3

นั่นสิ...ทำยังไงดี

                “เป็นตายร้ายดียังไงฉันจะไม่มีวันทำงานกับผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด” ภัทรียาบ่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงขณะเดินจ้ำออกจากร้านอาหารมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ห่างเพียงสองร้อยเมตรอารมณ์เธอเหมือนไฟที่กำลังโหมแรง มือยังคงสั่นตอนที่กดบัตรโดยสาร ภาพสีหน้าแววตาและคำพูดเหยียดหยามของผู้ชายที่ยกตัวข่มเธอชัดเจน

“นี่ยังน้อยไป” เธออยากชกเขาให้สลบเหมือบด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดที่อยู่ท่ามกลางคนมากมาย

เขาไม่ใช่คนดี แตกต่างกับผู้ชายคนที่นั่งปลอบใจในวันที่เธอพบกับเรื่องแย่คนนั้นสิ้นเชิง ยิ่งคิดเธอยิ่งชังน้ำหน้า ผู้ชายที่ดูถูกความสามารถของเธอนัก

“เกลียด” หญิงสาวเฝ้าวนเวียนอยู่กับความคิด คำพูดชายหนุ่มยังคงวนเวียนไม่คลาย

นั่นทำให้ตลอดบ่ายจวบจนเย็นค่ำภัทรียาจึงทำได้เพียงนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ ปล่อยเวลาไปกับความหมกมุ่นภายในใจ ย้ำประชดตัวเองจนหลงลืมเรื่องราวรอบตัว เมื่อเสียงเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟด้านหน้าดังขึ้น พร้อมปรากฏภาพใบหน้าอ้วนกลมยิ้มแย้มของบิดา

“คุณพ่อจะโทรมาทำไมตอนนี้” คนหงุดหงิดบ่นอุบ แต่เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงลั่น “ค่ะ คุณพ่อ”

“เป็นไง ได้งานไหมวันนี้”บิดาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยแต่เป็นคำถามที่ภัทรียาไม่อยากได้ยินสักนิด

“ไม่ได้ค่ะ” เธอตอบ ไม่อยากพูดไปว่าตัวเองสาดน้ำใส่หน้าผู้ชายที่ชักชวนไปทำงานด้วย

“ทำไมล่ะ คุณชายภาคินไม่รับลูกเข้าทำงานที่ร้านอาหารหรือไง”

“เปล่าค่ะ” ภัทรียาตอบ เธอยังไม่พบคุณชายเจ้าของร้านอาหารตัวจริงด้วยซ้ำ “น้ำผึ้งแค่แวะไปดูเฉย ๆ”

“แวะไปเฉย ๆ ได้ยังไง ทำไมไม่เข้าไปของานจากคุณชาย” ผู้อาวุโสถามน้ำเสียงเข้มขึ้น

“ก็ยังไม่ได้ขอ บางทีน้ำผึ้งคงไม่สมัครทำงานที่ร้านนั้น” หญิงสาวรีบบอก ไม่ให้บิดาคาดหวังว่าเธอจะได้ตำแหน่งงานในร้านชื่อดัง

“ทำไมอีกล่ะ” ชายวัยหกสิบถาม

“น้ำผึ้งไม่ชอบหลานคุณชายเจ้าของร้านอะไรนั่น”

                คราวนี้คนปลายสายไม่เพียงตะโกนจนเสียงทะลุลำโพง แต่เกือบทะลุแก้วหูเธอด้วยซ้ำ “จะบ้าหรือไง! ทำไมไม่ชอบเขา!”

ภัทรียาต้องขยับหูออกห่างโทรศัพท์ก่อนอธิบายความต้องการของตัวเอง “ทำไมจะต้องชอบคะ อีกอย่างน้ำผึ้งไม่อยากอยู่ทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว อยากกลับไปทำงานที่เชียงใหม่มากกว่า”

“แล้วทำไมลูกพ่อถึงเป็นเด็กหยิบโหย่งแบบนี้ ลูกเพิ่งขนของไปกรุงเทพฯ เมื่อวาน วันนี้บอกพ่อว่าอยากกลับมาเชียงใหม่”

“คุณพ่อ...” เธอลากเสียงยาว น้อยใจที่ถูกท่านต่อว่า “...น้ำผึ้งไม่ได้หยิบโหย่งนะคะ”

“นั่นแหละ อยู่ที่นั่นพ่อรู้ว่ามันไม่สบายหรอก แต่คราวนี้พ่อจะไม่ตามใจลูกอีกแล้ว คราวก่อนเอาเงินพ่อกับแม่ไปลงทุนสองล้าน น้ำผึ้งยังไม่ได้ใช้หนี้พ่อกับแม่สักบาทเดียว สำหรับน้ำผึ้งเงินสองล้านมันอาจจะเหมือนเศษกระดาษที่ได้ไปใช้ง่าย ๆ แต่สำหรับพ่อกับแม่มันคือหลักฐานที่ทำให้เห็นชัดว่าเราเลี้ยงลูกแบบผิด ๆ มาตลอด เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าพ่อจะยอมให้ลูกถลุงเงินมรดกเล่นอีก”

“คุณพ่อ...” หญิงสาวพยายามส่งเสียงอ่อนหวานที่สุด หวังให้ท่านหยุดต่อว่าต่อขานเรื่องที่ผ่านไปแล้ว

“ไม่ต้องอ้อน ตอนแรกพ่อก็เข้าใจว่าลูกอยากตั้งใจหางานทำจริงจัง ก็จะให้กำลังใจ แต่ถ้าลูกไม่คิดจะทำงาน และจะกลับมาให้พ่อกับแม่ประเคนเงินให้อีกละก็ อย่าหวัง!”

