6

ฤทธิ์ของหวาน

ดวงตาของหม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย เกิดประกายขณะที่ก้าวขาตรงมาใกล้ ชายหนุ่มยืนจ้องเธอด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ เป็นความรู้สึกที่ภัทรียายากจะหยั่งถึง มือใหญ่แตะปลายคางเธอเชยขึ้นประสานสายตา ความหวั่นเกรงปะปนไหวหวั่นทำให้หญิงสาวขืนใบหน้า แต่ยากเย็นจะขัดขืนเมื่อชายหนุ่มกดนิ้วลงบนริมฝีปากล่าง ความร้อนจากปลายจมูกที่ขยับใกล้ พลอยทำลมหายใจและหัวใจเธอปั่นป่วน

                “กินช็อคโกแลตแล้ว ผมอยากกิน...”

                วาจาจากปากเขาชวนให้ช่องท้องเธอบีบรัด เมื่อมือใหญ่ลวนลามแตะลงบนต้นขา ลูบไล้อย่างอุกอาจ แต่เหตุใดเธอจึงไม่สามารถปัดป้อง ด้วยความรู้สึกปั่นป่วน หญิงสาวทำได้เพียงนั่งนิ่งตัวเกร็งเมื่อเขาเลิกชายกระโปรงชุดนอนเธอขึ้น ก่อนริมฝีปากนุ่มจะจูบลงที่ซอกคอ

                “อย่าค่ะ...” ภัทรียาร้องคราง ความรู้สึกหวิวหวามลุกลามจากรอยสัมผัส ทั้งริมฝีปาก และความร้อนจากฝ่ามือที่คุกคามทั่วร่าง “...อย่า”

                แต่ชายหนุ่มกลับไม่ฟังคำ เขาจู่โจมผลักเธอลงบนเตียงนอน ที่สปริงชั้นดีทำให้ตัวกระดอนเล็กน้อย ก่อนขึ้นคร่อมร่างเธอด้วยร่างกายกำยำ แววตาหวานซึ้งและรอยยิ้มก่อกวนวนเวียนอยู่ท่ามกลางความมืดรอบกาย ภัทรียาไม่รู้เลยว่าตนเองยินยอมให้หม่อมหลวงปากดีเข้ามาในห้องนอนตั้งแต่เมื่อใด รับรู้เพียงรสสัมผัสจากชายหนุ่มกำลังจุดประกายอารมณ์ที่ทำให้ร่างกายเบาสบาย เสียงเพลงแผ่วเบาถูกบรรเลงผ่านริมฝีปากที่บรรจงแตะต้องเคล้าเคลีย

                “อย่าค่ะ...” คำพูดนี้กลายเป็นคำเดียวที่หลุดจากปากเธอได้

                หญิงสาวหลับตาปี๋ เมื่อมือใหญ่สองข้างจับต้นแขนเธอ ลูบไล้บ่าไหล่ลงมายังทรวงอก ชวนให้สั่นสะท้าน เธออยากจะขัดขืนชายหนุ่ม แต่ทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเหมือนมนต์มายาที่ทำให้ร่างกายตอบสนองได้เพียงบิดเร่า เธอตอบสนองทุกอารมณ์ที่กำลังจุดติดเป็นเพลิง แผดเผาละลายทุกสิ่งอย่าง แม้แต่ผืนผ้าติดกายก็พลอยหลุดลอยไปอย่างง่ายดายเมื่อมือใหญ่ต้องการจะรุกราน แม้แต่จิตใต้สำนึกก็ไม่อาจจะยับยั้ง

                “ผมอยากกินตัวคุณ อยากรู้ว่าคุณจะอร่อยสู้ช็อคโกแลตได้ไหม” เขากระซิบ ก่อนแตะปลายลิ้นลงบนริมฝีปากเธอ ดูดกลืนลมหายใจราวกับเธอคือขนมหวานอันโอชะ

                “อ๊ะ!” แต่ภัทรียาไม่สามารถโต้เถียงได้เหมือนเดิม เมื่อรสชาติปลายลิ้นเขาช่างหวานล้ำ เหมือนช็อคโกแลตที่เพิ่งผ่านความร้อน ละมุนละลาย หอมหวาน แต่หากลิ้มลองนานไปอาจทำให้ใจสั่น ความคิดหญิงสาวล่องลอย รสชาติน้ำตาลในช่องปากกำลังทำให้ร่างกายไม่เป็นตัวของตัวเอง ก่อนที่นิ้วนุ่มนวลลูบไล้ร่างกายหมิ่นเหม่ บดเบียดเธอให้ทะยานขึ้นฟากฟ้า แตะขอบสรวงสวรรค์

                ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด...ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด...

