10

สิบ ศึกที่มิอาจยอมสยบ


สิบ

ศึกที่มิอาจยอมสยบ

 

ขณะที่จอมมารซ่งเว่ยเชียนซีรับรู้ถึงการมาของกองทัพหลวง ฝ่ายองค์หญิงอวี่เยียนผู้เป็นกุนซือและแม่ทัพในการนำทัพครั้งนี้ก็สั่งหยุดเคลื่อนพลเพื่อให้ขุนศึกทั้งหลายได้พักเอาแรงและดื่มน้ำจากลำธาร ระหว่างพักองค์หญิงอวี่เยียนก็เรียกอวิ๋นไคกับรองแม่ทัพหานอี้ที่ร่วมรบในครั้งนี้มานั่งคิดและวางกลศึกด้วยกันใต้ต้นไม้ใหญ่

“ทัพเราจะไปถึงหุบเขาเร้นลับตอนฟ้าสางของวันพรุ่งนี้ กระหม่อมคิดว่าเราควรบุกโจมตีพวกมันเลย” รองแม่ทัพหานอี้เสนอ แต่อวิ๋นไคไม่เห็นด้วย

“ยามรุ่งอรุณที่หุบเขาเร้นลับเป็นเวลาที่หมอกลงจัด ทัศนวิสัยย่ำแย่ พวกเรามิอาจมองเห็นศัตรูได้ ควรโจมตีในตอนกลางวันที่แดดส่องสว่างจะดีกว่า นอกจากมองเห็นที่ตั้งมั่นข้าศึกชัดเจนแล้ว ช่วงเวลานั้นพลังมารของซ่งเว่ยเชียนซียังอ่อนแรงลงอีกด้วย”

“ข้ามีวิธีที่แยบยลกว่านั้น” องค์หญิงอวี่เยียนชี้นิ้วลงบนแผนที่ซึ่งกางอยู่ตรงกลางบนพื้นดิน “มีแม่น้ำไหลผ่านหุบเขาซึ่งที่ตั้งของพรรคมารอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำ หากเราเคลื่อนพลไปเหนือน้ำแล้วล่องเรือในยามเช้าที่หมอกลงจัดให้กระแสน้ำพัดเรือเข้าไปยังที่ตั้งมั่นของข้าศึก อาศัยหมอกพรางกายมิให้ศัตรูมองเห็น แล้วขึ้นบกโจมตีอย่างรวดเร็วในยามซื่อ[1] ซึ่งทัศนวิสัยชัดเจนไร้ซึ่งเมฆหมอก พวกจอมมารคงมิทันได้ตั้งตัว”

“กระหม่อมเกรงว่าพวกเราจะไปช่วยเจ้ายุทธภพมู่ไม่ทันหากจอมมารสังหารนางในเวลารุ่งอรุณ” รองแม่ทัพหนุ่มกล่าว

“จอมมารย่อมรู้ว่าพวกเรามีกระบี่เทพสวรรค์ที่สามารถสังหารเขาได้ และมีทหารศึกหมื่นนายมาด้วย ศึกครั้งนี้จอมมารย่อมมองเห็นแววแห่งความพ่ายแพ้ ดังนั้นเขาต้องเก็บมู่สาวเย่าไว้เป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับพวกเรา ดีไม่ดีอาจใช้มู่สาวเย่าเป็นโล่ป้องกันตัวมิให้อวิ๋นไคสังหารเขา” องค์หญิงเอ่ยตามการคาดการณ์ของตน

อวิ๋นไคกล่าวเสริม “จอมมารลั่นวาจาไว้ว่า ผู้ใดเห็นโฉมหน้าของเขาต้องตายภายในสิบราตรี และมู่สาวเย่าก็ถูกจอมมารหมายหัวด้วย เพื่อให้วาจาของตนเป็นวาจาประกาศิต ดังนั้นจอมมารต้องทำให้ได้อย่างที่พูดจึงต้องสังหารมู่สาวเย่าให้ดับดิ้นภายในวันพรุ่งนี้”

