3

ฝันร้ายที่ไม่อาจลืม


หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบชีคหนุ่มก็ก้าวยาวๆ จากไปโดยไม่สนใจฟังสิ่งที่เธอพูดอีกเลย ภัครติได้แต่เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ทำไมเขาทำราวกับเธอเป็นเด็กมัธยมปลาย ทั้งที่เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกไม่กี่วันเธอก็จะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ แล้วทำไมคนรอบตัวถึงได้ชอบยัดเยียดความเป็นเด็กให้เธอนักนะ! 

ตูม!

เสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมกับที่ร่างสูงทรุดฮวบลงกองกับพื้น สะเก็ดระเบิดบางส่วนกระเด็นถูกใบหน้าซีกขวาและตามลำตัวของฮัยฟาอ์ เลือดสีแดงชาดไหลอาบลงมายังลำคอและแผงอกกว้าง เขาหันไปหาทารีฟ น้องชายซึ่งโดนสะเก็ดระเบิดตามเนื้อตัวเช่นกันด้วยความเป็นห่วง

ระเบิดถูกจุดขึ้นโดยบิดา หมายสังหารศัตรูให้สิ้นซาก ทว่าระเบิดกลับทำอันตรายแก่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เลยแม้เพียงปลายเล็บ ซ้ำร้ายกลับทำร้ายพวกเดียวกันเองจนได้รับบาดเจ็บล้มตาย เขารู้สึกได้ว่าทารีฟพยายามจะพยุงเขาลุกขึ้น แต่เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ น้องชายจึงพยุงเขาที่จวนเจียนจะหมดสติให้ลุกขึ้นได้อย่างทุลักทุเล

‘ท่านพ่อช่วยกันพยุงพี่ฮัยฟาอ์คนละข้างสิครับ’

‘เรื่องอะไร เชิญพวกแกหอบหิ้วกันไปเองเถอะ ฉันจะหนีไปจากที่นี่’ นาฟาซัสรอดพ้นจากระเบิดที่ตัวเองโยนออกไปได้อย่างหวุดหวิด เขาชักสีหน้าหงุดหงิดแล้วหันหลังเตรียมจะหนี ไม่แยแสบุตรชายทั้งสองเลยสักนิด เวลานี้เขาต้องการเอาชีวิตรอดมากกว่าสิ่งใดๆ ทั้งหมด

‘ทำไมท่านพ่อถึงได้ใจดำนัก ทำอย่างกับพวกเราไม่ใช่ลูก สัตว์เดรัจฉานมันยังรักลูกของมัน ท่านพ่อยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า ทั้งๆ ที่พี่ฮัยฟาอ์เอาตัวรับกระสุนแทนท่านพ่อแท้ๆ’ ทารีฟกราดเกรี้ยวด้วยความแค้น แผลของพี่ชายสาหัสนัก ทั้งแผลจากกระสุนปืนที่ชีคอินติซาร์หมายจะยิงบิดา แต่พี่ชายกลับเอาตัวเข้าไปรับแทน แล้วยังแผลจากสะเก็ดระเบิดที่ดูเหมือนพี่ชายจะได้รับมันมากกว่าคนอื่นๆ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เกรงว่าอาจไม่รอดชีวิต

‘ถุย! ไอ้พวกโง่! ก็เพราะพวกแกไม่ใช่ลูกของฉันน่ะสิ ไหนๆ ก็จะตายกันอยู่แล้ว ฉันจะบอกให้พวกแกหายโง่ ฉันเป็นหมัน พวกแกทั้งสี่คนไม่มีใครเป็นลูกของฉันทั้งนั้น พวกแกเป็นเด็กที่ฉันขโมยมา ฉันเกลียดพวกเลือดผสม ไม่ใช่อาหรับแท้เหมือนกับฉัน พวกที่มีแม่เป็นอีผมทองหรือไม่ก็พวกต่างศาสนาแต่ดันได้ดีกว่าฉัน ฉันรับไม่ได้’ นาฟาซัสหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับเสียสติ

ฮัยฟาอ์ได้ยินทุกอย่างชัดเจน หัวใจของเขาปวดแปลบ เมื่อคนที่เขาเรียกว่าพ่อมาโดยตลอดแท้จริงแล้วเป็นเพียงคนเลวที่เห็นแก่ตัว

‘สารเลว!’

