4

ฟาเบียน...เจ้าสาวคนที่สี่


“เราจะหนีไปด้วยกัน ไปในที่ที่ไม่มีใครตามหาเจอ เราจะสร้างครอบครัวของเราสามคน พ่อ แม่ ลูก จะไม่มีใครมาพรากเราสามคนไปจากกันเด็ดขาด คุณจะหนีไปกับผมมั้ย” 

บริเวณหน้าคฤหาสน์ของชีคฮัยฟาอ์สวยงามดังเนรมิตจากการตกแต่งด้วยดอกไฮเดรนเยียสีม่วงอ่อน สีคราม และสีชมพูหวานสลับกันจนละลานตา ราวกับอยู่ในทุ่งดอกไฮเดรนเยียก็ไม่ปาน ริบบิ้นสีขาวและสีเขียวประดับตกแต่งร้อยรัดตามกิ่งไม้ทิ้งตัวสะบัดพลิ้วไปตามสายลมอย่างอ่อนช้อยชวนมอง กระดิ่งสีทองเล็กๆ ถูกผูกติดไว้ที่ปลายกิ่งไม้ ส่งเสียงกังวานผสานไปกับเสียงลมและเสียงเสียดสีของใบไม้ยามเอนล้อลู่ลม

สนามหญ้าทางทิศตะวันออกของคฤหาสน์เต็มไปด้วยกระโจมสีขาวขุ่นขนาดใหญ่หลายสิบหลัง ภายในกระโจมตกแต่งด้วยพรมเปอร์เซียสีแดงเลือดหมู โต๊ะไม้สีมะฮอกกานี และเบาะรองนั่งกับพื้นสีน้ำตาลแก่ กระโจมทั้งหมดรองรับแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวได้ราวๆ หนึ่งร้อยคน ซึ่งแขกที่มาร่วมงานในวันนี้ล้วนมีแต่ญาติมิตรคนสนิทเท่านั้น เพราะจะมีงานฉลองงานมงคลสมรสตามแบบสากลอีกครั้งที่โรงแรม ซึ่งคาดว่าน่าจะมีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากกว่านี้นับพันคนเลยทีเดียว

งานแต่งงานขนาดเล็กเริ่มต้นขึ้นตามกรอบประเพณีของอาหรับโบราณ โดยเริ่มจากบ้านเจ้าบ่าวมีการกินเลี้ยงสังสรรค์กันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ส่วนทางบ้านเจ้าสาวก็จะนำเจ้าสาวไปไว้ในห้องกับญาติและเพื่อนสนิทที่เป็นหญิงสาว อาบน้ำแร่แช่น้ำนม ประทินโฉมเพื่อให้เจ้าสาวสวยและงดงามที่สุด

ในคืนสุดท้ายหรือที่เรียกว่าไลลาต อัล เฮนน่า เจ้าสาวจะสวมชุดปักด้วยดิ้นทอง นั่งบนเบาะเตคียา แล้วนวดน้ำมันหอมทั่วทั้งตัว วาดลวดลายเฮนน่าลงบนหลังมือและเท้า ปกติแล้วพิธีแต่งงานจะจัดขึ้นที่บ้านเจ้าสาว ทว่าชีคฮัยฟาอ์ขอให้จัดที่คฤหาสน์ของเขา ซึ่งทางฝ่ายเจ้าสาวก็ยินดีเป็นอย่างมาก การได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกับชีคฮัยฟาอ์นับว่าเป็นเรื่องดี ด้วยรู้กันลับๆ ว่าแท้จริงแล้วชีคฮัยฟาอ์คือบุตรชายคนโตของสุลต่านเชอร์กี สุไลมาน วาจดาห์ ผู้ปกครองประเทศเตอร์ฮานที่มั่งคั่งไปด้วยทรัพยากรใต้ดินมากมายมหาศาล

แม้จะยังไม่มีการยอมรับหรือแต่งตั้งชีคฮัยฟาอ์เป็นทายาทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่การที่ชาวเมืองเจมินต่างยกย่องให้ชีคฮัยฟาอ์เป็นผู้นำปกครองผืนดินแห่งนี้ ก็นับว่าชายหนุ่มคือผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในคาบสมุทรอาหรับเลยทีเดียว

