1

ผู้ชายแปลกหน้า

                รถยนต์คันเล็กถูกเจ้าของเหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็วออกจากภายในตัวเมืองเชียงใหม่ มาตามถนนสายยาวไปยังเขตอำเภอแม่ริม เส้นทางสีเขียวชอุ่มตลอดสองข้างสามารถลดระดับความเครียดภายในใจของภัทรียาลงได้บ้าง และเมื่อเธอเลี้ยวรถยนต์เข้าสู่เขตรั้วของบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เชิงเนินติดกับถนน หัวใจที่ห่อเหี่ยวก็รู้สึกมีกำลังขึ้นจากคาดหวังจะได้รับอ้อมกอดปลอบโยนจากบิดามารดา เธอจอดรถยนต์และหอบข้าวของที่พอจะถือได้ออกมา เข้าไปยังตัวบ้านทรงทันสมัยที่ประตูด้านหน้าเปิดกว้างต้อนรับ และเมื่อแม่บ้านสูงวัยเข้ามารับกล่องขนมที่เหลือกลับมา อดีตเจ้าของร้านเบเกอรี่ที่อยู่ในภาวะอ่อนล้าจึงเสนอให้นำไปแบ่งปันคนอื่น ๆ ในบ้านให้หมด

                “คุณพ่อคุณแม่ไปไหนคะป้า”

                “ปิ๊กกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อวานเจ้า”

                “อ้าว” หญิงสาวร้องออกมาด้วยความผิดหวัง แม้เคยชินกับนิสัยหุนหันของบิดามารดาซึ่งชื่นชอบการเดินทาง แต่ก็อดน้อยใจอยู่บ้างไม่ได้ ที่ท่านทั้งสองไม่อยู่คอยปลอบประโลมในวันที่ลูกสาวคนเล็กของบ้านอ่อนแอ

                ภัทรียามองบ้านหลังใหญ่ที่เงียบเหงาแล้วจึงขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ใช้เวลาส่วนตัวที่มีเหลือเฟือตอนนี้พักผ่อนให้ผ่อนคลายด้วยการอาบน้ำสระผม แช่ตัวปล่อยอารมณ์ในอ่างอาบน้ำ แต่งหน้า ทำผม แต่งตัวอย่างประณีต เลือกสวมใส่เสื้อผ้าชุดกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อนหวาน หวังให้ความงดงามเรียกกำลังใจให้กลับคืน

                แต่ก็แทบสิ้นหวัง เวลาที่ผ่านไปเชื่องช้าและว่างเปล่า

ภัทรียามองนาฬิกาที่แสดงเวลาห้าโมงเย็น แต่ท้องฟ้าภายนอกยังคงสว่าง ต่างจากหัวใจเธอที่หมองหม่น หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา อยากเห็นข้อความจากให้กำลังใจจากปิลันธ์ แต่หน้าจอโทรศัพท์กลับว่างเปล่า ราวกับคนงานยุ่งหลงลืมเธอ หัวใจที่ว้าวุ่นกระวนกระวายทำให้เธอนั่งไม่ติดสักนิด ความเงียบเหงารอบตัวทำให้หญิงสาวตัดสินใจหยิบกระเป๋าและกุญแจรถยนต์

อยากเจอเขา

                เพราะเวลานี้เธอต้องการกำลังใจ ภัทรียาขับรถยนต์คันเก่งกลับเข้าไปยังตัวเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง ตั้งใจไปพบหน้าปิลันธ์ถึงที่ทำงาน อย่างน้อยหากได้พบกันซึ่งหน้า เขาคงไม่ตัดรอนเธออย่างเช่นในโทรศัพท์

                เพียงยี่สิบนาทีเท่านั้นภัทรียาก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าโรงแรมระดับสี่ดาวกลางเมืองเชียงใหม่ แม้ใจหวังสร้างความประหลาดใจให้คนรัก แต่ส่วนลึกกลับไม่มั่นใจว่าปิลันธ์จะพอใจหรือไม่ที่เธอมาหาโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า แต่วันนี้เธออยากให้เขากอดปลอบสักนิดก็ยังดี

                ‘พี่ปิ่นเพิ่งออกไปเมื่อห้านาทีที่แล้วค่ะ’ พนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์บอกหญิงสาว อีกทั้งแนะนำให้เธอไปยังลานจอดรถยนต์เผื่อว่าปิลันธ์ยังไม่ได้เดินทางกลับ