‘ใช่! คนอย่างฉันมันสารเลว ฉันขโมยพวกแกทุกคนมาจากพ่อแม่ที่แท้จริง สะใจฉิบหายที่ได้ใช้งานพวกลูกชีค ลูกเศรษฐี สอนให้พวกมันเป็นโจร เป็นขี้ข้ารองมือรองตีนกู’

เจ้าของร่างหนากระสับกระส่ายไปมา แขนปัดป่ายไปทั่วจนคริสตัลรูปสิงโตบริเวณหัวเตียงหล่นลงแตกกระจายเกลื่อนพื้น เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มใบหน้า ก่อนที่เขาจะลืมตาโพลงแล้วหยัดกายลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

“บ้าฉิบ! ฝันอีกแล้ว”

ชีคฮัยฟาอ์ยกมือหนาขึ้นลูบใบหน้าแรงๆ ราวกับจะปลุกปลอบตนเองให้คลายอาการเครียดอันเกิดจากฝันร้าย

การเดินทางเสี่ยงตายเพราะความโลภของบิดาทำให้ผู้คนมากมายล้มตายจากความยากลำบากในการเดินทาง แล้วก็พบว่าในถ้ำไม่มีทอง แต่กลับเป็นกับดักของชีคอินติซาร์ หลานชายแท้ๆ ของนาฟาซัส ซึ่งบัดนี้ชีคอินติซาร์ได้กลายเป็นน้องเขยของเขาเรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่ค่อยชอบหน้านัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อน้องสาวรักผู้ชายคนนั้น เขาก็ทำได้เพียงยินดีที่บาลาซานมีความสุข

จุดจบของนาฟาซัสคือการกระโดดลงหุบเหวเพื่อปลิดชีวิต เศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ต้องตายอย่างน่าอนาถ เพียงเพราะความริษยา จงเกลียดจงชังผู้ที่มีสายเลือดผสม มิใช่อาหรับแท้ ความเกลียดสั่งสมจนกลายเป็นความเลวระยำถึงขนาดพรากเด็กจากอกผู้ให้กำเนิด นำมาเลี้ยงดูให้เป็นโจร กดขี่ข่มเหงทำร้ายจิตใจเรื่อยมา

เขาควรดีใจที่ไม่ต้องเรียกคนเลวทรามอย่างนาฟาซัสว่าพ่ออีกต่อไป แต่เหตุใดเขากลับฝันร้ายถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ ทั้งที่เวลาผ่านมานับสิบปี

เขาและน้องๆ ต่างออกตามหาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง เขาเป็นคนหนึ่งที่หวังว่าครอบครัวที่แท้จริงจะอ้าแขนต้อนรับเขาด้วยความเต็มใจ ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น ทันทีที่เขาไปปรากฏตัวขึ้นที่คฤหาสน์วาจดาห์ เพื่อบอกกับสุลต่านเชอร์กีว่าเขาคือบุตรชายที่หายสาบสูญ ทว่าผู้เป็นบิดากลับเพียงแค่จ้องมองใบหน้าเขา ก่อนจะเดินออกไปจากห้องรับแขกโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

โอซาฟาร์ น้องชายต่างมารดาเดินตามบิดาเข้าไปเพื่อเกลี้ยกล่อมให้สุลต่านเชอร์กีออกมาพบและพูดคุยกับเขา

เขายินดีที่จะตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันสายสัมพันธ์ และพร้อมจะให้คำมั่นว่าการมาปรากฏตัวของเขาไม่ได้ต้องการมาเรียกร้องสมบัติ หรือแม้แต่ตำแหน่งทายาทสุลต่านผู้ปกครองประเทศเตอร์ฮานเลยแม้แต่น้อย

‘ท่านพ่อไม่ยอมออกมาครับ ท่านไม่อยากพบหน้าท่านพี่’

‘ทำไม’ เขาจำได้ชัดว่าเสียงของเขาช่างแหบแห้งและอ่อนแรง เหมือนคนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุ โหยหาโอเอซิสเพื่อประทังชีวิต รอนแรมอ้างว้างเดียวดายโดยปราศจากครอบครัวร่วมเดินทาง แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบกับโอเอซิสล้ำค่า แต่กลับพบว่ามันเป็นเพียงแค่...