“ได้ข่าวว่าท่านชีคหน้าตาอัปลักษณ์ เหมือน...” ริมฝีปากสีแดงชาดเม้มเข้าหากันก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นบิดาออกไป “เหมือนอสูรร้ายจริงหรือเปล่าคะคุณพ่อ”

หญิงสาวผิวขาวผุดผาด ผมสีดำสนิทหยักศก ดวงตาคมเข้ม จมูกโด่งเรียวสวย เธอชื่อฟาเบียน เป็นนางแบบแถวหน้าในปารีส เลือดผสมระหว่างฟาอิกสถานกับฝรั่งเศสทำให้หญิงสาวสวยคมเย้ายวน เป็นที่หมายปองของเหล่าหมู่ภมรมากมาย เธอคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ด้วยฐานะร่ำรวยระดับเศรษฐีของบิดาทำให้เธอไม่เคยรู้จักคำว่า ‘ไม่ได้’ แม้เพียงเสี้ยวขณะจิต

“ก็แค่แผลเป็นจะอะไรนักหนา ลูกแต่งงานกับท่านชีคไปสักพักก็ค่อยเกลี้ยกล่อมให้ท่านชีคทำศัลยกรรมสิ จะไปยากอะไร” ยูซุปผู้เป็นบิดาตอบปัดอย่างไม่สนใจนัก มองออกไปนอกรถ ใจจดจ่ออยู่ที่คฤหาสน์หรู วันนี้เขาจะส่งตัวบุตรสาวอันเป็นที่รักให้แก่ชายหนุ่มผู้มีอนาคตไกล ฐานอำนาจของเขาจะมั่นคงและเป็นปึกแผ่นหากได้ลูกเขยที่เก่งกาจจนหาตัวจับได้ยากอย่างชีคฮัยฟาอ์

“คุณพ่อก็พูดได้นี่คะ คุณพ่อไม่ได้เป็นคนนอนกับท่านชีคเหมือนหนู” ฟาเบียนสะบัดเสียงตอบกลับบิดาอย่างไม่ชอบใจนัก

“อย่าให้มันมากนัก ที่ผ่านมาแกยังสร้างเรื่องให้ฉันปวดหัวไม่พออีกหรือไง เด็กในท้องของแกจำเป็นต้องมีพ่อ และพ่อของเด็กในท้องแกก็ต้องเป็นชีคฮัยฟาอ์เท่านั้น จะเป็นไอ้กุ๊ยข้างถนนที่แกใจง่ายไปนอนด้วยไม่ได้!” เศรษฐีเฒ่าตะคอกห้วนอย่างไม่พอใจเท่าใดนัก บุตรสาวคนเดียวของเขาไปเป็นนางแบบ โชว์เนื้อหนังมังสาผิดจารีตประเพณีที่ดีงามของชาวมุสลิม เท่านั้นคงไม่นำความปวดร้าวมาให้เขา หากเธอไม่อุ้มท้องลูกไม่มีพ่อกลับมาที่บ้าน ใครเลยจะคิดว่าบุตรสาวที่น่ารักจะริอ่านพลีกายให้ชายที่ไม่ได้แต่งงานเป็นสามีภรรยา เรื่องนี้จำต้องเก็บเป็นความลับ มิเช่นนั้นรู้ไปถึงไหนคงได้อับอายไปถึงนั่น

ฟาเบียนชะงักเมื่อได้ยินบิดาพูดเช่นนั้น เธอเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ พยายามควบคุมหยาดน้ำตาไม่ให้รินไหล “ชีวิตหนูเป็นของคุณพ่อ คุณพ่ออยากจะพาหนูขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็สุดแล้วแต่ความเมตตา”

เธอตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือข้างซ้ายยกขึ้นกุมท้อง สิ่งมีชีวิตตัวน้อยได้ถือกำเนิดในท้องของเธอถึงสี่สัปดาห์แล้ว บิดาวางแผนเอาไว้ว่าจะให้เธอแต่งงานกับชีคฮัยฟาอ์แล้วบอกกับใครๆ ว่าเปิดปุ๊บติดปั๊บ ตั้งครรภ์ทันทีหลังจากแต่งงานกับชีคฮัยฟาอ์เพียงหนึ่งเดือน ให้ฝากท้องและคลอดกับหมอประจำตระกูลที่ไว้ใจได้เท่านั้น เพื่อที่จะได้โกหกชีคฮัยฟาอ์ว่าเด็กคลอดก่อนกำหนด เพียงเท่านี้ครอบครัวของเธอก็ไม่ต้องพบกับความอับอายที่เธอตั้งท้องโดยปราศจากพ่อของเด็ก

หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ก้มมองหลังมือซึ่งวาดลวดลายเฮนน่าเอาไว้อย่างงดงาม การเก็บตัวเจ้าสาวเจ็ดวันเจ็ดคืนสิ้นสุดลงแล้ว วันเวลาที่เธอหวังอย่างสุดหัวใจว่าเขาคนนั้นจะติดต่อกลับมากำลังจะสิ้นสุดลง หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อสะกดหยาดน้ำตาไม่ให้ไหล ก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างไร้จุดหมาย แตกต่างจากผู้เป็นบิดาที่มองออกไปด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม

ขบวนรถยุโรปหรูนับสิบคันของเจ้าสาวประดับตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีขาวและโบสีทองขนาดใหญ่ แล่นเรียงกันเป็นแถวเข้ามาในคฤหาสน์ เจ้าสาวก้าวลงมาจากรถด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง คาดหวังว่าเจ้าบ่าวคงออกมายืนต้อนรับเธอด้วยตัวเอง ทว่ากลับมีเพียงพ่อบ้านดาริมเท่านั้นที่ยืนยิ้มกว้างรอคอยการมาของเจ้าสาว

ตลอดเวลามีเพียงพ่อบ้านวัยกลางคนที่คอยติดต่อ ดำเนินการเรื่องหมั้นหมาย จนกระทั่งพูดคุยเรื่องพิธีการแต่งงานทั้งหมด น่าขันที่เธอยังไม่มีโอกาสเห็นหน้าเจ้าบ่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว เคยเห็นบ้างจากรูปถ่ายของปาปารัซซีที่แอบถ่ายชีคฮัยฟาอ์เอาไว้ได้ แต่ทุกรูปล้วนมีแผ่นหนังปิดบังใบหน้าเขาเอาไว้ เธอจึงไม่อาจคาดเดาว่าบาดแผลของชีคฮัยฟาอ์จะอัปลักษณ์ขนาดไหน

“เชิญคุณหนูฟาเบียนครับ ท่านชีครอพบคุณหนูอยู่”

ฟาเบียนยิ้มเพียงเล็กน้อย หัวใจฟูขึ้นเมื่อคิดว่าเจ้าบ่าวน่าจะพอมีหัวใจจึงได้รอพบเธอ ก่อนที่จะเข้าพิธีในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ เธอเดินตามพ่อบ้านเข้าไปในคฤหาสน์ สาวใช้ร่วมยี่สิบชีวิตมายืนเข้าแถวเรียงราย โค้งทำความเคารพว่าที่ชีคคาที่จะมาปกครองคฤหาสน์หลังนี้ร่วมกับเจ้านายของตน

“โห! สวยหยาดฟ้าเลย” ภัครติถึงกับอุทานออกมาด้วยความตะลึงเมื่อว่าที่เจ้าสาวเดินผ่านไป

“คนก่อนสวยกว่านี้อีกนะ” อลิชา สาวใช้ที่ยืนข้างกันกระซิบบอกแผ่วเบา

“สวยกว่านี้อีกเหรอคะ”

“ใช่ คนก่อนลูกครึ่งญี่ปุ่น-เตอร์ฮาน สวยเฉี่ยวผิวนี่ชมพูละเอียดเชียวล่ะ”

“โห!” หญิงสาวเบิกตาโตเมื่อได้ฟังเช่นนั้น

“ส่วนคนแรกเป็นสาวผิวน้ำผึ้ง ตัวเล็กบอบบาง ชาวฟาอิกสถานโดยกำเนิด ชื่อว่าไลลาลียา คนนั้นดวงตาคมสวย อายุน้อยแค่เพียงยี่สิบปี”

