7

บทที่ 7

บทที่ ๗


“ซี...เข้ามาตรงนี้จะดีเหรอ นี่มันไม่น่าใช่ส่วนร้านนะ” 

ฟ้ารดารั้งตัวเองไว้เมื่อถูกจูงมือมาถึงโรงจอดรถที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่โซนเดียวกับร้านลิตเติ้ลบี แม้พนักงานในร้านจะช่วยบอกทางและเปิดประตูกั้นให้ เธอก็ยังกังวล แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟัง บอกเพียงว่าว่าไม่เป็นไร 

“พี่ไม่รู้ด้วยแล้วนะ ห้ามก็ไม่ฟังแบบนี้”

“ไม่รู้ก็ไม่รู้ครับ” เจ้าดื้อลอยหน้าลอยตาล้อเลียนเสียงสะบัดของหญิงสาว ก่อนจะนึกได้รีบแก้ตัว “ผมล้อเล่นๆ ไม่มีอะไรหรอก อย่าห่วงเลย ต่อให้อากิระซังจะโกรธ เขาก็ไม่โทษว่าฟางไม่สั่งสอนผมหรอก เพราะเขารู้ว่าผมสอนไม่ได้ รอผมอยู่ตรงนี้นะ”

“ให้พี่อยู่ตรงนี้คนเดียวเหรอ ไม่เอาหรอก” 

ตรงนี้ที่ว่าคือชิงช้าสนามใกล้โรงจอดรถ ถ้ามีรถเลี้ยวมาจอดจะต้องเห็นว่าเธออยู่ตรงนี้

“ซี...พี่ไม่ร่วมเล่นเกมแกล้งกับซีหรอกนะ พี่ไม่ใช่เด็กแล้ว” พูดอย่างนั้นแต่เหมือนจะเน้นว่าไม่ใช่เด็กเหมือนเธอ “ไม่เอา ไม่ร่วมเล่นแบบนี้นะ” 

“ไม่ให้ฟางร่วมหรอกน่า แค่นั่งเฉยๆ นั่งสวยๆ ของฟางไป เดี๋ยวผมมา” เขาทำท่าจะผละไป แต่เพิ่งนึกได้ หันกลับมาชี้หน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าเข้มๆ “แต่ถ้าฟางทำแผนเซอร์ไพรส์ผมพัง...ผมจะเล่นฟาง!” 

ฟ้ารดาไม่แน่ใจนักว่าเป็นคำขู่จริงหรือแค่พูดเล่น แต่สุดท้ายเธอก็ถูกปล่อยให้อยู่ตรงนั้นลำพัง ครู่ต่อมาก็มีขบวนรถแล่นเข้ามาสามคัน คันแรกและคันท้ายเป็นรถเก๋งยุโรปติดฟิล์มดำ คงเป็นรถนำและติดตามรถตู้คันใหญ่ หลังรถทั้งสามจอดสนิท บอดีการ์ดในรถเก๋งก็ตรงไปเปิดประตูรถตู้ฝั่งผู้โดยสาร พร้อมตั้งขบวนอย่างเรียบร้อยและเป็นระเบียบ

พี่รักยม? ฟ้ารดาเห็นสองบอดีการ์ดที่เธอคุ้นหน้า พวกเขาเหมือนจะมองเห็นเธอแล้วเช่นกัน แต่ยังไม่มีใครทำอะไร จังหวะนั้นในรถตู้ฝั่งผู้โดยสารก็มีคนก้าวลงมา คนแรกเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง คนที่ฟ้ารดาเดาได้ทันทีว่าคือ ‘อากิระซัง’ 

นี่น่ะหรือหัวหน้ายากูซ่า ดูน่าเกรงขาม สมกับที่ลูกน้องแสดงท่าทางเคารพยำเกรง แต่ก็ไม่ได้ดูโหดร้ายน่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้ นั่นคือสิ่งที่ฟ้ารดาสัมผัสได้จากการมองอากิระที่ก้าวลงจากรถ และเหมือนจะรอรับคนที่กำลังจะลงรถต่อมา คนที่เขายื่นมือเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ 

“คานะจัง ตื่นได้แล้วค่ะ มา พ่อรอรับอยู่ ผึ้งปล่อยลูกเลย พี่รอรับอยู่” 

ถึงตอนนี้เด็กหญิงตัวน้อยก็ถูกพ่อช้อนตัวอุ้มออกมาจากรถ เด็กน้อยที่เหมือนเพิ่งจะตื่นจึงยังงัวเงีย ขยี้ตา ก่อนจะเข้าไปโอบคอพ่อแล้วซบหน้าอย่างเด็กหญิงขี้อ้อน ในขณะที่คนเป็นพ่อก็ยื่นมือไปให้ภรรยาจับขณะก้าวลงจากรถตามลงมา เป็นภาพพ่อแม่ลูกที่แสนจะน่ารักในสายตาฟ้ารดา ความน่ารักที่ทำให้เธอยิ้มตาม แล้วเหนืออื่นใด เธอก็รู้จักผู้หญิงคนนั้น คนที่เป็นภรรยาหัวหน้ายากูซ่า

“ครูฟาง?” 

ดูเหมือนอีกฝ่ายก็จำเธอได้เช่นกัน รีบเดินเข้ามาหาหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าชิงช้าด้วยสีหน้าและแววตาดีใจระคนประหลาดใจ โดยมีสายตาทุกคนมองตาม เด็กหญิงตัวน้อยที่เริ่มตื่นเต็มตาบอกให้พ่อปล่อยลงพื้น เพื่อที่เธอจะได้วิ่งไปหาแม่ตามประสาเด็กชอบพบปะผู้คน 

“อะไรคะลูก”

“แม่บีอุ้มหนูหน่อย” เด็กหญิงจะเรียกนารียาว่าแม่บีบ้าง แม่ผึ้งบ้างตามพ่อ “อุ้มหน่อยค่ะ อุ้มคานะหน่อย”

“โอเคค่ะ อุ้มก็อุ้ม แต่เดี๋ยวคุณแม่ไปทักครูฟางก่อนนะคะ” นารียาอุ้มตัวลูกน้อยขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ฟ้ารดาเดินมาหาเธอถึงตัว 

“ใช่คุณผึ้งจริงๆ ด้วย ไม่คิดว่าโลกจะกลมขนาดนี้” 

คำพูดนั้นทำให้นารียาเลิกคิ้ว “อย่าบอกนะคะว่า ครูฟางคือพี่ฟางของน้องซี” 

ไม่ใช่แค่ฟ้ารดาเท่านั้นที่ได้ยินคำถาม อากิระที่เดินตามเข้ามาก็ได้ยิน และทันทีที่นารียารู้ตัวว่าเผลอหลุดปาก หญิงสาวก็หันไปหาสามี เห็นแววตานิ่งๆ นั้นก็ต้องยิ้มเก้อๆ กลับไป ยังไม่นับคู่หูรักยมที่เหมือนจะรู้ชะตากรรม ขยับถอยออกห่างเท้านายที่ขยับเบาๆ ตามสัญชาตญาณในเชิงข่มขู่จะเอาความ

“ขอโทษครับนาย” ทั้งสองโค้งตัวลงแทบจะเก้าสิบองศา ก่อนที่โทคิโอะจะรีบอธิบายทั้งที่ยังโค้งตัวค้างกันอยู่อย่างนั้นอย่างสำนึกในความผิด “ซาคาอิซังบังคับพวกผม ขู่ว่า...”

“อยู่ไหน” 

อากิระถามขึ้นก่อนที่โทคิโอะจะพูดจบ เขามองไปรอบตัวอย่างค่อนข้างระแวง สองบอดีการ์ดส่ายหน้าเหมือนจะช่วยมองหา แต่ก็ยังมองไม่เห็น หัวหน้ายากูซ่าจึงตวัดสายตามาทางฟ้ารดาซึ่งเป็นคนเดียวที่น่าจะตอบได้ เพราะถ้าเธอมากับเจ้าวายร้ายนั่นจริงก็น่าจะรู้ 

“ซาคาอิอยู่ไหน...ครับ”

‘ครับ’ สุดท้ายมาหลังจากที่เหลือบมองไปทางภรรยาที่ทำหน้าดุ เพราะใช้น้ำเสียงถามฟ้ารดาค่อนข้างห้วนและแทบจะเป็นตวาด แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ตอบ คนที่ถูกถามหาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมแก้วน้ำดื่มในมือที่กำลังถูกดูดจนใกล้หมด มีเสียงดังครืด...เรียกสายตาทุกคนให้หันไปมอง

“อา...ชื่นใจจัง หมดซะแล้ว สงสัยต้องกลับไปเติมเพิ่ม” เขาพึมพำกับตัวเองขณะยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นส่องระดับสายตา ค้างอยู่อย่างนั้น “เอ๊ะ?” 

