2

สาวใช้คนใหม่

 

“หายไปไหนมายายหนู เผลอหน่อยไม่ได้เลย นี่แอบไปเที่ยวเล่นมาอีกแล้วใช่มั้ย หา!”

จันทร์เพ็ญผู้เป็นป้าเอ็ดหลานสาวกำพร้าอย่างขัดใจ แต่ก็ทำได้แค่ดุด่าเสียงดังไปอย่างนั้นเอง ไม่เคยลงไม้ลงมือจริงๆ เสียที เพราะเธอส่งเสียเลี้ยงดูหลานสาวมาตั้งแต่ยังแบเบาะ มารดาของภัครติคือน้องสาวคนเล็กของเธอ เสียชีวิตพร้อมกับสามีด้วยอุบัติเหตุรถโดยสารพลิกคว่ำ ผู้โดยสารและคนขับร่วมสามสิบชีวิตเสียชีวิตคาที่ มีเพียงเด็กหญิงภัครติที่รอดชีวิตมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ดังนั้นเธอจึงเฝ้าเลี้ยงดูหลานตัวน้อยมาด้วยความรักและความสงสาร กอปรกับเธอครองตัวเป็นโสดไม่มีครอบครัว ความรักทั้งหมดของเธอจึงมอบให้สาวน้อยนามภัครติราวกับลูกในไส้

เธอจำต้องเดินทางมาทำงานเป็นแม่ครัวให้ชีคฮัยฟาอ์ นั่นเพราะเงินเดือนที่มากกว่าหลายเท่า ดังนั้นจึงต้องฝากภัครติไว้กับน้องสาวคนกลาง ภัครติเป็นเด็กฉลาด เรียนหนังสือเก่ง ชอบทำกิจกรรม เด็กสาวสมัครเรียนพรีดีกรี ซึ่งเป็นการเรียนแบบสะสมหน่วยกิตล่วงหน้า โดยเธอเก็บหน่วยกิตคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเปิดชื่อดัง ควบกับการเรียนมัธยมปลายไปด้วย ดังนั้นเมื่อเด็กสาวเรียนจบมัธยมปลายจึงเร่งเรียนเก็บหน่วยกิตที่เหลือภายในหนึ่งปี และจบปริญญาตรีตอนแค่อายุสิบเก้าปีเท่านั้น

จันทร์เพ็ญไม่รอช้า รีบสั่งให้ภัครติเดินทางมาอยู่กับตนที่นี่ทันที หวังให้เรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรม และฝึกภาษาท้องถิ่น แล้วจึงจะให้ออกหางานทำที่นี่ ระหว่างนี้ให้เด็กสาวช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในคฤหาสน์ไปก่อน ขืนทิ้งไว้ไกลหูไกลตาก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง เพราะหลานสาวโตเป็นสาวสะพรั่ง นับวันยิ่งสวยสดราวกับดอกไม้แรกแย้ม แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะไม่รู้ตัว เพราะชอบแต่งตัวทโมน ทำตัวเป็นลูกลิงลูกค่าง ต้องคอยบ่นจนปากเปียกปากแฉะ

“เปล่านะคะ หนูไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย เอ่อ...หนูแค่ไปห้องน้ำเองค่ะ นี่ไง หนูกำลังจะกลับมาทำความสะอาดต่อ” หญิงสาวรีบหยิบไม้ปัดขนไก่ขึ้นมาปัดฝุ่น

“ยังจะมาเถียงอีก เราน่ะโตแล้วนะยายหนู อีกไม่กี่วันก็จะอายุยี่สิบปีแล้ว ยังจะมัวห่วงเล่นเป็นเด็กๆ ไปได้...แล้วนี่อะไร” จันทร์เพ็ญหยิบเศษใบไม้ที่ติดผมเปียออกมาแล้วจ้องหน้าหลานสาวเขม็ง เมื่อเห็นหญิงสาวได้แต่ทำหน้าเหยเกอย่างยอมจำนนต่อหลักฐาน เธอก็ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ

“ห้องน้ำอะไรถึงได้มีใบไม้พวกนี้ติดผมมาด้วย บอกป้ามาเดี๋ยวนี้นะว่าไปเล่นซนที่ไหนมา ถ้าไม่บอกละก็ป้าจะหยิกให้เนื้อเขียวเลยเชียว” ไม่พูดเปล่าหญิงวัยกลางคนยื่นมือไปหมายจะหยิก แต่คนอ่อนวัยกว่ากลับกระโดดหลบได้อย่างรวดเร็ว

“อย่านะคะป้า!”