                ภัทรียารีบจ้ำทั้งที่สวมส้นสูงไปที่ลานจอดรถยนต์สำหรับพนักงานที่อยู่ด้านหลังของโรงแรม หัวใจหญิงสาวเต้นแรงตามจังหวะที่รีบเร่ง แต่หัวใจเธอคงเต้นแรงกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว หญิงสาวที่อยากให้คนรักประหลาดใจกลับต้องประหลาดใจเสียเอง เมื่อเห็นคนสูงโปร่งผมสั้นทะมัดทะแมงคุ้นตาในชุดสูทสีเข้มกำลังเดินจูงมืออยู่กับผู้หญิงผมยาวรูปร่างเล็กที่สูงเพียงหัวไหล่เขาเท่านั้น

                ยิ่งเดินเข้าใกล้คนทั้งสอง หัวใจภัทรียายิ่งเจ็บปวดไม่อยากเชื่อสายตา และหูของตนเองเมื่อเสียงห้าวแต่หวานหูกระเซ้าคนเดินเคียงข้าง มือจับศีรษะยั่วเย้า เสียงหัวเราะของคนทั้งสองระคายหัวใจเธอ 

                ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานหรือคนรู้จัก

                “พี่ปิ่น” เธอตะโกนใส่อย่างเหลืออด ไม่คิดว่าคนที่เธอไว้ใจที่สุดในชีวิตจะนอกใจ มีใครอื่นลับหลังกันเช่นนี้

                คนทั้งสองหันกลับมามองหน้าภัทรียาแทบพร้อมกัน สีหน้าปิลันธ์เหมือนตกใจไม่น้อย แต่ก่อนที่เขาจะแก้ตัวหรือตอบอะไรกลับมา ผู้หญิงตัวเล็กด้านข้างกลับส่งเสียงแหลมถามออดอ้อน

                “ใครคะพี่ปิ่น” หล่อนเกาะแขนปิลันธ์แนบแน่น หน้าอกโตเบียดแขนเขาอย่างตั้งใจ

                ภัทรียาจ้องตาคนรักด้วยหัวใจที่สั่นระรัว มือเธอเย็นเฉียบ วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลมเมื่อเจ้าของเสียงห้าวตอบกลับมา

                “คนรู้จัก เดี๋ยวน้องส้มรอพี่แป๊บนึงนะฮะ”

                “แค่คนรู้จักใช่ไหม” ภัทรียาย้อนคำพูดที่เพิ่งได้ยินเต็มสองหู รู้สึกเหมือนถูกมีดแหลมคมทิ่มลงบนอกด้านซ้าย เมื่อคนตัวสูงกว่าหยุดเผชิญหน้า สายตาเขาไม่เป็นมิตรอย่างเคย

                “มีธุระอะไรกับพี่หรือน้ำผึ้ง” ปิลันธ์กอดอกถามอย่างหาเรื่อง

                “พี่ปิ่นคงงานยุ่งมากนะคะ” เธอกัดฟันถาม สายตาจ้องใบหน้าผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

                “ใช่ น้ำผึ้งมีอะไรกับพี่หรือเปล่า”

                “มี วันนี้น้ำผึ้งปิดร้านกาแฟแล้ว” และเธอต้องการกำลังใจจากเขา ไม่ใช่ต้องมาเจอเรื่องบ้าบอมากกว่าเดิม

                “รู้แล้ว แล้วไง” เขาตอบราวกับเรื่องของเธอไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

                “พี่ปิ่นหมายความว่ายังไง” ภัทรียาพยายามสะกดเสียงตัวเองไม่ให้เครือตามความรู้สึกเศร้าที่เกิดขึ้น

                ปิลันธ์ถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า “น่าเบื่อน่ะน้ำผึ้ง อย่าทำหน้าแบบว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้ำผึ้งเป็นความผิดของพี่ น้ำผึ้งทำร้านเจ๊งเอง จะให้พี่ตอบว่ายังไง”

                “ทำไมพี่พูดกับน้ำผึ้งแบบนี้ พี่ปิ่นบอกเองไม่ใช่หรือคะว่าอีกหน่อยเราจะทำร้านเบเกอรี่ด้วยกัน แต่ให้น้ำผึ้งริ่มต้นก่อน น้ำผึ้งแค่มาขอกำลังใจ” หญิงสาวอยากปล่อยความอัดอั้นออกไปให้เขาได้รับรู้บ้าง แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนกับมีดแหลมที่ปักกลางอกเมื่อครู่ค่อย ๆ กรีดลึกลงบนขั้วหัวใจ หญิงสาวเอื้อมมือคว้ามือปิลันธ์ไว้ อยากถามให้รู้ชัดไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์สองปีที่ผ่านมา “หรือเพราะผู้หญิงคนนั้น”