แก้วใหญ่พอจะบังสายตาของอากิระไม่ให้เห็นหน้าเจ้าเด็กตัวแสบที่ทำเหมือนยังคงมองไม่เห็นเขา กระทั่งเจ้าตัวแสบแกล้งทำเป็นเอียงคอหลบแก้วที่ยังยกค้าง อย่างต้องการกวนคนที่เพิ่งรู้ตัวแล้วว่าพลาด คนที่แม้จะทำเป็นขรึมอยู่ได้ แต่ก็เผลอขยับออกอย่างลืมตัวเมื่อเจ้าดื้อยิ้มกว้าง 

“อากิระซัง! มาแล้วเหรอ คิดถึงจางงงง”  

ในขณะที่คนหนึ่งวิ่งเข้าหาอ้าแขนกว้าง ทำหน้าดีอกดีใจเสียนักหนา คนอีกคนหลับหันหน้าหนี ทำท่าจะจ้ำอ้าวให้พ้นจากจุดนี้ แต่ดูช้าไปเมื่อคนแรกเข้าถึงตัว กระโจนขึ้นขี่หลังร้องเย้อย่างดีใจ 

“จับได้แล้ว หนีผมไม่พ้นหรอก มาให้กอดหน่อย ทักทายกับเจ้าซีหน่อย”

ภาพตรงหน้าคือภาพผู้ชายตัวใหญ่สองคนขี่หลังกัน คนโดนขี่แสดงสีหน้าหัวเสีย ในขณะที่อีกคนก็ดีดเหมือนไปโดนยาสักตัวมา คราแรกนั้นฟ้ารดาค่อนข้างตกใจในสิ่งที่น้องชายทำ มันเป็นสิ่งที่กนธีทำเสมอเวลาเจอพ่อ วิ่งเข้าหากระโดดเกาะหลัง ร้องเย้ๆ ดีใจ แล้วคล้องคอหอมแก้มพ่อ

ทว่าเวลานี้คนที่เขากระโดดเกาะหลังไม่ใช่พ่อ แต่เป็นหัวหน้ายากูซ่าที่มีภาพลักษณ์น่าเกรงขาม ลูกน้องแต่ละคนหน้าตาโหดๆ ยืนจังก้าอยู่ 

หวังว่าจะไม่ไปหอมแก้มอย่างที่เคยทำหรอกนะ

ตายแล้ว! หอมจริงๆ ด้วย! ตายแน่เจ้าซี!

“ชื่นใจจัง” 

คนที่หอมแก้มคนที่พยายามปัดป้องหัวเราะร่า ยอมลงจากหลังเมื่อการทักทายอย่างที่ต้องการเสร็จสิ้น ยืนเท้าสะเอวยิ้มร่า ในขณะที่อีกคนใช้มือเช็ดแก้มตัวเอง สีหน้าบรรยายไม่ถูก จะว่าขยะแขยงก็ไม่ใช่ จะว่าโกรธก็ไม่เชิง แถมมีอาการเหมือนคนพูดไม่ออก ได้แต่ชี้หน้า ทำปากพะงาบๆ เหมือนจะด่าแต่ไม่รู้จะเริ่มด่าอย่างไร 

“ถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรออากิระซังที่เจอผม หรือแค่เป็นคนพูดน้อย น่าจะอย่างหลังเนอะ ไม่เป็นไร ผมพูดเองก็ได้ เป็นไงบ้างครับ สบายดีนะ ผมคิดถึงมากเลย นี่พาฟางมาแนะนำให้รู้จัก แล้ว...”

“ซาคาอิ!” ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่านายของพี่รักยมจะเปล่งเสียงออกมา ตวาดดังจนเจ้าของชื่ออ้าปากค้าง “ฉันบอกแกกี่รอบแล้วว่าอย่ามาทำแบบนี้ แกเป็นเด็กสี่ขวบเหมือนคานะจังรึไง ถึงได้มาหอมแก้มฉัน! เดี๋ยวฟ้าก็ผ่าเอาหรอก ให้ตายสิ แกนี่มันน่าฆ่าทิ้งนักเชียว!”

นารียาปรามสามีที่หัวเสียสุดๆ ชี้ให้เห็นว่าลูกสาวยืนมองอยู่ แล้วเธอก็เหมือนจะปรบมือชอบใจในสิ่งที่เห็น เมื่อมาถึงตรงนี้คนหัวเสียก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากหันหน้าไปหาพวกรักยมที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากโค้งตัวลงต่ำน้อมรับความผิด แต่ลับหลังสายตานายก็แอบอมยิ้ม ยิ่งเห็นท่าทางของนายที่พยายามเช็ดแก้มตัวเองที่โดนหอมไปก็ยิ่งตลก 

“คานะจัง หัวเราะอะไรครับ” ซาคาอิเปลี่ยนเป้าหมายมาหาคนตัวน้อย เรียกสายตาคนเป็นพ่อให้หันมอง “นี่ใครครับ จำได้ไหม คนหล่อคนนี้เป็นใคร คานะจังจำได้ไหมเอ่ย”

“จำได้ค่ะ พี่ซีค่ะ” คนตัวน้อยว่าเสียงใส “พี่ซีเป็นน้องชายคุงพ่อค่ะ เป็นคุงอาค่ะ เป็นคนที่คานะรักค่ะ”

“ถูกต้องละคร้าบ งั้นคนรักกันต้องทำยังไง” ว่าพลางย่อตัวลงกางแขนออกกว้าง หวังให้คนตัวน้อยวิ่งเข้ามาหา “มากอดหน่อยเร็ว ขอจุ๊บๆ ทักทายให้หายคิดถึงหน่อยยย” 

ฟ้ารดาเห็นสายตาอากิระแล้วก็หวั่นใจเมื่อเห็นน้องชายเข้าไปกอดลูกสาวเขากลม หอมแก้มซ้ายขวา แล้วยังให้คนตัวน้อยมาจุ๊บปากอีก เธอจะเข้าไปห้าม แต่เมื่อสบตานารียาที่ส่ายหน้าให้ บรรยากาศก็ดูผ่อนคลายลง แล้วเวลานี้ซาคาอิกับคานะจังก็กำลังคุยกัน การพูดคุยที่แสนจะน่ารัก

“พี่ซีมาหาคุงพ่อเหรอคะ” 

พี่ซีของคานะจังพยักหน้าหงึกๆ 

“หาคุณแม่บีด้วยเหรอคะ” 

เป็นอีกครั้งที่พี่ซีพยักหน้าหงึกๆ 

“หาคานะด้วยเหรอคะ ไอจิล่ะคะ พาไอจิมาหาคานะจังด้วยรึเปล่า” 

พี่ซีของคานะส่ายหน้า อมยิ้มน้อยๆ 

“ทำไมไม่มาด้วยคะ”

คนจะตอบคำถามเหลือบมองต้นเหตุ คนที่แม้จะกลัวเจ้าไอจิ แต่ก็ไม่อยากแสดงออกว่าตัวเองกลัวงูต่อหน้าลูกสาว เพราะสำหรับคานะจัง ‘คุงพ่อ’ เก่งที่สุด แข็งแกร่งที่สุด 

“เพราะที่นี่มีคนไม่อยากเจอไอจิ เขากลัวไอจิมาก”

“ทำไมกลัวคะ ไอจิน่ารัก ตัวจิ๋วๆ สีดำๆ คานะชอบ น่าร้าก ชอบให้ไอจิพันแขนแบบนี้ เท่ๆ” 

“นั่นสิ เท่จะตายเนอะ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย” 

“ไม่น่าจะมีใครกลัวนะคะ ใครกลัวคะ คนที่กลัวไอจิตาขาวนะ”

“ตาขาว?” 

ซาคาอิย้อนคำคานะ เขาพยักหน้าหงึกๆ ไม่ใช่การยอมรับแต่เป็นการใช้ความคิด ทุกคนเฝ้ารอสิ่งที่เขาจะคุยกับคนตัวน้อย ในขณะที่ฟ้ารดาก็ยังพยายามเดาว่าไอจิที่ว่าคืออะไร สัตว์เลี้ยงตัวดำๆ พันแขนได้ อย่าบอกนะว่า...