“คุณพ่อ ทำไมต้องว่าน้ำผึ้งแรงขนาดนี้ด้วย คุณพ่อไม่รู้หรอกว่าน้ำผึ้งเจออะไรมาบ้าง” เธอครวญ กำลังจะทนกับความกดดันจากบิดาไม่ไหว

“ไม่รู้ แต่พ่อคิดว่าคงไม่มากหรอก หางานทำที่กรุงเทพฯ ให้ได้ ก่อนวันอาทิตย์หน้า ไม่อย่างนั้นเลิกทำอาชีพเชฟ แล้วไปช่วยพี่ชายแกทำไร่กาแฟที่เชียงราย”

“คุณพ่อ...ไม่เอา ให้ตายยังไงน้ำผึ้งก็ไม่ไปทำงานกับพี่เม่นเด็ดขาด”

“งั้นก็ทำสิ่งที่แกบอกว่าแกรักให้ได้ดีอย่างพี่เขาบ้างสิ พิสูจน์ให้พ่อแม่เห็น ให้ได้ภูมิใจบ้าง”

                บิดามารดาไม่เคยภูมิใจในตัวเธอเลย อย่างนั้นหรือ...

                ภัทรียาเหมือนคนถูกแหวกอกและควักหัวใจออกมาราดน้ำเกลือ แทงย้ำซ้ำลงที่แผลเดิมให้เจ็บแสบ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลอาบแก้มทันทีที่บิดาตัดสัญญาณโทรศัพท์ เธอทิ้งตัวลงนั่งลงกับพื้น กอดเข่าและปล่อยเสียงสะอื้น ระบายความคับข้องที่ฝังอยู่ในใจมาเนิ่นนาน

                หลายปีที่เธอถูกเปรียบเทียบกับพี่ชาย ผู้จับธุรกิจใดก็ออกดอกออกผลเป็นเงินเป็นทองทั้งที่อายุห่างกันเพียงสองปี แต่ใช่ว่าเธอจะไม่พยายามอะไรเลย แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อเส้นทางที่ต้องการเดินมีอุปสรรคขวางหนามอยู่เต็มไปหมด แม้อยากหาเงินสองล้านกลับไปคืนบิดามารดา มิให้ท่านตราหน้าว่าเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง แต่เวลานี้หนทางทุกด้านดูมืดมน จะก้าวไปทิศทางใดก็ยากจะคาดเดาว่าโชคชะตาจะนำพาเธอไปอย่างไร

 

                ความเศร้าอยู่ในใจภัทรียาเพียงไม่นาน วันรุ่งขึ้นหญิงสาวตั้งปณิธานอีกครั้ง คราวนี้เธอจะไม่ยอมให้ใครต่อใครตราหน้าว่าเป็นคนหยิบโหย่ง หรือเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออีกเป็นอันขาด เธอตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ แต่งกายด้วยชุดกางเกงขายาวสีเข้ม ตกแต่งด้วยลายดอกไม้เล็ก ๆ สีแดงให้ดูมีลูกเล่น จัดแต่งทรงผมสั้น แต่งแต้มใบหน้ากลบเกลื่อนดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ เตรียมเอกสารส่วนตัว และประวัติการทำงานใส่แฟ้ม

มีคนบอกว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น...แต่จะยากเกินไปสำหรับเธอหรือไม่

                “เอาน่ะ ดีกรีจากโรงเรียนสอนทำอาหารอันดับหนึ่งจากฝรั่งเศส กับผลงานประกวดตั้งมากมาย คงมีร้านเบเกอรี่ดัง ๆ สักร้านเห็นคุณค่าของฉันบ้าง” ภัทรียาให้กำลังใจตัวเอง ตั้งใจออกไปเดินหางานทำตามร้านในย่านดังกลางเมือง

                แต่งานใช่ว่าจะหากันง่าย ๆ หญิงสาวใช้เวลาตั้งแต่แปดโมงเช้า ตระเวนเข้าออกร้านเบเกอรี่ชื่อดังทั่วสยามสแควร์ จนถึงทองหล่อ แต่ไม่มีร้านใดที่เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงศักยภาพที่มีสักร้าน

                ยังไม่มีนโยบายรับเชฟ

            ร้านเราจ้างเชฟเป็นชาวต่างชาติเท่านั้น

            เชฟร้านเราต้องผ่านการอบรมมาจากร้านต้นตำรับเท่านั้น

            ไม่รับเชฟผู้หญิง

                “ทำไมหางานทำถึงยากแบบนี้นะ” ภัทรียาทิ้งตัวลงบนโซฟา ในร้านกาแฟสัญลักษณ์นางเงือกสีเขียว

บางทีที่นี่อาจเป็นที่หมายสุดท้ายที่เธอจะยื่นใบสมัครทำงาน ด้วยความคิดฝังหัวว่าที่นี่เป็นร้านกาแฟแบบเน้นปริมาณ มิได้เน้นคุณภาพและฝีมือของเชฟทำขนม ทำให้เธอมองข้ามงานในร้านแห่งนี้ แต่หลังจากเดินหางานทำมาจนสี่โมงเย็น กระเพาะอาหารและลำไส้ที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าก็เริ่มประท้วง อารมณ์หงุดหงิดจากร้านขนมเหยียดเพศที่เพิ่งออกมาเมื่อครู่ทำให้เธอเลือกเข้ามานั่งพักกาย พักใจในร้านสีเขียวแห่งนี้ เผื่อกาแฟและขนมปังจะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น

