5

นางซินเจ้าเสน่ห์


 

คฤหาสน์อัลซาดัตแคบไปถนัดตาเมื่อดาริมสั่งให้บอดีการ์ดอาเหม็ดและลูกน้องอีกนับสิบชีวิตจัดลำดับคิวหญิงสาวให้เข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ มีช่างตัดเสื้อและสาวใช้นับสิบคนคอยยืนวัดสัดส่วนเพื่อคัดกรองหญิงสาวที่แห่กันมาชนิดมืดฟ้ามัวดิน โดยคัดผู้หญิงที่มีสัดส่วนที่คาดว่าจะใส่ชุดเจ้าสาวได้เพื่อแข่งกับเวลาที่มีจำกัด อีกทั้งเพื่อไม่ให้ชุดเจ้าสาวช้ำหรือฉีกขาดจากการทดลองสวมนับร้อยๆ ครั้ง

การคัดกรองเป็นไปอย่างง่ายดาย นั่นเพราะชุดเจ้าสาวนั้นมีขนาดหน้าอกสามสิบห้านิ้ว เอวยี่สิบสามนิ้ว สะโพกสามสิบหกนิ้ว สาวๆ ส่วนใหญ่ที่มีหน้าอกถึงสามสิบห้านิ้วมักมีรอบเอวหนายี่สิบเจ็ดนิ้ว หรือไม่ก็ยี่สิบแปดนิ้ว ซึ่งแน่นอนว่าไม่ผ่านการคัดเลือกให้ลองสวมชุด บางคนโชคดีสัดส่วนผ่าน แต่กลับสวมรองเท้าแก้วไม่ได้ เพราะเท้าของฟาเบียนมีขนาดเล็กกว่าหญิงสาวทั่วไปมาก

“หน้าอกไม่ผ่านค่ะ” ภัครติบอกสาวสวยตรงหน้า ซึ่งเป็นนักแสดงคนหนึ่งของประเทศ เธอเคยเห็นรูปผู้หญิงคนนี้ตามปกนิตยสาร

“จะไม่ผ่านได้ยังไง ลองวัดอีกทีสิ” นักแสดงสาวพยายามแอ่นหน้าอกไปข้างหน้า หวังว่าจะทำให้ตัวเลขสามสิบสี่ขยับเป็นสามสิบห้าอย่างที่เธอต้องการ

“มานี่จ้ะ ฉันเอง” ช่างตัดเสื้อวัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม โดยที่นักแสดงสาวไม่ทันตั้งตัว ช่างตัดเสื้อก็ล้วงมือเข้าไปในบราเซียร์ของอีกฝ่ายแล้วดึงฟองน้ำหนาออกมาโยนกับพื้น ก่อนจะใช้สายวัดวัดรอบหน้าอกอีกครั้ง แล้วอ่านค่าออกไปว่า “สามสิบสองนิ้ว ไม่ผ่านค่ะ!”

นักแสดงสาวโกรธจนหน้าแดงจัด สะบัดหน้าพรืดก่อนจะกระแทกส้นเท้าแรงๆ เดินออกไปจากคฤหาสน์ หนีสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ต่างมองเธอด้วยความสนใจ

“นี่ผ่านมาสองชั่วโมงแล้ว แต่มีสาวๆ ที่มีสัดส่วนใกล้เคียงกับชุดเจ้าสาวไม่ถึงสิบคนที่ได้ลองชุด งานหินกว่าที่คิดเอาไว้ม้ากมาก หุ่นอย่างคุณฟาเบียนน่ะใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ถ้าเปิดรับสมัครสักสามสี่วันก็คงจะพอมีมาบ้างหรอก แต่ข้อจำกัดแค่สี่ชั่วโมงเห็นทีจะยาก เพราะสาวๆ ในหมู่บ้านเจมินและรัฐใกล้เคียงนิยมหุ่นเนื้อ นม ไข่ด้วยกันทั้งนั้น” ช่างแต่งหน้ามืออาชีพซึ่งยืนสังเกตการณ์มาตั้งแต่ต้นถึงกับบ่นออกมาอย่างจนปัญญา