                “ว๊าย!” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว สวรรค์แค่เอื้อมพังทลายทันใด เมื่อเสียงนาฬิกาดังเตือนบอกเวลาให้ตื่นนอน คนเหมือนตกจากที่สูงนอนตั้งสติ นิ่วหน้ายี่ผมบนศีรษะ “ให้ตายเถอะ” ว่าแล้วเอื้อมมือกดนาฬิกาเจ้ากรรมที่ฉุดเธอลงมาก่อนเสี้ยวนาทีมหัศจรรย์

                หื่นกาม

                ความคิดแรกพุ่งเข้าสู่สมองภัทรียาทันทีที่หัวใจกลับมาเต้นคืนจังหวะปกติ เพราะตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบเจ็ดปีเธอไม่เคยฝันอะไรที่เหมือนคนเก็บกดทางเพศเช่นนี้มาก่อน แม้แต่สมัยที่คบหากับปิลันธ์ถึงเธอไม่เคยปล่อยให้เขาแตะเนื้อต้องตัวมากไปกว่ากอดจูบ แต่ก็ไม่เคยฝันถึงบทรักร้อนแรงสักครั้ง

                ต้องเป็นเพราะช็อคโกแลตและคำพูดบ้า ๆ ของเขาเมื่อคืนแน่ ๆ

คิดแล้วยิ่งหงุดหงิดคันยุกยิกในหัวใจ เพราะหลังจากที่คุณภาคย์ตัวดีหยอกเย้ากลั่นแกล้งจนสติกระเจิง เธอก็ไล่เขากลับไปอย่างรวดเร็ว

“น่าโมโหนัก เลยไม่ได้คุยเรื่องคุณลุงคุณชายเลย”

แต่ไม่เป็นไร...วันนี้เริ่มใหม่

คนจริงจังกับชีวิตจึงเริ่มต้นกิจวัตรประจำวัน อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เข้าครัวเริ่มงานตามคำสั่งของหัวหน้าเชฟวัยหกสิบ จนเกือบแปดโมงเช้าขนมหลากหลายชนิดจึงถูกจัดวางเรียงบนเคาน์เตอร์อย่างสวยงาม หลังจากนั้นป้าลี่ก็เริ่มสอนวิธีปรุงเบเกอรี่ตามสูตรลับอันยาวนานของทางร้าน ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกวัตถุดิบ การปรุงส่วนผสมที่ละเอียดอ่อนแม่นยำ รวมทั้งสอนให้ภัทรียาใช้หัวใจในการปรุงเหล่าขนมหวาน ให้เกิดเป็นจังหวะและรสมือจากหัวใจ ส่งต่อไปยังลูกค้าที่ได้รับรสชาติที่มีความสุขในทุกคำที่ลิ้มรส

กระทั่งเลยช่วงเที่ยงวันครัวเบเกอรี่จึงเริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับสัปดาห์หน้า ซึ่งบ่ายนี้ภัทรียาอาสาลงมือเตรียมแป้งสำหรับขนมปังด้วยตนเอง จนเสร็จงานทุกอย่างตอนสี่โมงเย็นทั้งสามเชฟจึงนั่งล้อมวงจิบน้ำชาคุยกันข้างเคาน์เตอร์เตรียมขนม ที่กลิ่นหอมยังคงอบอวนอยู่รอบกาย

“ไชโย วันนี้งานเสร็จเร็วกว่าวันอื่นตั้งเยอะ” ชายหนุ่มคนเดียวในครัวเบเกอรี่ส่งเสียงด้วยความดีใจ “มีน้องผึ้งมาช่วย เราสองคนเบาไปเยอะเลยเนอะป้า”

“ใช่ ๆ หนูผึ้งแบ่งงานไปทำได้เยอะเลย อีกอย่างฝีมือหนูผึ้งก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับเธอนะอัฐ” ผู้อาวุโสที่สุดเอ่ยชื่นชม “แบบนี้ป้าจะได้เกษียณอย่างสบายใจ”

“ป้าลี่จะเลิกทำงานเหรอคะ” คนเพิ่งฝึกงานได้ไม่กี่วันถาม ตกใจไม่น้อยกับเรื่องที่ผู้อาวุโสพูด

“จ้ะ เดือนหน้าป้าก็ออกแล้ว ทำงานมาสามสิบปี มันถึงจุดอิ่มตัวล่ะ อีกอย่างคุณชายท่านไว้ใจหนูผึ้ง ป้าเลยไม่ห่วง อัฐเองก็อยู่ที่นี่ต่อไปนะ”

“ครับ ผมไม่ไปไหนหรอก บ้านผมอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้ คุณชายก็ใจดี มีน้องผึ้งมาทำงานด้วยสบายไปแปดอย่าง” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนมองหน้าภัทรียา “พรุ่งนี้ร้านปิดน้องผึ้งก็พักเยอะ ๆ วันจันทร์เปิดมางานอีกมหาศาล”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ “แต่น้ำผึ้งสงสัยค่ะ”

“สงสัยอะไรหนูผึ้ง” ป้าลี่ถาม สีหน้าผู้อาวุโสแม้เหนื่อยอ่อนแต่แฝงด้วยความใจดี

“ทำไมร้านถึงปิดวันอาทิตย์คะ ทั้งที่น่าจะเป็นวันที่ขายดีมาก”

“อ๋อ ร้านเราปิดวันอาทิตย์มานานแล้ว คุณชายท่านต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์น่ะ อีกอย่างท่านอยากให้พนักงานอยู่กับครอบครัว”

“ถ้าเปิดเจ็ดวัน น้องผึ้งจะทำงานไหวเหรอครับ”