ภัทรียาปล่อยอารมณ์ไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดวัน ไม่เข้าใจว่าทำไมการของานคนอื่นทำถึงได้ยากเย็นถึงเพียงนี้ รองเท้าส้นสูงที่สวมเดินก็ทำให้เท้าเธอระบมปวดไปทั่ว ใบหน้าที่แต่งแต้มไว้ตั้งแต่เช้าก็หม่นหมองจนไม่เหลือสีสัน แม้แต่กำลังใจที่น้อยนิดอยู่แล้วยิ่งเหลือน้อยลงกว่าเดิม

เอาไงดี หรือจะส่งใบสมัครงานที่ร้านนี้เธอคิดกุมขมับ อยากทำงานในร้านหรูหรามีระดับ ให้เหมาะสมกับสถานะ แต่ไม่อยากบากหน้ากลับไปอ้อนวอนของานกับผู้ชายนิสัยไม่ดี

“โอ๊ย...ทำไงดี”

“นั่นสิ ทำยังไงดี”

เสียงใครคนหนึ่งทำให้สติหญิงสาวยิ่งกระเจิดกระเจิง เธอหรี่ตาเหลือบมองเจ้าของร่างสูงที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างโต๊ะ ใจอยากก้มหัวเอาหน้าผากโขกกับโต๊ะให้สลบ จะได้หลบหน้าผู้ชายปากจัด ที่ไม่มีคุณสมบัติอะไรใกล้เคียงความเป็นราชนิกูล

คงเป็นเวรเป็นกรรมของเธอ

ความคิดเธอช่างแตกต่างจากชายหนุ่มที่เพิ่งซื้อกาแฟเสร็จ เพราะทันทีที่เขาเห็นหญิงสาวรูปร่างผอมบางที่นั่งก้มหน้าก้มตา ท่าทางเหมือนอมทุกข์ หัวใจเขาก็พลันลิงโลด ดีใจที่พระพรหมยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงน้ำส้มเมื่อวานยังทำให้เขาระคายเคืองดวงตาเล็กน้อย แต่ไม่ได้ระคายเคืองหัวใจเขาสักนิด

บางทีเขาอาจจะชอบความเจ็บปวดหม่อมหลวงวัยสามสิบสี่คิด ส่งยิ้มให้หญิงสาวที่ทำสีหน้าเหมือนเห็นผี

ภาคย์วางกาแฟเย็นลงบนแฟ้มเอกสารสมัครงานของหญิงสาวอย่างตั้งใจ ก่อนนั่งลงที่โซฟาอีกตัวโดยไม่ต้องรอรับเชิญ “มานั่งจิตตกอะไรแถวนี้”

“ฉันไม่ได้จิตตกค่ะ” เธอตอบสวนกลับรวดเร็ว

เป็นผู้หญิงที่คุยด้วยแล้วสนุกดี ชายหนุ่มคิดแล้วพยักหน้า “งั้นก็คงนั่งเศร้า ไม่มีร้านไหนรับเข้าทำงานล่ะสิ”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

“อืม นั่นสิเนอะ” หม่อมหลวงภาคย์ยังคงยิ้มที่มุมปาก จิบกาแฟมองหน้าคนหงุดหงิดนึกสนุก อยากดัดนิสัยให้หญิงสาวคนสวยเข้าใจความเป็นไปของชีวิตมากกว่าที่เธอเป็นอยู่ “เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาเดินสมัครงานกันแล้ว เขาส่งประวัติออนไลน์กันหมด คงมีแต่เด็กตกยุคที่เดินสมัครงานจนหน้ามันแผลบ”

คราวนี้ภัทรียาตอบโต้ชายหนุ่มด้วยการทำตาขวางเข้าใส่ “เรื่องของฉัน”

“แต่ยังมีร้านอาหารโบราณที่สนใจอยากรับเด็กตกยุคเข้าทำงานนะ” เขาบอก มั่นใจว่าหญิงสาวตรงหน้ามีดี ซ่อนไว้อยู่ภายใต้ใบหน้าสวย และรูปร่างผอมแห้งอ่อนแอ

เพราะตั้งแต่ได้ชิมขนมฝีมือเธอวันนั้น ความรู้สึกและพลังใจเหมือนครั้งเป็นวัยรุ่นก็กลับมาอีกครั้ง บวกกับรอยยิ้มอ่อนหวานแฝงความเศร้า ความรู้สึกกลางอกก็ประดังเข้ามาคล้ายกับคลื่นน้ำเล็ก ๆ ที่สาดซัดฝั่งอันแห้งแล้ง

เธอทำให้เขารู้สึกดี

ดังนั้นเขาจึงอยากให้เธอได้เรียนรู้ว่าชีวิตที่ดีเป็นอย่างไรเช่นกัน

นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่โกรธที่ถูกเธอเอาน้ำส้มเทใส่หน้า ชายหนุ่มยังคงอมยิ้ม มองภัทรียาที่เม้มริมฝีปากแน่นจนแก้มแดงป่องโดยไม่รู้ตัว

“แต่ฉันไม่ชอบหน้าคุณ” หญิงสาวตอบจริงจัง

“โห พูดตรง ๆ แบบนี้เลยเหรอครับ” คำตอบของเธอมีน้ำหนักพอทำให้เขาเจ็บจี๊ด ๆ กลางอก เอาเข้าจริง ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนพูดกับหม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย แบบนี้มาก่อนด้วยซ้ำ “ถ้าไม่ชอบหน้า น้ำผึ้งอาจจะชอบอย่างอื่นของผมก็ได้”