“ถ้าไม่อยากโดนหยิกก็บอกป้ามาเดี๋ยวนี้นะว่าไปที่ไหนมา”

“เอ่อ...ด้านหลังคฤหาสน์ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบออกมาแต่โดยดี

“หลังคฤหาสน์! ตายแล้ว!”

“ใครตายหรือคะ”

“แน่ะ ยังจะมาทะเล้นอีก” จันทร์เพ็ญอดไม่ไหว ตีลงบนต้นแขนหลานสาวด้วยความหมั่นไส้

“อูย...เจ็บ” หญิงสาวลูบแขนป้อยๆ “ว่าแต่หลังคฤหาสน์มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม เมื่อคิดถึงด้านหลังคฤหาสน์ ใจยังเต้นตึกตักไม่หาย ตาคมกร้าวของใครคนนั้นทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบได้อย่างน่าประหลาด

“ป้าลืมบอกไปเลยว่าท่านชีคไม่ชอบให้ใครไปเดินเพ่นพ่านตรงนั้น มันเป็นที่พักผ่อนส่วนตัวของท่าน” จันทร์เพ็ญหน้าเสีย เพราะรู้กันดีว่าชีคฮัยฟาอ์ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้หวงแหนสวนด้านหลังคฤหาสน์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ผู้ที่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้าไปได้จึงมีแต่คนสวน บอดีการ์ดส่วนตัว และพ่อบ้านคนสนิทเท่านั้น

“ท่านชีค...เอ่อ...” ภัครติมีท่าทางอึกอักก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจ “ใช่คนที่มีแผลเป็นที่หน้าหรือเปล่าคะป้า”

“ตายแล้ว! หนูเจอท่านชีคด้วยเหรอ”

“ก็ไม่เชิงเจอหรอกค่ะ” หญิงสาวไม่กล้าเล่าวีรกรรมของเธอทั้งหมด ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องโดนบ่นด้วยเรื่องเดิมๆ ไปอีกหนึ่งเดือนเต็มแน่ๆ เพราะรู้นิสัยผู้เป็นป้าเป็นดี

“ไม่เชิงน่ะมันยังไง อย่ามาเล่นลิ้นนะ” จังหวะที่ภัครติเผลอจันทร์เพ็ญก็หยิกที่ต้นแขนด้วยความหมั่นไส้ในความดื้อของหลานสาวเหลือกำลัง “ถ้าไม่เล่ามาให้หมดแล้วป้ามารู้ทีหลังละก็ หนูจะโดนทำโทษ” ผู้เป็นป้าคาดโทษเสียงเข้ม

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจ ใคร่ครวญดูว่าคุ้มหรือไม่หากบอกความจริงกับป้า ท้ายที่สุดเธอก็เลือกที่จะส่ายหน้า แล้วแสร้งเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียดื้อๆ “ว่าแต่ป้าจะให้หนูเป็นสาวใช้ไปอีกนานแค่ไหนคะ”

“ก็จนกว่าจะพูดภาษาท้องถิ่นได้นั่นแหละ ป้าว่าจะให้ไปสมัครเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่หมู่บ้านเจมิน ที่นั่นเป็นที่ที่สงบและน่าอยู่มากๆ หนูอยู่ไปสักพักต้องหลงรักแน่ๆ แต่จะเรียกหมู่บ้านก็ไม่เชิงหรอกนะ เพราะที่นี่มีขนาดเทียบเท่ากับเมืองขนาดเล็ก มีบ้านเรือนกว่าพันหลังคาเรือน มีประชากรเกือบสี่พันคน แต่ทุกคนก็ยังเรียกที่นี่ว่าหมู่บ้านเจมินกันอย่างติดปาก”

“ว้าว! หนูอยากไปเที่ยวจังเลยค่ะป้า”

“ถ้าทำตัวดีๆ วันหยุดป้าจะพาออกไปเที่ยว”

“เย้!” ภัครติร้องด้วยความดีใจพลางกระโดดโลดเต้นไปมา

จันทร์เพ็ญเห็นท่าทางของหลานสาวก็ได้แต่ยิ้มขันด้วยความเอ็นดู ทว่าบรรยากาศอบอุ่นระหว่างป้าหลานก็มีอันต้องสะดุดลง เมื่อเสียงทุ้มห้วนจากทางด้านหลังดังขึ้น

“เสียงดังอะไรกัน!”