ภัครติพยักหน้าหงึกๆ ด้วยท่าทางตั้งใจฟัง สาวใช้ซึ่งกำลังเมาท์ติดลมจึงเล่าต่อไปอีกว่า

“คนที่สองเป็นลูกครึ่งเดนมาร์ก-ฟาอิกสถาน ชื่อลินเนีย คนนี้สวยแบบฝรั่ง ยิ้มสวยเหมือนโลกจะหยุดหมุน เจ้าสาวของท่านชีคแต่ละคนล้วนสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครอยู่จนสิ้นสุดพิธีแต่งงานสักคน จะว่าไปแล้วท่านชีคยังไม่เคยได้เข้าหอกับผู้หญิงคนไหนเลย...” สาวใช้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดาได้เลยว่าการแต่งงานครั้งที่สี่ก็คงล้มเหลวลงไม่เป็นท่าอีกเช่นเคย

“ขอให้คนนี้ได้แต่งงานกับท่านชีคทีเถอะ อย่าหนีไปเหมือนคนก่อนๆ เลย” ภัครติยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว หลับตาทำปากขมุบขมิบราวกับกำลังท่องมนตร์อะไรสักอย่าง อันที่จริงถ้าเพียงแต่ชีคฮัยฟาอ์จะพูดคำว่า ‘ชีส’ อย่างที่เธอบอก เลิกทำหน้าบูดบึ้ง ยิ้มให้มาก เจ้าสาวก็คงไม่หนีหายไปไหน แต่นี่กลับทำหน้าบูดบึ้งราวกับกินรังแตนเข้าไปทั้งรัง

ดูเอาเถอะ นับแต่วันนั้นเธอก็ไม่ได้พูดคุยกับชีคฮัยฟาอ์อีกเลย เมื่อมีเหตุให้ต้องเจอผู้เป็นนาย เขาก็จะมองผ่านเธอไปราวกับเธอเป็นอากาศธาตุ เดาได้เลยว่ายังโกรธเรื่องที่เธอกล้าตีฝีปากกับเขาในวันนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ คนที่เพียบพร้อมทุกอย่างแต่ผู้หญิงกลับวิ่งหนีถึงสามคน ไม่รู้ว่าคนที่สี่จะหนีไปอีกคนหรือเปล่า ว่าแล้วฉันละอยากดามใจท่านชีคเสียเหลือเกิน รับรองว่าฉันไม่มีทางหนีแน่ๆ” สาวใช้อีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคลิ้มฝัน อยากเป็นซินเดอเรลลาผู้ต้อยต่ำที่หาญกล้าแต่งงานกับเจ้าชายสูงศักดิ์ ใช้ชีวิตราวกับเจ้าหญิงในคฤหาสน์หรูหราแห่งนี้

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะนังคนช่างฝัน แค่ท่านชีคพูดด้วยหน่อยแกก็กลัวจนตัวสั่นงันงก ลองคิดว่าถ้าถูกท่านชีคกอด จูบ และจ้องมองแกใกล้ๆ แกจะเคลิ้มหรือว่าหวาดผวากันแน่” สาวใช้สูงวัยดับฝันอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วชนิดไม่ไว้หน้า

“สงสัยคงจะผวา ฉันเคยเห็นบาดแผลท่านชีคจากไกลๆ น่ากลัวจะตายไป” สาวใช้ช่างฝันได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่อันที่จริงแล้วความจนนั้นน่ากลัวกว่า ถ้าเธอได้มีโอกาสตกถังข้าวสาร เธอก็มั่นใจว่าเธอพร้อมจะอดทนได้ทุกอย่าง ต่อให้ท่านชีคอ้วน เตี้ย ดำ หัวล้าน เธอก็จะยอมเป็นเมียโดยไม่เกี่ยงงอน แต่นี่ท่านชีคหุ่นแซ่บ สูง ผิวสีแทนคมเข้ม หน้าตาจัดว่าหล่อเหลา เสียแค่เพียงมีรอยแผลเป็นอัปลักษณ์ อีกทั้งใบหน้ายังบูดบึ้งราวกับอสูรร้ายเท่านั้นเอง