“นี่แหละที่ทำให้ฉันไม่ชอบ ทำไมคุณต้องพูดจาสองแง่สองง่ามด้วย” คราวนี้เธอหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาเหมือนจะหาเรื่อง แต่ดึงมือกลับมาดื่มอึกใหญ่ “คุณโชคดีที่กาแฟแพง”

“ฝึกสมองไว้บ้าง ไม่ดีหรือไง”

“นี่คุณหาว่าฉันโง่เหรอ”

“เปล่า เอาอย่างนี้ดีกว่า พูดตรง ๆ เลยว่าผมก็ชอบคุณอยู่นิด ๆ บวกกับสงสารที่ร้านเจ๊ง แฟนทิ้ง ก็เลยอยากให้มาทำงานร่วมกัน เชฟเบเกอรี่หลักที่ร้านคุณลุงก็อยากเกษียณ” เขาบอก

เขาบอกว่าชอบเธอ! ทั้งชีวิตไม่เคยมีผู้ชายคนไหนพูดคำนี้กับเธอมาก่อนภัทรียาเบิกตาโต ใจหายวาบลงสู่ช่องท้อง พยายามขยับเก้าอี้โซฟาที่นั่งอยู่ให้ออกห่างจากผู้ชายตาหวานที่กำลังดื่มกาแฟสบายอารมณ์

“ระวังพื้นร้านเขาเป็นรอย” ชายหนุ่มบอกพร้อมหัวเราะในลำคอ

หรือว่าเขาตั้งใจแกล้งเธอหญิงสาวคิดหน้าบึ้ง หยุดเลื่อนเก้าอี้ เริ่มกลัวว่าจะทำให้ของทางร้านกาแฟเสียหาย

“ผมให้เวลาน้ำผึ้งคิดเท่าที่ดื่มกาแฟหมดนะครับ”

งั้นเธอจะดื่มช้า ๆ

ภัทรียายังคงปิดปากตัวเองให้เงียบสนิท สมองครุ่นคิดข้อเสนอของชายหนุ่ม ทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ไม่ว่าจะคิดในแง่มุมไหน ตำแหน่งเชฟในร้านอาหารระดับกิ่งราชพฤกษ์ก็จัดว่าเป็นงานที่น่าตอบรับ

“คุณแค่แกล้งพูดให้ดีใจแล้วคิดแก้แค้นที่ฉันเทน้ำราดคุณหรือเปล่า” หญิงสาวถาม ไม่เลิกหวาดระแวงว่าผู้ชายตรงหน้า

“จำได้นี่ จะขอโทษผมไหม” ชายหนุ่มถาม พร้อมหัวเราะในลำคออย่างเจ้าเล่ห์

“ทำไมต้องขอโทษคะ คุณปากเสียใส่ฉันก่อน”

“อ๋อ โบ้ยให้ผมผิด”

“ยอมรับไหมคะ” หญิงสาวถาม เรื่องอะไรจะยอมรับผิดแต่เพียงฝ่ายเดียว

ชายหนุ่มยังคงหัวเราะพร้อมส่ายศีรษะเล็กน้อย “แล้วน้ำผึ้งยอมรับข้อเสนอผมหรือยัง”

น้ำเสียงนุ่มนวลพานให้ภัทรียารู้สึกบางอย่างที่กลางอก “คุณนิสัยไม่ดี” เธอย้ำ มั่นใจความคิดนี้ที่สุด

“ยังไม่คบกัน รู้ได้ไงว่าผมนิสัยยังไง”

“นี่ไง แล้วแบบนี้จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงคะว่าคุณพูดจริง หรือพูดเล่นแกล้งฉันเท่านั้น”

“ผมพูดจริง” ภาคย์ตอบ ดวงตาดำขลับจ้องใบหน้าเธอจริงจัง

คงดื่มกาแฟมากเกินไป หัวใจถึงเต้นแรงผิดปกติภัทรียาวางมือลงกลางอก ไม่ชอบที่ถูกชายหนุ่มมองด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

“ถ้าไม่เชื่อ เอาอย่างนี้ไหม ไปพบคุณลุงที่วังด้วยกัน”

หญิงสาวเบิกตาโตย้อนถามชายหนุ่ม “คุณลุงคุณหมายถึงหม่อมราชวงศ์ภาคิน ภาคินัย หรือคะ”

“ใช่ หม่อมราชวงศ์ภาคิน ภาคินัย เจ้าของร้านและผู้ก่อตั้งร้านอาหารกิ่งราชพฤกษ์”

 

                รถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ์สีดำเลี้ยวผ่านซุ้มประตูที่มีต้นราชพฤกษ์ใหญ่ก่อนผ่านลานจอดรถยนต์อ้อมไปยังด้านหลังของเรือนทรงปั้นหยาสีขาว ก่อนจอดสนิทระหว่างรถยนต์จากัวร์รุ่นคลาสสิกและรถตู้อเนกประสงค์ ราชนิกุลหนุ่มดับเครื่องเครื่องรถยนต์ส่วนตัว มองใบหน้าที่แฝงแววตาครุ่นคิดของหญิงสาวด้านข้าง หัวใจเขาพองฟูราวกับมีใครสูบลมตลอดเส้นทางที่การจราจรติดขัด แม้ยาวนานแต่เขาไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด กลับสนุกยามได้ยั่วเย้า ประคารมกับเธอ ที่สามารถยอกย้อนได้อย่างว่องไว

                “ลงไหมครับ”