                เจ้าของร่างสูงผมสั้นหลับตาลง พยักหน้าเล็กน้อยอย่างตัดรำคาญ ก่อนจะพูดเสียดแทงหัวใจเธอด้วยเสียงดังลั่น “สมองมีก็น่าจะคิดได้นะ ที่ช่วงหลังนี้พี่ไม่ติดต่อน้ำผึ้งเลย น่าจะเป็นเพราะอะไร”

                ปิลันธ์ทำให้ภัทรียาที่ไม่ทันคิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ถึงกับหน้าชา มือที่กำข้อมือเขาไว้คลายออก เธอไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคนที่เคยบอกรักกันถึงพูดจาไร้เยื่อใยเช่นนี้

“ยายนี่คงไม่มีสมองค่ะพี่ปิ่น” ผู้หญิงผมยาวตัวเล็กแทรกขึ้น พร้อมผลักภัทรียาให้ออกห่าง “เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าฉันกับเขาเป็นแฟนกัน ส่วนเธอ...แค่คนรู้จัก”

“เราเข้าใจตรงกันแล้วนะน้ำผึ้ง พี่ขอตัวก่อน”

                ภัทรียาทั้งหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลม สติสัมปชัญญะถูกกระชากออกไปพร้อมหัวใจที่ถูกเฉือนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เธอถูกคนที่รักที่สุดซ้ำเติมให้เสียใจในวันที่อ่อนแอที่สุด

ปิลันธ์ทำเหมือนไม่เคยรักเธอมาก่อน คิดแล้วน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้ม ภาพคนสองคนเดินจากไปนั้นชัดเจนเต็มสองตา แต่กลับทำให้หัวใจเธอพร่ามัวเพราะความเศร้าที่ปกคลุม ภัทรียาอยากกรีดร้อง นี่หรือคือสิ่งที่เธอได้รับตอบแทนจากความรัก ความไว้ใจที่มอบให้ปิลันธ์มาตลอดหลายปี

เธอทรุดตัวนั่งลงกับพื้นฟุตบาทริมถนน ปล่อยให้รถยนต์ของปิลันธ์ขับผ่านไป โดยที่เขาไม่แม้แต่ชะลอความเร็วเหลียวแลเธอ

เมื่อไหร่กันที่เขาหมดรักเธอ แม้แต่เยื่อใยที่เคยมีให้แก่กันก็ลางเลือนจนหมดสิ้น

                หญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่นานจนน้ำตาเหือดแห้ง หัวใจอ่อนล้าไร้ความหวัง หนทางอนาคตมืดมนเช่นเดียวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ เธอเดินเหม่อใจลอยจากลานจอดรถออกมาจนถึงถนนใหญ่หน้าประตูโรงแรม ที่แสงไฟฟ้าบนถนนกับการจราจรพลุกพล่านยิ่งทำให้อารมณ์อ่อนไหว หญิงสาวมองรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่แล่นขวักไขว่

                หลังจากนี้เธอจะมีชีวิตอย่างไร? คิดแล้วคนถูกทิ้งไว้ก็พลันหมดแรง เธอนั่งลงที่ขอบถนนข้างประตูทางเข้าโรงแรม ไม่สนใจว่าจะมีใครมองหรือสนใจ หัวใจเจอเรื่องเจ็บปวดซ้ำ ๆ เกินกว่าจะทนได้ในวันเดียว ไม่เข้าใจว่าตนเองผิดอะไรโชคชะตาถึงไม่เข้าข้างเธอเลยสักนิด ทั้งที่เธอไม่เคยคิดร้ายกับใคร แต่ทำไมโชคชะตาถึงใจร้ายกับเธอเช่นนี้

                ภัทรียาก้มหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้าง ปล่อยเสียงสะอื้นออกมาสุดแรง น้ำตาเปียกปอนใบหน้า อยากให้วันเวลาย้อนกลับไป อยากแก้ตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องร้านเบเกอรี่และความรัก

                “นี่คุณ”เสียงทุ้มของใครบางคนทำให้ภัทรียาออกจากความคิดและคืนสติเขาสะกิดไหล่เธอเบา ๆ “มานั่งร้องไห้ทำไมตรงนี้ หรือยังเสียใจที่ร้านกาแฟเจ๊ง”

วาจาเขาร้ายกับหัวใจเธอเหลือเกินตอนที่ถาม ซ้ำยังนั่งลงด้านข้างโดยไม่สนใจว่าเธอจะอนุญาตหรือไม่คนร้องไห้จนเกือบหมดแรงเหลือบมองชายหนุ่ม

“คุณ...” ผู้ชายตาหวานคนนั้นเอง

                “มานั่งร้องไห้ทำไมตรงนี้” เขาถาม หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตส่งให้คนใบหน้ายับยู่ยี่ “เช็ดหน้าหน่อย มาสคาร่าไหลจนเปื้อนแก้มหมดแล้ว”