ภัครตินิ่งเงียบฟังสาวใช้คนอื่นๆ คุยกันอย่างตั้งใจ แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเธอเล่า...เธอจะเคลิบเคลิ้มไปกับอ้อมกอดของท่านชีคหรือว่าหวาดผวาอย่างที่ใครๆ หวาดกลัว แค่เพียงคิดใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ ในเมื่อเธอเคยตกอยู่ในอ้อมกอดของชีคฮัยฟาอ์ถึงสองครั้ง และทุกครั้งใบหน้าของเขาปราศจากแผ่นหนังปิดบังบาดแผล

เธอไม่เคยรังเกียจเขาเลย ตรงกันข้ามหัวใจกลับเต้นแรงและหวามไหวไปกับอ้อมกอดอบอุ่นของเขาทุกครั้ง...

 

“คุณหนูฟาเบียนมาแล้วครับท่านชีค”

ดาริมเอ่ยขึ้นเมื่อพาตัวเจ้าสาวเข้ามาในห้องทำงานของชีคหนุ่ม ทว่าผู้เป็นนายกลับยังคงเพ่งสายตาไปที่หน้าจอแลปทอป นิ้วเรียวยาวพรมลงบนแป้นพิมพ์ราวกับไม่สนใจการปรากฏตัวของเจ้าสาว ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าจะเป็นคู่ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

“รอสักครู่นะครับคุณหนู ท่านชีคคงกำลังติดพันงานอยู่” ดาริมหันมายิ้มให้แก่หญิงสาวอย่างขอลุแก่โทษแทนเจ้านายหนุ่ม

“ค่ะ” ฟาเบียนตอบรับสั้นๆ เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธไม่พอใจอัดแน่นอยู่เต็มอก ดูเอาเถิด! เขาเห็นเธอเป็นตัวอะไรกัน จึงไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิด จะมีงานอะไรสำคัญไปกว่าเจ้าสาวที่กำลังจะร่วมหอลงโรงด้วยกันอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ เขาทำราวกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ตบเท้าเข้ามาสมัครงานในฐานะเจ้าสาวของเขาเสียอย่างนั้น

บ้าที่สุด!

ถ้าเธอมีหนทางที่ดีกว่านี้ เธอสาบานได้เลยว่าเธอจะไม่ทนยืนอยู่ตรงนี้แม้สักวินาทีเดียว เธอคือคุณหนูฟาเบียน! บิดาเป็นเศรษฐีร่ำรวยมหาศาล ตัวเธอเองก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ดูสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำกับเธอสิ มันน่าเจ็บใจนัก!

จู่ๆ ชีคหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแลปทอป เขาลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าเดินมาหาหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาคมข้างที่ปราศจากแผ่นหนังมองใบหน้างดงามของเธอแค่เพียงอึดใจ ก่อนจะก้มศีรษะลงอย่างสุภาพแล้วยื่นมือออกไปเบื้องหน้าเธอ

ฟาเบียนชะงักไปเพียงนิดก่อนจะยื่นมือออกไปวางบนมือชายหนุ่มอย่างเสียไม่ได้ เมื่อมองใกล้ๆ เช่นนี้ต้องยอมรับเลยว่า ชีคฮัยฟาอ์เป็นผู้ชายที่ดูดีมากเลยทีเดียว ใบหน้า ดวงตา หุ่น และกิริยาท่าทางทำให้ผู้หญิงใจเต้นแรงได้โดยง่าย แต่ภายใต้แผ่นหนังนั่นจะเป็นอย่างไร เธอก็ไม่อาจคาดเดา

“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์อัลซาดัตครับ”

“เอ่อ...ค่ะ”

“ต้องขอโทษด้วยที่ผมเสียมารยาทไม่ได้ออกไปรับคุณ พอดีมีงานด่วนเข้ามา ไม่สามารถให้ใครอื่นตัดสินใจได้นอกจากผม”

“ค่ะ” ฟาเบียนมีท่าทางเก้อเขินและกระดากอย่างเห็นได้ชัด เพราะด่าชายหนุ่มในใจไปเสียตั้งมากมาย ความจริงเขาดูสุภาพ ไม่ได้ป่าเถื่อนอย่างข่าวลือที่เธอเคยได้ยินเลยสักนิด