มิราจ! ภาพลวงตาที่ไม่มีจริง

‘ท่านพ่อบอกว่าเพราะท่านพี่หายไป ท่านแม่ถึงได้ตรอมใจตาย ท่านเลยไม่ต้องการเห็นหน้าพี่ ท่านยังพูดอีกว่า...’ โอซาฟาร์มีสีหน้าลำบากใจที่จะพูดออกไป

‘พูดออกมาเถอะ’ ชีคหนุ่มขบกรามเข้าหากันเป็นสันนูน

‘ท่านพ่อบอกว่าลูกชายคนโตของท่านได้ตายจากใจท่านไปนานแล้วครับ’

ชีคฮัยฟาอ์ปัดความทรงจำเลวร้ายทิ้งราวไม่ยี่หระ บอกตนเองว่าเขาไม่สนใจ ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตโดยไม่มีครอบครัว นับจากนี้เขาก็จะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเช่นเดิมตราบจนกว่าแผ่นดินจะกลบหน้า ทว่าเหตุการณ์ทั้งสองครั้งกลับสร้างบาดแผลเหวอะหวะที่หัวใจ สาหัสจนยากเกินจะเยียวยา

“หึ! ฮัยฟาอ์...แกมันน่าสมเพชสิ้นดี”

ชายหนุ่มเหยียดยิ้มอย่างดูแคลนโชคชะตาของตนเอง ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่หน้ากระจก

ใบหน้าซีกขวาปราศจากแผ่นหนังปกปิด แผ่นอก ท้อง ต้นขา และแขนมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากระเบิด ไม่ว่าจะมองมุมไหนเขาก็เป็นได้แค่อสูรร้ายที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัว

 

“ออกแรงขัดให้มากกว่านี้อีก ไอ้พวกเครื่องทองเหลืองแบบนี้ต้องขัดให้ขึ้นเงา คราบดำๆ ต้องเอาออกให้หมด อย่าให้เหลือ เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจค่ะป้า” ภัครติรับคำด้วยเสียงอ่อนแรง เหลือบตามองถ้วยชามทองเหลืองที่วางกองสูงท่วมหัวด้วยความท้อแท้ใจ เธอขัดมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนตอนนี้สิบโมงกว่าแล้ว แต่เครื่องทองเหลืองยังถูกยกมากองเรื่อยๆ โดยไม่มีวี่แววว่าจะลดน้อยลงเลย

“เข้าใจก็รีบเร่งมือเร็วเข้า ป้ามีงานอื่นให้เราช่วยทำอีกเยอะ” สั่งเสร็จก็ก้าวยาวๆ กลับเข้าไปในครัว เพราะต้องจัดเตรียมตั้งโต๊ะอาหารเที่ยงให้ประมุขของคฤหาสน์

จังหวะนั้นบอดีการ์ดอาเหม็ดเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำส้มเย็นจัด ชายหน้าโหดหนวดเครารุงรังไม่ต่างจากโจรยื่นแก้วน้ำส่งให้หญิงสาว

ภัครติเงยหน้าขึ้นสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเขาทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเขาดูเหมือนโจรเสียเองมากกว่าจะเป็นบอดีการ์ด

“อะไรหรือคะพี่อาเหม็ด”

“พี่เห็นหนูภัคขัดเครื่องทองเหลืองมาตั้งแต่เช้า เลยเอาน้ำมาให้ครับ” บอดีการ์ดหนุ่มเรียกภัครติว่า ‘หนูภัค’ ตามที่จันทร์เพ็ญเรียก ส่วนภัครติก็เรียกเขาว่าพี่เพราะเขาอายุมากกว่าเธอนับสิบปี

“อ๋อ” ภัครติรับแก้วมาถือไว้แล้วยกขึ้นดื่มด้วยความกระหาย เพียงชั่วพริบตาเดียวน้ำส้มก็หมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว หญิงสาวยิ้มกว้างให้ชายหน้าโหดแต่ใจดี “ขอบคุณมากนะคะพี่อาเหม็ด”

อาเหม็ดเก้อเขินเล็กน้อย เขาพยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “เราเป็นคนของท่านชีคเหมือนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือดูแลกัน หนูภัคเพิ่งมาอยู่ใหม่ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกพี่ได้เลยนะครับ” อาเหม็ดเสนอตัว นั่นเพราะเขาตกหลุมรักหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มสดใสตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า เขาได้รับมอบหมายให้ไปรับเธอที่สนามบินแทนคนขับรถที่ไม่ว่างเพราะต้องไปทำธุระที่รัฐรามานให้ชีคฮัยฟาอ์ และนั่นทำให้หัวใจของคนตัวโตอย่างเขาหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ขอบคุณมากค่ะ ภัคคงได้พึ่งพาพี่อาเหม็ดบ่อยๆ ถ้ายังไงฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อย