                “อือ” เธอส่ายหน้า ไม่อยากสุงสิงกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะในอารมณ์เช่นนี้

                “มาสมัครงานที่นี่แล้วเขาไม่รับหรือไง” ชายหนุ่มถาม

                ภัทรียาไม่มีอารมณ์คุยกับใคร เธอกอดหัวเข่าตนเองซุกใบหน้าลงกับต้นขา หลับตาปล่อยความเศร้าให้กัดกินภายในหัวใจ หวังว่าผู้ชายแปลกหน้าจะมดความอดทนแล้วเดินจากไปเอง

                “ไม่ตอบ แสดงว่าใช่” คนตื้อเออออเอาเอง “อย่าเพิ่งรีบสิ ร้านคุณเพิ่งเจ๊งวันนี้ พักสักอาทิตย์สองอาทิตย์ค่อยสมัครงานคงไม่สายไปหรอกมั้ง”

                “คุณไม่เข้าใจหรอก มันสายไปแล้ว” หญิงสาวครวญ แต่เธอไม่ได้หมายถึงเรื่องงาน

                “ไม่สายหรอก นี่แค่ค่ำ”

                คำพูดกวนประสาทของชายแปลกหน้ารูปหล่อทำให้ภัทรียาถึงกับเงยหน้าขึ้นจ้องเขา ก่อนจะรู้ตัวว่าไม่ควรหงุดหงิดใส่คนแปลกหน้า “ฉันไม่ตลกนะคุณ”

                “แต่ผมเป็นคนตลก ทั้งหล่อ ทั้งตลก แถมยังใจดี วันนี้ผมอุตส่าห์เป็นลูกค้าคนสุดท้ายของร้านขนมคุณ คุณไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาคุยกับผมบ้างหรือไง”

                “ก็ฉันไม่อยากคุย คุณไปเถอะ ปล่อยฉันไว้อย่างนี้แหละ” หญิงสาวปาดน้ำตาแล้วก้มลงซบหน้ากับหัวเข่าอีกครั้ง อยากอยู่กับความเจ็บปวดตามลำพัง

                และเขาก็ทำอย่างที่เธอต้องการ ชายหนุ่มนั่งนิ่งไม่เปิดปากส่งเสียงอะไรออกมาเลยพักใหญ่ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน และเดินจากไป

                แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ผู้ชายร่างสูงดวงตาหวานกลับมาพร้อมถุงร้านสะดวกซื้อ

“กินเบียร์ไหม” เขาถาม ยื่นกระป๋องสีขาวเย็นจัดออกมาแตะแขนหญิงสาว

                เมื่อถูกตื้อถามมากเข้า คนเศร้าก็พอจะผ่อนคลายอารมณ์ไปได้บ้าง ภัทรียาปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนออกจากแก้ม เริ่มรู้ตัวว่าตนเองร้องไห้มากเกินไปจนปวดกระบอกตา

เธอเงยมองชายหนุ่มแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ค่ะ”

                ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนวางกระป๋องลงบนพื้นระหว่างเธอกับเขา แล้วหยิบอีกกระป๋องหนึ่งออกมาจากถุงแล้วเปิดดื่ม

“ตามใจ” เขาบอก แต่ยกกระป๋องเบียร์ในมือตนเองจิบไปอย่างเงียบ ๆ

ครู่ใหญ่ผ่านไปภัทรียาที่เริ่มคลายความเศร้าจึงหยุดร้องไห้ เธอเหลือบมองคนที่ยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน แม้แสงไฟฟ้ายามค่ำคืนกลางเมืองใหญ่จะกลบแสงดวงดาวไปบ้าง แต่ท้องฟ้าใสปลอดโปร่งก็พอทำให้เธอมองเห็นดวงดาวส่องสว่างในคืนข้างแรมได้

“ที่นี่ดาวสวยกว่างที่กรุงเทพฯ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ

                “ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ภัทรียาบอกเบา ๆ รู้สึกซาบซึ้งกับความใจดีของชายหนุ่มแปลกหน้า หากไม่มีเขามาป้วนเปี้ยนเธอคงนั่งจมอยู่กับความเศร้าไม่มีที่สิ้นสุด

                “ขอบคุณทำไม ผมก็ได้คุณมาเป็นเพื่อนนั่งกินเบียร์ไง” ผู้ชายตาหวานตอบ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มให้เธอ “ว่าแต่ทำไมคุณมานั่งร้องไห้ตรงนี้ หรือโรงแรมไม่รับคุณเข้าทำงานจริง ๆ”

                “ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันถูกแฟนนอกใจ” ภัทรียาตอบเศร้าเมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