ภัทรียายิ้มแหย ลืมนึกเรื่องพักผ่อนไปเสียสนิท “แต่ก่อนน้ำผึ้งทำงานทุกวันเลยค่ะ ตอนเปิดร้านเก่า ผึ้งทำงานจนลืมเวลา...” ลืมคนใกล้ตัวจนเขาไปมีคนอื่น หญิงสาวนึกแล้วแวบเสียใจ ที่ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ “...พอร้านเจ๊ง ก็เลยได้พักบ้าง”

“อย่าโหมงานให้มากนะคะหนูผึ้ง เอาเวลาไปเอาใจคุณภาคย์บ้าง ป้าเองก็ชอบทำงาน จนอายุห้าสิบไปแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องดูแลตัวเองบ้าง แต่ก็ไม่ทันเส้นเลือดในหัวใจอุดตันไปแล้ว นี่ถ้าคราวนี้หมอไม่หล่อ ป้าว่าจะไม่ผ่าตัดหรอกนะ” ป้าลี่เล่าไปพลางหัวเราะไปพลางอย่างอารมณ์ดี

“ป้าลี่ต้องหายค่ะ” คนไม่รู้จะให้กำลังใจเพื่อนร่วมงานอย่างไรบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ระหว่างนี้ป้าไม่ต้องห่วงอะไรเลยนะคะ น้ำผึ้งจะทำงานให้สุดความสามารถ”

“ต้องแบบนี้สิ ค่อยเหมาะกับว่าที่หลานสะใภ้คุณชาย ถ้าป้าตายไปก็หมดห่วงว่าใครจะมาช่วยคุณชายท่านดูแลร้าน”

“ป้าลี่คะ! อย่าพูดแบบนี้สิคะ”

“ป้าก็พูดเล่นไป น้องผึ้งตกใจหมด” ชายหนุ่มเพียงคนเดียวรีบแย้งอาวุโสที่ยังคงหัวเราะ “น้องผึ้งไม่ต้องเครียด นาน ๆ ทีเราได้มีเวลานั่งคุยเล่นกันแบบนี้”

“จ้ะ ได้ครบทีมสามคน เราได้กลับบ้านสี่โมงเย็นทุกวันแน่ ๆ” คนหัวใจวัยรุ่นยักคิ้ว ยกชาร้อนขึ้นมาจิบสบายอารมณ์ “ว่าแต่อัฐ เธอส่งใบสั่งวัตถุดิบให้คุณอรหรือยัง วันจันทร์คุณอรจะได้สั่งให้ร้านมาส่ง”

“เรียบร้อยแล้วครับ คราวนี้น้องผึ้งเป็นคนสั่ง แล้วยังคำนวณราคาให้เรียบร้อย” ชายหนุ่มบอก พลางยกมือขึ้นวางบนศีรษะหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างเป็นการชื่นชม

แต่หารู้ไม่ว่าภัทรียาถึงกับใจหายวาบ แม้เป็นเพียงการแสดงความสนิทสนมจากเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ แต่เธอไม่เคยชินกับการสัมผัสถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้กับใคร แม้ใจอยากสะบัดตัว แต่เกรงใจผู้ใหญ่ที่นั่งร่วมวงสนทนา

“ไม่เป็นไรค่ะพี่อัฐ” เธอตอบ

ในจังหวะนั้นเองชายหนุ่มรูปร่างสูง ใบหน้าขาว ดวงตาโตก็เปิดประตูห้องครัวเข้ามา “ทำอะไรกันอยู่” สายตาเขามองที่ภัทรียา และเจ้าของมือที่วางแปะอยู่บนหัว

“คุณภาคย์ มานั่งทานขนมด้วยกันค่ะ” ป้าลี่ยิ้มกว้าง ลุกดึงแขนหม่อมหลวงหนุ่มให้นั่งลงด้านข้าง สีหน้าเรียบตึงที่เกิดจากอาการหงุดหงิดลงไปได้บ้าง

เหมือนอัฐจะเพิ่งรู้สึกตัว เขารีบปล่อยมือจากศีรษะภัทรียาด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่คงสายไปเสียแล้ว เพราะเวลานี้รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าหม่อมหลวงภาคย์นั้นจางลงอย่างเห็นได้ชัด

“ป้าทำขนมอะไรไว้ให้ผมกินบ้างครับวันนี้” เขาพยุงผู้อาวุโสลงนั่งตามเดิม แกล้งไม่สนใจหญิงสาวที่นั่งจ้องเขานิ่ง “ผมเพิ่งลงมาจากเรือนคุณลุง เห็นคุณลุงท่านรับประทานคุกกี้ข้าวโอ้ต ต้องเป็นฝีมือป้าลี่แน่ ๆ”

“ใช่จ้ะ คุณภาคย์อยากได้สักชิ้นสองชิ้นไหมจ๊ะ”

“เดี๋ยวน้ำผึ้งไปเตรียมมาให้ค่ะ” หญิงสาวที่นั่งอยู่ในวงรีบเสนอตัว เธอลุกรีบร้อนออกไปจากห้องครัวเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ

ทำไมไม่ทักทายเขาบ้าง แถมให้ผู้ชายอื่นมาแตะต้อง ทั้งที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้จับเส้นผมเธอสักครั้ง เมื่อคืนก็ไล่เขาออกจากห้องทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรวุ่นวาย แค่แซวนิดแซวหน่อยอย่างที่ทำเป็นประจำ ชายหนุ่มนึกหาเรื่อง โดยเฉพาะสายตามีพิรุธที่มองมาด้วยนั้น ทำให้เขาอยากเค้นคำคนที่ออกตัวว่าเข้ากับคนยาก แต่ยอมให้เพื่อนร่วมงานที่เพิ่งรู้จักจับศีรษะสนิทสนม

ทีกับเราทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว กับคนอื่นเริงร่าเหมือนปลาได้น้ำ คนหงุดหงิดคิดต่อไปด้วยอาการน้อยใจ

“ไม่ใช่แล้ว”หม่อมหลวงภาคย์พลั้งปากด้วยอารมณ์ตอนที่หญิงสาววางจานใส่คุกกี้ลงที่เคาน์เตอร์ข้างตัวเขา

“ไม่ใช่อะไรคะคุณภาคย์ นี่คุกกี้ข้าวโอ้ตที่ป้าลี่ทำยังไงล่ะ”

“ฉันอยากได้ชาด้วย” เขาสั่ง โกรธเธอจริง ๆ ที่ทำเย็นชาใส่ แต่กับคนอื่นกลับยิ้มแย้มตลอดเวลา

“ค่ะ” หญิงสาวตอบ เธอเขินอายกับภาพฝันเมื่อคืนที่ผุดขึ้นมา แม้ไม่จริงแต่รอยยิ้มและรสจูบยังติดตรึงจนเธออยากซ่อนตัวจากสายตาหวานหยดที่จ้องเหมือนกำลังจะกลืนกินร่างกายอย่างที่เขาเอ่ยปากไว้

ภาคย์มองตามร่างเล็กที่เดินออกไปจากห้องครัวอย่างนึกกระวนกระวาย นี่ไม่ใช่วิสัยของเขาสักนิด หากแต่ภัทรียาผู้เย็นชาทำให้เขาอยากดึงรั้งต้นแขนบอบบางให้กลับมา แล้วไถ่ถามสาเหตุอาการปั้นปึงที่แสดงออกแม้เธอจะกลับมาพร้อมชาร้อนกลิ่นหอมแต่หญิงสาวกลับทำให้เขายิ่งหงุดหงิด

                “เดี๋ยวน้ำผึ้งกลับบ้านก่อนนะคะป้าลี่ พี่อัฐ” เธอบอกกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองแต่ไม่แม้แต่จะสบตาชายหนุ่ม

                “จะรีบไปไหนฉันยังไม่ได้ดื่มชาเลย” คนอดทนไม่ไหวรีบถาม

                “คุณภาคย์เพิ่งมาถึง ก็นั่งไปสิคะ น้ำผึ้งเสร็จงานแล้ว อยากกลับไปพักผ่อนบ้าง”

                ต้องมีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเพราะเชฟอัฐ ชายหนุ่มหันไปจ้อหน้าเชฟหนุ่มแล้วตวัดสายตากลับมาที่หญิงสาว

                “นั่งลงน้ำผึ้ง” เขาสั่ง

                เสียงห้าวจริงจังทำให้ทุกคนรอบข้างถึงกับชะงัก เพียงแต่สายตาหม่อมหลวงภาคย์มองเพียงหญิงสาวนิสัยดื้อดึงเท่านั้น

                “คุณภาคย์คะ ใจเย็น ๆ ชิมคุกกี้ฝีมือป้าก่อนนะคะ” ป้าลี่ผู่ใจดีรีบขวาง

                เมื่อถูกผู้อาวุโสเตือนสติเขาจึงพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ครับป้า น้ำผึ้งเดี๋ยวรอกลับกับผม”

                เพียงดวงตาคู่คมนั้นจ้องมา อาการปั่นป่วนในช่องท้องหญิงสาวก็เกิดขึ้น หัวใจที่พยายามสงบกลับเต้นเร็วแรง ภาพและถ้อยคำในความฝันล้วนเสมือนจริงจนเธอยากจะหักห้ามประกายความรู้สึกเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น ภัทรียานั่งลงตามคำสั่งของชายหนุ่ม แต่ด้วยอารมณ์แตกต่างจากเดิมเธอจึงทำได้เพียงก้มหน้า หลบสายตาเขาเท่านั้น

                “ป้าไม่รู้ว่าคุณภาคย์กับน้ำผึ้งทะเลาะอะไรกัน แต่ป้าว่า คุณภาคย์ไปตกลงกับหนูผึ้งก่อนดีไหมคะ ไม่อย่างนั้นคุณภาคย์ก็จะหงุดหงิดไปเรื่อย ๆ แบบนี้”

                “ผมไม่รู้เหมือนกันว่าน้ำผึ้งโกรธอะไรผม” ชายหนุ่มยังคงมองหญิงสาว

                “น้ำผึ้งไม่ได้โกรธค่ะ”