“ท่านชีค” จันทร์เพ็ญหน้าเสียเมื่อเห็นผู้เป็นนาย “ขอโทษค่ะ ดิฉันจะระวังตัวให้มากกว่านี้” หญิงวัยกลางคนรีบเอ่ยขอโทษ ก่อนจะหันไปดึงแขนหลานสาวซึ่งยังคงยืนนิ่งมองผู้เป็นเจ้าของบ้านอย่างไม่รู้ว่าภัยกำลังจะมาเยือน

ทุกคนในคฤหาสน์ต่างก็ยำเกรงจนแทบจะเรียกได้ว่ากลัวชีคฮัยฟาอ์กันทั้งนั้น นั่นเพราะเขาพูดน้อย ยิ้มยาก ชอบทำหน้าตาบูดบึ้ง เมื่อกอปรกับใบหน้าอัปลักษณ์ยิ่งทำให้เขาเหมือนอสูรร้าย

แม้ทุกคนจะรู้ว่าชีคฮัยฟาอ์เป็นคนใจดีมีเมตตา ช่วยเหลือดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ทุกคนจะสำนึกในบุญคุณ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ไม่ว่าท่านชีคจะย่างกรายผ่านไปที่ใด ทุกคนต่างหยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ รีบก้มหน้านิ่ง หลบตา หากเป็นเด็กก็ถึงกับร้องไห้กระจองอแงด้วยความหวาดกลัว เรียกได้ว่าไม่มีใครกล้าจ้องมองใบหน้าของเขา เพราะกลัวว่าจะเห็นรอยแผลเป็นแสนอัปลักษณ์

แต่ดูหลานสาวจอมซนของเธอสิ นอกจากไม่มีท่าทางหวาดกลัวแล้ว ยังกล้าสบตาท่านชีคฮัยฟาอ์อีกด้วย ตาย! ตาย! ตาย! ถ้าท่านชีคเกิดไม่พอใจขึ้นมาจะทำยังไง อายุขนาดเธอใช่ว่าจะหางานใหม่ได้ง่ายๆ เสียด้วย เมื่อคิดดังนั้นจันทร์เพ็ญก็รีบกระซิบบอกหลานสาวทันที

“ยายหนูขอโทษท่านชีคเร็วเข้า”

“ขอโทษทำไมคะป้า เราไม่ได้เสียงดังมากมายอะไรเสียหน่อย”

“ยายหนู!” จันทร์เพ็ญแทบเป็นลมเมื่อได้ยินหลานสาวตอบออกมาเช่นนั้น “ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะท่านชีค หลานสาวของดิฉันยังเด็กนักจึงทำเรื่องเสียมารยาท ดิฉันผิดเองค่ะที่ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนจนกลายเป็นเด็กไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำแบบนี้”

ชีคหนุ่มนิ่งเฉย ดวงตาข้างซ้ายที่ปราศจากแผ่นหนังสีดำปิดบังจ้องมองไปยังหญิงสาวรูปร่างบอบบาง ตัวเล็กอ้อนแอ้น ยายเด็กกะโปโลเป็นหลานสาวของจันทร์เพ็ญนี่เอง หญิงไทยส่วนใหญ่ผิวขาวเหลือง แต่เด็กสาวคนนี้ผิวขาวอมชมพู ดวงตากลมโตมีแววฉลาดซุกซน อีกทั้งกล้าที่จะจ้องมองใบหน้าเขาอย่างไม่หวาดกลัว ผมดำขลับถักเปียสองข้างยาวจดเอว น่าจะเป็นคนสวยหากไม่มีรอยดำเปื้อนใบหน้าจนมอมแมมเช่นนั้น

เห็นผู้หญิงคนนี้แล้วพานทำให้คิดถึงน้องสาวของเขาทั้งสองคน ซึ่งบัดนี้แต่งงานออกเรือนมีความสุขกันไปหมดแล้ว

“แม่หนูคนนี้พูดถูกแล้ว ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ที่ฉันถามไม่ได้จะจับผิด ฉันแค่อยากรู้ว่าเหตุใดจึงเสียงดัง มีเรื่องอะไรน่าสนุกอย่างนั้นหรือ” เขาเลิกคิ้วข้างซ้ายขึ้น ก่อนจะมองท่าทางเหลอหลาของแม่ครัวจันทร์เพ็ญที่ยืนอ้าปากกว้างราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาพูดออกไป

อันที่จริงเขาไม่ค่อยพูดคุยหรือทำความสนิทกับใครแม้แต่คนในคฤหาสน์ ทว่าหญิงสาวตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เธอมองเขาเหมือนมนุษย์เดินดิน ไม่ใช่เจ้าชีวิตหรืออสูรร้ายอย่างที่คนอื่นมอง

“ป้าบอกว่าจะพาหนูไปเที่ยวในหมู่บ้านเจมินค่ะท่านชีค”

“งั้นหรือ น่าสนุกดีนะ” ชีคหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ ไพล่สองแขนไปทางด้านหลัง ดวงตาคมมองหญิงสาวตรงหน้าเนิ่นนาน นานเสียจนภัครติรู้สึกได้ว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ หัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรงแทบกระโจนออกมานอกอก

“ค่ะ” หญิงสาวก้มหน้างุด ความกล้าหาญเมื่อครู่หดหาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอกล้าที่จะมองใบหน้าเจ้าของคฤหาสน์โดยตรง กล้าที่จะมองบาดแผลนั่นโดยไม่หวาดกลัว แต่แล้วทำไม...เธอกลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาพราวระยับข้างนั้น

“หลานสาวชื่ออะไร” เขาเอ่ยถามแม่ครัวจันทร์เพ็ญ ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวไม่วางตา

“ชื่อภัครติค่ะท่านชีค เรียกยายหนูสั้นๆ ว่าภัคก็ได้ค่ะ” จันทร์เพ็ญตอบโดยพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ซึ่งก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน

“เคยได้ยินชื่อคนไทยมาหลายชื่อ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย แปลว่าอะไรเหรอ ภัครติ” คราวนี้ชีคหนุ่มจงใจเอ่ยถามเจ้าของชื่อ

หญิงสาวจำต้องเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพื่อตอบคำถาม “ภัครติ แปลว่า โชคดีในความรักค่ะ”

“งั้นหรือ” ชีคหนุ่มขยับมุมปากคล้ายจะยิ้ม แต่ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น ถ้าหญิงสาวคนนี้เต็มไปด้วยความโชคดีในความรัก เขาคงตรงกันข้ามกับเธออย่างสุดขั้ว เพราะเขาเป็นคนที่โชคร้ายในความรักมาโดยตลอด

ชีคฮัยฟาอ์ค่อยๆ ถอนสายตาจากใบหน้ามอมแมมอย่างยากลำบาก เด็กกะโปโลคนนี้มีอะไรดีถึงได้ตรึงสายตาของเขาให้หยุดนิ่งอยู่ที่เธอได้นานเพียงนี้ หุ่นรึก็ผอมแห้ง ไม่ได้มีส่วนเว้าส่วนโค้งตรึงใจชาย ใบหน้าหมดจดมิได้แต่งแต้มสีสันชวนมองเลยสักนิด ผมที่ควรจัดทรงสวยงามก็กลับยุ่งเหยิง อีกทั้งยังมีเศษใบไม้ติดตามผม บ่งชัดว่าแสนซนไม่น้อยเลย เสื้อผ้าเรียกได้ว่ามอซอแตกต่างจากผู้หญิงที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขาโดยสิ้นเชิง

ชีคหนุ่มบังคับสายตาให้มองไปทางอื่นก่อนจะก้าวยาวๆ เดินผ่านหญิงต่างวัยทั้งสองไป ทำให้ชายโต๊บดิ้นไหมทองไหวลู่ไปตามแรงลม สะบัดพลิ้วสัมผัสแขนของหญิงสาว จังหวะนั้นเธอได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากชีคหนุ่ม ทำให้ภัครติอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนลับสายตา

“โอ๊ย ป้าจะเป็นลม”

“ป้า!” ภัครติปราดเข้าประคองจันทร์เพ็ญอย่างรวดเร็ว ก่อนจะช่วยพยุงไปนั่งพัก กุลีกุจอหายาดมยาหม่องในถุงใบเล็กๆ ที่ผู้เป็นป้ามักหิ้วติดตัวออกมาให้ดมจนอาการดีขึ้น “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะป้า ไปโรงพยาบาลมั้ย”