                “ฉันดูเรียบร้อยหรือเปล่าคะคุณภาคย์” หญิงสาวมองชุดกางเกงของตนเองคล้ายไม่มั่นใจ

                “ก็เรียบร้อยดี”

                “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ เปิดประตูลงยืน เงยหน้าขึ้นมองตึกใหญ่หกเหลี่ยม บานประตูไม้แกะสลักงามอ่อนช้อยเปิดคล้ายต้อนรับผู้มาเยือน ความตื่นเต้นของหญิงสาวไต่ระดับสูงขึ้นเมื่อชายหนุ่มก้าวนำขึ้นไปยังบันไดด้านหน้า เปิดประตูมุ้งลวดซึ่งปิดกั้นห้องโถงกับภายนอก

“ตามผมมา” เขาเอ่ยเบาพร้อมรอยยิ้ม

หญิงสาวพยักหน้าแล้วเดินตามเขา สายตายังคงมองสำรวจเรือนไม้สีขาวครีมอายุเกือบร้อยปีที่เปิดไฟสีนวลสว่างด้วยความตื่นเต้น เหมือนตนเองเข้ามาอยู่ในฉากละครหลังข่าว การได้พบกับราชนิกุลไม่ใช่เรื่องปกติประจำวันนักนิด ภัทรียาพยายามระงับอาการตื่นเต้นไว้ เมื่อประตูกระจกสีชาที่กั้นระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องโถงเปิดออก ผู้ชายวัยประมาณหกสิบปีใบหน้าคมคาย เจ้าของผมสีเทา รูปร่างสูงใหญ่ภูมิฐานที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสืออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มและเธอ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หญิงสาวสะท้านไปถึงหัวใจ

                “สวัสดีครับคุณลุงผมพาน้ำผึ้งมาพบคุณลุงครับ” ชายหนุ่มบอกแล้วยกมือขึ้นไหว้ผู้อาวุโส

                คนใจสั่นก็พลันทำตามชายหนุ่มด้วยการพนมมือก้มศีรษะนอบน้อม

                “สวัสดีค่ะ”

                หม่อมราชวงศ์ภาคิน ภาคินัย ขยับแว่นสายตาออกจากกรอบใบหน้ารอยยิ้มคนตรงหน้าทำให้ภัทรียาอยากยิ้มตาม

“มาค่ำเชียว กินอะไรกันมาหรือยัง”

                “เรียบร้อยแล้วครับคุณลุง” หม่อมหลวงภาคย์ตอบพลางปรายสายตาไปที่หญิงสาว “ยืนอยู่ตรงนั้นทำไม มานั่งตรงนี่สิ”

                “มานั่งใกล้ ๆ ลุงสิ” ผู้อาวุโสบอก น้ำเสียงทุ้มไพเราะ

                หัวใจที่เต้นรัวทำร่างกายภัทรียาพลอยเกร็งขัดเขิน เธอแอบกลืนน้ายลงคออย่างหวาดหวั่นเมื่อผู้อาวุโสแตะมือลงที่เบาะโซฟาข้างกาย

“หนูนั่งตรงนี้ได้ค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวจึงนั่งลงข้างชายหนุ่มอย่างลืมตัว

                “อืม ดูเหมาะสมกันดี”

                ภัทรียาฟังแล้วนึกตงิดบางอย่าง ท่านต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่นอน

                “ท่านลุงว่าอะไรนะคะ”

                “ฮ่า ๆ เรียกคุณลุงก็พอลูก ลุงกำลังคิดว่าหนูน้ำผึ้งนี่เก่งได้ยินว่าเมื่อวานเอาน้ำส้มสาดเจ้าภาคย์ มันปากเสียใส่ลูกหรือ” คุณชายภาคินถามอย่างเป็นมิตร จนหญิงสาวเผลอหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย

                “ค่ะ คุณลุง” ใจนึกสมน้ำหน้าผู้ชายนิสัยไม่ดีที่นั่งส่ายศีรษะอยู่ด้านข้าง

                “อดทนหน่อยแล้วกันลูก เจ้าภาคย์มันปากร้ายแต่ใจดี”

                “ค่ะ” เธอตอบรับ แต่เมื่อหันไปมองใบหน้าชายหนุ่มที่ส่งรอยยิ้มหล่อเหลา หัวใจแสนกลกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก

                “ผมแค่เป็นคนพูดจาตรง ๆ ไม่ได้ปากร้ายเสียหน่อยครับคุณลุง”

                แก้ตัวหญิงสาวนึกเถียง มีกำลังใจขึ้นเล็กน้อยที่ผู้อาวุโสรูปงามมีแววเอ็นดูเธอ

“ได้ยินว่าหนูมีฝีมือเรื่องทำขนม แล้วถนัดอะไรที่สุด” คุณชายภาคินถาม

“หนูชอบทำช็อคโกแลตบราวนี่ กับพวกเครปเค้กค่ะ แต่ลูกค้าที่เคยชิมจะบอกว่าหนูทำเค้กส้มหน้านิ่มอร่อย กับพวกขนมสไตล์ฝรั่งเศสก็ทำได้ค่ะ” ภัทรียาตอบตามความเป็นจริง ไม่ได้ถ่อมตัวหรืออวดอ้างสรรพคุณเกินไป

“ผมยืนยันว่าน้ำผึ้งทำบราวนี่อร่อยครับ” ชายหนุ่มเสริม แถมด้วยการหันมายักคิ้วใส่เธอคล้ายจะทวงบุญคุณ