“เห็นทีว่างานนี้คงจะล่มไม่เป็นท่าอีกแน่ๆ” ช่างทำผมผสมโรงทันทีด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอมาที่นี่เป็นครั้งที่สี่แล้ว เจ้าสาวสามคนแรกยังโชคดี เธอมีโอกาสได้แต่งหน้าทำผมให้ก่อนที่พวกหล่อนจะหนีหายไป แต่คนที่สี่นี่ยังไม่ได้เห็นหน้าค่าตาก็มาหนีหายไปเสียแล้ว แบบนี้เธอจะได้รับค่าจ้างหรือเปล่านะ

ภัครติลอบถอนหายใจก่อนจะชะเง้อมองออกไปนอกประตูรั้ว หวังว่าจะมีหญิงสาวคุณสมบัติเพียบพร้อมเข้ามาคัดเลือกแต่ก็ไร้วี่แวว...ที่เหลือตอนนี้ก็มีแต่หญิงชาวบ้าน ซึ่งประเมินจากสายตาแล้วว่าไม่มีใครผ่านการวัดตัวได้เข้าไปลองชุดเจ้าสาวแน่ๆ

“หนูภัคเข้าไปพักผ่อนข้างในคฤหาสน์ก่อนเถอะลูก ตรงนี้คนน้อยลงแล้ว เดี๋ยวป้าจัดการให้เอง” จันทร์เพ็ญเดินเข้ามาแตะแผ่นหลังหลานสาว นึกเป็นห่วงเพราะหลานสาวเพิ่งโดนน้ำร้อนลวก มายืนตากแดดตากลมจะยิ่งระคายผิวจนอาจทำให้ไม่สบาย

“แต่ว่าหนูอยากอยู่ช่วยงานนี่คะ...”

“ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ช่วยงานหรอกนะยายหนู เดี๋ยวพอครบสี่ชั่วโมงป้าจะไปตามหนูมาช่วยเก็บกวาด เพราะงานคงล่มอีกตามเคย” จันทร์เพ็ญพูดพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน จัดงานแต่งแต่ละครั้งแม้จะห่างกันราวๆ สองถึงสามเดือน แต่ก็นับว่าถี่มากในความรู้สึกของเหล่าคนใช้ เพราะต้องทำงานหนัก จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งสถานที่ อาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ต่อให้ต้องเหนื่อยอีกสักกี่ครั้ง พวกเธอก็พร้อมจะเหนื่อย ขอเพียงให้ท่านชีคที่พวกเธอเคารพรักได้แต่งงานกับใครสักคนเสียที ไม่ใช่เป็นเจ้าบ่าวที่ถูกผู้หญิงทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เช่นนี้

            “แต่ว่าหนูอยากรอลุ้นว่าใครจะผ่านเข้าไปลองชุดเจ้าสาวนี่คะ” หญิงสาวยังคงดื้อดึง ไม่ยอมกลับเข้าไปพักผ่อน

            “ถ้าอย่างนั้นหนูเข้าไปเฝ้าในห้องแต่งตัวแล้วกัน นั่งเฝ้าชุดเจ้าสาวเอาไว้ แล้วบอกให้อลิชาที่เฝ้าอยู่ออกมาหาป้า นั่งในนั้นไม่โดนไอร้อนของแดดน่าจะดีกว่า”

            “แบบนั้นก็ได้ค่ะ” 

ภัครติยิ้มกว้าง เธอเห็นชุดเจ้าสาวแค่เพียงแวบเดียวตอนที่เอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ฟาเบียน ถ้าเธอได้ไปนั่งเฝ้าในห้องนั้นเธอก็จะได้เห็นชุดเจ้าสาวใกล้ๆ ได้ลองสัมผัสชุดที่บรรจงตัด ปัก ร้อยรัดอย่างประณีต คิดแล้วก็อดที่จะใจหายไม่ได้ ไม่ว่าท่านชีคจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน เธอมีหน้าที่แค่เพียงยินดีเท่านั้น เพราะเธอเป็นเพียงแค่เด็กกะโปโลที่ไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลย

 

“ท่านชีคจะไม่เปลี่ยนใจแน่เหรอครับ”

“ยังไงวันนี้งานแต่งงานต้องมีขึ้น ฉันคิดว่าคำสั่งของฉันชัดเจนมากพอนะดาริม”