“ด้วยความยินดีและความเต็มใจครับ” อาเหม็ดยิ้มตอบจนตาหยี ยิ่งมองใบหน้าสวยหวานของหญิงสาว หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรง เขาไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน เขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่านี่คงเป็นชะตาฟ้าลิขิต ขีดเส้นให้เขาและเธอได้มาพบกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธออาศัยอยู่อีกฝั่งฟ้า เมื่อพรหมลิขิตชักพา เขาก็ตั้งใจว่าจะต้องเดินหน้าจีบเธอให้ถึงที่สุด

“ถ้าขาดเหลืออะไรหรืออยากไปซื้อของ บอกพี่ได้เลยนะครับ เดี๋ยวพี่พาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า”

“จริงเหรอคะ!” หญิงสาวตาวาว แค่ได้ยินว่าจะออกไปข้างนอกเธอก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ไม่รู้ว่าป้าจะพาเธอไปเที่ยวหมู่บ้านเจมินเมื่อไร แต่ถ้าได้ออกไปเดินเที่ยวห้างคงทำให้หายเบื่อได้บ้าง

“จริงสิครับ อยากไปเมื่อไหร่บอกพี่ได้เลย”

“ขอบคุณค่ะพี่อาเหม็ด”

บอดีการ์ดอาเหม็ดจ้องมองหญิงสาวอย่างหลงใหล แม้ยามนี้จะมอมแมมเพราะมีคราบฝุ่นดำๆ จากการขัดถ้วยชามทองเหลืองติดตามใบหน้า แต่ก็มิอาจบดบังความน่ารักสดใสของเธอได้เลย

“หน้าภัคมีอะไรติดอยู่เหรอคะ” หญิงสาวนิ่วหน้าก่อนจะใช้นิ้วจับใบหน้าตัวเอง และนั่นยิ่งทำให้ใบหน้าของเธอเปื้อนมากกว่าเดิม

อาเหม็ดยื่นมือมาหมายจะช่วยเช็ดให้ ทว่าเสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลังทำให้เขาต้องชะงัก

“นายมาอยู่ที่นี่นี่เอง ฉันตามหาเสียให้ทั่ว”

“ท่านชีคมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ” บอดีการ์ดอาเหม็ดรีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเก้อเขิน เมื่อถูกเจ้านายจับได้ว่าแอบอู้งานมาจีบสาว

“ไปบอกท่านผู้ใหญ่บ้านเจมินว่าเย็นนี้ฉันจะเข้าไปคุยธุระด้วย”

“ได้ครับ” บอดีการ์ดหนุ่มรับคำอย่างงงๆ ก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไปจากคฤหาสน์ทันที

ชีคฮัยฟาอ์แค่เพียงเหลือบตามองร่างเล็กมอมแมมที่นั่งอยู่ท่ามกลางเครื่องทองเหลืองสูงท่วมหัว ก่อนจะเดินผ่านไปราวกับไม่ได้สนใจหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจเลยสักนิด...ไม่เลย!

อย่าบอกนะว่าอาเหม็ดคิดจะจีบนังหนูคนนี้ อะไรกัน เด็กนั่นน่าจะอายุสิบหก หรือไม่ก็คงแค่สิบเจ็ดปีเห็นจะได้ เร็วเกินไปที่จะมีคนรัก เขาจึงต้องเข้ามาขัดขวางโดยอ้างเรื่องผู้ใหญ่บ้าน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเพิ่งพูดคุยธุระกับผู้ใหญ่บ้านทางโทรศัพท์ไปเมื่อสักครู่นี้เอง ซึ่งเขามั่นใจว่าการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

นังหนูคนนี้ยังเด็กเกินกว่าจะริอ่านมีคนรัก

“ท่านชีคตาดุ๊ดุ” หญิงสาวย่นคอห่อไหล่ก่อนจะบ่นงึมงำ ไม่เข้าใจว่าทำไมชีคฮัยฟาอ์ถึงได้มองตนด้วยสายตาไม่พอใจเช่นนั้น “หรือว่าท่านชีคคิดว่าเราอู้งาน ตายแล้ว! แบบนี้ต้องรีบขัดให้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นถ้าท่านชีคไปต่อว่าป้า ป้าคงตามมาด่าเราจนหูชา” เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาขัด ขัด ขัด และขัดอย่างขะมักเขม้น

 