ดาริมเห็นท่าทางของเจ้านายหนุ่มแล้วก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น เจ้านายโดนผีสิงหรืออย่างไร ถึงได้ดูท่าทางเป็นมิตร ชวนอีกฝ่ายพูดคุย อีกทั้งยังพยายามส่งยิ้มให้ฟาเบียนหลายครั้ง แม้รอยยิ้มนั่นจะดูเฝื่อนฝืนและจืดชืดสิ้นดี ใครกันทำให้ท่านชีคเปลี่ยนไปเช่นนี้

“เรื่องเงื่อนไขต่างๆ คุณคงจะทราบจากดาริมแล้ว”

“ค่ะ ดิฉันทราบและยินยอมทุกอย่าง”

“แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณจะต้องรับรู้ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน”

“ค่ะ ดิฉันพร้อมแล้ว” ฟาเบียนใจเต้นแรง รู้ดีว่าเจ้าสาวทุกคนจะต้องเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นของเขาก่อนที่จะเข้าพิธีแต่งงาน เธอคิดว่าเธออาจ...อาจจะยอมรับได้ เพราะอย่างน้อยเขาก็ดูสุภาพและเอาใจใส่เธอ

“ถ้าเช่นนั้นผมจะถอดแผ่นหนังออก” ชีคหนุ่มไม่พูดเปล่า แต่ถอดแผ่นหนังออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นใบหน้าที่เป็นรอยแผลนูนโปนน่าเกลียด เขาไม่หยุดเพียงแค่นั้น แต่กลับถอดชุดคลุมออก เผยให้เห็นรอยแผลอีกมากมายตามร่างกาย

เจ้าสาวคนที่สี่ถึงกับผงะอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเธอถอดสีจนกลายเป็นซีดขาว แค่คิดว่าต้องร่วมรักหลับนอนกับเขา หัวใจของเธอก็ร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอเคยมีคนรักหลายคนซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่หล่อเหลาไร้ที่ติ แต่ผู้ชายตรงหน้าที่เธอต้องร่วมหลับนอนด้วยกลับมีรอยแผลมากมายราวกับอสูรร้าย

“คุณยอมรับมันได้หรือเปล่า นับจากวันนี้คุณต้องสัมผัสและเห็นมันแทบทุกวัน” ชายหนุ่มถามออกไปด้วยเสียงเรียบขรึม ดวงตาที่จดจ้องหญิงสาวดูน่ากลัวราวกับจะตรงเข้ากระชากวิญญาณของเธอให้หลุดลอย ท่าทางเป็นมิตรเมื่อสักครู่เป็นแค่เพียงภาพมายาที่ชีคหนุ่มพยายามสร้างขึ้นเท่านั้น ใบหน้าคมคร้าม ดวงตาดุ และเสียงห้วนต่างหากคือความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง

เด็กหนอเด็ก คิดอะไรแบบเด็กๆ ‘ชีส’ แค่ยิ้มงั้นเหรอ ดูสิว่ารอยยิ้มของเขาจะทำให้เจ้าสาวยอมแต่งงานกับเขาหรือเปล่า ในเมื่อปฏิกิริยาของฟาเบียนฉายชัดว่ารังเกียจเขาอย่างไม่อาจซ่อนเร้นอาการเอาไว้ได้

“ดะ...ได้ค่ะ” ฟาเบียนกัดฟันตอบออกไปอย่างยากลำบาก แค่อัปลักษณ์แต่ไม่ป่าเถื่อน เธอคงพอทนได้ ไม่สิ เธอต้องทนเพราะเธอไม่มีทางออกอื่นอีกแล้ว ขืนเธอโวยวายไม่ยอมแต่งงานขึ้นมา บิดาคงเอาเธอถึงตายแน่ ถึงอย่างไรเธอต้องหาพ่อให้เด็กในท้อง ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นมนุษย์หรืออสูรก็ตาม!