                “อ้าว ไม่ได้โกรธแล้วทำไมต้องทำเหมือนหลบหน้า”

                “ไม่ได้หลบหน้า เมื่อกี้ออกไปเอาขนมมาให้ ก็เห็นอยู่” หญิงสาวเถียง ทั้งที่รู้ตัวว่าตนเองตั้งใจจะหลบเหมือนที่ถูกกล่าวหา

                “แล้วทำไมต้องพูดว่าจะรีบกลับบ้าน”

                “แล้วทำไมน้ำผึ้งจะกลับไม่ได้”

                “ก็ผมมารับน้ำผึ้งกลับ ทำไมต้องทำให้ดูวุ่นวาย เกรงใจป้าลี่กับอัฐด้วย เขายังนั่งกันอยู่ น้ำผึ้งทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้เหมือนคนไม่มีมารยาทนะ”

                เธอควรสาดชาร้อนใส่หน้าหม่อมหลวงปากจัดดีไหม หญิงสาวนึกโกรธ มือกำแน่นสั่นอยากยกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างให้คนปากเสียได้รู้

                “ว่าฉันไม่มีมารยาทอย่างนั้นเหรอ แล้วคุณล่ะ มีมารยาทนักหรือไง”

                “มีสิ มารยาทผมดีมาก ไม่เหมือนบางคนปากก็บอกว่าเข้ากับคนอื่นยาก แต่ทำตัวสนิทสนมกับผู้ชายง่ายนัก” คราวนี้ภาคย์เผลอตวัดสายตาไปยังชายหนุ่มอีกคน

เหมือนเชฟอัฐจะรู้ตัว เขายิ้มแหยก่อนลุกออกจากวงสนทนา “ผมไปช่วยงานเอ๋ข้างหน้าร้านนะครับ”

“ป้าไปด้วย” ป้าลี่รีบผลักไหล่อัฐพาออกจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว

“คุณภาคย์! เขาไปกันหมดเพราะคุณคนเดียวเลย” หญิงสาวสู้ไม่ถอย ไม่รู้ว่าคนเองเผลอคิดพิศวาสผู้ชายปากเสียคนนี้ได้อย่างไร

“เพราะน้ำผึ้งต่างหาก ถ้าน้ำผึ้งทำตัวให้มีมารยาทเหมือนคนปกติ ผมก็คงไม่ต้องเตือน แล้วนี่อะไรเถียงคำไม่ตกฟาก เป็นน้องเป็นนุ่งจับตีก้นลายแล้วรู้ไหม” ร่างใหญ่ลุกจากเก้าอี้ ขยับเข้าใกล้จ้องหน้าหาเรื่องหญิงสาว

“ฉันเป็นคนปกติ คุณต่างหากที่ปากเสียไม่รู้เวลา” หัวใจภัทรียาเต้นแรงขึ้น ไม่นึกว่าชายหนุ่มจะเข้าประชิดตัวเช่นนี้ ภาพความฝันเมื่อคืนกลับเข้าสู่ความคิด

“ใครว่าผมปากเสีย มีแต่คนบอกว่าปากผมดีมากกว่า”

ถ้าเขากระชากตัวเธอเข้าไปกอดแล้วปล้ำจูบล่ะ! วูบหนึ่งของความคิดทำให้หญิงสาวชะงัก

“ออกไปห่าง ๆ เลย” คนคิดมากผลักลำตัวชายหนุ่มให้ถอยห่าง ใบหน้าร้อนผ่าวเกินเก็บอาการไว้

“ถ้าผมไม่ทำตามล่ะ” แววตาภาคย์แพรวพราว ริมฝีปากบางมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับในสมองเกิดความคิดบางอย่าง เขายังคงขยับเข้าประชิดตัวหญิงสาว กางแขนออกสองข้าง

“คุณจะทำอะไร” เธอหดตัวหรี่ตา เกรงว่าชายหนุ่มจะทำมิดีมิร้ายให้หวั่นไหว

หม่อมหลวงหนุ่มยังคงยืนกางแขน สายตามองหญิงสาวที่ทำท่าหวาดหลัว ก่อนเปลี่ยนมายืนกอดอก แล้วส่ายศีรษะ “คิดว่าผมจะทำอะไร”

“เปล่า”

“อยากกลับบ้านหรือยัง ถ้าจะกลับเดี๋ยวผมไปส่ง”

ง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ ภัทรียาหรี่ตามองคนตัวสูงที่ทำท่าขบขัน เธอยากจะเอาใจตามอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเขาได้ แต่บางทีนี่คือมุมที่ทำให้เธอหลงกล

“ยัง คุณเองก็นั่งกินขนมให้หมดด้วย ถ้าไม่หมดป้าลี่จะเสียใจ” เธอเปลี่ยนเป็นฝ่ายออกคำสั่ง เรื่องอะไรเธอจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอยู่เรื่อยไป หญิงสาวพยายามสงบจิตสงบใจยืดหลังตัวตรงกอดอก ชี้นิ้วไปยังจานคุกกี้และถ้วยชาที่ควันเริ่มจาง