ไม่ต้องช่วยก็ได้ หญิงสาวช่างคิดอยากแยกเขี้ยวใส่ผู้ชายอวดดีนัก แต่ติดที่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสจึงทำให้เธอได้เพียงอมยิ้มรับฟัง

“ไว้ว่าง ๆ ทำให้ลุงกินบ้างนะ”

“ได้ค่ะ ไว้หนูจะทำบราวนี่มาให้คุณลุงทดลองชิมนะคะ”

“ดี ผมชอบ” ผู้ชายดวงตาสวยส่งสายตาพราวให้หญิงสาว “เอาบราวนี่หน้าฟิล์มนะครับ กินกับนมอุ่น ๆ คงจะหลับสบาย”

เขาพูดจาสองแง่สองง่ามอีกแล้วคนถูกแซวนึกหมั่นไส้ชายหนุ่ม แต่ทำได้แค่หัวเราะในลำคอ ขณะเล่นจ้องตาตอบโต้ผู้ชายปากจัดให้รู้ว่าเธอไม่พอใจเขา

“พี่ภาคย์เขาเป็นคนขี้เล่น อย่าไปถือโทษพี่เขาเลย” ผู้อาวุโสเอ่ยปากห้ามศึก ห่วงว่าสองคนอาจจะมีเรื่องกันอีกยก

“ค่ะคุณลุง”

นับว่าครั้งนี้คุณลุงคุณชายสุดหล่อห้ามเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเธอคงสวนเขากลับไปให้เจ็บแสบ ผู้ชายอะไรรูปร่างหน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ แต่ปากกรรไกรจนน่าใช้เอาไปตัดหญ้า คนช่างคิดเถียงในใจ

“ภาคย์เองก็เหมือนกัน อย่าไปแกล้งน้องบ่อย ๆ เดี๋ยวน้องไม่มาทำงานกับลุง เรานั่นแหละจะโดนหนัก”

“ครับคุณลุง” คนถูกปรามตอบแล้วแกล้วทำหน้าเจื่อน

“ว่าแต่หนูน้ำผึ้งพร้อมมาทำงานที่นี่เมื่อไหร่ล่ะ”

คำถามของผู้อาวุโสทำให้ภัทรียาถึงกับยิ้มกว้าง ใช่ว่าเธอจะไร้หนทางแต่หากได้งานที่ร้านอาหารแห่งนี้เธอจะได้ไม่ต้องแบกหน้ากลับไปหาบิดาที่ชอบสบประมาทความสามารถอยู่ตลอดเวลา

“พร้อมตลอดเวลาค่ะ”

“ดีเลย งั้นวันพรุ่งนี้หนูมาเริ่มทำงานได้ ลุงจะโทรบอกผู้จัดการร้านว่าหนูน้ำผึ้งจะเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวของเรา”

ฟังแล้วหญิงสาวก็ชื่นใจ เธอยิ้มแล้วก้มศีรษะยกมือไหว้ผู้อาวุโส

“ขอบคุณค่ะคุณลุง”

“พรุ่งนี้ภาคย์เข้ามาช่วยดูแลน้องแทนลุงได้ไหม พอดีลุงจะไปสิงคโปร์ต้องขึ้นเครื่องแต่เช้า”

“ได้ครับ”เขาตอบโดยไม่ต้องคิด

ไม่เห็นต้องให้มาเลย คนนึกหมั่นไส้หน้าผู้ชายตาหวานคิดแย้ง แต่อย่างไรเธอก็ไม่โต้เถียงอะไรกลับไปให้เขาแซะกลับมาอยู่ดี

ทั้งสามพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนถึงเวลาที่ผู้อาวุโสจะขึ้นห้องพัก ท่านยังกำชับให้ชายหนุ่มขับรถยนต์ไปส่งภัทรียาให้ถึงบ้าน ก่อนลากลับแม้หญิงสาวจะยืนยันว่าเดินทางกลับคอนโดมิเนียมด้วยรถไฟฟ้าได้สะดวก แต่เมื่อคุณชายภาคินเน้นย้ำหนักแน่นให้หม่อมหลวงภาคย์แสดงความเป็นสุภาพบุรุษชดเชยความปากร้าย คนไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้ชายก็ต้องยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี

หม่อมราชวงศ์ภาคิน ยืนมองรถยนต์สีดำที่เคลื่อนที่ออกไปแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากดหมายเลขโทรออก ใบหน้ามีรอยยิ้มเมื่อปลายสายส่งสัญญาณตอบรับ

“สวัสดีครับคุณชาย”

“รับสายไวดีนะนิวัฒน์ ฉันจะโทรมาบอกว่า ลูกสาวเธอน่ารักกว่าในรูปถ่ายมากเลย ถ้าได้เป็นสะใภ้ฉันคงสบายใจ”

 

ส่วนอีกด้านหนึ่งภัทรียาได้แต่นั่งนิ่งตัวเกร็งอยู่ภายในรถยนต์สีดำคันหรู ใจสั่นตลอดเวลาเมื่อต้องใกล้ชิดกับชายหนุ่มนิสัยไม่ดี เธอมองรอบตัวผ่านการจราจรหนาแน่นยามค่ำคืนแล้วคิดอึดอัด ไม่เข้าใจว่าทำไมหม่อมหลวงภาคย์ถึงไม่ปล่อยเธอลงตอนที่ผ่านสถานีรถไฟฟ้า และคะยั้นคะยอไปส่งเธอให้ถึงคอนโดมิเนียม ทั้งที่เห็นอยู่ว่าชายหนุ่มก็ไม่ค่อยพอใจเวลาอยู่ใกล้เธอเช่นกัน