 

เจ้าสาวลำดับที่สี่เดินตามสาวใช้เข้าไปในห้องพักผ่อนส่วนตัวซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม โต๊ะกระจกขนาดใหญ่พร้อมทั้งเครื่องสำอางราคาแพงวางเรียงรายดารดาษจนละลานตา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเนรมิตหญิงสาวให้สวยราวกับเจ้าหญิง ฟากหนึ่งของผนังห้องติดกระจกเงาบานใหญ่เต็มผนัง เพื่อให้เจ้าสาวได้ชมโฉมตนเองได้อย่างชัดเจน ถัดมาคือชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์แขวนไว้บนราวสูง ทิ้งชายกรุยกรายลากยาวระพื้น

ฟาเบียนเดินไปหยุดมองชุดเจ้าสาวซึ่งสั่งตัดจากแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำระดับโลก มูลค่ากว่าหลายล้านดอลลาร์ ตัวชุดประกอบด้วยผ้าไหมอิตาลีเนื้อเงา ตกแต่งด้วยลูกไม้ฝรั่งเศสและดิ้นทองระยับ อีกทั้งยังปักคริสตัลสวารอฟสกีราคาแพงส่องประกายวาววับ ขับให้ชุดแต่งงานโดดเด่นชวนมอง ที่พื้นมีรองเท้าส้นสูงสั่งตัดพิเศษวางอยู่ ใสคล้ายรองเท้าแก้วในนิทานปรัมปรา

“สวยมากเลยนะคะคุณฟาเบียน” อลิชา สาวใช้ลูกเสี้ยวอินเดียได้รับมอบหมายให้คอยดูแลเจ้าสาวอย่างใกล้ชิด ทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าสาวพอใจมากที่สุด ส่วนหนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสาวหลบหนีไปเช่นครั้งก่อนๆ

“ใช่! สวยมาก!” ฟาเบียนกำมือแน่น อยากจะตรงเข้าตะกุยชุดเจ้าสาวให้ขาดวิ่นลงแทบเท้า ทำไมชีวิตของเธอต้องมาพบเจออะไรเช่นนี้ด้วย เพียงเพราะเธอหลงรักผู้ชายเลวๆ คนหนึ่ง จุดจบจึงต้องทุกข์ทรมานราวกับตกนรกด้วยการแต่งงานโดยปราศจากความรักกับอสูรร้ายเช่นนั้นหรือ

ทำไม เธอถึงกลายเป็นผู้หญิงที่โชคร้ายที่สุด...ทำไม!

หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋าถือก็ส่งเสียงข้อความเข้า คงเป็นข้อความยินดีของเพื่อนสนิทบางคนที่ยังไม่ได้เดินทางมาแสดงความยินดี เพราะงานแต่งในวันนี้เป็นพิธีส่วนตัวเฉพาะในหมู่ญาติและคนสนิท เธอไม่สนใจเสียงข้อความนั้น จนกระทั่งมีเสียงข้อความเข้ามาอีกครั้ง

อะไรบางอย่างสั่งให้เธอเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดข้อความอ่าน

“ผมได้ข่าวว่าคุณกำลังจะแต่งงาน คุณทำแบบนี้ไม่ได้ คุณเป็นเมียของผม!”

หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรง เลือดสูบฉีดทั่วใบหน้า บอกไม่ถูกเช่นกันว่ารู้สึกเช่นไร แต่ที่แน่ๆ เธอดีใจที่เขาติดต่อมาหลังจากหายไปจากชีวิตเธอเกือบสองเดือน

เธอกดอ่านข้อความถัดไปทันที

“ผมรักคุณ เรารักกันไม่ใช่เหรอ...”

ใช่! ฉันรักคุณ รักจนหมดหัวใจของฉัน หญิงสาวกำโทรศัพท์มือถือแน่น หันไปมองสาวใช้ที่ส่งยิ้มกว้างนั่งมองเธอตลอดเวลา เธออยากโทรศัพท์ไปคุยกับแดเนียล อยากตัดพ้อและถามถึงเหตุผลที่เขาทอดทิ้งเธอให้เดียวดาย

“ห้องเหม็นอับมาก”

“เหม็นหรือคะคุณฟาเบียน” อลิชาย่นจมูก ไม่เห็นจะได้กลิ่นเหม็นอับอะไรเลย ในเมื่อห้องนี้ทำความสะอาดอย่างดี อีกทั้งยังจุดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบเอาไว้อีกด้วย