“นั่งพักนิดเดียวก็หาย” จันทร์เพ็ญหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วพูดแผ่วเบาราวกับรำพันกับตัวเองว่า “เชื่อมั้ย ป้าทำงานที่นี่มาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ป้าได้พูดคุยกับท่านชีคนานที่สุด จำได้ว่าเคยคุยกันล่าสุดก็ตอนท่านชีครับป้าเข้าทำงานนั่นแหละ” จันทร์เพ็ญยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก ใจยังเต้นแรง ทั้งหวาดกลัวและหวั่นเกรงบารมีของชีคฮัยฟาอ์ เธอและคนอื่นๆ ต่างยกย่องและเทิดทูนชีคฮัยฟาอ์เป็นเจ้านายที่ยากจะเข้าถึง

“คนอะไรแปลกจัง อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี แต่แทบไม่คุยกันเลยเนี่ยนะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจ

“ท่านชีคมีโลกส่วนตัวสูง ป้าเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านมากนักหรอก เคยได้ยินพวกสาวใช้เก่าแก่ที่ติดตามมาจากคฤหาสน์เก่าเล่าว่า เมื่อก่อนท่านชีคมีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่านี้มาก เป็นผู้ชายสุภาพ มีความเป็นผู้นำ อบอุ่น และมีรอยยิ้มสว่างไสวราวกับแสงเช้าของดวงอาทิตย์”

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นคนหน้านิ่งราวกับคนไร้ความรู้สึกอย่างนั้นล่ะคะป้า”

“ก็เป็นเพราะแผลเป็นที่ใบหน้านั่นแหละยายหนู เห็นว่าโดนสะเก็ดระเบิดจากท่านนาฟาซัส คนที่ขโมยท่านชีคไปตั้งแต่เด็กๆ”

“อ้าว ท่านชีคถูกขโมยมาเหรอคะ แล้วพ่อแม่ที่แท้จริงของท่านชีคเป็นใครกันล่ะคะ”

“ใช่ ท่านชีคถูกขโมยมาตั้งแต่เด็กๆ เลยแหละ โอ๊ย! เรื่องมันวุ่นวายซับซ้อน ป้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนักหรอก” แม่ครัวมือฉมังเมาท์เรื่องเจ้านายอย่างออกรส อาการหน้ามืดตาลายเมื่อสักครู่จางหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“นี่ขนาดป้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนะคะเนี่ย” หญิงสาวอดสัพยอกผู้เป็นป้าไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามต่อไปว่า “แล้วหลังจากนั้นเป็นไงต่อคะ”

“พอเลย ป้ามีงานต้องทำ หนูเองก็ต้องช่วยป้าทำงานด้วย” จันทร์เพ็ญถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้า ทั้งระอาและเอ็นดูหลานสาวตัวแสบเหลือกำลัง

แม้จะเสียดายที่ไม่ได้ฟังเรื่องราวของชีคฮัยฟาอ์ต่อ แต่เธอก็มั่นใจว่าคนอย่างป้าจันทร์เพ็ญเก็บความลับไม่เคยได้ อีกไม่นานก็คันปากเล่าออกมาเองแน่ๆ “ได้เลยค่ะป้า อยากให้หนูทำอะไรสั่งมาเลยค่ะ หนูพร้อมแล้ว” หญิงสาวถลกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ก่อนจะเหลือบไปเห็นสาวใช้สองคนช่วยกันหอบม้วนผ้าสีทองระยิบระยับเดินผ่านไป

“ที่คฤหาสน์กำลังมีงานอะไรกันเหรอคะ หนูเห็นทุกคนวิ่งวุ่นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“อ้าว! ป้านึกว่าเล่าให้หนูฟังแล้วซะอีก”

ภัครติขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ดูจากการเตรียมงานที่วิ่งวุ่นกันทั้งคฤหาสน์ตั้งแต่เช้าจดค่ำเช่นนี้ น่าจะมีงานเลี้ยงใหญ่ที่เหล่าเศรษฐีมารวมตัวกันก็เป็นได้ หญิงสาวคาดเดาจากประสบการณ์ที่เคยอ่านข่าวสังคมว่า เศรษฐีมักจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ แม้ชีคฮัยฟาอ์ผู้แสนเคร่งขรึมดูไม่น่าจะชอบงานสังสรรค์เลยก็ตาม

“อีกสามวันจะมีงานแต่งงาน”

“แต่งงานหรือคะ!” หญิงสาวเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “ใครจะแต่งงานเหรอคะป้า”