“บ้านน้ำผึ้งอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อรถยนต์สามารถขับผ่านแยกไฟแดงที่รถติดมหาโหดมาแล้ว

“เชียงใหม่” เธอตอบกวน อยากให้เขารำคาญเธอและเลิกวุ่นวาย

“อันนั้นรู้แล้ว ผมหมายถึงที่พักที่นี่” หม่อมหลวงภาคย์เม้มปากแล้วชี้นิ้วใส่เธอหมายคาดโทษ เพราะตอนนี้เขาต้องบังคับพวงมาลัยรถยนต์ให้ปลอดภัย ทั้งที่ใจอยากดึงคนตัวเล็กกว่ามาหยิกแก้มหนัก ๆ แล้วหอมฟัดให้หายรังเกียจผู้ชาย

พอคิดดังนั้นชายหนุ่มก็พลันเหลือบมองหญิงสาวคนสวย ใจเริ่มชื่นชอบเธอตั้งแต่เมื่อใดก็ยากจะรู้ รู้เพียงเจ้าของใบหน้าน่ารักกับท่าทีหมางเมินทำให้เขาอยากควบคุม สั่งสอนให้ว่านอนสอนง่ายเสียเหลือเกิน

“ราชเทวีค่ะ”

“ตรงไหนของราชเทวี” เขาถาม หงุดหงิดกับความก่อกวนที่เธอแสดงออกมา

ภัทรียาพ่นลมออกจมูกจนเกิดเสียงคล้ายรำคาญใจก่อน แล้วบอกชื่อคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมือง “แถวนั้นรถติดนะคะ จริง ๆ คุณภาคย์ส่งฉันแค่สถานีรถไฟฟ้าข้างหน้าก็ได้”

เอาอีกแล้ว เธอตั้งใจกวนประสาทเขาจริง ๆ ด้วย ชายหนุ่มเริ่มอยากหาทางกลั่นแกล้งคืน

“ไม่เป็นไร น้ำผึ้งจะได้ชินกับผม”

เธอหัวเราะในลำคอพร้อมส่ายศีรษะ “ฉันไม่ใช่คนชอบการเปลี่ยนแปลง และฉันชินกับอะไรยาก”

                ผู้หญิงคนนี้ดื้อดึงจนเขาอยากเอาชนะ ชายหนุ่มแกล้งพยักหน้าตอบ “งั้นที่น้ำผึ้งตัดผมสั้นแบบนี้ คงไม่ใช่เพราะอยากลืมแฟนเก่าใช่ไหม”

                “เปล่าเสียหน่อย ฉันแค่...” เธอเกือบตอบไปว่าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว หญิงสาวเลิกคิ้วมองหน้าหาเรื่องชายหนุ่ม “เรื่องของฉัน คุณอยากไปส่งฉันที่คอนโดก็ตามสบาย แต่อย่าชวนฉันทะเลาะอีกก็แล้วกัน”

                “ฮึ ก็ได้ผมจะไม่ชวนทะเลาะ แต่ผมชวนคุณคุยคงไม่เป็นไรเนอะ”

                “ก็แล้วแต่คุณเลย” เธอจะห้ามอะไรเขาได้ หญิงสาวบอกแล้วหันออกไปมองที่นอกหน้าต่าง ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร

“น้ำผึ้งอยู่คอนโดคนเดียวหรือครับ”

                “ค่ะ คุณพ่อซื้อให้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย” คนดื้อตอบแต่สายตายังหันออกไปที่ถนน

                ในขณะที่คนอยู่หลังพวงมาลัยนึกอยากดึงเธอให้หันมาคุยดี ๆ แต่ช่วงเวลาเช่นนี้เขาทำได้แค่เพียงใช้ความอดทน “น้ำผึ้งเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่หรือครับ”

                “ค่ะ ฉันหัวไม่ค่อยดีหรอก แค่เรียนให้จบ ๆ ตามใจคุณพ่อ ใจจริงอยากเรียนเป็นเชฟมากกว่า พอเรียนจบปริญญาก็เลยบินไปเรียนทำขนมที่ฝรั่งเศส ฉันไปเรียนที่นั่นอยู่สองปี กลับมาก็ทำงานตามโรงแรมหาประสบการณ์อยู่สองปี แล้วก็ไปเปิดร้านตามความฝัน แล้วฝันนั้นก็พัง เจ๊งอย่างที่คุณเห็น” เธอบอก สายตายังคงเหม่อมองภายนอกแต่ใจคิดถึงความฝันอันสวยงามสมัยยังเป็นเด็กกว่านี้

“น้ำผึ้งน่าจะมีความฝันคล้ายคุณลุง” นั่นทำให้ภัทรียาหันกลับมามองเขา

“คล้ายยังไงคะ” เธอถามด้วยความสนใจ

หม่อมหลวงภาคย์อมยิ้ม ใจนึกขอโทษคุณลุงที่ต้องนำเรื่องท่านมาเล่าเพื่อจีบสาว

“คุณพ่อของผมเล่าให้ฟังว่าสมัยพวกท่านหนุ่ม ๆ คุณลุงไม่ยอมเชื่อฟังท่านปู่เลย ท่านปู่อยากให้คุณลุงรับราชการ แต่คุณลุงอยากเปิดร้านอาหาร อยากทำอาหาร ท่านไม่ได้มีโอกาสไปเรียนทำอาหารด้วยซ้ำ อาศัยเรียนรู้เองทั้งหมด ตอนแรกท่านปู่เกือบตัดพ่อตัดลูกกับคุณลุงแล้วตอนที่ท่านเริ่มลงมือออกไปทำอาหารตามสั่งขายริมถนน”