“แต่ว่าตอนนี้เรายังหาเจ้าสาวที่สวมชุดแต่งงานและรองเท้าไม่ได้เลยนะครับ แถมแขกเหรื่อก็มากันเกือบครบหมดแล้ว” ดาริมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน แขกเหรื่อบางคนก็ทั้งผลักทั้งดันบุตรสาวของตนให้มาลองรับการคัดเลือกเป็นเจ้าสาวของชีคฮัยฟาอ์อย่างมีความหวัง บรรยากาศจึงคึกคักราวกับมีงานเลี้ยงสังสรรค์เสียอย่างนั้น

“เหลือเวลาอีกเท่าไหร่งานถึงจะเริ่ม”

“อีกหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นครับท่านชีค”

“รอจนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย” ชีคหนุ่มตอบอย่างดื้อดึง เขาเจ็บช้ำจากการถูกเจ้าสาวทิ้งมามากพอแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงเมตตาส่งเจ้าสาวมาให้เขาสักคนบ้างเชียวหรือ เขาเชื่อเหลือเกินว่าอย่างไรวันนี้เขาก็จะต้องได้แต่งงาน เขาไม่อยากเป็นเจ้าบ่าวที่ถูกเจ้าสาวทิ้งซ้ำๆ ซากๆ ราวกับเขาเป็นเพียงสิ่งปฏิกูลน่ารังเกียจ

“ได้ครับท่านชีค” ดาริมรับคำสั่งด้วยหัวใจหนักอึ้ง ในเมื่อตอนนี้สาวๆ ที่มาทยอยกลับกันไปหมดแล้ว พนักงานทุกคนได้แต่นั่งรอว่าจะมีใครสักคนที่มีคุณสมบัติครบโผล่เข้ามา แต่ก็ไม่มีเลยสักคน

“ขออนุญาตครับท่านชีค คุณยูซุปขอเข้าพบครับ” บอดีการ์ดหน้าห้องเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรายงานอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้านายพยักหน้าเขาก็ถอยกลับออกไปแล้วเปิดประตู ปล่อยให้เศรษฐีผู้มั่งคั่งก้าวเข้ามา

“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องท่านชีคครับ” แม้จะมีวัยสูงกว่า ทว่ายูซุปกลับกลัวเกรงชายหนุ่มรุ่นลูกอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ใช่อำนาจที่ชีคฮัยฟาอ์มี เพราะเขาเองก็มีเช่นกัน ไม่ใช่อำนาจเงิน เพราะเขาเองก็มีไม่น้อยไปกว่ากัน แต่คงเป็นบารมีและท่าทางน่าเกรงขามของชายหนุ่ม ที่ทำให้เขารู้สึกราวกับตัวเองถูกบีบให้ตัวเล็กลงทันทีที่อีกฝ่ายปรายตามองกลับมา

“เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ช่วยยืดวันแต่งงานออกไปก่อนได้มั้ยครับ ผมสัญญาว่าจะตามตัวฟาเบียนกลับมาให้ได้” เศรษฐียูซุปรวบรวมความกล้าขอร้องชีคหนุ่ม แต่แล้วก็ต้องผวาเมื่อเจ้าของสายตาคมกร้าวมองกลับมายังตนอย่างไม่พอใจ

“ลูกสาวของคุณฉีกหน้าผมถึงขนาดนี้ คุณยังกล้าร้องขอโอกาสจากผมอีกงั้นเหรอครับคุณยูซูป” ชีคหนุ่มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าสีหน้า แววตากลับฉายชัดถึงความโกรธ จนอีกฝ่ายถึงกับห่อไหล่ลู่ลงด้วยความกลัวเกรง

“คือผม...” เศรษฐียูซุปอึกอักติดอ่างไปชั่วขณะเมื่อถูกย้อนถามเช่นนั้น

“อันที่จริงแล้วคุณเองก็ควรออกไปจากคฤหาสน์ของผมได้แล้ว ผมไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่คุณจะยังอยู่ที่นี่” ชีคฮัยฟาอ์ยิ้มที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งก็ไม่ปาน

“แต่ว่า...”

“ผมไม่ชอบพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง”

เศรษฐีสูงวัยถอนหายใจอย่างหมดสิ้นหนทาง ก่อนจะก้มหน้ายอมรับความพินาศของตนอย่างไม่อาจต่อรองใดๆ ได้อีก เพราะนังลูกสาวตัวดีแท้ๆ เชียว ความฝันและโครงการมากมายที่เขาหวังกอบโกยจากลูกเขยจึงมลายหายวับไปกับตา เขารับรองเลยว่าจะสั่งสอนฟาเบียนให้จำไปจนตาย!