“ตาขาวคือคนขี้ขลาดค่ะ คนไม่มีความกล้า คานะไม่ชอบคนแบบนั้น ใครคะตาขาวกลัวไอจิได้”

“คานะจัง ฟังพี่ซีนะ” 

ฟ้ารดามองเห็นสีหน้าจริงจังของน้องชาย เป็นสีหน้าที่ไม่มีรอยยิ้ม แต่ไม่ได้ดูดุ 

“การที่คนเรามีสิ่งที่กลัวไม่ได้แปลว่าคนนั้นเป็นคนขี้ขลาด ไม่มีความกล้าหรอกนะ ไม่เชื่อเหรอ พี่ซีเคยเจอคนคนนึงนะเป็นคนที่กลัวงูมาก แต่เขาเก่งมาก ปกป้องทุกคน เป็นคนที่พึ่งพาได้ ดูแลพี่ซีอย่างดี ในวันที่พี่ซีขี้ขลาด คนคนนั้นทำให้พี่ซีมีความกล้า เป็นคนที่ปกป้องพี่ซี เป็นคนที่เก่งมาก”

“เก่งกว่าพี่ซีเหรอคะ” เด็กหญิงถาม พี่ซีพยักหน้าหงึกๆ “เก่งกว่าพี่รักยมเหรอคะ เก่งกว่าคุงแม่บีเหรอคะ เก่งกว่าคุงพ่อไหมคะ คุงพ่อคานะเก่งที่ซู้ด” 

“อืมมม” ซาคาอิทำท่าคิด “น่าจะเก่งพอๆ กับอากิระซังเลยละ ถ้าเป็นคนแบบอากิระซัง คานะว่าคนแบบนี้เป็นคนขี้ขลาดตาขาวไหม” 

เด็กหญิงหันไปมองหน้าพ่อด้วยแววตาภูมิใจ แล้วก็หันกลับมาส่ายหน้าดิก “เท่ที่สุดเลย ถ้าเป็นแบบคุงพ่อก็เท่ที่สุดเลยค่ะ เท่เหมือนพี่ซีเลย”

ฟ้ารดาและนารียาสบตากันอมยิ้ม 

“แล้วในนี้ใครกลัวไอจิคะ” แต่ดูเหมือนเรื่องกลัวงูจะไม่จบ “คานะจะไปโอ๋ๆ”

แม้จะดีใจที่ลูกสาวเข้าใจแล้วว่าคนกลัวงูไม่ขี้ขลาด แต่กระนั้นอากิระก็ยังอยากเก็บความลับเรื่องนี้ให้คนรู้น้อยที่สุด ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ลูกสาวรู้ แต่ดูจากสีหน้าของเจ้าวายร้ายคงไม่รอด คงได้บอกเธอแน่ๆ

“คนนี้ครับ” 

คนนี้ที่ว่าคือฟ้ารดาซึ่งทำหน้างงน้อยๆ ก่อนจะฉีกยิ้มเมื่อมีนัยน์ตากลมบ๊อกมองมา 

“ฟางกลัวงูมากเลย กลัวแบบกลัวมากๆ เห็นไม่ได้ แค่พูดว่างูก็ขนลุกแล้ว ใช่ไหมฟาง”

“พี่ฟางกลัวงูเหรอคะ” 

คนตัวน้อยถาม เมื่อฟ้ารดาตอบรับ เธอก็เดินไปหา หญิงสาวย่อตัวลงให้แขนเล็กๆ เข้าไปโอบตัวโอ๋ 

“ไม่เป็นไรค่ะ คานะก็มีของที่กลัว คานะกลัวโดนทำโทษให้งดหนม มันน่ากลัวมาก แค่แม่บีบอกงดหนม คานะก็ขนลุกเลยค่ะ”

ทุกคนหัวเราะคำพูดที่พยายามปลอบคนกลัวงู 

“ไม่เป็นไรนะคะ ไอจิใจดี พี่ซีบอกไม่ดุ งูดำไม่ดุ กัดแค่ตอนหิว ก่อนจะเล่นก็ป้อนหนูก่อน หนูร้องอี๊ดๆๆ ไม่ใช่หนูคานะนะ”

“ซีเลี้ยงงูเหรอจ๊ะ” ฟ้ารดาอดถามน้องชายไม่ได้ อีกฝ่ายพยักหน้า “ทำไมล่ะ ไปชอบเลี้ยงงูตั้งแต่เมื่อไหร่ ซีชอบแมวไม่ใช่เหรอ ซาคาอิซังชอบเหรอจ๊ะ”

“เปล่า ผมแค่อยากจะ...” คำพูดนั้นชะงักไป เหลือบมองต้นเหตุที่ทำให้เขาเลี้ยงงูดำคิงสเนก ขณะที่กำลังคิดหาเหตุผลอยู่ คนที่เป็นต้นเหตุก็ก้าวเข้ามาในวงสนทนา หันไปคุยกับฟ้ารดา 

“เพราะเจ้านี่จะแกล้งผม รู้ว่าผมเกลียดงู ก็เลยจะเลี้ยงงู” 

อากิระพูดกับหญิงสาวอย่างสุภาพ ก่อนจะหันมาหาเจ้าวายร้ายที่ยิ้มแห้งๆ เหมือนคนที่สำนึกผิดในเรื่องที่ทำแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่เลย ท่าทางอย่างนั้นทำให้คนที่แค่จะสารภาพเรื่องกลัวงูกับลูกสาวเพราะต้องการให้ลูกโอ๋เหมือนที่โอ๋ฟ้ารดาก่อนหน้านี้ของขึ้น ตวาดไปพลางชี้หน้าด่า 

“เจ้าวายร้ายนี่ไม่ได้ชอบงู ไม่ได้เอ็นดูงู มันแค่จะกวนผม มันกวนตีนมาก!”

ใส่ไปอย่างไม่มียั้ง ทำเอาทุกคนตกใจ ไม่ใช่ตกใจที่ซาคาอิโดนด่า แต่เพราะมันเป็นคำหยาบที่คานะจังไม่ควรได้ยิน แต่เธอได้ยินสิ่งที่พ่อพูดเต็มสองหู ทำตาโตเหมือนประทับใจอะไรบางอย่าง ทุกคนต่างลุ้นว่าคนตัวน้อยจะว่าอะไรหรือทำอะไร 

“กวนตีนมาก!” คนตัวจิ๋วไม่รู้ความหมายจริงที่พ่อพูด แต่ก็ทำท่าเอาเท้ากวนๆ “ทำไมพี่ซีกวนตีนล่ะคะ สนุกเหรอคะ ทำอย่างนี้เหรอคะ กวนตีนมาก!” 

ถึงตอนนี้คนเผลอหลุดปากก็ยิ้มแห้งๆ เหงื่อตกเมื่อเจอสายตาตำหนิของภรรยา งานงอกอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรหรือพูดขอโทษ ซาคาอิก็โพล่งออกมา 

“จริงด้วย” 

สายตาทุกคนมองไปที่เขา อากิระแอบถอนหายใจ...รอดตัวไป 

“ผมมีของมาฝากอากิระซังด้วย! อยู่ในนี้” 

ในนี้ที่ว่าคือกระเป๋าสะพายไหล่ ทำให้คนที่เพิ่งถอนหายใจนึกว่ารอดเผลอขยับตัวออก ยิ่งเห็นรอยยิ้มกว้างของเจ้าวายร้ายยิ่งระแวง 

“เตรียมตัวนะ จะโยนไปแล้วนะ หนึ่ง สอง สาม รับ!”

กระเป๋าถูกโยนจริง แต่อากิระซังก็ถอยหลบได้ทัน...

“ล้อเล่น” ซาคาอิหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี “ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่จะพาฟางมารู้จักกับ...พี่ชายผม”

“ไอ้! @%$#$&^*!”


“ห่วงน้องซีเหรอคะ” นารียาเข้ามาถามสามีหลังจากรถของซาคาอิเคลื่อนออกไปพ้นตัวบ้านพักใหญ่แล้ว แต่สามียังคงทิ้งสายตาไว้ที่เส้นทางนั้น สีหน้าครุ่นคิด เขาหันมาหาเธอ ทำท่าจะปฏิเสธ แต่คนรู้ทันชิงพูดสวนออกไปก่อน “อย่ามาปากแข็งค่ะ ผึ้งรู้ว่าพี่ศิระห่วงน้องซี”

“ไม่ได้ห่วงเป็นพิเศษ เจ้าเด็กนั่นคือลูกค้า คาโอรุซังให้พี่ช่วยดูแลเป็นพิเศษ มันคืองาน” คนปากแข็งไม่มีทางยอมรับง่ายๆ นั่นคือสิ่งที่นารียารู้ “ไม่ต้องมายิ้ม...ว่าแต่ผึ้งเถอะ คุยกับคุณฟางตั้งนาน คุยอะไรกัน รู้อะไรดีๆ มาพอจะเป็นประโยชน์ต่องานพี่ได้ก็บอกกันบ้างนะ พี่จะได้ทำให้เจ้าเด็กนั่นสมหวัง แล้วไปให้พ้นๆ จากชีวิตพี่ซะที เจอแต่ละทีจะบ้าตาย ปวดหัวจนไมเกรนจะขึ้นแล้วเนี่ย”

“แต่ผึ้งชอบนะ เวลาพี่ศิระอยู่กับน้องซีน่ารักจะตาย” นารียาว่า ทำเอาคนอยู่ในข่ายโดนชมว่าน่ารักขมวดคิ้วไม่ชอบใจ “ดูเป็นพี่ชายน้องชายที่แตกต่างกัน น้องซีก็ดูร่าเริง เขาสดใสเหมือนแสงแดดตอนเช้าเลยนะคะ ถึงตอนนี้ผึ้งก็ยังนึกภาพตอนที่น้องซีไม่เป็นแบบนี้ไม่ออก ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเคยเป็นอย่างที่พี่ศิระเคยเล่า เป็นคนมืดมนและร้ายกาจจนถูกพี่ศิระเรียกเจ้าวายร้ายได้เลย” 