ผ่านไปหลายชั่วโมง หญิงสาวบิดตัวด้วยความเมื่อยล้า มองเครื่องทองเหลืองที่ถูกขัดจนเหลืองอร่ามชวนมองด้วยความภูมิใจ เธอลุกขึ้นยืน แต่กลับทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นเพราะนั่งนานจนเป็นเหน็บ หลังจากร้องโอดโอยบีบนวดขาจนลุกขึ้นยืนไหว ท้องเจ้ากรรมก็ส่งเสียงร้องประท้วง

“หิวจัง” เธอลูบท้องไปมาหมายจะเดินไปหาจันทร์เพ็ญในครัว ทว่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกลับวิ่งผ่านหน้าเธอไปอย่างรวดเร็ว ดึงความสนใจของหญิงสาวจนลืมเรื่องหิวไปชั่วขณะ

“แมวเหมียว!” หญิงสาวร้องเรียกแมวน้อยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ด้วยไม่เคยเห็นแมวลักษณะเช่นนี้มาก่อน ลูกแมวตัวเล็กสีเหมือนเม็ดทราย ขาหน้ามีขีดสีน้ำตาลเข้มสองขีด ปราดเปรียวและว่องไว เร็วเท่าความคิด ภัครติวิ่งตามลูกแมวน้อยไปทันที เมื่อเห็นมันหยุดนิ่งและยกเท้าหลังขึ้นเกาใบหู เธอก็ค่อยๆ ย่องหมายจะจับมาอุ้ม แต่ดูเหมือนแมวน้อยจะรู้ทันจึงวิ่งหนีหายไปอีก

“ไวนักนะเจ้าเหมียว” เธอวิ่งตามแมวเหมียวไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่ามันพาเธอเข้าไปในสวนต้องห้ามด้านหลังคฤหาสน์ สวนที่เธอเคยแอบเข้ามาครั้งหนึ่งเพื่อฟังเสียงดีดลูต สวนที่จันทร์เพ็ญย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามเข้าไปเล่นซนอีกเป็นอันขาด

แมวน้อยกระโดดหายเข้าไปในพุ่มไม้ แน่นอนว่าหญิงสาวไม่ปล่อยให้แมวน้อยรอดพ้นเงื้อมมือ เธอกระโจนเข้าไปในพุ่มไม้ทันที เมื่อร่างบางโผล่พ้นพุ่มไม้เธอจึงเพิ่งตระหนักว่าอีกฝั่งคือเนินดินต่างระดับ หญิงสาวหวีดร้องด้วยความตกใจก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ลงมาราวกับลูกขนุน ภาพสนามหญ้ากับท้องฟ้าสีครามสลับกันไปมาจนตาลายด้วยความวิงเวียน เหลือบไปเห็นต้นไม้สูงใหญ่เบื้องล่างทางหางตา เดาได้เลยว่ามันจะช่วยให้เธอหยุดกลิ้งเสียที

“ว้าย!”

หญิงสาวตกใจจนหน้าซีดเผือดเมื่อร่างของตนกลิ้งมาเกยอยู่บนร่างสูงใหญ่ที่นอนเอกเขนกอยู่ใต้ต้นไม้ เธออยากจะรีบลุกออกจากเจ้าของร่างหนา แต่ก็วิงเวียนจนพยุงตัวเองลุกขึ้นไม่ได้

“กลิ้งลงมาแบบนั้นสนุกนักหรือ” ชีคฮัยฟาอ์เอ่ยถามพลางจ้องมองหญิงสาวไปทั่วทั้งตัวอย่างสำรวจ เมื่อเห็นว่าตามเนื้อตัวไม่มีบาดแผลก็แอบเบาใจ เพราะดูจากท่ากลิ้งลงมาเมื่อครู่แล้ว หากไม่ใช่ลิงทโมนอย่างแม่สาวน้อยนางนี้ เห็นทีคงแข้งขาหักไปเสียแล้ว

“เหมือนจะสนุกค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงอ่อย ยิ้มแหยอย่างสำนึกผิด แหงนหน้ามองใบหน้ามีบาดแผลอัปลักษณ์ปราศจากแผ่นหนังสีดำปกปิด ที่สวนแห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามอาจเพราะชีคหนุ่มไม่ต้องการใส่แผ่นหนังปิดบังใบหน้าที่มีบาดแผลก็เป็นได้

“เอ่อ...ท่านชีคคะ”

ชีคหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง มองคนตัวเล็กที่ยังคงนอนอยู่บนลำตัวของเขาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลุก และเขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะไล่ให้เธอลุกเช่นกัน

“หนูลุกไม่ไหวคะ” หญิงสาวยิ้มแหยจนตาเล็กหยี

“แล้วฉันจะช่วยเธอได้ยังไง ในเมื่อเธอทับฉันอยู่แบบนี้”

“นั่นสิคะ” หญิงสาวหัวเราะเก้อ ก่อนจะพยายามเท้าแขนลงบนพื้นหญ้าเพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้น แต่แข้งขากลับอ่อนแรงลงอย่างน่าตกใจ เธอจึงฟุบใบหน้ากระแทกลงบนแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชีคหนุ่มอีกครั้ง และนั่นทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบกระโจนออกมานอกอก

“ว้าย!”