 

ภัครติไม่รู้ตัวเลยว่าเธอยืนจ้องมองชุดเจ้าสาวที่แขวนอยู่เบื้องหน้านานแค่ไหนแล้ว รู้เพียงแค่ว่ามันช่างเป็นชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่งดงามจนเธอไม่อาจละสายตาได้เลย หญิงสาวค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปสัมผัสผ้าลูกไม้ดิ้นทองอย่างหลงใหล แสงระยิบระยับจากคริสตัลกระทบม่านตาจนพร่ามัว เธอไม่เคยเห็นชุดเจ้าสาวที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน หญิงสาวกะพริบเปลือกตาไปมาก่อนจะผินหน้ามองไปทางอื่น พยายามหักห้ามใจที่จะไม่มองชุดเจ้าสาวอีก เพราะรู้ดีว่าคนอย่างเธอทำได้แค่เพียงมองอยู่ห่างๆ เท่านั้น

ทว่ากลับหันไปเห็นรองเท้าแก้วคู่งามวางอยู่ หัวใจของหญิงสาวแทบหยุดเต้น เพราะความฝันของเธอตั้งแต่วัยเยาว์คือการที่สักวันหนึ่งจะได้สวมรองเท้าแก้วเหมือนซินเดอเรลลา และได้เต้นรำกับเจ้าชายจนถึงเที่ยงคืน ก่อนที่เวทมนตร์ของนางฟ้าแม่ทูนหัวจะมลายไป

ไวกว่าความคิด มือบางเอื้อมไปหยิบรองเท้าแก้วขึ้นมาลูบคลำ ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นอย่างพยายามชั่งใจ เธออยากลองสวมรองเท้าแก้วสักครั้งหนึ่งในชีวิต แค่ลองสวมแป๊บเดียวคงไม่มีใครมาเห็นหรอก หญิงสาวชะเง้อมองไปที่ประตูก่อนจะหยิบรองเท้าไปที่โซฟาตัวยาว ทรุดตัวลงนั่งแล้วบรรจงสวมรองเท้าแก้วอย่างระมัดระวัง

เธอสวมมันได้อย่างพอดิบพอดีราวกับรองเท้าคู่นี้สร้างมาเพื่อเธอกระนั้น!

“ใส่สบายจังเลย” 

หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปรอบๆ ห้อง ยิ้มกว้างเมื่อเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นดังกังวานจับใจ เธอเดินวนไปมาก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ที่ชุดเจ้าสาวอีกครั้ง ความสนุกเข้าครอบงำความนึกคิดจนเธอยื่นมือไปหยิบชุดเจ้าสาวลงมาจากราวแขวน

“ลองใส่เล่นๆ ดูไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง” หญิงสาวหาข้ออ้างเข้าข้างตนเอง แล้วชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นว่าที่เต็นท์วัดสัดส่วนหญิงสาวที่จะเข้ามาลองชุดยังคงว่างเปล่า เธอก็เบาใจได้ว่าอย่างน้อยๆ ภายในสิบนาทีนี้คงไม่มีใครเข้ามาในห้องเพื่อลองชุดแต่งงานเป็นแน่

“ขอลองใส่หน่อยนะจ๊ะชุดแสนสวย” หญิงสาวไม่พูดเปล่า แต่ถอดอะบายะห์สีน้ำตาลอ่อนที่ตนสวมอยู่ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยายามสวมชุดเจ้าสาวอย่างทุลักทุเล เพราะชุดกรุยกรายและค่อนข้างหนัก เนื่องจากปักคริสตัลจำนวนมาก ปกติถ้าจะสวมใส่ต้องมีคนช่วยอย่างน้อยๆ สองคน แต่ในเมื่อเธอแอบลองใส่ เธอจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ

หญิงสาวใช้หลังมือขึ้นปาดเหงื่อก่อนจะมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกบานใหญ่ หัวใจของหญิงสาวราวกับจะหยุดเต้นเมื่อพบว่าเธอสวมใส่ชุดเจ้าสาวได้อย่างพอดีทุกสัดส่วน