หม่อมหลวงหนุ่มเอียงศีรษะเลิกคิ้ว แล้วอมยิ้ม เขาหยิบคุกกี้ชิ้นโตขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาหักเป็นชิ้นพอดีคำ ส่งให้หญิงสาว “แบ่งกัน บราวนี่เมื่อคืนเป็นบราวนี่ที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกิน ตอนนี้ผมก็อยากรู้ว่าคุกกี้อันนี้จะเป็นคุกกี้ที่อร่อยที่สุดด้วยหรือเปล่า”

ผู้ชายคนนี้ภัทรียาหลบสายตา อายจนอยากม้วนลงไปกองกับพื้นห้องครัว เมื่อชายหนุ่มป้อนขนมใส่ปากเธอราวกับว่าตัวเธอเป็นเด็กน้อย รสชาติหวานมันของคุกกี้ที่กำลังละลายในปาก หรือเพราะดวงตาอ่อนโยนผสมรอยยิ้มจากชายตรงหน้าที่ทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอเต้นแรง ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านคล้ายล่องลอยอยู่ในความฝัน

ชายหนุ่มโน้มตัวลงจนระดับสายตาประสานกับหญิงสาว ใบหน้าสวยใกล้เพียงคืบ กลิ่นหอมของขนมอบรอบกายชวนเคลิบเคลิ้ม “อร่อยไหม”

“ค่ะ” ริมฝีปากสีชมพูเอ่ย

“ชิมได้ไหม” เขาถาม อยากทำเช่นนี้กับเธอตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน

สมองภัทรียาหยุดทำงานลงทันทีเมื่อริมฝีปากชายหนุ่มแตะลงบนริมฝีปากเธอ สัมผัสร้อนจากลมหายใจตรึงร่างกายให้ชะงักงัน สัมผัสนุ่มนวลทว่าสะกดอารมณ์ เติมเต็มความรู้สึกที่ยากจะควบคุม

“อย่าตบผมนะ” เขาเอ่ย ละริมฝีปากออกเชื่องช้า มือกุมมือเธอไว้ไม่ให้ยกขึ้นมาได้

เขาจูบ ถูกจูบ ปากตรงหน้านี้จูบเธอ จูบจริง ๆ ไม่ใช่ความฝัน แล้วเธอควรจะทำอย่างไร...ภัทรียายังคงถูกแช่แข็งไว้ด้วยสัมผัสชวนขนลุก

ในส่วนของคนขโมยจูบยิ่งฮึกเหิม ก้มลงหอมแก้มหญิงสาวอีกฟอดใหญ่

“คุณภาคย์” กว่าจะส่งเสียงออกมาได้ปากเธอก็สั่นไปหมด

“อยากจูบอีกไหม”

 

                นี่เขาจู่โจมภัทรียาเร็วไปหรือเปล่า? เมื่อวันก่อนเพิ่งยอมให้เธอเปิดใจต้อนรับ แต่วันนี้กลับใช้ความไว้ใจขโมยจูบเธอแบบไม่ทันให้ตั้งตัวและเหมือนเธอจะโกรธเขาอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่ออกจากร้านอาหารจนถึงคอนโดมิเนียม ภัทรียาไม่พูดคุยกับเขาสักคำ เอาแต่นั่งก้มหน้าเม้มริมฝีปากเหมือนคนขวัญหนีดีฝ่อสู้ให้เธอโวยวายบ่นด่าเขาอาจจะสบายใจกว่านี้ หม่อมหลวงหนุ่มยังคงครุ่นคิดเมื่อรถยนต์สีดำคันงามเคลื่อนจอดในโรงจอดรถยนต์ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่

                ตัวเขาก็ใช่จะรูปชั่วตัวดำ หรือใจร้ายเป็นยักษ์มาร ที่ข่มเหงรังแกคนไร้ทางสู้ แต่ใบหน้าตอนที่หญิงสาวรับขนมเข้าปากแล้วหลับตาพริ้ม ทำให้เขาหักห้ามความรู้สึกไว้ไม่ได้ อยากแสดงออกไปให้เธอได้รับรู้ ความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจ และจุดประสงค์ของความสัมพันธ์นี้

แต่เธอจะเข้าใจหรือไม่? แล้วเธอชอบจูบของเขาหรือเปล่า? แต่อย่างไรเขาก็ชอบความรู้สึกที่ได้แตะปากลงบนปากเธอ คิดไปพลางแตะริมฝีปากตนเองพลาง หากได้ลิ้มรสชาติมากกว่าจูบแผ่วเบานั่น หัวใจเขาอาจจะระเบิดเพราะความสุขก็เป็นได้

                “ใครนะทำให้ภาคย์ของแม่อารมณ์ดีขนาดนี้”

                เสียงหญิงวัยกลางคนที่ดังจากอีกฝั่งของแนวรั้วต้นโมกที่กั้นระหว่างโรงจอดรถยนต์กับสระว่ายน้ำทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดยืน เขาเลือกจะเลี้ยวผ่านเส้นทางเดินที่ประดับด้วยหิน และต้นไม้พุ่มขนาดเล็กไปยังทิศทางของต้นเสียงนั้นแทนที่จะขึ้นไปยังตัวบ้านหลังใหญ่