หญิงสาวหวีดร้องด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ ชีคฮัยฟาอ์ก็จับเธอพลิกแนบไปกับพื้นหญ้า โดยที่เจ้าของร่างหนาเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายทาบทับบนร่างบอบบางของเธอเสียเอง

ใบหน้าของเธอซีดเผือด เมื่อครู่คิดว่าหัวใจเต้นแรงแล้ว แต่เทียบเท่าตอนนี้ไม่ได้เลย เพิ่งสำเหนียกว่าตนเองนั้นเป็นผู้หญิง อีกฝ่ายแม้จะอายุมากกว่าและเป็นเจ้านายของป้า แต่ยังไงก็เป็นผู้ชาย อีกทั้งยังเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างเหลือล้น เสน่ห์ที่ทำให้เธอใจสั่นแทบจับจังหวะไม่ได้

แล้วการที่เขาคร่อมทับเธอไว้เช่นนี้ เขาก็คงคิดจะรวบหัวรวบหางรังแกขืนใจเธอ จากนั้นก็คงให้เธอเป็นเมียทาส ไม่สิ อาจจะให้เธอเป็นนางในฮาเร็มคอยบำบัดความใคร่ยามที่เขาต้องการ เมื่อคิดเช่นนั้นใบหน้าหวานก็ซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว ถ้าจะขัดขืนต่อสู้เห็นทีว่าคงไม่มีวันชนะ ในเมื่อชีคฮัยฟาอ์ตัวโตกว่าเธอมาก อีกทั้งร่างกายยังเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนออกกำลังกาย แค่แขนข้างเดียวก็คงอุ้มเธอจนตัวลอยได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

เห็นทีว่าไม้แข็งคงไม่เหมาะ เธอต้องอ้อนวอนให้เขาสงสารจนปล่อยเธอไป คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงอ้าปากหมายจะเอื้อนเอ่ยคำขอร้อง แต่กลับต้องงุนงงเมื่อชีคหนุ่มผละออกจากเรือนร่างของเธอ แล้วใช้สองมือฉุดเธอให้ลุกขึ้นยืน

“เป็นยังไงบ้าง ยืนไหวหรือยัง”

ภัครติรู้สึกเหมือนโดนหมัดหนักๆ เสยเข้าที่ปลายคาง นี่เธอคิดบ้าอะไรเนี่ย! เธอเป็นแค่หลานสาวของแม่ครัว เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้อย่างผู้อาศัย ทำงานไม่ต่างจากสาวใช้เพื่อแลกที่พักและอาหาร คิดเหรอว่าคนที่เพียบพร้อมด้วยอำนาจและเงินตราอย่างเขาจะจับเธอเข้าฮาเร็ม

“เอ่อ...ดีขึ้นแล้วค่ะ” หญิงสาวก้มหน้างุดเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำให้พ้นจากดวงตาคมของชายหนุ่ม

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ทีหลังอย่ากลิ้งลงมาแบบนั้นอีกรู้มั้ย” ชีคหนุ่มยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความทโมนของหญิงสาว ยายหนูนี่คงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าเริ่มโตเป็นสาวจนมีเพศตรงข้ามมาติดพัน ถึงยังได้เล่นเป็นเด็กๆ เช่นนี้

“ค่ะ”

ชีคหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่เห็นว่าหญิงสาวเขินอายจนใบหน้าแดงจัด ลามมาถึงใบหูที่แดงระเรื่อน่าสัมผัส เขาคิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยประคองให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนได้ ซึ่งดูเหมือนว่าวิธีที่เลือกใช้จะได้ผลไม่ตรงตามจุดประสงค์เท่าไร อีกทั้งยังทำให้เขาเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ดีที่จิตสำนึกคอยย้ำเตือนซ้ำๆ ว่า

นั่นเด็กอายุไม่ถึงสิบแปดปี ยังเป็นผู้เยาว์อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงสะกดกลั้นความต้องการที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างชะงัด

เมี้ยว!