“สวยจัง รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงเลย” ภัครติยกสองมือขึ้นกุมแก้ม ไม่คิดฝันว่าจะได้ลองสวมชุดเจ้าสาวฟูฟ่องและรองเท้าแก้วแสนสวย เธอเดินไปรอบๆ ห้องพลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน หญิงสาวลองหมุนตัวไปมาเพื่อให้กระโปรงคลี่ออกกว้างราวกับดอกไม้ผลิบาน

ภัครติค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ยื่นมือขวาขึ้นสูงราวกับกำลังวางอยู่บนไหล่ของเจ้าชาย ส่วนมือซ้ายยื่นออกไปเบื้องหน้าจินตนาการว่าวางลงบนมือหนาของเจ้าชายรูปงาม ก่อนที่เธอจะค่อยๆ เต้นรำไปรอบๆ ห้องอย่างมีความสุข โดยไม่รู้เลยว่าเวลานี้เจ้าชายอสูรได้เดินเข้ามาในห้อง และกำลังจ้องมองเธออยู่

‘มีนางฟ้าหลงเข้ามาในห้องนี้งั้นหรือ’

หัวใจของคนตัวโตถึงกับเต้นผิดจังหวะ ‘สวย’ และ ‘น่าหลงใหล’ คือความรู้สึกแรกที่กระแทกหัวใจของเขาจนล้มคว่ำคะมำหงายไม่เป็นท่า เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเดินเข้าไปหยุดอยู่กึ่งกลางห้องเพื่อพิศมองหญิงสาวในชุดแต่งงานที่กำลังเต้นรำราวนางฟ้าร่ายเวทมนตร์

นี่น่ะหรือยายเด็กกะโปโลคนนั้น

เขาพลาดอะไรไปจึงเข้าใจว่าเธอยังเด็ก ทั้งที่ในตอนนี้เธอเป็นสาวสะพรั่ง น่าหลงใหลเสียยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยรู้จัก

“ว้าย!” หญิงสาวร้องดังด้วยความตกใจเมื่อหมุนตัวปะทะกับอะไรบางอย่าง เธอเกือบจะล้มลง แต่กลับถูกกอดรัดเอาไว้แนบแน่น ดวงตากลมโตเบิกโพลง หัวใจหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นเมื่อพบว่าเธอตกอยู่ในอ้อมกอดของชีคฮัยฟาอ์

ตายแล้ว! ท่านชีคต้องโกรธมากแน่ๆ เลยที่เธอแอบเอาชุดเจ้าสาวมาใส่เล่นแบบนี้

“เอ่อ...หนูขอ...ฮือ”

ราวกับตกจากที่สูง หัวใจหวิวไหวคล้ายจะเป็นลมเมื่อจู่ๆ ชีคฮัยฟาอ์ก็ก้มลงปิดริมฝีปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยคำขอโทษด้วยริมฝีปากหนาหยักได้รูปอย่างรวดเร็วโดยที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว เขากอดกระชับเธอเอาไว้แนบแน่น ริมฝีปากที่เพียงแค่ปิดริมฝีปากของเธอไว้ค่อยขยับช้าๆ บดน้ำหนักลงบนเรียวปากของเธอ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นดันเบาๆ เพื่อให้ริมฝีปากเล็กเผยอออก

ด้วยความตกใจทำให้หญิงสาวต่อต้านด้วยการเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แต่มีหรือที่สาวน้อยไร้เดียงสาอย่างเธอจะรู้เท่าทันสิงห์หนุ่มแห่งทะเลทราย แค่เพียงเขากดบดขยี้แล้วใช้ฟันขบแผ่วเบาที่ริมฝีปากบนสลับกับริมฝีปากล่างอย่างยวนเย้า มือหนาโลมไล้ไปตามแผ่นหลัง เธอก็ตกใจจนเผลอเผยอปากหมายจะร้องห้าม ทว่านั่นกลับทำให้เขาแทรกปลายลิ้นอุ่นเข้าไปควานหาความหอมหวานจากโพรงปากรสกุหลาบได้อย่างง่ายดาย

คล้ายว่าเลือดในกายกำลังแล่นพล่าน หัวใจกระตุกก่อนจะเต้นรัวเร็วเสียยิ่งกว่าเสียงกลอง ตามร่างกายร้อนวูบวาบราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านนับพันโวลต์ แข้งขาอ่อนแรงจนไม่อาจพยุงร่างกายให้ยืนได้เอง เธอปล่อยร่างกายให้แอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา หัวสมองขาวโพลนราวกับสิ้นไร้ความสามารถในการตัดสินใจใดๆ

ทันทีที่ชีคหนุ่มค่อยๆ ถอนริมฝีปากพร้อมกับคลายอ้อมกอดออก เธอก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ใบหน้าแดงก่ำร้อนฉ่า หูอื้อ ตาลาย รู้สึกคล้ายจะเป็นลมเสียให้ได้

“ตายแล้วยายหนู!” 