                “อ๋อ ผมเสียใจด้วย วันนี้เลยเป็นวันที่หนักหนาของคุณเลยสิ”

                “ค่ะเพราะที่ผ่านมาฉันมัวแต่สนใจงานที่ร้าน จนไม่มีเวลาให้เขา ทำให้เขาไปมีคนอื่น” เธอตอบแล้วถอนหายใจ

                ชายหนุ่มพยักหน้ารับฟัง สายตามองไปบนท้องฟ้าขณะดื่มเครื่องดื่มจากกระป๋อง “เชียงใหม่อากาศดีนะครับ”

                “ค่ะ คุณเป็นคนกรุงเทพฯ หรือคะ”

                “ใช่ครับ” เขาตอบ

“ที่นี่อากาศดีกว่ากรุงเทพฯ เยอะ คนก็ใจเย็นกว่า ไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ต้องแข่งขันเหมือนสมัยที่อยู่กรุงเทพฯ โดยรวมแล้วฉันชอบที่นี่ แต่ที่นี่คงไม่ชอบฉัน”

                “อ้าว ผมนึกว่าคุณเป็นคนเชียงใหม่เสียอีก”

                “ค่ะ ฉันเป็นคนเชียงใหม่นี่แหละค่ะ แต่เรียนที่กรุงเทพฯ มาตลอด สงสัยฉันคงต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ที่กรุงเทพฯ อีกแล้วก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยวางแผนว่าร้านเบเกอรี่ของฉันจะเจ๊ง”

                “บางทีชีวิตก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ ว่าแต่คุณไม่ได้มาสมัครงานที่โรงแรมนี้ใช่ไหมครับ”

                “เปล่าค่ะ แฟนฉัน...” ภัทรียาเว้นช่วงแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “...แฟนเก่าของฉันทำงานที่นี่”

                “แล้วเขาก็ทิ้งคุณไปกับผู้หญิงคนใหม่งั้นหรือครับ”

                ภัทรียาพยักหน้ารับ แผลในหัวใจยังคงสดใหม่จนรู้สึกเจ็บปวด ความรักของเธอไม่มีค่าสำหรับเขาเลย ต่อให้เคยช่วยเหลือเขามากแค่ไหน แต่เขาก็ยังหักหลังเธออยู่วันยังค่ำ

“ฉันเพิ่งสังเกตว่าสองสามเดือนมานี้เขาไม่เคยโทรศัพท์หาฉันก่อน ไม่มาหาที่ร้านอย่างแต่ก่อน เพราะฉันคงสนใจแต่เรื่องตัวเองมากเกินไป เขาก็เลยเบื่อ”

                “อย่าโทษตัวเองเลยครับ เรื่องความรักเป็นเรื่องที่อธิบายยาก บางทีมันก็มาแบบที่ไม่ทันตั้งตัว แต่บางทีก็จากไปแบบไม่บอกกล่าวเหมือนกัน” ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม

                “ใช่ค่ะ” เธอเห็นด้วย

“แต่ผมก็คิดว่าผู้ชายคนนั้นคิดผิดที่ทิ้งคุณไปหาผู้หญิงคนอื่น”

                “บางทีเขาอาจจะคิดถูกก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างเหม่อลอย ก่อนตัดสินใจหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาเปิด “คุณให้ฉันใช่ไหมคะ”

                “ครับถึงเบียร์จะขม แต่พอกินไปสักพักรสชาติหวานจะแทรกเข้าสู่ปลายลิ้น ผิดกับบางอย่างที่แรก ๆ อาจจะหวานแต่ความจริงแล้วขมก็ได้”

                “เหมือนความรัก”ใช่ไหมคะ” คนอกหักถามแล้วยกกระป๋องขึ้นดื่ม

                “อย่าโทษความรักเลยครับ โทษคนเราดีกว่าที่ไม่รู้จักคำว่าพอ”

                “คุณพูดอย่างกับคนอกหัก หน้าตาอย่างคุณไม่น่าอกหักนะคะ” ภัทรียาถาม รู้สึกถูกชะตากับชายหนุ่มที่ทำให้เธอคลายเศร้า

                “นั่นสิ ผมว่าผมก็หล่อ แต่ทำไมผู้หญิงถึงไม่สนใจก็ไม่รู้” เขาตอบเธอด้วยรอยยิ้มอย่างไม่นึกถ่อมตัว

                “เนอะ ฉันก็คิดว่าฉันก็สวยประมาณนึง แต่ทำไมถึงถูกทิ้งก็ไม่รู้” เธอย้อน คำพูดเขาทำให้เธอมีกำลังใจมากขึ้น

“โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอก มีแต่ผมนี่แหละที่สมบูรณ์แบบ” ชายหนุ่มบอก พร้อมหัวเราะกับคำพูดของตนเอง “ผมหลงตัวเองเกินไปไหม”

“นิดหน่อยค่ะ” เธอยอมรับพร้อมหันมองชายหนุ่มอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก

เพิ่งสังเกตว่าคนตาหวานไม่ได้แต่งตัวสบาย ๆ อย่างตอนช่วงเช้า เขาสวมเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีครีมกับกางเกงสีน้ำเงินเข้มตัดเย็บเรียบร้อย บนตักมีเสื้อสูทสีเข้ากับกางเกงพาดไว้

“คุณมาทำงานที่เชียงใหม่หรือคะ”

“ครับ พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”

“อ๋อ” หญิงสาวไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดเธอจึงตอบกลับไปได้เพียงเท่านั้น บางทีเธอคงถูกชะตากับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้

“คุณกำลังคิดเสียดายที่ผมต้องกลับกรุงเทพฯ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคืนนี้คุณต้องตั้งสติให้ได้ อยากร้องไห้ก็ร้องไปให้เต็มที่ แต่พรุ่งนี้คุณต้องเข้มแข็งเพื่อเริ่มต้นใหม่ เพราะผมไม่ได้อยู่นั่งปลอบใจคุณแบบนี้แล้วนะครับ”

“ค่ะ” คนเจ็บที่หัวใจพยักหน้ารับ “ขอบคุณนะคะ ฉันคงแย่กว่านี้ถ้าคุณไม่มานั่งเป็นเพื่อน”

“แต่ผมรับรองได้ว่าชีวิตคุณจะดีกว่านี้ ถ้าไปกรุงเทพฯ แล้วสมัครเป็นเชฟเบเกอรี่กับร้านที่ผมเขียนไว้บนนามบัตรผม”

“ขนาดนั้นเชียวหรือคะ ฉันขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน” เธอตอบ เวลานี้อยากพักหัวใจให้คลายเศร้าสักพัก

“อย่าคิดนานแล้วกันครับ บางทีกรุงเทพฯ อาจจะไม่ได้เลวร้ายไปหมดก็ได้”เขาเอ่ย ใบหน้าหล่อเหลายังมีรอยยิ้มอบอุ่นให้เธอตอนที่ลุกขึ้นยืน

“ค่ะ ขอบคุณจริง ๆ นะคะ คุณ...” หญิงสาวพยายามนึกชื่อที่ปรากฏบนนามบัตรที่ได้รับเมื่อเช้า แต่กลับนึกไม่ออก

“ไม่เป็นไร หวังว่าเราจะได้พบกันที่กรุงเทพฯ นะครับคุณน้ำผึ้ง” ผู้ชายตาหวานตอบ ก่อนเดินเข้าสู่โรงแรม

ภัทรียามองตามชายหนุ่มรูปร่างสูงไปจนลับสายตา เขาทำให้เธอหยุดร้องไห้ได้อย่างไรกัน หญิงสาวคิดขณะที่ดันตัวยืนขึ้น ชั่วเวลาเพียงไม่นานที่ได้นั่งสนทนากับชายแปลกหน้าคนนี้ เหมือนได้ใช้เวลายาวนานกับเพื่อนสนิทรู้ใจ ความเศร้าโศกเมื่อครู่จางลง เขาเหมือนแสงสว่างเล็ก ๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาที่ชีวิตมืดมน เติมความหวังให้พยายามเดินหน้าต่อไปในวันพรุ่งนี้

บางทีที่กรุงเทพฯ อาจเปิดโอกาสให้เธออีกครั้งและหากได้พบชายหนุ่มอีกครั้ง เธอจะขอบคุณเขาอย่างจริงจัง ที่ทำให้เธอคิดได้ว่าชีวิตมีวันพรุ่งนี้เสมอ และบางทีโชคชะตาอาจจะไม่ได้ใจร้ายกับเธอเกินไป หญิงสาวยิ้มให้กับตนเองแล้วจึงขับรถยนต์กลับบ้านไป

เพราะจุดสิ้นสุดของบางสิ่ง อาจเป็นการเริ่มต้นของบางอย่าง

 

กรุงเทพมหานคร เมืองที่การจราจรติดขัดอันดับหนึ่งของโลก กับอากาศที่ร้อนอบอ้าวชวนให้คนใจร้อน แต่สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อภัทรียาหรือไม่นั้น เธอก็ยากจะตอบได้ เพราะตอนนี้รถตู้อเนกประสงค์สีขาวรุ่นใหม่ล่าสุดทะเบียนเชียงใหม่ของบิดา ได้พาเธอมาหยุดอยู่ที่ประตูหน้าโถงทางเข้าของคอนโดมิเนียมกลางเมือง