เสียงแมวเหมียวร้องอ้อนช่วยให้บรรยากาศชวนอึดอัดพังทลายลงในพริบตา ดวงตาของหญิงสาววาววับเมื่อเห็นแมวน้อยพันแข้งพันขาชีคหนุ่มอย่างออดอ้อน

“แมวของท่านชีคเหรอคะ”

“จะว่าของฉันก็ไม่เชิง” เขาตอบพลางอุ้มลูกแมวมาไว้แนบอก แล้วลูบลงบนหัวของมันอย่างแผ่วเบา

“ยังไงเหรอคะ หนูไม่เข้าใจ”

“เจ้าตัวนี้เป็นแมวทะเลทราย แม่ของมันน่าจะถูกพวกลักลอบค้าสัตว์ป่าจับตัวไปพร้อมกับพี่ๆ น้องๆ ของมัน แต่เจ้าตัวนี้โชคดี ไม่โดนจับไปด้วย แต่ก็โชคร้ายเพราะต้องอยู่ตัวเดียวท่ามกลางทะเลทราย ฉันเลยเก็บมันมาเลี้ยง รอให้มันโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้จึงจะนำมันกลับไปปล่อยในทะเลทรายเหมือนเดิม”

“น่าสงสารจังเลยค่ะ แล้วถ้าพามันไปปล่อยในทะเลทราย มันจะไม่ถูกพวกคนใจร้ายจับไปอีกเหรอคะ”

“เรื่องนั้นทางรัฐบาลของทุกประเทศกำลังเพิ่มมาตรการจับกุมผู้ฝ่าฝืนอย่างเข้มงวด แต่สัตว์ป่าอย่างไรก็คือสัตว์ป่า ไม่ควรนำมาเลี้ยงหรือมีไว้ในครอบครอง ยิ่งเจ้าแมวทะเลทรายเป็นสัตว์ป่าหายาก มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ภายใต้อุณหภูมิต่ำสุดถึงลบห้าองศาเซลเซียส และสูงสุดที่อุณหภูมิห้าสิบสององศาเซลเซียส มีชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้โดยปราศจากน้ำถึงหนึ่งเดือน เธอดูหูของมันสิ” ชีคหนุ่มชี้ให้หญิงสาวมองหูของเจ้าแมวน้อย ภัครติจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ ชีคหนุ่มอย่างลืมตัว

เจ้าของดวงตาคมเหลือบมองใบหน้าหวานของหญิงสาว ขนตาของเธอยาวงอนเป็นแพสวย จมูกเชิดรั้นอย่างดื้อดึง ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเป็นกระจับน่าบดขยี้ด้วยริมฝีปากกระด้างของเขาเสียเหลือเกิน อีกทั้งผิวของเธอขาวผ่องอมชมพูเมื่อต้องอยู่ในภูมิประเทศที่มีอากาศร้อนตลอดทั้งปี ถ้าเธอโตกว่านี้อีกสักนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น! เขารับรองเลยว่าเขาจะไม่อดทนอย่างที่พยายามทำอยู่ในเวลานี้อย่างแน่นอน

“หูของมันทำไมเหรอคะท่านชีค” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามเมื่อเห็นว่าชีคหนุ่มเงียบไป และนั่นทำให้ใบหน้าของเธอและเขาห่างกันแค่เพียงคืบ แต่ดูเหมือนภัครติจะอยากรู้เรื่องของเจ้าแมวน้อยจนไม่ได้สนใจเลยว่าเธอกับเขาใกล้ชิดกันมากขนาดไหน คงมีแต่ผู้ชายตัวโตที่พยายามหักห้ามใจอย่างถึงที่สุด

“หูของมันช่วยระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี แล้วที่เท้าของมันก็มีขนยาวเพื่อช่วยให้เดินวิ่งบนทรายได้อย่างรวดเร็ว”

“มันดูเป็นสัตว์ที่ปรับตัวได้ดี แล้วทำไมมันถึงจะสูญพันธุ์ล่ะคะท่านชีค”

“เพราะมันเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวต่อโรคต่างๆ หากมีสิ่งมารบกวนหรือสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากเดิมก็เสี่ยงที่มันจะเสียชีวิตได้อย่างง่ายดาย”

