย! ใครว้า เอะอะอยู่แถวนี้ เดี๋ยวพ่อยิงทิ้งเลย”

เสียงงึมงำ บวกกับอาการหรี่ตาขึ้นมองทำให้เจนตาเกิดอาการหมั่นไส้ เกือบจะผลักร่างสูงออกห่าง ถ้าไม่ติดว่าเขาแทบยืนไม่อยู่

“ปากดีนักนะ มันน่าให้นอนข้างทางจริงๆ”

คนเมาหันมองหน้าเจนตา ยกนิ้วขึ้นชี้หน้า

“คูณจ๋า มาทามอารายตรงนี้”

เจนตาส่ายหน้า เมาจนไม่รู้เรื่องว่าตัวเองเป็นคนขอให้เธอขับรถมาส่ง

“คุณยืนให้ตรงก่อน ฉันจะล็อกรถ”

ผู้กองหนุ่มเอนตัวพิงรถ ในขณะที่เจนตาจัดการปิดประตูทุกด้าน ล็อกรถเรียบร้อย แล้วจึงเดินเข้าไปประคองคนตัวสูงอีกครั้ง กว่าที่ทั้งคู่จะเดินขึ้นมาถึงห้องพักของสิงหาได้ก็เล่นเอาเจนตาเหงื่อออก ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหลังจากพาร่างสูงไปนอนบนโซฟาตัวยาว

“คนบ้าอะไร ตัวหนักชะมัด”

หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปด แต่พอเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่แล้วก็ถึงกับตกใจ นี่มันย่างเข้าสู่วันใหม่แล้ว เธอควรกลับเสียที เกือบจะหันหลังกลับอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงครางของสิงหาดังขึ้น

“ปวดหัว”

เป็นอีกครั้งที่เสียงถอนหายใจดังออกมา ร่างบางยืนมองนิ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ หยิบผ้าขนหนูผืนเล็ก ชุบน้ำและบิดจนหมาด เมื่อเดินออกมาก็เห็นคนเมาปรือตาขึ้นมอง ยกมือขึ้นจับหน้าผาก สีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด

“คุณจ๋า ผมปวดหัว”

เสียงครางดังแผ่วเบา คนฟังอดไม่ได้ที่จะย่นหน้าใส่ หมั่นไส้นัก ทีอย่างนี้กลับมาอ้อนเธอ

“กินเข้าไปเหล้าน่ะ ไม่เห็นจะมีประโยชน์ มีแต่สร้างความเดือดร้อน”

ถึงปากจะบ่นแต่มือเล็กก็ใช้ผ้าเช็ดไปตามใบหน้า ลำคอ เผื่อความเย็นของน้ำจะช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดได้บ้าง

“ผมอยากลืม”

“แล้วมันลืมไหมล่ะคะ ตื่นขึ้นมาคุณก็นึกถึงยายน้ำมนต์อยู่ดี”

ดวงตาคมกริบปรือขึ้นมองหน้าคนพูดแต่มันพร่ามัวจนต้องพยายามเพ่งมอง

“คุณคงสะใจละสิ คงสมน้ำหน้าผมอยู่ในใจแน่ๆ”

“ฉันไม่ใช่คนน่าเกลียดแบบนั้นหรอกน่า ก็แค่สมเพชนิดหน่อย”

“ใช่สิ! ผมคงดูน่าสมเพชสำหรับคุณสินะ”

พูดไปแล้วเปลือกตาหนาก็ปิดลงอีกครั้ง ลมหายใจสม่ำเสมอ เป็นอันว่าคราวนี้เขาคงหลับลึก มือเล็กที่ถือผ้าขนหนูชะงัก มองไล่ไปทั่วใบหน้าของสิงหา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใกล้ชิดกับสิงหามากขนาดนี้ คิ้วเรียวหนา เปลือกตาที่ถูกปิดสนิท ขนตาเรียงกันเป็นแพ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปาก...ผ้าขนหนูที่เปียกหมาดหยุดที่ริมฝีปากหนาของชายหนุ่มราวกับตกอยู่ในมนตร์สิเน่หา และไม่ยอมเลื่อนไปที่อื่น สายตาของเธอก็จับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีเรื่อของเขาด้วยเช่นเดียวกัน

ทุกอย่างตกอยู่ในภวังค์ เจนตาไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าตัวเองเลื่อนต่ำลง ริมฝีปากบางเผยอออกจากกัน เลื่อนต่ำเข้ามาใกล้จนห่างกันเพียงคืบ กระทั่งเสียงกรนเบาๆ ของสิงหาเรียกสติของเจนตาให้กลับคืนมา เธอเอนตัวออกห่างอย่างฉับพลัน  เปลือกตาบางกะพริบถี่ แก้มสาวร้อนวูบวาบทั้งสองข้าง

‘บ้าแล้วยายจ๋า คิดจะทำอะไร’

ร่างบางลุกขึ้นยืน สีหน้าตกใจ วางผ้าผืนเล็กไว้บนโต๊ะรับแขก แล้วรีบวิ่งออกจากห้องนอนของสิงหาพร้อมหัวใจเต้นระส่ำไปทั้งดวง มายืนตั้งสติอยู่หน้าประตูห้อง หญิงสาวพิงประตูห้องอย่างหมดแรง คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะกล้าทำแบบนั้น ถ้าหากไม่ได้ยินเสียงกรนของสิงหา เธอก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรลงไป เห็นทีถ้าได้อยู่กันสองต่อสองคราวหน้า เธอคงต้องปรามความรู้สึกของตัวเอง ไม่อย่างนั้นหากสิงหารู้ตัว เขาจะมองเธอด้านลบ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น