หญิงวัยห้าสิบแปดปีรูปร่างบอบบางค่อย ๆ วางไหมพรมในมือลงบนโต๊ะหินอ่อนตัวกลมข้างเก้าอี้ตัวยาว ถอดแว่นสายตา อัจฉราขยับตัวนั่ง ลูบผมซอยสั้นที่ยุ่งเหยิงจากการนอนให้เข้ารูป เมื่อชายหนุ่มเดินมานั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง

“คุณแม่รู้ได้ยังไงครับว่าผมอารมณ์ดี”

“แม่ได้ยินเสียงภาคย์ฮัมเพลง แล้วนาน ๆ ทีลูกจะกลับบ้านตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตก ว่าแต่วันนี้มีอะไรดี ๆ เล่าให้คนแก่ฟังบ้างหรือเปล่าลูก”

“ครับ วันนี้ผมไปพบคุณลุงที่ร้านอาหารมาครับ”

“คุณชายยอมยกที่ดินร้านอาหารมาสร้างคอนโดมิเนียมแล้วหรือลูก”

คำพูดทีเล่นทีจริงของมารดาทำให้หม่อมหลวงภาคย์ชะงักเล็กน้อย ถึงรู้มานานแล้วว่าทั้งบิดามารดาต้องการนำที่ดินผืนนั้นมาปรับปรุงทำประโยชน์แก่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตน แต่เขาไม่เห็นด้วยกับความต้องการของท่าน เรื่องบางเรื่องกับของบางอย่างก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลงแต่ต้องอนุรักษ์ รักษาคุณค่าไว้เช่นเดียวกับคุณค่าของหัวใจบ้าง

“เปล่าครับ ผมนึกว่าคุณแม่เลิกอยากได้ที่ดินตรงนั้นแล้วนะครับ”

“ใครจะเลิก ที่ตรงนั้นราคายิ่งกว่าทองคำ ตารางวาละตั้งสองล้าน แล้ววังเก่านั่นก็โทรมจะแย่ ร้านอาหารก็เชย ไม่รู้คุณชายจะเก็บไว้ทำไม ที่ดินตั้งสี่ไร่ เอาไปทำคอนโดขายได้เงินมาซื้อบ้านใหม่ใหญ่กว่าเดิมตั้งเยอะ”

กี่ครั้งแล้วที่เขาได้แต่รับฟังแล้วส่ายศีรษะ “ว่าแต่คุณแม่กินข้าวมื้อเย็นหรือยังครับ” ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ แล้วตกลงลูกชายแม่อารมณ์ดีเรื่องอะไร”

“ก็พอจะมีเรื่องดี ๆ ครับ” เขาตอบ ยังไม่อยากพูดถึงความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มต้น

“ผู้หญิงหรือเปล่า” คนเป็นแม่หยั่งเชิง รอยยิ้มบนใบหน้าอัจฉราคล้ายคลึงกับชายหนุ่ม ต่างเพียงดวงตากลมเล็กชั้นเดียวอย่างผู้มีเชื้อสายจีนที่แตกต่างจากบุตรชาย

“ครับ” เขายอมรับ

“ใช่ลูกสาวของเพื่อนคุณชายกับคุณพ่อหรือเปล่า ได้ยินว่าลูกชวนเธอให้มาทำงานที่ร้านอาหารคุณชาย”

“คุณแม่ก็รู้เยอะเหมือนกันนะครับ” ชายหนุ่มแซว ด้วยรู้จักนิสัยใจคอของมารดาเป็นอย่างดี แม้ภายนอกท่านจะดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี ยอมรับฟังความคิดเห็น แต่จริงแล้วท่านเป็นพวกชอบความสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างต้องอยู่ในการควบคุม ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กน้อย

“ก็พอได้ยินมาจากสายข่าว” ท่านยักไหล่เล็กน้อยเป็นการยอมรับ

“แล้วคุณแม่อยากพบเธอไหมครับ”

“ก็ได้นะ แม่เคยพบพ่อแม่ของแม่หนูคนนี้เมื่อเดือนก่อน เห็นว่าทางครอบครัวนั้นมีที่ดินตั้งหลายพันไร่ ในเมืองเชียงใหม่เชียงรายใช่ไหม ถ้าได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแม่ก็ไม่ขัดข้องนะ”

“คุณแม่ก็คิดอย่างนี้ตลอด ทำไมไม่คิดว่าการที่ผมจะเลือกชอบใคร เป็นเพราะเรื่องของหัวใจล้วน ๆ บ้างครับ”

“เพราะความรักมันกินไม่ได้ไงภาคย์” อัจฉราตอบเสียงเย็น สายตาทอดยาวไปยังสระว่ายน้ำเหมือนมีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ “เห็นพ่อกับแม่ไหมลูก เราสองคนแต่งงานกันเพราะความเหมาะสม ทำให้ธุรกิจทั้งทางบ้านแม่และคุณพ่อยิ่งเจริญรุ่งเรือง แค่คุณพ่อมีที่ดินทำเลงามสองสามแปลงก็ไม่ทำให้เราร่ำรวยขนาดนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะคุณตาของลูกให้เงินเรามาลงทุนสร้างอสังหาริมทรัพย์ จนเดี๋ยวนี้บริษัทเรามีมูลค่าในตลาดหุ้นหลายพันล้าน แล้วลูกชายคนเดียวของแม่จะไม่แต่งงานได้ยังไง เราต้องมีทายาทนะลูก”