จังหวะนั้นจันทร์เพ็ญก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับสาวใช้คนอื่นๆ พอดี แล้วก็ต้องอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อเห็นหลานสาวตัวแสบเล่นพิเรนทร์แอบใส่ชุดเจ้าสาวของชีคฮัยฟาอ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่สำคัญหลานสาวของเธอใส่มันได้อย่างพอดิบพอดีเสียด้วย ทั้งชุดเจ้าสาว รองเท้า ช่างเหมาะเจาะไปหมดทุกอย่าง

แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชมความงามของหลานสาว เพราะดูท่าแล้วชีคฮัยฟาอ์คงกำลังไม่พอใจมากแน่ๆ ถึงได้เอาแต่จ้องมองหลานสาวของเธอแทบไม่ยอมกะพริบตาเช่นนั้น ส่วนหลานสาวของเธอก็ลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้น นี่คงจะโดนท่านชีคตำหนิรุนแรงถึงกับต้องลงไปนั่งกับพื้น เพื่อขอโทษและยอมรับผิดในสิ่งที่ทำลงไปสินะ จันทร์เพ็ญคาดเดาเสร็จสรรพก่อนจะปราดเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างๆ หลานสาวที่ยังคงนั่งอึ้งราวกับไม่รับรู้การมาของเธอ

“ดิฉันขอโทษแทนหลานสาวสิ้นคิดด้วยนะคะท่านชีค จะรีบให้ถอดชุดออกเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

“ปีนี้ภัครติอายุเท่าไหร่แล้ว” ชีคหนุ่มเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าหวานแดงระเรื่อแม้แต่น้อย นี่ถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของสาวใช้หลายคนที่เดินใกล้เข้ามาละก็ เขาไม่มีทางปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดเป็นแน่ เขาคงจะจูบเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดื่มด่ำความหอมหวานรัญจวนใจจากริมฝีปากอิ่มที่แสนยั่วยวนนั่นราวกับไม่รู้จักอิ่ม

“คะ...อะไรนะคะ” จันทร์เพ็ญเอ่ยถามด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นชีคหนุ่มยังคงนิ่งเฉย เป็นการแสดงชัดว่าเขาจะเอ่ยถามออกไปแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หญิงวัยกลางคนจึงรีบดึงสติกลับมาแล้วตอบออกไปทันที “พรุ่งนี้ก็อายุครบยี่สิบปีแล้วค่ะท่านชีค”

“งั้นเหรอ” ชีคหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ในขณะที่ตาคมหรี่ลงเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์

เขาคิดมาเสมอว่ายายเด็กกะโปโลที่ชอบเล่นซนไปทั่วเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบหก หรือไม่...มากสุดก็แค่สิบเจ็ดปี เขาพยายามมองข้ามเธอเพราะไม่อยากโดนข้อหาพรากผู้เยาว์ ที่ไหนได้เธอเป็นสาวเต็มตัว อีกทั้งยังเป็นสาวงามที่แสนเย้ายวนใจ

เขาไม่เคยต้องการผู้หญิงคนไหน แต่กลับต้องการสาวใช้กะโปโลตรงหน้าจนแทบควบคุมความต้องการเอาไว้ไม่ได้! ไม่! เขาจะไม่ทนอีกต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องสะกดกลั้นความต้องการด้วยการไปว่ายน้ำเหมือนคนบ้า เขาต้องการหญิงสาวคนนี้ เขาก็ต้องได้เธอมาครอบครอง!