“ฉันไม่ชอบน้ำมันหอมกลิ่นนี้ เอามันออกไปแล้วหาน้ำมันกลิ่น...” ฟาเบียนครุ่นคิดว่าจะใช้น้ำมันหอมกลิ่นไหนดี กลิ่นที่หายากๆ ล่อหลอกให้สาวใช้ออกไปจากห้องนี้ เพื่อที่เธอจะได้โทรศัพท์ไปหาแดเนียล “ฉันอยากได้น้ำมันหอมกลิ่นดอกเหมย”

“อะไรนะคะ! กลิ่นดอกเหมย ที่คฤหาสน์ไม่มีกลิ่นนั้นหรอกค่ะ”

“ไม่มีก็ไปหามาสิ ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องเสนอหน้ากลับมา เข้าใจมั้ย!” ว่าที่เจ้าสาวตวาดลั่นอย่างไม่พอใจ พลางปัดมือไปบนโต๊ะจนข้าวของตกเกลื่อนพื้น

“ค่ะ ดิฉันจะรีบไปหาให้เดี๋ยวนี้” อลิชารีบรับคำก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ว่าที่เจ้าสาวชะเง้อมองจนแน่ใจว่าสาวใช้ออกไปแล้ว จึงรีบก้มหน้าลงกดโทร. หาแดเนียลอย่างร้อนรน ทันทีที่เสียงทุ้มรับสาย หยาดน้ำตาก็ร่วงหล่น เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน แค่เพียงได้ยินเสียงเขา หัวใจของเธอก็แทบหยุดเต้น

“ทำไมคุณถึงทิ้งฉันไป”

“ผมไม่เคยทิ้งคุณ แต่ผมประสบอุบัติเหตุรถชน เพราะต้องพักรักษาตัวเลยขาดการติดต่อกับคุณ แต่พอผมเดินทางกลับไปที่ปารีสกลับได้ข่าวว่าคุณกำลังจะแต่งงานกับเศรษฐี คุณต่างหากที่ทิ้งผม” แดเนียลต่อว่าด้วยเสียงสั่นเครือ ทันทีที่ทราบข่าวเขาก็รีบเดินทางจากปารีสมายังประเทศฟาอิกสถาน เดินทางมาเหมือนคนโง่เง่าทั้งที่ผู้หญิงที่เขารักจนหมดหัวใจกำลังจะแต่งงานกับชายอื่น

“ฉันท้อง! ลูกของเราค่ะ”

“...”

ปลายสายเงียบไปอึดใจจนฟาเบียนใจคอไม่สู้ดี เธอจะมั่นใจในตัวเขาได้อย่างไรว่าเขาจะไม่เป็นผู้ชายรักสนุกที่ไม่ยอมถูกผูกมัดด้วยการมีบุตรกับเธอ หากว่าเขาไม่ยอมรับแล้วทิ้งเธอไป เธอก็คงต้องยอมรับว่าเธอนั้นโง่เองที่หลงรักแดเนียลจนหมดหัวใจ

“โอ้พระเจ้า! ลูกของเรางั้นเหรอ นี่ผมกำลังจะเป็นพ่อคน” แดเนียลเสียงสั่นด้วยความตื้นตันใจ และนั่นทำให้ฟาเบียนผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความผ่อนคลาย

“เพราะฉันท้องฉันจึงถูกคุณพ่อบังคับให้แต่งงานค่ะ ฉันยอมแต่งงานเพราะคิดว่าคุณไม่รักฉันแล้ว ฉันไม่เคยรักท่านชีคฉันรักแต่คุณคนเดียวเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ยกเลิกงานแต่งบ้าๆ นี่ซะ”

“ถ้าฉันทำแบบนั้น คุณพ่อฆ่าฉันแน่” ฟาเบียนมือสั่นหน้าซีด ร้องไห้ออกมาปิ่มว่าจะขาดใจเมื่อรู้ว่าเธอเข้าใจทุกอย่างผิดไปเอง เขายังรักเธอ ไม่ได้มีใครอื่นอย่างที่เธอนึกระแวง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น