ทันทีที่ประตูรถตู้เลื่อนเปิดหญิงสาวผมบ๊อบสั้นในชุดกางเกงยีนขาสั้นกับเสื้อยืดคอกลมสีเทาก็ก้าวลงมายืนยืดเส้นยืดสายอยู่ข้างรถ เพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางจากเชียงใหม่มากว่าแปดชั่วโมง เธอใช้เวลาตลอดสองสัปดาห์คิดใคร่ครวญหาเส้นทางให้ชีวิตเดินต่อไป ก่อนตัดสินใจขออนุญาตบิดามารดากลับมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงอีกครั้ง

ภัทรียาเงยหน้ามองตึกสูง อากาศร้อน กลิ่นควันพิษและการจราจรยามเย็นแตกต่างกับเมืองที่จากมามาก รวมทั้งการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในวัยยี่สิบเจ็ดนั้นยากเย็นกว่าสมัยวัยรุ่นเหลือเกิน

เอาเข้าจริงเธอเองก็นึกหวาดกลัวอนาคตอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากที่เธอหาข้อมูลร้านอาหารชื่อดังที่ผู้ชายแปลกหน้าแนะนำ ภาพและรีวิวมากมายกล่าวยกย่องร้านอาหารกิ่งราชพฤกษ์ไว้ว่าเป็นร้านอาหารร่วมสมัยที่ผสมผสานความหรูหราไว้กับความอบอุ่นได้อย่างดี อีกทั้งยังมีคนเขียนไว้ว่า หากใครได้ไปเยือนที่นั่นสักครั้งจะอยากกลับไปอีกซ้ำ ๆรีวิวเหล่านั้นเรียกความสนใจเธอจนนึกอยากรู้อยากเห็น อยากมีส่วนร่วมกับรีวิวเหล่านั้นบ้าง

ถ้าหากร้านจะรับเธอเข้าทำงาน

ถึงภัทรียาจะมั่นใจในความสามารถตัวเอง ด้วยวุฒิการศึกษาจากโรงเรียนสอนทำอาหารชื่อดังในฝรั่งเศส ประสบการณ์ที่ผ่านงานเชฟเบเกอรี่ในโรงแรมใหญ่รวมทั้งผลงานประกวดรายการต่าง ๆ มากมายมาตลอดห้าปี หากไม่นับประสบการณ์ทำร้านเบเกอรี่ตัวเองเจ๊ง ร้านอาหารไหนในเมืองกรุงก็คงต้องการร่วมงานกับเธอ

แต่เธอไม่มั่นใจเลยเมื่อคิดว่าต้องไปของานกับร้านกิ่งราชพฤกษ์ เพราะกิตติศัพท์ความมากเรื่องของคุณชายเจ้าของร้านอาหารเก่าแก่นี้ขจรขจายไปทั่ว ตั้งแต่ในแวดวงเชฟ รวมทั้งในสื่อโซเชียลที่ให้สมญานาม หม่อมราชวงศ์ภาคิน ภาคินัย ว่าคุณชายพริกสด ด้วยวาจาเชือดเฉือนไม่เกรงใจใครกับท่วงท่าน่าเกรงขาม ต่อให้เป็นนักชิมหรือนักวิจารณ์อาหารสายไหนก็กลัวท่านจนหัวหด

แต่ที่สงสัยกว่านั้น ในรีวิวร้านอาหารกลับไม่เอ่ยถึง หม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย

ผู้ชายขนตายาวดวงตาหวานคนนั้นเป็นอะไรกับคุณชายพริกสดกันแน่? หญิงสาวก็ยากจะคาดเดา

ภัทรียาลากกระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่เข้าไปยังโถงล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมอย่างทุลักทุเลเพียงลำพังและกว่าจะพาตัวเองขึ้นลิฟต์ไปถึงห้องบนชั้นสามสิบสองก็เล่นเอาคนไม่ค่อยออกกำลังกายหอบเหนื่อยไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่เปิดประตูห้องฝุ่นหนาที่ปกคลุมอยู่ตามเฟอร์นิเจอร์ก็ทำให้เธอจามจนแทบหมดแรง ความตั้งใจจะนอนพักสักงีบก่อนจัดข้าวของก็เป็นอันต้องล้มเลิก หญิงสาวต้องจัดการทำความสะอาดห้องพักจนสะอาดเอี่ยมเสียให้เสร็จ ไม่เช่นนั้นเธอคงจมกองฝุ่นตายก่อนได้ทำงานใหม่