“เจ้ายุทธภพมู่มีวรยุทธ์สูงส่ง หากเจ้าหาจังหวะส่งกระบี่เทพสวรรค์ให้แก่นางได้ นางก็จะใช้มันสังหารจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี” คำพูดของหานอี้ทำให้อวิ๋นไคกับอวี่เยียนมองหน้ากัน ทั้งคู่มิอาจบอกความจริงเรื่องมู่สาวเย่าไร้วรยุทธ์แก่รองแม่ทัพหนุ่มได้

“ใช่ ข้าก็คิดเช่นนั้น เจ้าไปถ่ายทอดแผนการข้าให้เหล่าทหารรับรู้ เพื่อเตรียมเรือสำหรับทำศึกในวันพรุ่งนี้” อวี่เยียนเอ่ยกับรองแม่ทัพหานอี้ อีกฝ่ายยกมือขึ้นน้อมรับคำสั่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปทางทหารที่นั่งจับกลุ่มคุยกัน เมื่ออยู่ตามลำพังสองคน อวี่เยียนก็เปรยกับอดีตนักฆ่าหนุ่ม

“ทั้งเจ้าและมู่สาวเย่าคงไม่อยากให้ใครรู้ว่าเจ้ายุทธภพมู่ไร้วรยุทธ์ใช่หรือไม่ ถ้าข้าปลอมตัวเป็นมู่สาวเย่าได้คงดีนะ จะได้ช่วยต่อสู้กับจอมมารและทำให้รองแม่ทัพหานอี้เชื่อว่ามู่สาวเย่ามีวรยุทธ์จริง”

“ถ้าเจ้าปลอมตัวเป็นมู่สาวเย่าได้ เจ้าจะยอมเสี่ยงชีวิตเผชิญหน้ากับจอมมารหรือไม่” อวิ๋นไคถาม อวี่เยียนหรี่ตามองอีกฝ่าย รู้สึกสงสัยในถ้อยคำของอดีตนักฆ่ารูปงาม “เจ้ารู้วิชาแปลงโฉมเยี่ยงนั้นรึ”

“ใช่ ปู่ของข้าเชี่ยวชาญเรื่องการแปลงโฉม แม้จะมีจอมยุทธ์มากมายที่รู้วิชาแปลงโฉม แต่การแปลงโฉมของปู่ข้าเป็นที่ยอมรับว่าแนบเนียนและเหมือนตัวจริงที่สุด ไม่มีวิชาแปลงโฉมของผู้ใดเทียบเท่าวิชาแปลงโฉมของปู่ข้า และข้าก็ได้รับถ่ายทอดวิชามาจากปู่อย่างครบถ้วน”

“เช่นนั้นก็ดี ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายสู้กัน ข้าจะปลอมตัวเป็นมู่สาวเย่าเข้าไปสลับตัวกับนาง แล้วสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้พวกศัตรู หลอกล่อจอมมารให้สับสนและช่วยมู่สาวเย่าออกมา” อวี่เยียนเอ่ย

“จอมมารอาจฆ่าเจ้าเพราะคิดว่าเป็นมู่สาวเย่า เจ้ามิกลัวตายรึ” อวิ๋นไคถามย้ำในความมั่นใจของอีกฝ่าย

อวี่เยียนยิ้มมุมปาก ย้อนถามอดีตนักฆ่าหนุ่ม “ถ้าข้ากับมู่สาวเย่าตกอยู่ในอันตรายพร้อมกัน เจ้าจะช่วยใคร”

อวิ๋นไคนิ่งเงียบไปนานจนองค์หญิงหัวเราะออกมา “ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าต้องช่วยมู่สาวเย่า เอาเถอะ ข้ามีวรยุทธ์เอาตัวรอดได้ พรุ่งนี้เจ้าแปลงโฉมให้ข้าเป็นมู่สาวเย่าก็แล้วกัน”