“น่าสงสารจัง” หญิงสาวยื่นมือไปเกาคางเจ้าแมวทะเลทราย ก่อนจะเอ่ยถามชีคหนุ่มด้วยน้ำเสียงสดใส “ว่าแต่เจ้าแมวตัวนี้ชื่ออะไรหรือคะท่านชีค”

“มันจำเป็นต้องมีชื่อด้วยงั้นเหรอ” ชีคหนุ่มย้อนถามด้วยความงุนงง ในเมื่อเขานำมันมาเลี้ยงไม่นานก็จะส่งมันกลับคืนสู่ทะเลทราย ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตั้งชื่อให้ยุ่งยาก

“มันน่าจะมีชื่อนะคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด “ให้มันชื่อ ‘ชีส’ ดีมั้ยคะ”

“ไม่เห็นจะเพราะตรงไหนเลย”

“ชื่อไม่เพราะก็จริง แต่ชื่อนี้จะทำให้เรายิ้มได้นะคะ”

“ยิ้มยังไง”

“ถ้าไม่เชื่อท่านชีคก็ลองเรียกชื่อมันดูสิคะ”

“ชีส...”

ภัครติเบิกตากว้างเมื่อเห็นรอยยิ้มของชีคฮัยฟาอ์จากการออกเสียงคำว่า ‘ชีส’ ให้ตายเถอะ เขาเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มกระชากใจมาก เธอนึกย้อนไปถึงคำพูดของผู้เป็นป้าที่เล่าให้เธอฟังว่าก่อนที่ชีคฮัยฟาอ์จะมีบาดแผลอัปลักษณ์ที่ใบหน้า เขาเป็นผู้ชายอบอุ่น เป็นกันเอง และมีรอยยิ้มสว่างไสวราวกับแสงเช้าของดวงอาทิตย์ คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

“ท่านชีคยิ้มแล้ว” หญิงสาวตบมือด้วยท่าทางลิงโลดใจ

คนตัวโตกลับหุบยิ้มฉับ ไม่คิดเลยว่าจะมาเสียรู้ให้ยายเด็กตัวแสบเข้าจนได้

“เธอกลับออกไปได้แล้ว จำไว้ว่าที่นี่คือสวนต้องห้าม เธอไม่ควรเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” ชีคหนุ่มตีสีหน้าเรียบเฉย เสียงทุ้มห้าวห่างเหินแตกต่างจากเมื่อสักครู่อย่างเห็นได้ชัด

หญิงสาวรับรู้ได้ว่าเขากำลังไม่พอใจ แต่เธอไม่เข้าใจว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมเขาต้องไม่พอใจด้วย

“ท่านชีครู้มั้ยคะว่าถ้าท่านชีคยิ้มแบบเมื่อสักครู่นี้บ่อยๆ เจ้าสาวของท่านชีคจะไม่มีวันเดินหนีท่านชีคไปไหนแน่ๆ” พูดออกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง เธอกล้าดียังไงถึงได้พูดเรื่องส่วนตัวของเขา คนตัวเล็กห่อไหล่ด้วยความกลัว เห็นชัดว่าอสูรร้ายกำลังโกรธจนขบกรามเข้าหากันเป็นสันนูน

“ถ้าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฉันก็ไม่ควรพูด ต่อให้ฉันยิ้มจนปากฉีกถึงใบหูก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานกับฉันหรอก ก็เพราะใบหน้าอัปลักษณ์ของฉันยังไงล่ะ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนได้เห็นก็ต้องหวาดกลัวด้วยกันทั้งนั้น”

“แต่หนูไม่เห็นกลัวเลยนี่คะ และหนูก็เชื่อว่าต้องมีผู้หญิงอีกมากมายที่จะมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกของท่านชีค เห็นเนื้อแท้ที่งดงามภายในจิตใจ ผู้หญิงที่พร้อมจะรักและเข้าใจ...”

“หุบปาก!”

ภัครติสะดุ้งโหยงเมื่อถูกตวาดเสียงดัง หัวใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพิ่งตระหนักว่าเธอกล้าตีฝีปากกับผู้เป็นนาย ถ้าเธอและป้าถูกไล่ออกจากคฤหาสน์คงต้องแย่แน่ๆ

“เธอยังเด็ก เด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามเหมือนเจ้าหญิงเจ้าชายในนิทานที่เธออ่านหรอกนะ เอาไว้เธอโตขึ้นกว่านี้จะเข้าใจ”

“หนูโตแล้วนะคะ หนูไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ปีนี้หนูกำลังจะอายุ...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น