“นึกไม่ออกน่ะดีแล้ว” เขาทอดเสียงเนือยๆ แต่ภรรยารู้ว่าเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจสามี “เพราะถ้ากลับไปเป็นอย่างนั้นอีก พี่ก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าเด็กนั่นจะผ่านมันไปได้อีกครั้ง”

“ทำไมล่ะคะ ในเมื่อเคยผ่านมาแล้ว มันน่าจะง่ายกว่าไหมคะ” 

อากิระส่ายหน้า “ไม่ง่ายหรอก ไม่ง่ายเลย เพราะถ้ามีวันนั้นอีกครั้ง ซาคาอิก็คงไม่เหลืออะไรไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพาเขากลับมาได้ เจ้านั่นกลับมาได้เพราะมันถึงเวลาที่เขาจะกลับมาหาพี่สาว ผึ้งรู้ใช่ไหมว่าซาคาอิเคยติดยา เขาใช้ยาอยู่หลายปี เขาบอกว่ามันทำให้เขาอยู่ต่อไปได้ อยู่รอแปดปีได้ แต่พี่บอกว่ามันเป็นความคิดที่โง่ เพราะยานี่แหละที่จะทำให้เขากลับไปหาพี่สาวไม่ได้ เพราะยานี่แหละทำให้อาการควบคุมตัวเองของเขาแย่ลง ถ้าเขายังไม่เลิก เด็กผู้ชายอายุสิบห้าที่มาจากเมืองไทยคนนั้นก็จะหายไปตลอดกาล ถ้าต้องการอย่างนั้นก็เอา พี่ก็จะหายามาให้ เอาที่เด็กนั่นต้องการ”

“เขาตอบพี่ศิระว่าไงคะ บอกว่าจะเลิกใช่ไหมคะ”

“ไม่เลยสักนิด มันบอกว่าไปเอาของมา เอายามา...” น้ำเสียงขณะเล่ามีความหงุดหงิด แล้วคำตอบนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้นารียา “พี่บอกแล้วว่าไอ้นี่มันกวน กวนตีนมากๆ” 

ภรรยาฟาดเผียะที่แขน เอ็ดที่ยังพูดคำนี้ ลูกสาวได้ยินแล้วพูดตามก็ยังไม่เข็ด 

“ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะบี พี่อยากจับมันโยนทะเลวันละร้อยๆ หน มันรู้ว่าพี่เกลียดขี้หน้า ไม่ชอบที่ต้องมาดูแลลูกค้าเด็กเจ้าปัญหา มันก็บอกว่าอยากให้พี่มาดูแล จะหาเรื่องมาเจอพี่ ให้พี่ต้องตามไปแก้ปัญหา พี่ปวดหัวกับเจ้าวายร้ายนี่มาก คำว่ากวนตีนมากเหมาะที่สุดแล้วกับเจ้านั่น”

“อะไรทำให้พี่ศิระทนได้ล่ะคะ ก็แค่ลูกค้าไม่ใช่เหรอ พี่ศิระเป็นบอส ลูกค้าเจ้าปัญหาก็ตัดทิ้ง แค่คนสองคนคงไม่ใช่เรื่องถึงกับจะทำเดอะคิงส์คลับล่มจม” นารียาถาม ก่อนจะนึกได้ว่าเคยมีเรื่องเล่า “หรือว่าหนี้บุญคุณ พี่ศิระบอกว่าคุณพ่อของน้องซีมีบุญคุณกับพี่ศิระมาก...ใช่สินะคะ”

อากิระพยักหน้า “ตอนพี่ไปยึดอำนาจคืนจากพี่ชาย ถ้าไม่ได้คาโอรุซังช่วยคงไม่สำเร็จ และพี่คงตายไปแล้วถ้าไม่ได้ผู้ชายคนนั้นช่วยหนุน แล้วซาคาอิก็เป็นลูกชายคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ คาโอรุเป็นหนี้บุญคุณซาคาอิแล้วรู้สึกผิดต่อซาคาอิ ก็เลยตามใจและอยากทำให้เจ้าเด็กนั่นมีความสุข”

“ตามใจเหรอคะ ทำไมบางทีผึ้งรู้สึกว่าคาโอรุซังค่อนข้างดุและเข้มงวดกับน้องซี อย่างบางทีถ้าติดต่อไม่ได้ก็ต้องหาทางติดต่อให้ได้ อย่างวันก่อนก็ทำเอาพี่รักยมต้องรีบเอาโทรศัพท์ไปให้ บอกต้องตอนนี้ เวลานี้ ถ้าไม่ได้มีเรื่อง...อย่าบอกนะคะว่าได้แต่ขู่คนอื่น แต่กับลูกตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้”

“ขู่ได้สิ แค่ขู่ว่าจะไม่ให้กลับมาไทย ไม่ให้อยู่ที่เมืองไทย ซาคาอิก็ยอมคุยด้วยแล้ว”

นารียายิ้มเย้า “ทั้งพี่ศิระทั้งคาโอรุซังต่างก็ตามใจน้องซี สปอยล์จนเคยตัวสินะคะ”

“ก็เจ้านั่นคือลูกค้าสำคัญ งานพี่คือการตามใจเจ้านั่น ทำให้เจ้านั่นพอใจ มันคืองาน คือการตอบแทนผู้มีพระคุณ คาโอรุซังไม่ขออะไรจากพี่ ขอแค่ให้เดอะคิงส์คลับทำให้ซาคาอิมีความสุข ทำสิ่งที่เจ้านั่นต้องการก็พอ”

“ทำไปทำมาก็เลยเอ็นดู ก็เลยรักสินะคะ...ไม่ต้องมาแย้งค่ะ ถ้าแค่งาน ผึ้งรู้ว่าพี่ศิระไม่มีทางทนได้หรอก น้องซีคงโดนฆ่าไปหลายหนแล้ว พี่รักยมเคยบอกว่าตอนก่อนกลับมาหาผึ้ง พี่ศิระไม่มีหัวใจ ผึ้งว่าไม่จริงหรอก พี่ศิระก็ยังมีความรักให้น้องซี มีความเอ็นดูสินะคะ น้องซีก็ต้องมีความน่ารักให้เห็นแน่เลย...ใช่ไหมคะ ประทับใจอะไรในตัวน้องเขาคะ”

“ไม่มีหรอกของแบบนั้น...พี่พูดจริง เมื่อก่อนซาคาอิไม่เป็นแบบนี้นะบี เจ้านั่นไม่ได้ร่าเริงสดใสแบบนี้” เป็นอีกครั้งที่อากิระพูดอย่างจริงจัง “ถ้าถามว่าอะไรทำให้พี่ติดใจเจ้าเด็กนั่น คงเป็นความสงสาร เด็กผู้ชายคนนึงที่เคยสดใส เพิ่งเสียพ่อแม่ ถูกแยกจากพี่สาวก็ว่าเลวร้ายแล้ว ยังต้องมาเป็นคนอื่น...เด็กนั่นถูกสั่งให้เป็นซาคาอิคนพี่ให้ได้ ต้องเป็นให้ได้ ในขณะที่เขาไม่อยากเป็น แล้วก็กลัวจะเสียความเป็นตัวเองไป มันขัดแย้งจนเด็กนั่นรับไม่ไหว” 

‘ต้องทำให้ได้ใช่ไหม หน้าที่คุณคือทำให้ผมเป็นซาคาอิอย่างสมบูรณ์แบบใช่ไหม’

‘ถูกต้องครับ ไม่ว่าวันนี้คุณจะฝืนยังไง สุดท้ายคุณก็ต้องเป็นซาคาอิ ไม่ว่าวันนี้ก็ต้องพรุ่งนี้ แล้วมันจะง่ายกว่าถ้าคุณยอมทำตามที่พวกเราแนะนำ ทิ้งความเป็นกนธีไปซะ มันจะง่ายต่อตัวคุณเอง คุณจะไม่มีทางเป็น อาชิโมโตะ ซาคาอิ อย่างสมบูรณ์ได้ ถ้ายังอาลัยอาวรณ์ความเป็นตัวตนเก่า...คุณต้องทิ้งมันซะ!’ 

‘ทิ้งไม่ได้! ถ้าทิ้งแล้วผมจะกลับไปหาฟางได้ยังไง แปดปีผมต้องกลับ ผมมีบ้านให้กลับ! เข้าใจไหมว่าผมมีสัญญาว่าจะกลับไปหาคนที่ผมรัก คนที่ผมอยากใช้ชีวิตด้วย คุณไม่เข้าใจรึไงอากิระซัง ไม่เข้าใจรึไงว่าผมทิ้งเด็กผู้ชายคนนี้ที่ผมเป็นไม่ได้ เพราะผมกลัว...กลัวหาทางกลับบ้านไม่เจอ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะทนอยู่ต่อไปยังไง จะหายใจอยู่ทำไมเมื่อไม่ได้อยู่กับฟาง ไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้ฟางไว้!’