พูดจบองค์หญิงก็เดินจากไป ก่อนจะสั่งกองทหารให้เคลื่อนพล อวิ๋นไคยังคงนั่งคิดตรึกตรอง ก่อนพูดกับตัวเองเบาๆ

“มู่สาวเย่าสมควรตายแล้ว”

เสียงพึมพำแม้เพียงแผ่วเบาแต่พญาอินทรีซึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะอวิ๋นไคก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน พญาอินทรีบินโฉบลงมายืนบนพื้นดินข้างกายสหายรูปงาม แล้วถามในสิ่งที่สงสัยและไม่แน่ใจ

“สหายอวิ๋น เจ้าจะลงมือฆ่ามู่สาวเย่าแล้วหรือ”

“ใช่” อวิ๋นไคตอบเสียงหนัก ก่อนจะหันไปเอ่ยเสียงเบาให้ได้ยินเพียงแค่เขากับพญาอินทรี “ศึกครั้งนี้ข้ามิได้มาช่วยมู่สาวเย่า แต่มาเพื่อสังหารนางตัดหน้าจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี แต่ถ้าไม่มีกระบี่เทพสวรรค์ข้าก็สู้จอมมารมิได้ มู่สาวเย่าก็จะสิ้นใจด้วยน้ำมือของจอมมาร มิใช่คมกระบี่ของข้า” อวิ๋นไคเปิดเผยความมุ่งมาดที่แท้จริงให้สหายอินทรีฟัง

“เจ้าควรรั้งรอให้มู่สาวเย่ารักษาโรคมนุษย์ผักของเจ้าให้หายก่อนค่อยลงมือสังหารนาง” พญาอินทรีออกความเห็น สหายรูปงามส่ายหน้าช้าๆ

“ข้ามิกลัวตายด้วยโรคมนุษย์ผัก แต่กลัวมิได้ฆ่ามู่สาวเย่าด้วยมือของข้าเองมากกว่า”

“ข้าเข้าใจ เพราะจอมมารต้องสังหารมู่สาวเย่าให้ได้ภายในวันพรุ่งนี้ เจ้าเลยต้องชิงลงมือก่อน แต่ถ้าเด็กสาวที่เป็นผู้ทำลายชีวิตเจ้าได้ตายลงอย่างง่ายดาย นางก็จะไม่รู้เลยว่าได้ทำอะไรผิดต่อเจ้าไว้บ้าง สู้ช่วยนางก่อนแล้วเจ้าค่อยสะสางความแค้นกับนางในภายหลังมิดีกว่าหรือ” พญาอินทรีเสนอ แต่ดวงตาคมคู่สวยของอวิ๋นไคกลับฉายแววอาฆาตก่อนจะเอ่ยเสียงเยียบเย็น

“แค้นฝั่งลึกยิ่งกว่าธุลีก้นสมุทร เจ็บแสบยิ่งกว่าสาดเกลือราดแผลหมื่นเท่า ข้าจึงมิอาจร่วมลมหายใจเดียวกับมู่สาวเย่าได้อีกต่อไป”

“อวิ๋นไค” องค์หญิงตะโกนเรียกจากหลังอาชา “มัวทำอะไรอยู่ พวกข้ากำลังจะไปแล้วนะ”

การสนทนาจบลงแค่นั้น อวิ๋นไควิ่งไปขึ้นอาชาไนยสีขาวปลอด ทิ้งให้พญาอินทรีมองด้านหลังร่างสูงเพรียวของสหายหนุ่มด้วยสายตาคมกริบของอินทรี เสียงทุ้มใหญ่เปรยออกมาเบาๆ

“ดูท่ามู่สาวเย่าคงจะหมดอายุขัยในวันพรุ่งนี้แน่แล้ว แต่จะตายด้วยน้ำมือบุรุษรูปงามคนใดกันแน่นะ”