“ก็ท่านชีคน่ะสิ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็นิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ แปลก...ทำไมเธอรู้สึกราวกับว่าหัวใจดวงน้อยๆ ร่วงหล่นไปกองอยู่บนพื้น ความผิดหวังเกาะกุมหัวใจของเธออย่างน่าประหลาด เธอควรยินดีมิใช่หรือที่เจ้านายจะแต่งงานมีครอบครัว ถึงอย่างไรชีคฮัยฟาอ์ก็ถือเป็นผู้มีพระคุณกับเธอโดยตรง เพราะเงินที่ป้าส่งให้เธอเรียนจนจบล้วนเป็นเงินจากชีคฮัยฟาอ์แทบทั้งสิ้น

หญิงสาวเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง พยายามสลัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไปก่อนจะเอ่ยถามต่อราวกับไม่รู้สึกอะไร

“แล้วเจ้าสาวเป็นใครเหรอคะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว”

“อย่าว่าแต่ป้าไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักเลย ท่านชีคเองก็คงไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวเหมือนกัน”

“อ้าว”

“จะอ้าวอีกนานมั้ยยายเด็กคนนี้นี่” จันทร์เพ็ญหัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทางงุนงงเป็นไก่ตาแตกของหลานสาว

“ก็หนูงงนี่คะ คนจะแต่งงานกัน แต่ไม่เคยเห็นหน้ากัน เป็นไปได้ด้วยเหรอคะ”

“อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละยายหนู งานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้นเป็นการแต่งงานครั้งที่สี่ของท่านชีค”

ขณะที่จันทร์เพ็ญเริ่มเล่า ภัครติก็ทำท่าจะร้องอ้าวด้วยความสงสัยขึ้นมาอีก แต่เมื่อเห็นท่าทางของผู้เป็นป้าจึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก กะพริบตาปริบๆ อย่างตั้งใจฟัง

“ท่านชีคอยากมีทายาทมาก เลยให้พ่อบ้านดาริมหาเจ้าสาวมาให้ ผู้หญิงพวกนั้นได้เห็นรูปถ่ายท่านชีคก็ต่างยอมรับได้ และตกลงจะแต่งงานกับท่านชีค โดยท่านชีคมีข้อแม้ว่าเมื่อผู้หญิงเหล่านั้นมีทายาทให้ท่านเมื่อไหร่ ท่านจะคืนอิสรภาพให้พวกเธอด้วยการหย่า และแบ่งทรัพย์สมบัติที่ท่านมีให้ครึ่งหนึ่ง”

“ครึ่งหนึ่งเลยเหรอคะ” ภัครติย้อนถามอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่แล้ว เห็นพ่อบ้านดาริมเล่าว่าท่านชีคไม่อยากเอาเปรียบผู้หญิง ในเมื่อผู้หญิงเหล่านั้นยอมเสียสละอุ้มท้องให้กำเนิดทายาทแก่ท่าน ท่านก็อยากให้พวกเธอได้ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไปตั้งตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้สมกับที่เธอยอมเสียสละเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง”

“การที่คนเป็นแม่โดนพรากลูกไปจากอกคงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจมาก ท่านชีคคงอยากจะเยียวยาเธอด้วยทรัพย์สมบัติมากมายเหล่านั้น” หญิงสาวพยักหน้าทำความเข้าใจ กระนั้นเธอก็ไม่อาจเข้าใจเหตุผลของท่านชีคได้อยู่ดี นั่นเพราะเธอมองว่าผู้เป็นประมุขของคฤหาสน์ทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก หากท่านชีครักและแต่งงานกับใครสักคนก็ไม่จำเป็นต้องมอบทรัพย์สมบัติมากมายให้ผู้หญิงคนไหน แม่ลูกไม่ต้องพรากจากกัน เด็กจะได้อยู่กับพ่อแม่ และเติบโตขึ้นในครอบครัวที่อบอุ่น

ขอเพียงแค่มีความรัก!

ภัครติอดที่จะคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าถ้าเป็นเธอล่ะ ข้อเสนอที่จะทำให้เธอร่ำรวยไปทั้งชาติ แลกกับการยื่นเลือดในอกให้ชีคฮัยฟาอ์ไปตลอดกาล เธอจะยอมรับได้มั้ย...