‘ถึงตอนนั้น ถ้าคุณหาทางกลับบ้านไม่เจอ เดอะคิงส์คลับจะทำให้...ไม่ใช่สิ ผมจะทำให้ จะทำทุกอย่างที่จะพาคุณกลับบ้าน กลับไปเป็นเจ้าซีของพี่สาว ของฟาง ขอแค่วันนี้คุณเป็นซาคาอิให้ได้ ทำให้งานของเดอะคิงส์คลับสำเร็จ ทำให้คุณปู่ของคุณมีความสุข...แล้วคุณจะได้ทุกอย่าง คุณพ่อของคุณบอกอย่างนั้นไม่ใช่หรือครับ’

‘ผมเชื่อถือคำพูดคุณได้แน่เหรอ อากิระซัง ถ้าผมทิ้งความเป็นเจ้าซีในวันนี้ เมื่อแปดปีมาถึงผมจะกลับไปเป็นเขาได้เหรอ คุณจะทำให้ผมเป็นเขาอีกครั้งได้เหรอ มั่นใจเหรอ’ 

‘ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เดอะคิงส์คลับทำไม่ได้’

‘ก็ได้...ผมต้องยอมแล้วสินะ ต่อให้ผมไม่แน่ใจว่าจะกลับไปเป็นคนเดิมได้ แต่ผมก็คงไม่มีทางเลือก เด็กอย่างผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ มากไปกว่าเชื่อมั่นว่าผู้ใหญ่อย่างคุณจะรักษาสัญญา

‘จำไว้นะอากิระซัง ฟางคือคนที่ทำให้ผมยังอยากหายใจอยู่ตอนนี้ ถ้าไม่มีฟาง ถ้ากลับไปหาฟางไม่ได้...ผมก็คงต้องตาย แต่มันก็คงไม่ได้สำคัญสำหรับคุณ ชีวิตผมคงไม่ได้มีค่ากับคุณมากไปกว่า...ผมเป็นงานของคุณ เป็นคนที่จะทำให้งานคุณสำเร็จ...แค่นั้นจริง ๆ’


“ถ้าเป็นแค่งานก็คงดี...” อากิระเผลอหลุดปากสิ่งที่คิดออกมา “ถ้าซาคาอิเป็นแค่งานของพี่ก็ดีนะบี พี่อาจจะรู้สึกแย่น้อยกว่านี้ ทุกครั้งที่พี่เห็นเจ้านั่นทำตัวสดใสร่าเริง กลบเกลื่อนความเคยชิน ความเป็นซาคาอิในตัว มันทำให้พี่รู้สึกแย่...เพราะสุดท้ายพี่ก็รู้ว่าไม่มีทางที่ซาคาอิจะกลับไปเป็นเจ้าซีคนเดิมได้”

นารียาเข้าใจความรู้สึกของสามี จึงให้กำลังใจ “ผึ้งว่าปัญหาของน้องซีไม่ใช่อยู่ที่จะกลับไปเป็นเด็กเมื่อแปดปีก่อนได้ไหม ไม่มีใครกลับไปเป็นคนเดิมเมื่อหลายปีก่อนได้หรอกค่ะ ประสบการณ์ต้องทำให้เราเติบโตขึ้น เปลี่ยนไป ผึ้งว่าที่น้องซีต้องการคือ การกลับไปอยู่กับครูฟาง การทำให้ครูฟางยอมรับรัก...ไม่ใช่เหรอคะ” 

“ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมาก คุณฟางเห็นซาคาอิเป็นน้องชายมาตลอดไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ ซาคาอิซังไม่ใช่น้องชายคุณฟาง น้องซีเมื่อแปดปีก่อนต่างหากที่เป็นน้องชายคุณฟาง” นารียาพูดสิ่งที่ตัวเองก็ชวนงง จึงไม่ประหลาดใจที่เห็นสามีขมวดคิ้ว “ไม่มีแล้วละค่ะเด็กผู้ชายเมื่อแปดปีก่อน ที่อยู่กับครูฟางตอนนี้คือเจ้าวายร้ายของพี่ศิระ ที่ไม่ใช่ทั้งเจ้าซีของคุณฟางและพี่ชายแฝดที่ชื่อซาคาอิ...ผึ้งจะพูดยังไงให้พี่ศิระเข้าใจเนี่ย”

“พี่เข้าใจ ผึ้งกำลังจะบอกพี่ว่า โจทย์ที่พี่จะต้องจัดการคือช่วยให้เจ้าวายร้ายซาคาอิเอาชนะใจคุณฟางให้ได้ จีบคุณฟางให้ติดงั้นใช่ไหม”

“ค่ะ แต่ผึ้งว่าคนอย่างน้องซีไม่ต้องให้ใครช่วยหรอกค่ะ น้องมีความน่ารัก คนแบบไหนจะไม่รักผู้ชายอารมณ์ดี สดใส ร่าเริง และรักมั่นคงขนาดนั้นได้คะ”

อากิระยังคงมีสีหน้าเครียด “ที่ผึ้งพูดมาก็ถูก แต่อย่าลืมว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดของเจ้าวายร้ายซีนะ แล้วพี่เชื่อว่าส่วนแย่ๆ ของเจ้าวายร้ายซีจะค่อยๆ เผยออกมา หรืออาจจะไม่ค่อยๆ ก็ได้ เห็นยิ้มอารมณ์ดีเพราะยังไม่มีเรื่องขัดใจ ผึ้งเชื่อพี่เถอะว่าถ้าครูฟางของผึ้งทำเรื่องขัดใจ เจ้าวายร้ายซีได้เปลี่ยนโหมดให้เห็นแน่ แล้วตอนนั้นผึ้งก็ควรรู้ด้วยว่า คงไม่มีผู้หญิงที่ไหนจะรักคนแบบนั้นได้”

“นั่นสิคะ เมื่อกี้แค่ครูฟางบอกว่าอยู่กินข้าวกับเราไม่ได้ เพราะติดนัดที่รับปากคุณป้าไว้ ก็ยังสีหน้าออก ถ้าคานะจังไม่ช่วยดึงสติกลับมาก่อน คงได้เปลี่ยนโหมดใส่ครูฟางแน่ ๆ...ถ้าเป็นแบบนั้นแย่แน่” ถึงตอนนี้นารียาก็มีสีหน้าเครียดตาม แต่เพียงครู่เดียวเธอก็ยิ้มออกมาได้ พร้อมกับคล้องแขนสามี “น้องซีดูจะหวงครูฟางมากนะคะ นัดกับคุณป้ายังอาการออก ไม่รู้ว่าถ้ามีหนุ่มๆ มาเกี่ยวข้องจะเป็นได้ขนาดไหน”

อากิระยกมุมปาก “คงได้มีการตายหรือเจ็บหนักเกิดขึ้นบ้างละ ผึ้งก็เตรียมตัวไปประกันตัวน้องซีได้เลย”

“น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอคะ” 

คุณสามีที่รู้จักซาคาอิดีพยักหน้ายืนยันว่าไม่ได้พูดเกินจริง 

“เพราะอย่างนี้จึงต้องมีพี่ศิระคอยช่วยไงคะ โชคดีนะเนี่ยที่น้องซีมีพี่ชายที่แสนดีอย่างพี่ศิระ เพราะพี่ชายคนนี้จะคอยประคับประคองคอยช่วยเหลือน้องซีใช่ไหมคะ” 

“ถ้ามันไม่มาป่วนพี่จนเหลืออด...ก็จะช่วยอยู่หรอกนะ ช่วยเตือนน้องซีของผึ้งด้วย ถ้ายังไม่อยากโดนพี่ตัดหางปล่อยวัด ก็ป่วนพี่ให้น้อยหน่อย...เข้าใจนะ!” 

ความหมั่นไส้คนปากแข็งทำให้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ หญิงสาวยังคงบิดสองแก้มของสามีพร้อมยิ้มให้  

“โอ๊ยยย บี! ทำอะไรเนี่ย ปล่อยแก้มพี่ได้แล้ว...พี่เจ็บนะ...เลิกยุ่งกับแก้มพี่ได้แล้วน่า...บีปล่อย...เจ้าตัวร้าย นี่มานี่เลย!” 