แม้ยังไม่รู้คำตอบและต้องรอลุ้นดูในวันพรุ่งนี้ แต่ในใจพญาอินทรีก็อยากให้มู่สาวเย่ารอดชีวิตจากบุรุษรูปงามทั้งสองคนที่มุ่งมาดจะสังหารนาง เพราะในสายตาพญาอินทรีอย่างเขาได้เห็นความจริงใจและไร้เดียงสาในตัวเด็กสาวผู้งดงามน่ารักคนนั้น

 

กองทัพทหารกว่าหมื่นนายเคลื่อนพลอย่างรวดเร็วโดยมิได้หยุดพัก จนกระทั่งถึงหุบเขาเร้นลับในยามรุ่งสางก่อนพระอาทิตย์ฉายแสง แม่ทัพหญิงได้สั่งหยุดทัพ ณ บริเวณแอ่งน้ำระหว่างภูเขาสองด้านที่มีแม่น้ำไหลผ่านตรงกลาง เรือไม้ขนาดร้อยคนนั่งหลายลำถูกลำเลียงลงสู่ต้นน้ำ ระหว่างนั้นอวิ๋นไคได้ใช้วิชาแปลงโฉมของตระกูลเปลี่ยนโฉมหน้าองค์หญิงอวี่เยียนผู้งดงามเป็นมู่สาวเย่าภายในกระโจมซึ่งเป็นที่ประทับชั่วคราว

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามท้องฟ้ายังขมุกขมัวไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ และทิวทัศน์โดยรอบหุบเขาเร้นลับเต็มไปด้วยหมอกทึบสีขาวดูไม่ต่างจากควันไฟในอากาศ เรือไม้และฝีพายเตรียมพร้อมสำหรับการล่องเรือไปตามกระแสน้ำ แต่ยังคงรอคอยคำสั่งจากแม่ทัพหญิง ทว่าสตรีที่ออกมาจากกระโจมกลับทำให้เหล่าขุนศึกบนเรือต้องตะลึงงันในความงดงามน่ารักน่ากลืนกินจนเกิดเสียงโห่ร้องเป่าปากในหมู่ทหารกล้า เหตุที่ไม่มีความชุลมุนวุ่นวายอันเกิดจากการทะเลาะยื้อแย่งตัวองค์หญิงอวี่เยียนในคราบมู่สาวเย่าในหมู่ทหารกล้านั้น เพราะก่อนการแปลงโฉม อวี่เยียนได้สั่งรองแม่ทัพหานอี้ประกาศให้เหล่าทหารนายกองทั้งหลายรับรู้ถึงแผนปลอมตัวเป็นมู่สาวเย่าขององค์หญิง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินต่อผู้นำทัพหญิง ทำได้แค่ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความถูกใจเท่านั้น

ในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมในความงามของมู่สาวเย่าตัวปลอม ทหารนายหนึ่งก็วิ่งเข้ามารายงานต่ออวี่เยียน

“กราบทูลองค์หญิง ทหารลาดตระเวนได้ข่าวจากชาวยุทธ์ที่ตั้งสำนักอยู่ใกล้หุบเขาเร้นลับว่า จอมมารซ่งเว่ยเชียนซีจะสังหารเจ้ายุทธภพมู่สาวเย่าในยามที่แสงอาทิตย์ส่องตรงศีรษะพ่ะย่ะค่ะ”

“จอมมารปล่อยข่าวออกมาเช่นนี้ เจตนาเพื่อให้พวกเราบุกเข้าช่วยมู่สาวเย่าในยามอู่[2] แม้จะเป็นผลดีต่อฝ่ายเรา เพราะช่วงเวลานั้นพลังมารในตัวซ่งเว่ยเชียนซีอ่อนกำลังลง แต่มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เหตุใดจอมมารจึงเลือกยามอู่ในการสู้รบกับพวกเรา” อวิ๋นไคตั้งข้อสังเกต 