นั่นทำให้ล่วงไปถึงเที่ยงคืนกว่าภัทรียาจะได้กระโดดขึ้นนั่งบนที่นอนนุ่มในห้องนอนแคบยังดีที่เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำช่วยทำให้ร่างกายเธอผ่อนคลาย การเดินทางและความเหนื่อยล้าตลอดวันทำให้ความง่วงเข้ามาเยือนเธอได้อย่างง่ายดาย แต่ก่อนที่หญิงสาวจะหลับใหล เสียงเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนตู้หัวเตียงก็ดังขึ้น หน้าจอสว่างปรากฏชื่อใครคนหนึ่ง คนที่ขาดการติดต่อไปกว่าสองสัปดาห์

ปิลันธ์

คนที่เกือบนอนหลับไปแล้วถึงกับผุดนั่ง มองชื่ออดีตคนรู้ใจด้วยหัวใจที่สั่นไหว ยากจะตัดสินใจว่าควรเอื้อมมือไปเลื่อนหน้าจอตอบรับปลายสาย หรือกดตัดสัญญาณทิ้งอย่างไร้เยื่อใย อย่างที่เขาทำกับเธอวันนั้น หญิงสาวปล่อยเสียงเพลงให้ดังต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์จะดับลง ตามด้วยเสียงข้อความที่ดังขึ้น พร้อมภาพกล่องข้อความที่เด้งขึ้นมาให้อ่านอย่างเชื่องช้า แต่กลับทำให้หัวใจเธอไหวหวั่น

ได้ข่าวว่าย้ายไปกรุงเทพ

ทำไมไม่บอกพี่

พี่ยังคิดถึงนำผึ้งนะ

วันนี้น้ำผึ้งจะไม่คุยไม่เป็นไร

หวังว่าน้ำผึ้งยังคงรักพี่อย่างที่พี่รักน้ำผึ้ง

                ข้อความพวกนี้ทำให้หญิงสาวตื่นเต็มตา หัวใจที่สงบนิ่งเกือบสัปดาห์กลับสั่นจนยากจะบังคับได้ หลังจากที่เขาทำให้เธอฟูมฟาย โทษตัวเองต่าง ๆ นานา และตั้งใจตัดผมจนสั้นกุดเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพฯ แต่เขากลับเขียนข้อความเหมือนระหว่างเขาและเธอยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                แต่เธอเป็นพวกเจ็บแล้วจำ ภาพและความรู้สึกในวันนั้นยังคงชัดเจน เขาใช้คำพูดกรีดแทงหัวใจเธอจนยากจะทำใจให้ลืมได้ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ้องหน้าจอ ใจกระวนกระวายจนรวดร้าว แต่เธอไม่อยากกลับไปอยู่ในวังวนเหล่านั้น ทั้งที่เธอเพิ่งรักษาตัวเองให้ดีขึ้น

                เธอต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้ความรู้สึกด้อยค่าเหล่านั้นกลับมา

                ภัทรียากุมศีรษะแล้วสะบัดจนผมสั้นกระจายกระเซิง ความคิดวกวนกลับไปมาซ้ำ ๆเหตุใดคนใจร้ายจึงตามย้ำเตือนความโง่เขลาของเธอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอใจอ่อนยอมปิลันธ์มาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน หรือแม้แต่เรื่องที่เขาไม่ชอบให้เธอละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว เวลานั้นเธอยอมเขาเพราะรัก แต่เวลานี้เธอจะต้องตัดเขาออกไปให้หมดหัวใจ

                “ไม่ได้น้ำผึ้ง ใจอ่อนไม่ได้อีกแล้ว” หญิงสาวพยายามให้กำลังใจเพื่อสู้กับความอ่อนแอของตัวเอง

และภาพใบหน้าของผู้ชายขนตายาวดวงตากลม เจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นที่เข้ามาช่วยเหลือในช่วงเวลาอ่อนแอก็ปรากฏขึ้น ช่วงเวลาเช่นนี้เธอต้องการใครสักคนไว้พึ่งพา และหวังว่าคงไม่รบกวนเขาจนเกินไป

ทันทีที่คิดได้ ภัทรียาจึงรีบดึงกระเป๋าสะพายที่วางไว้บนตู้หัวเตียงมาควานหานามบัตรของเขาคนนั้น หยิบออกมาอ่านชื่อ พลางกดหมายเลขโทรศัพท์ทั้งที่ไม่มั่นใจเลยสักนิด

“หม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย”

ชื่อของผู้ชายอ่อนโยนนุ่มนวลคนนั้น

“จะดึกไปไหมนะ”

จะรบกวนเขาเกินไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หญิงสาวจะกดตัดสัญญาณด้วยความเกรงใจที่โทรไปกลางดึง เสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มก็ตอบรับกลับมา

“สวัสดีครับ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น