คำว่า ‘มานี่เลย’ จบลงด้วยการรวบสองมือของนารียาขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนที่เธอจะถูกดึงเข้าไปจุ๊บริมฝีปากเร็วๆ อย่างคนที่ต้องการจะเอาความ ก่อนสัมผัสจะอ่อนโยนลงอย่างที่เคยเป็น 

“พอแล้ว ห้ามยุ่งกับแก้มพี่นะ พอแล้วบี! ให้ตายสิ บอกนี่ฟังกันบ้างไหม พอได้แล้ว อย่ามายิ้มทะเล้น พี่เจ็บแก้มไปหมดแล้ว...เมื่อไหร่จะเลิกเล่นแก้มพี่เนี่ย บอกกี่ครั้งว่ามันเจ็บ”

“โอ๋...เจ็บเหรอคะ งั้นมาปลอบหน่อย” สุดท้ายก็ยอมลงให้เข้าไปง้อ “ถ้าอยากให้จุ๊บปลอบก็ก้มลงมาหน่อยสิคะ” 

ถึงตอนนี้ใครบางคนก็โน้มตัวลงหาคนที่เขย่งเท้าขึ้นไปจูบแก้มสามีซ้ายขวา 

“หายรึยังคะ งั้นก็ต้อง...ปลอบเพิ่มสิคะ”


“จริงๆ แล้วซีไม่ต้องกลับกับพี่ก็ได้ น่าจะอยู่คุยกับคานะจัง น้องดูติดซีมากเลยนะ” 

ฟ้ารดาอดเปรยขึ้นไม่ได้ขณะอยู่ในรถมุ่งกลับบ้าน หลังจากที่เธอได้รับการแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวของอากิระ ทางนั้นชวนกินมื้อค่ำด้วยกัน ซาคาอิตกลงทันที ก่อนที่เธอจำต้องปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่ามีนัดช่วงค่ำที่บ้าน 

“คุณผึ้งอุตส่าห์จะเข้าครัวทำกับข้าวให้ซีกิน บอกจะทำของโปรดซีด้วย” 

ยังไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมา ฟ้ารดาเดาอารมณ์คนที่ขับรถพาเธอกลับบ้านไม่ถูก เพราะก่อนหน้านี้ทันทีที่เธอปฏิเสธคำชวนร่วมโต๊ะ สีหน้าของซาคาอิก็เปลี่ยนไป รอยยิ้มหายไป เขาย้อนถามว่านัดกับใคร ใครจะมาหา ผมรู้จักไหม ผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นอะไรกับฟาง น้ำเสียงห้วนขึ้นและเร่งรัดจะเอาคำตอบ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีบอกว่าล้อเล่น แล้วก็บอกจะพาเธอกลับ 

“หรือซีไปส่งพี่ แล้ว...”

“พอเถอะฟาง” เขาพูดสวนขึ้นโดยที่สายตายังอยู่ที่ถนน หญิงสาวเห็นอาการกำพวงมาลัยรถแน่น อาการขบกรามจนขึ้นสัน ก่อนจะเม้มปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ยั้งปากไว้ทัน ใช้เวลาครู่ใหญ่ “ไว้วันหลังก็ได้ ฟางไม่ต้องใส่ใจหรอก มันไม่มีอะไรที่ฟางต้องใส่ใจ” 

ปากบอกไม่ต้องใส่ใจ แต่ใจกลับต้องการความใส่ใจที่สุด

นั่นคือสาเหตุของการที่ซาคาอิเค้นเอาความเป็นเจ้าซีไม่ออก

ยิ้มไม่ออก แค่คุมตัวเองไม่ให้ออกฤทธิ์ใส่ก็แทบจะทำไม่ได้ 

ซาคาอิพยายามท่องว่า ฟ้ารดาไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของฟ้ารดา แต่กระนั้นในหัวเขาก็มีคำแย้ง ทำไมจนป่านนี้ฟ้ารดายังต้องทำตามความต้องการของป้า ทำตามต้องการของคนที่พรากเธอและเขาจากกัน ทั้งที่เขาพาเธอมาเจอคนที่เคยอยู่เคียงข้างเขา ทั้งที่เธอก็น่าจะรู้ว่ามันสำคัญสำหรับเขา แต่เธอก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธคำชวนและคำขอของเขา ทำให้เขาผิดหวัง...ทำให้เขารู้สึกแย่...แย่สุดๆ และอยากอาละวาดที่สุด 

แต่ก็ทำไม่ได้...ทำไมถึงทำไม่ได้...เพราะเขาแคร์

เพราะเขาไม่อยากให้ฟ้ารดาเห็นเขาเป็นซาคาอิ คนที่ฟ้ารดาไม่มีวันชอบ...ไม่มีทางที่จะสนใจ

คนที่เขาใช้ชีวิตเป็นมากกว่าแปดปี...นานเหลือเกิน นานจนแทบจะไม่ลงเหลือความเป็นเจ้าซีอยู่ แล้วนั่นทำให้กลัวเหลือเกินว่ามันจะกลายเป็นปัญหา จึงต้องบอกตัวเองให้อดทน...ให้ใจเย็น...บอกให้ตัวเองยิ้ม 

ทว่าสุดท้ายก็ยังทำไม่ได้...ยังยิ้มไม่ออก ชวนคุยไม่ออก

ในขณะที่ซาคาอิกำลังจัดการกับความหงุดหงิดของตัวเอง กลัวว่าเขาจะทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่ดี ฟ้ารดาเองก็แคร์ความรู้สึกเขา เธอรู้สึกว่าตัดสินใจผิดที่เลือกกลับบ้าน เลือกที่จะทำให้น้องชายผิดหวัง เพียงเพราะไม่อยากมีปัญหากับป้า อยากทำให้ป้าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสียน้อยที่สุด ก่อนที่เธอจะเข้าไปคุยเรื่องที่เธอจะทำ เธอจะรับน้องชายกลับเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าป้าจะยินดีหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าคนจะมองว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่น้องชาย ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่สำหรับเธอนี่คือเจ้าซี น้องชายคนเล็กคนเดียวของครอบครัวเธอ

“ซี” เสียงเรียกนั้นอ่อนโยน เป็นน้ำเสียงที่ฟ้ารดาใช้เวลาเธอทำเรื่องที่รู้สึกผิดกับน้อง เสียงนั้นไม่ได้ดังมาก แต่กลับส่งพลังให้คนที่รู้สึกหงุดหงิดใจเบือนหน้ามาหาเธอ แม้จะเพียงแค่แวบเดียวก็เบือนหน้ากลับไปมองถนน แต่มันก็ทำให้ฟ้ารดารู้สึกว่าน้องพร้อมจะฟังสิ่งที่เธอพูดแล้ว 

“พี่ฟางไม่ใส่ใจซีไม่ได้หรอก ถ้าจะหาคนที่พี่ฟางใส่ใจในโลกนี้ เจ้าซีต้องเป็นที่หนึ่งของพี่อยู่แล้ว” 

เสียงสองเสียงสามที่ใช้พูดประโยคนั้น ดูคล้ายเวลาที่ครูฟ้ารดาจะพูดกับเด็กนักเรียนของเธอ พูดกับเด็กตัวน้อยๆ ที่กำลังต้องการให้ผู้ใหญ่เอาใจและง้อ เมื่อเด็กได้ฟังก็จะเลิกพยศ เลิกทำตัวดื้อ เรียกร้องความสนใจ แล้วก็ดูจะได้ผลกับเด็กโข่ง ที่สีหน้าบอกบุญไม่รับก่อนหน้านี้ค่อยๆ เลือนหายไป 

“วันนี้พี่ฟางไม่ว่างจริงๆ แต่ถ้าเป็นคราวหน้าพี่ฟางจะไม่เสียมารยาทแบบนี้อีก ถ้าครอบครัวคุณผึ้งไม่รังเกียจบ้านเช่าหลังเล็กๆ ของพี่...ของเรา ซีชวนพวกเขามาทานมื้อค่ำบ้านเราสิจ๊ะ ทั้งคุณศิระ คุณผึ้ง คานะจัง พี่รักยมด้วย...ดีไหม”

คนโดนง้ออึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า แล้วรอยยิ้มก็กลับมา รอยยิ้มที่ทำให้ฟ้ารดายิ้มตาม ดีใจที่ทำให้น้องชายยิ้มให้เธอได้อีกครั้ง เมื่อน้องชายเธอปรากฏ ผู้ชายที่ชื่อซาคาอิก็หายไป ผู้ชายที่เธอไม่ค่อยชอบ เพราะการมาของเขาทำให้น้องชายเธอหายไป ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เธอไม่ยอม จะไม่ยอมแพ้อีตาขี้วีนซาคาอินั่นเด็ดขาด แล้วเธอก็รู้ว่าจะทำอย่างไรให้อีตาขี้วีนนิสัยแย่ซาคาอิหายไปได้ ขั้นแรกคือทำให้น้องชายเธอมีความสุข อารมณ์ดี ทำให้เขายิ้มอย่างที่ยิ้มให้เธอในเวลานี้ 

“งั้นเดี๋ยวผมโทร. หาพี่ผึ้งนะ นัดมาพรุ่งนี้เลยดีไหมฟาง”