ทันทีที่ชีคหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดโทร. ออก พ่อบ้านดาริม ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมมืออาชีพ สาวใช้กว่าสิบคนก็เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ทุกคนตกใจที่เห็นภัครติสวมชุดเจ้าสาวได้อย่างงดงาม แต่ก็แปลกใจที่หญิงสาวนั่งนิ่งใบหน้าแดงก่ำราวกับจับไข้

ไม่ทันที่พ่อบ้านดาริมจะซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชีคหนุ่มก็ออกคำสั่งด้วยเสียงดังกังวานทันที

“เนรมิตเด็กคนนี้ให้สวยที่สุด” พูดพลางชี้ไปยังภัครติซึ่งบัดนี้ดูเหมือนจะได้สติแล้ว เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตากลมโตใสแจ๋วเต็มไปด้วยความสงสัย

‘ให้ตายเถอะ น่ารักเป็นบ้าเลย’ 

ชีคหนุ่มกัดฟันกรอด แค่เธอมองมาแล้วเอียงคอน้อยๆ หัวใจดวงโตก็กระตุกแรง อยากจะสาวเท้ายาวๆ ไปโอบสาวน้อยขึ้นมากอดแน่นๆ เสียเหลือเกิน แต่จำต้องปัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวสมองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองพ่อบ้านดาริมและช่างแต่งหน้าทำผม

“เด็กคนนี้จะเป็นเจ้าสาวของฉัน!”

“หา!” ทุกคนในห้องส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวตัวต้นเรื่อง ที่บัดนี้เหลือกตาโตราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“เดี๋ยวก่อนค่ะท่านชีค หนูแค่คิดสนุกลองชุดเล่นๆ ไม่ได้มีเจตนาอยากเป็นเจ้าสาวของท่านชีคเลยนะคะ” หญิงสาวรีบแก้ตัวด้วยเสียงสั่นเครือ ทำไมเรื่องราวมันถึงกลับตาลปัตรชวนปวดหัวเช่นนี้ไปได้ เธอรีบลุกขึ้นยืนโดยมีจันทร์เพ็ญประคอง แข้งขายังคงอ่อนแรง แค่ขยับเข้าไปใกล้ๆ เขา หัวใจเจ้ากรรมก็พานคิดไปถึงรสจูบหวามจนทำให้เธอถึงกับควบคุมเสียงเอาไว้ไม่ได้

“เธอสวมชุดเจ้าสาวได้พอดีมิใช่หรือ ภัครติ” เขาย้อนถามเสียงราบเรียบ

“แต่ว่าหนู...”

“แล้วเธอยังสวมรองเท้าได้พอดีอีกด้วย”

“คือหนู...”

“ในเมื่อเธอมีคุณสมบัติครบที่จะเป็นเจ้าสาวของฉัน เธอก็ต้องแต่งงานกับฉัน”

“หนูแค่ลองเอาชุดมาใส่เล่นค่ะท่านชีค” ภัครติทำท่าเหมือนจะร้องไห้ สับสน และงุนงงไปหมดจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“เรื่องนั้นฉันไม่สนใจ ในเมื่อเธอมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่ฉันประกาศ เธอก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เธอทำ ชุดนี้สวมแล้วห้ามถอด...” ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะคิดในใจว่า ‘เว้นเสียแต่ว่าฉันจะเป็นคนถอดให้เธอเอง’

“เดี๋ยวค่ะท่านชีค หนู...”

ชีคหนุ่มเบือนหน้าไปทางอื่นราวกับไม่สนใจคำคัดค้านของหญิงสาว ก่อนจะออกคำสั่งกับทุกคนว่า “ฉันมีเวลาให้แค่สี่สิบห้านาทีเท่านั้น ฉันจะรอที่ลานพิธี” พูดจบชีคหนุ่มก็เดินออกจากห้องแต่งตัวไปด้วยท่าทางขึงขัง ราวกับว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นแค่การแต่งงานตามเงื่อนไขที่เขากำหนด ไม่ได้มีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย

 

         พ่อบ้านดาริมซึ่งยืนสังเกตการณ์เงียบๆ ถึงกลับยิ้มกริ่ม แล้วปลีกตัวออกมาจากห้องแต่งตัว ปล่อยให้นางฟ้าแห่งความงามทั้งหลายร่ายมนตร์แปลงโฉมให้ว่าที่เจ้าสาว ซึ่งตกกระไดพลอยโจนต้องเข้าพิธีวิวาห์เพราะความซนของตนเองแท้ๆ เชียว

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น