แค่คิดตามมารดาภาคย์ก็ปวดศีรษะ บางทีสาหตุที่เขาไม่นึกอยากแต่งงานคงเพราะได้เห็นความสัมพันธ์ของบิดามารดา ทั้งสองแต่งงานกันตั้งแต่มารดาอายุเพียงยี่สิบสาม และบิดา หม่อมราชวงศ์ภัทรพลอายุเพียงยี่สิบหก ชายหนุ่มเคยเปิดภาพถ่ายในอัลบั้มงานแต่งงานของท่าน ทั้งยิ่งใหญ่อลังการเท่าที่จะเป็นไปได้ในยุคนั้น เพียงแต่เท่าที่จำความได้ บิดามารดาก็แยกห้องนอนกันมาโดยตลอด แม้สังคมภายนอกจะเห็นว่าทั้งคู่เคียงข้างกันมายาวนาน แต่เขารู้ดีเสมอว่าชีวิตคู่ของทั้งสองไม่เคยราบรื่นสงบสุข

                “ผมรักคุณแม่นะครับ ส่วนหลานของคุณแม่จะมาเมื่อไหร่แล้วค่อยว่ากันนะครับ ถ้ามีเด็ก ๆ วิ่งเต็มบ้านคุณแม่อาจจะกลุ้มยิ่งกว่าเดิม” ชายหนุ่มตอบติดตลก เขามักปลอบโยนมารดาด้วยมุกขำขันเสมอ เขากอดเอวมารดา อิงศีรษะบนไหล่บอบบาง “เข้าบ้านพร้อมผมไหมครับ”

                “จ้ะ แม่ก็รักลูก” อัจฉราหัวเราะในลำคอ ลูบศีรษะบุตรชาย “เดี๋ยวแม่นั่งเล่นอีกหน่อย ลูกเข้าบ้านเถอะ”

                ชายหนุ่มวัยสามสิบสี่อมยิ้ม หอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ แล้วจึงปลีกตัวขึ้นไปยังห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ปีกซ้ายทั้งหมดบนชั้นสองของคฤหาสน์ ชายหนุ่มเปิดห้องกว้างที่ตกแต่งด้วยโทนสีครีมและสีน้ำตาลจากเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยไม้ รวมทั้งพื้นไม้ขัดมันเงาที่ทำให้ทุกย่างที่สัมผัสเย็นสบาย ไฟและเครื่องปรับอากาศถูกเปิดกระจายความสว่าง และความเย็นไปทั้งห้องย่อย ๆ ที่ถูกแบ่งเป็นห้องทำงาน ห้องแต่งตัว และห้องนอนไว้อย่างเป็นสัดส่วน เขาผ่านประตูห้องแต่งตัวและห้องน้ำเข้าไปยังห้องนอนซึ่งอยู่ด้านในสุด ก่อนทิ้งตัวลงนอนขวางบนเตียงขนาดหกฟุตอย่างผ่อนคลาย

                 หรือเขาควรเล่าเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ให้ภัทรียาได้รับรู้?

                แต่ถ้าเธอคิดว่าเขาเข้าไปวุ่นวายกับเธอเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจล่ะ?

                “ไม่ดีหรอกมั้ง” ชายหนุ่มให้คำตอบตัวเอง เพราะเขาเองก็ไม่เคยมองหญิงสาวในแง่มุมนั้น

                ภัทรียาทำให้เขาประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ใบหน้าสวยอมเศร้า แต่มีแววตาของความสดใสและความหวัง แม้เธอต้องพบกับความพ่ายแพ้ทั้งเรื่องงานและเรื่องหัวใจในคราวเดียวกัน แต่มิได้อ่อนแอฟูมฟายจนเกินเหตุ เธอลุกขึ้นต่อสู้เพื่อตนเองได้ ถึงตอนนี้ยิ่งได้ใกล้ชิด ทุกครั้งที่เธอยิ้ม ทุกครั้งที่เธอต่อปากต่อคำ แก้มเธอจะแดงระเรื่อ นั่นก็ทำให้โลกทั้งใบของเขาสว่างไสวได้อย่างง่ายดาย ไม่รวมกับฝีมือทำขนมที่ถูกอกถูกใจเขาเป็นพิเศษ ที่ให้ถือว่าเป็นกำไรก็แล้วกัน

                ยิ่งได้ลิ้มรสหวานที่ยังคงติดอยู่บนริมฝีปาก...หัวใจคนมีความสุขยิ่งพองโต

                “โกรธอยู่ไหมนะ” คิดดังนั้นคนชอบกลั่นแกล้งจึงหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากดข้อความ

อยากให้คนน่ารักได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่จุมพิตหวาน แต่ทำอย่างอื่นได้หวานไม่แพ้กัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น