“ถ้าได้เร็วอย่างนั้นก็ดีเลย แต่พี่ว่าเป็นวันอาทิตย์ดีไหม คานะจังหยุดเรียนด้วย แล้ววันเสาร์พี่ฟางกับซีจะได้มีเวลาเตรียมตัว ไปซื้อของมาทำอาหารวันอาทิตย์ จะได้ทำหลายๆ อย่าง พี่ฟางอยากทำข้าวแช่สูตรพ่อนนท์ให้ทุกคนชิม...ดีไหมจ๊ะ”

“ดีครับ พอฟางพูดถึงก็อยากกินเลย แต่ต้องวันอาทิตย์เลยเหรอ นานไป”

“งั้นพรุ่งนี้หลังเลิกงานเราไปซื้อของมาลองทำดูดีไหม พี่ไม่ได้ทำนาน จะได้เป็นการซ้อมมือด้วย ทำเผื่อบ้านพี่เพ็ญกับบ้านคุณยายนิ่มชิมด้วย คุณยายนิ่มคือเจ้าของบ้านที่พี่เช่าอยู่ไงจ๊ะ คุณยายกับสามีใจดีมากเลยนะ ให้พี่เช่าราคาไม่แพง ไม่งั้นอาชีพครูอย่างพี่คงเช่าบ้านสวยๆ ดีๆ ขนาดนี้อยู่ไม่ได้หรอก”

“เขาจะขายไหม” 

เขาถาม แต่ฟ้ารดาไม่เข้าใจคำถามนั้น 

“บ้านไง ผมจะซื้อให้ฟางอยู่ ฟางจะได้ไม่ต้องเช่า แล้วก็ไม่ต้องไปทำข้าวแช่เผื่อเขา ผมจะกินคนเดียว เดี๋ยวไม่พอ แล้วคุณป้าเพ็ญก็หน้าตาไม่น่าจะชอบกินของแบบนี้ ไม่ต้องทำเผื่อหรอก ทำเยอะเดี๋ยวฟางเหนื่อย ข้าวแช่ทำยากนะ”

“ถึงต้องมีซีช่วยไงจ๊ะ” การตะล่อมหลอกให้เด็กคล้อยตามแบบเนียนๆ ฟ้ารดาก็ไม่แพ้ใคร “สรุปเราทำกันนะ พรุ่งนี้พี่เลิกงานเราไปซื้อของทำกัน ซีต้องช่วยพี่ทำด้วยนะ ห้ามเอาแต่เล่น สัญญาไหม”

เด็กยังไม่รู้ตัวว่าโดนหลอกให้ลืมเรื่องบางอย่างไป “ผมช่วยอยู่แล้ว ว่าแต่ฟางเลิกงานกี่โมง”

“สี่โมงจ้ะ เคลียร์งานต่ออีกนิดหน่อย แต่ไม่น่าจะออกมาช้าเกินห้าโมงเย็นจ้ะ”

“ค่ำเลย งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปซื้อของเองดีกว่า คืนนี้กลับไปฟางเขียนบอกว่าจะใช้อะไร เดี๋ยวผมไปซื้อเอง ไม่เชื่อเหรอว่าผมทำได้ เมื่อก่อนผมก็ไปจ่ายตลาดกับฟางกับพ่อนนท์ประจำนะ” 

“โอเคจ้ะ งั้นพี่เริ่มเขียนตอนนี้เลยดีกว่านะ” ถึงตอนนี้ฟ้ารดาก็ได้สิ่งที่ต้องการ เธอหยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋าพร้อมปากกา “เริ่มจากอะไรดีนะ...” 

“ต้องเริ่มจากหัวใจของข้าวแช่สิ” ชายหนุ่มกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ลูกกะปิทอดของโปรดผม” 

“จำได้ไหมว่าลูกกะปิทอดต้องใส่อะไรบ้าง” 

“หอมแดง กระเทียม ข่า ตะไคร้ กระชาย ผิวมะกรูด ปลาย่าง มะพร้าวคั่ว กะปิอย่างดีไม่เหม็น...จดให้ครบเลยนะฟาง ทำลูกกะปิเสร็จก็ต้องพริกหยวกสอดไส้หมูสับ...” 

ถึงตอนนี้บรรยากาศเก่าๆ ก็กลับมา ฟ้ารดาจดสิ่งที่น้องชายบอก ขณะที่สายตาเขามองไปที่ท้องถนน พูดไปด้วยก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ลืมไปเลยว่าเมื่อกลับถึงบ้านจะต้องมีเรื่องให้เขาหงุดหงิดได้อีก แต่กระนั้นฟ้ารดาก็มีความมุ่งมั่นว่าเธอจะชิงตัวเจ้าซีของเธอมาจากซาคาอิให้ได้

ซาคาอิซัง! คนนิสัยไม่ดี...คนที่ทำให้เจ้าซีกลายเป็นคนนิสัยแย่

ฉันจะทำให้คุณหายไปจากชีวิตพวกเรา

เมื่อถึงตอนนั้น ฉันก็จะได้เจ้าซีที่แสนน่ารักของฉันกลับมา

“อะไรกันฟาง มองผมแล้วทำหน้าตาแบบนั้น” หน้าตาแบบนั้น คือสายตาของคนที่กำลังจะท้าดวลกับเขา ซึ่งนั่นไม่มีทางเป็นไปได้ในสายตาของซาคาอิ “หมายความว่าไง ผม...ทำอะไรผิดเหรอ” 

เจ้าซีของพี่ไม่ผิด น้องพี่ไม่เคยทำอะไรผิด

คนที่ผิดคืออีตาซาคาอิที่อยู่ในตัวซีต่างหาก...เขานั่นแหละที่ผิด!


“ไม่ต้องหรอกฟาง ผมเปิดเอง” ซาคาอิท้วงและดึงแขนหญิงสาวไว้เมื่อเธอจะลงไปเปิดประตูรั้วบ้านให้เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาจอดเทียบหน้าประตู “นี่มันหน้าที่เจ้าซี ผมจัดการเองได้ ฟางนั่งเป็นคุณหนูบนรถนี่ดีแล้ว” 

พูดไม่ได้จริงจัง พลางยิ้มกว้าง จากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวลงจากรถ ทำให้หญิงสาวนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ เมื่อครั้งที่ครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้า คนที่จะไปเปิดประตูรั้วให้ก็คือน้องชายคนนี้ คนที่กำลังหันหน้าไปทางบ้านฝั่งซ้าย ก่อนจะโบกมือทักทายเพ็ญศรีที่แอบชะเง้อมองข้ามรั้วเหมือนอยากรู้อยากเห็น แต่ก็กลัวเป้าหมายเห็น

“รู้จักทักทายด้วย น้องชายพี่ฟางคนนี้น่ารักที่สุด” ฟ้ารดายิ้ม มองน้องชายอย่างชื่นชม “เดี๋ยวกลับมาต้องชมหน่อย...” 

“ป้าเพ็ญ!” เสียงตะโกนนั้นทำเอาฟ้ารดายิ้มค้าง หัวใจหล่นวูบไปกันใหญ่ 

“เฮ้ๆ เห็นผมไหม ผมอยู่นี่ ตรงนี้ครับ ผมยืนหล่ออยู่ตรงนี้ ไม่ต้องแอบ ออกมาดูได้ ผมไม่ว่า...ทำอะไรอยู่ครับ รดน้ำต้นไม้เหรอครับ อายุอานามไม่น้อยแล้วระวังเอวนะครับ...โอ้ ลืมไป ป้าเพ็ญอายุยังไม่เท่าแม่ผม แค่หน้าไปก่อนวัย” 

“เจ้าซี!” 