แค่คิดหยาดน้ำตาก็รื้นขึ้นเกาะขอบตา เธอทำใจไม่ได้ แม้เงินจะทำให้ดำรงชีวิตอยู่บนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ได้อย่างสุขสบายก็จริง แต่เงินซื้อความสุข ความรัก และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่ได้ เธอขออยู่แบบจนๆ กับผู้ชายสักคนที่รักเธอ มีโซ่ทองคล้องใจที่เธอฟูมฟักอุ้มชู เฝ้ามองการเติบโตของเขาตราบจนกว่าเธอจะหมดลมหายใจไปตามกาลเวลาดีกว่า...นี่ต่างหากคือความสุขที่แท้จริง

“ท่านชีคไม่เคยคิดใช้อำนาจเอาเปรียบใคร ทุกคนที่นี่ถึงได้ทั้งรักและเกรงกลัวท่านชีคกันทุกคนไงล่ะ”

“แล้วทำไมถึงต้องแต่งหลายครั้งล่ะคะ หรือว่าเจ้าสาวของท่านชีคแต่ละคนมีทายาทให้ท่านชีคไม่ได้”

“งานแต่งถูกจัดขึ้น แต่ไม่เคยสำเร็จ”

“อ้าว!” ภัครติร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอคนที่จัดงานแต่งงานถึงสามครั้ง แต่งานแต่งกลับล่มกลางคัน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ทำไม...”

“ก็พอเจ้าสาวเห็นใบหน้าท่านชีคตอนถอดแผ่นหนังออก ก็พากันเตลิดหนีไปก่อนจะเริ่มพิธีน่ะสิ ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่พ่อบ้านดาริมหามาให้ก็เป็นลูกหลานเศรษฐี บ้างก็ไฮโซ ดารานางแบบมีชื่อเสียง ผู้หญิงพวกนั้นอยากแต่งกับท่านชีคก็เพราะเงิน แต่พอเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของท่านชีคก็ทำใจยอมรับไม่ได้ เผ่นแน่บทุกราย” แม่ครัวเล่าพลางถอนหายใจ เมื่อหันไปมองคนอ่อนวัยกว่าก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวตาแดงก่ำ หยาดน้ำใสรินรดแก้มอิ่มเป็นสาย

“ตายแล้วยายหนูของป้า ร้องไห้ทำไม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” จันทร์เพ็ญยื่นมือไปลูบหลังลูบแขน พิศมองหลานสาวโดยรอบ ทว่าหญิงสาวกลับปฏิเสธด้วยการส่ายหน้าจนผมเปียทั้งสองข้างแกว่งไปมา

“หนูสงสารท่านชีคค่ะ” หญิงสาวใช้หลังมือเช็ดหยาดน้ำตา

“โถยายหนู” แม่บ้านยื่นมือไปลูบศีรษะหลานสาวด้วยความเอ็นดู

“ท่านชีคคงเสียใจมากเลยนะคะ” แค่คิดว่าผู้ชายคนหนึ่งต้องโดนเจ้าสาวปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วยถึงสามครั้งเพียงเพราะเขามีรอยแผลอัปลักษณ์ มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ต่อให้ท่านชีคตัวโตท่าทางห้าวหาญสักเพียงใด แต่ขึ้นชื่อว่าหัวใจย่อมมีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกดีใจและผิดหวัง เธอเชื่อเหลือเกินว่าท่านชีคคงเสียใจที่ถูกเจ้าสาวทอดทิ้งเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก

“นั่นสินะ ป้าเองก็ไม่เคยคิดว่าท่านชีคจะเสียใจหรือเปล่า เห็นท่านทำหน้านิ่งเรียบเฉยอย่างกับคนไม่มีความรู้สึก แต่ถ้าเป็นป้า ป้าก็คงเสียใจมาก การที่เจ้าสาวหนีไปก่อนเข้าพิธีก็เท่ากับโดนตบหน้าแรงๆ ท่ามกลางฝูงชน คงทั้งเจ็บและอับอาย” จันทร์เพ็ญรู้สึกสะเทือนใจ เธอไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อนเลย ด้วยมองว่าประมุขของเธอนั้นเข้มแข็ง ห้าวหาญ คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ

“แต่ขี้ข้าอย่างเราก็ทำได้แค่สงสารนั่นแหละนังหนู”

หญิงสาวหยุดร้องไห้ ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมประกายตามุ่งมั่นว่า “หนูจะสวดมนต์ทุกคืน อธิษฐานขอพรให้การแต่งงานครั้งที่สี่ของท่านชีคประสบความสำเร็จ หนูอยากเห็นท่านชีคมีความสุขค่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น