“ทำริมถนนเลยเหรอคะ” คนฟังถามน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้

“ใช่ครับ คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าคุณลุงไม่เคยยอมแพ้ท่านปู่ ต่อให้ท่านขัดขวางแค่ไหน จนท่านย่าทนไม่ได้ที่เห็นลูกชายคนโตออกไปอยู่ข้างถนน ท่านจึงขอท่านปู่ให้แบ่งพื้นที่ส่วนที่ติดถนนมาสร้างเป็นห้อง พอตอนหลังที่ร้านเป็นรูปเป็นร่างถึงได้ต่อเติมให้ใหญ่โตอย่างที่เห็นตอนนี้”

“ท่านต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ย เหมือนบอกตัวเองด้วยซ้ำ

“ครับ ตอนผมจำความได้ร้านอาหารก็สมบูรณ์แล้ว แต่ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นคุณลุงเป็นคนลงครัวเองทั้งหมด ท่านยังคิดสูตรอาหารที่ดัดแปลงจากเมนูชาววังดั้งเดิมให้รับประทานได้ง่ายขึ้นด้วย พอร้านมีชื่อเสียงมากขึ้นท่านจึงเพิ่มเมนูอาหารกับหาเชฟเพิ่ม แต่อาหารทุกเมนูต้องผ่านสายตาท่านก่อนทั้งหมดเลย เพิ่งช่วงห้าปีหลังมานี้แหละที่ท่านอยากเกษียณก็เลยไม่ลงไปกำกับในครัวเอง”

“เสียดายจังเลยนะคะ ฉันอยากชิมฝีมือคุณลุงคุณชายบ้างจัง”

“อืม ท่านทำบราวนี่หน้าฟิล์มอร่อยที่สุดในโลก” ผู้ชายดวงตาหวานมีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง “ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมชิมบราวนี่ฝีมือน้ำผึ้ง”

“วันนั้นคุณบอกว่าบราวนี่ฉันขมไป”

“ก็ขม แต่ไม่ได้บอกว่าไม่อร่อย” เขาเถียง

คำชมที่ได้ยินจากปากหม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย ทำให้ภัทรียายิ้มออกมาได้อย่างอัตโนมัติ ความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองซึ่งห่างหายไปเนิ่นนานกลับคืนมา“ฉันทำขนมพอใช้ได้ใช่ไหมคะ”

“ครับ” เขาพยักหน้า

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกในหลายวัน แค่คำชมสั้น ๆ ก็เพียงพอทำให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวรู้สึกมีพลัง

“ไม่เป็นไร”เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ชายหนุ่มได้เห็นใบหน้าสวยมีรอยยิ้มเปล่งประกาย เธอยิ้มจนเขาอยากยิ้มตาม รอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุข

บางทีการจับคู่ดูตัวครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป ชายหนุ่มเหลือบมองคนด้านข้างแล้วนึกอยากเปิดเผยเรื่องที่ครอบครัวเธอกับครอบครัวเขาได้พูดคุยกันไว้ ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยปากอะไร หญิงสาวก็พูดขึ้นขัดจังหวะ

“คอนโดฉันอยู่ตรงนั้นค่ะ”

คนใช้ความคิดถึงกับเหยียบเบรกรถยนต์กะทันหันด้วยความตกใจ

“คุณภาคย์! ฉันเกือบหน้าคะมำ”

“ทำไมถึงเร็วจัง” เขาเปรย แล้วบังคับพวงมาลัยรถยนต์สีดำคันหรูให้เลี้ยวเข้าไปยังบริเวณของสู่ตึกสูงทันสมัยที่ทำให้เขานึกยินดี

โครงการคอนโดมิเนียมนี้เป็นของบริษัทเขา

เมื่อรถยนต์จอดสนิทที่ตรงหน้าประตูทางเข้า หญิงสาวที่หลบสายตาเขามาตลอดทางก็พลันเปิดประตูรถยนต์ออก แล้วหันมา

“ขอบคุณนะคะ”ภัทรียาบอก ยังคงหลุบตามองพื้น ไม่อยากสบสายตาที่เหมือนมองทะลุเข้าภายในใจของเขา

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นชวนผมขึ้นไปกินกาแฟ หรือกินขนมฝีมือน้ำผึ้งบนห้องได้นะครับ”

“ไม่มีวันค่ะ” เธอตอบสวนกลับ อาการเกร็งเมื่อครู่หายวับเมื่อขยับตัวห่างเขาได้ 

“ผมอุตส่าห์มาส่ง”

“นั่นไง คุณทวงบุญคุณ” เรื่องอะไรเธอจะต้องชวนผู้ชายนิสัยไม่ดีขึ้นไปที่ห้องด้วย คนน่าหมั่นไส้ยังคงเป็นคนน่าหมั่นไส้วันยังค่ำ ถ้าเขาไม่ใช่ผู้มีพระคุณที่ทำให้เธอได้กลับมาเป็นเชฟเบเกอรี่อีกครั้ง ป่านนี้เธอข่วนหน้าหล่อ ๆ ให้เป็นรอยไปแล้ว

“เปล่าเสียหน่อย” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วโบกมือให้หญิงสาวที่ปิดประตูใส่ มองเธอวิ่งเข้าตึกไปแล้วส่ายศีรษะ “อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่มีน้ำส้ม”

แต่ความน่ารักของเธอกลับสาดใส่หัวใจเขาเข้าเต็ม ๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น