ความจริงแล้วฟ้ารดาอยากเรียก ‘ซาคาอิซัง’ เสียมากกว่า น้องชายเธอไม่มีทางแสดงนิสัยแบบนี้กับผู้ใหญ่ หญิงสาวรีบลงจากรถ อยากจะไปขอโทษเพ็ญศรี แต่ดูเหมือนป้าข้างบ้านของเจ้าซี เอ๊ย! พี่สาวข้างบ้านของเธอจะหายไปจากตรงนั้นแล้ว ไม่แน่ใจว่าเข้าบ้านไปหรือแค่ย่อตัวหลบอยู่หลังพุ่มไม้ จึงหันมาเล่นงานเจ้าตัวดีที่ยังคงยิ้มหน้าซื่อตาใสใส่เธอ 

“ทำไมนิสัยแบบนี้ น่าตีนัก!” หลังคำว่าน่าตีนัก คนพี่สาวก็เข้าถึงตัวน้อง ฟาดเผียะเบาๆ ที่แขนอย่างเหลืออด “อย่าทำอย่างนี้นะ ไปขอโทษพี่เพ็ญเลย”

“ทำไมต้องขอโทษ” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง แต่พี่สาวทำหน้าดุใส่ “จะขอโทษทำไม ก็แค่พูดเล่น ป้าเพ็ญ เอ๊ย พี่เพ็ญรู้หรอกว่าผมพูดเล่น ผมไม่ใช่คนหยาบคายขนาดนั้น ผมรู้น่ะว่าผู้หญิงเขารับการแก่ก่อนวัยไม่ได้ ไม่เชื่อเหรอฟาง...ผมเป็นใคร” 

เขาทำเป็นชี้ตัวเอง พี่สาวยังไม่ตอบ เขาจึงถามเองตอบเอง

“เจ้าซีของฟางไม่ได้หยาบคายหยาบกระด้างขนาดนั้น ล้อเล่นน่าฟาง” 

พูดเสร็จก็ตบไหล่พี่สาวอย่างเธอ ทำราวกับว่าเป็นเธอเองที่ผิด คิดมาก จากนั้นก็ไปเอารถเข้าบ้าน ปิดประตูรั้ว แล้วเดินผ่านหน้าเธอจะเข้าบ้าน โดยไม่ลืมหยิบตุ๊กตาตัวแทนตัวเองจากบอร์ดด้านข้างมาแปะที่บอร์ดกลางประตู แต่ที่ยังเข้าบ้านไม่ได้เพราะประตูล็อก ต้องรอคนที่มีกุญแจมาเปิดให้ แล้วดูท่าคนคนนั้นมีเรื่องจะเล่นเขาอยู่ สีหน้าที่เขาเหลือบมองเห็นยืนยัน แต่คนอย่างเขามีหรือจะจนแต้มแค่นี้

“ฟางทำอะไรอยู่ เร็วเข้า ผมปวดฉี่นะ จะราดแล้ว ไวๆ ไหนกุญแจ” ไม่ได้เรียกเปล่ายังทำท่าทางประกอบเหมือนจะเอามือกุมเป้า แล้วก็โดดดึ๋งๆ เหมือนทนไม่ไหวจริงๆ “ไวๆ ไม่มาผมฉี่ใส่หน้าบ้านแถวนี้นะ”

เมื่อฟ้ารดายังเฉยเพราะตั้งตัวรับไม่ทัน เจ้าซีตัวดีก็ทำท่าจะรูดซิปกางเกง หันหน้าหามุมเหมาะ ทำเอาหญิงสาวต้องรีบร้องห้ามและส่งกุญแจให้ เข้าทางคนจะหนี ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เปิดประตูหนีหายเข้าไปในบ้าน ได้ยินแต่เสียงวิ่งตึงๆ ขึ้นไปบนบ้าน ปล่อยให้พี่สาวยืนมึนอยู่หน้าประตู กว่าจะรู้ว่าอาจพลาดให้ ‘ซาคาอิซัง’ ก็ตอนไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้าดื้อตัวดี 

“ไม่ได้การละ สงสัยต้องรื้อฟื้นกฎบ้านในการอยู่ร่วมกันของบ้านเรากับเจ้าซีอย่างจริงจังละ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง แล้วก็หันไปมองตุ๊กตาตัวแทนพ่อและแม่ที่บอร์ด “ทนหน่อยนะคะ ฟางขอเวลาปรับพฤติกรรมเจ้าซีหน่อย ฟางสัญญาว่าจะไม่ใช้เวลานาน น้องจะต้องกลับมาเป็นเจ้าซีที่น่ารักของพวกเราได้แน่นอน” 

แม้จะบอกเหมือนหนักใจ แต่ฟ้ารดาอาจไม่รู้ตัวว่าใบหน้าเธอมีรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงตึงตังชั้นสอง เสียงที่บอกว่าในบ้านนี้มีคนอื่นอยู่ด้วย เธอไม่ได้อยู่ลำพังอีกแล้ว แถมคนที่อยู่นั้นก็คือคนที่เธอเฝ้าแต่คิดถึงและอยากกลับมาใช้ชีวิตด้วยกัน 

“ฟาง! ทำไมแอร์ไม่เย็นเลย ผมร้อน...ผมอยากได้น้ำแดงโซดามะนาว ทำให้ผมหน่อย” 

ดูเหมือนเจ้าตัวดีจะลงมาจากชั้นสองแล้ว เสียงดังอยู่หน้าประตู ซึ่งก็จริง เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นรอยยิ้มเอาใจนั้นทันที 

“ทำให้ผมหน่อยนะ เอาแบบเปรี้ยวท้องร่วงตายไม่เอาโทษเลย” เขายังคงเป็นคนชอบกินรสเปรี้ยวเหมือนเคย นั่นคือสิ่งที่ฟ้ารดาจำได้ แถมยังช่างเอาใจเธอ “มา ผมถือกระเป๋าให้ ฟางเข้าไปในครัวเลยนะ เดี๋ยวผมช่วยคั้นน้ำมะนาวนะ” 

“ก็ได้ ไม่ต้องลากพี่ เดี๋ยวพี่ทำให้” พอได้อย่างใจชายหนุ่มก็ยิ้ม ทำท่าออเซาะเอาใจเหมือนลูกแมวเอียงคอเอาหัวมาชนไหล่เธอ “ไม่ต้องมาอ้อนพี่เลย ไม่ทำแบบนี้พี่ก็ทำให้ ไปรอพี่ในห้องนั่งเล่นไป ไม่ต้องอยากช่วย เราน่ะช่วยทำให้ช้า”

“ไม่เอา ผมจะช่วย สัญญาว่าคราวนี้หั่นมะนาวจะไม่หั่นนิ้วตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ผมไปเรียนใช้มีดมาด้วยนะ เรียกว่าดาบดีกว่าเนอะ ดาบซามูไรไง ผมเรียนต่อสู้กับอากิระซังมา เรียนใช้อาวุธหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็มีมีดทำครัวด้วยนะฟาง เดี๋ยวโชว์ให้ดู”

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาโชว์อะไรแบบนั้นให้พี่ดู ปล่อยพี่ได้แล้ว พี่จะได้ไปทำน้ำแดงโซดามะนาวสูตรเปรี้ยวท้องร่วงตายไม่เอาโทษให้”  

ถึงตอนนี้คนอยากได้น้ำแดงโซดามะนาวก็ยอมยกหัวออกจากการอ้อนพี่สาว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ไปถึงห้องครัว โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าที่ซาคาอิถืออยู่ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบจะส่งให้ แต่ปรายตาไปเห็นชื่อและรูปที่ปรากฏบนหน้าจอเข้าก็ชะงักไป สีหน้าเปลี่ยน แต่กระนั้นก็ส่งมันให้ฟ้ารดา

“คุณพล? สงสัยจะเข้ามาแล้ว...” 

หญิงสาวกดรับสายและเดินเข้าไปในครัว ไม่ทันได้สังเกตท่าทีของน้องชายที่มองตามเธอตาละห้อย แต่ก็เป็นเพียงครู่เดียว เมื่อเวลานี้แววตานั้นเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เขาขบกรามจนขึ้นสัน กำมือแน่น ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องครัว รอฟังบทสนทนาเพื่อตอบคำถามและความข้องใจในหัว 

ความขุ่นใจยืนหนึ่งของซาคาอิในเวลานี้คือ ธีรพลมีชื่อบันทึกในโทรศัพท์ฟ้ารดา นั่นหมายความว่าต้องมีบทบาทในชีวิตเจ้าของโทรศัพท์อยู่ไม่น้อย แล้วที่สำคัญคือ เวลานี้ผู้ชายคนนี้เอาความสนใจของหญิงสาวไปจากเขา! ทำให้เธอยืนหันหลังให้เขา นั่นยังไม่นับความสงสัยที่ว่าผู้ชายคนนี้อาจเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับ ‘ป้ามหาภัย’ ตัวขัดความสุข ตัวขัดที่จะทำให้เขาไม่ได้อยู่กับ ‘ฟาง’ 

“ออกไปไม่ได้จริงๆ ค่ะ ฟางเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ไว้โอกาสหน้านะคะ ถ้าไม่รังเกียจสั่งอาหารมาทานก็ได้ค่ะ ฟางจะได้แนะนำให้คุณพลรู้จักกับน้องชายฟาง...ค่ะ ไว้เจอกันค่ะ” หญิงสาววางสายพลางถอนหายใจ แล้วก็หันกลับมาเห็นซาคาอิยืนอยู่ข้างหลัง “ขอโทษจ้ะ จะรีบทำให้เดี๋ยวนี้แหละ” 

“คุณพลเป็นใคร” น้ำเสียงที่ถามห้วนสั้นและบ่งบอกว่าจะเอาคำตอบ “เขาเป็นใครสำหรับฟาง” 

ฟ้ารดาสบตาคนตรงหน้า รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ ‘เจ้าซี’

หากแต่เป็นผู้ชายที่มีแววตาแข็งกระด้างที่ชื่อ ‘ซาคาอิซัง’ คนนั้น

คนที่เธอไม่อยากให้ปรากฏตัวขึ้นในบ้านของเธอ!


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น