“แต่ถ้าเราบุกโจมตีตอนยามซื่อตามแผนที่องค์หญิงวางไว้ จอมมารอาจซ่อนตัวเจ้ายุทธภพมู่ไว้จนพวกเราหาตัวนางไม่เจอ สู้รอให้จอมมารนำตัวนางออกมาสังหารกลางแจ้งแล้วพวกเราค่อยบุกช่วยนางมิดีกว่าหรือ” รองแม่ทัพหานอี้กล่าว

สองบุรุษหันมามององค์หญิงอวี่เยียนเพื่อให้นางตัดสินใจ ฝ่ายองค์หญิงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนลงความเห็น “จอมมารอาจมีกลอุบายซ่อนอยู่ในการกระทำเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังไม่เห็นจุดเสียเปรียบใดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับฝ่ายเรา และยังเอื้อให้พวกเราชนะศึกในครั้งนี้ด้วย”

“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะสั่งบุกโจมตีข้าศึกเมื่อย่างเข้าสู่ยามอู่นะพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพหนุ่มกล่าว และองค์หญิงก็เห็นชอบด้วย

กองทหารนับหมื่นนายล่องเรือมาตามกระแสน้ำท่ามกลางหมอกหนาทึบ จนถึงสถานที่ตั้งมั่นของพรรคมาร แม้จะมองไม่เห็นทิวทัศน์โดยรอบ แต่จากการคำนวณระยะทางกับเวลาในการล่องเรือก็สามารถคาดคะเนจุดขึ้นบุกโจมตีอันเป็นป่าโปร่งฝั่งขวาของแม่น้ำ เมื่อหมอกจางหายรองแม่ทัพหานอี้รั้งรอให้ถึงยามอู่จึงสั่งกองทหารขึ้นจากเรือมุ่งหน้าสู่อาณาจักรของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี ในขณะนั้นอวี่เยียนในคราบมู่สาวเย่าได้ขี่หลังพญาอินทรีไปซ่อนตัวอยู่บนหน้าผาใกล้ที่ตั้งพรรคมารเพื่อรอจังหวะให้จอมมารนำตัวมู่สาวเย่าออกมา

“เงียบเชียบผิดปกติ” อวิ๋นไคบอกกับหานอี้ เมื่อบุรุษทั้งสองนำกองทัพเดินเท้าผ่านป่าโปร่งที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ แม้แต่เสียงแมลง บรรยากาศรอบทิศเงียบสงัดจนดูวังเวง รองแม่ทัพหนุ่มก็เห็นถึงความผิดปกตินี้

“ระวังตัวด้วย”

สิ้นคำเตือนของหานอี้ก็เกิดเสียงคำรามของพยัคฆ์นับร้อยตัวดังกึกก้องไปทั่วป่าแห่งหุบเขาเร้นลับ แล้วเหล่าทหารก็ต้องผวาเมื่อพยัคฆ์ลายพาดกลอนตัวใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนย่างสามขุมเข้ามา จนขุนศึกทั้งหลายต้องขยับตัวถอยเอาหลังชนกันเป็นกลุ่มใหญ่ ฝูงพยัคฆ์ตีโอบเข้ามา ดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงฉานดุจโลหิต ส่งเสียงขู่คำรามราวกับคลุ้มคลั่ง

“พวกมันเกิดจากวิชามาร” อวิ๋นไคตะโกนบอกหานอี้ ทว่ารองแม่ทัพกลับจนปัญญาจะต่อกรกับพยัคฆ์ปีศาจ

ชั่วพริบตา ฝูงพยัคฆ์ปีศาจก็กระโจนเข้าใส่กลุ่มทหารซึ่งใช้อาวุธเข้าปะทะและต่อสู้กับพวกมัน แม้เป็นเพียงสัตว์ที่ถูกเสกขึ้นมา แต่มีเขี้ยวเล็บตะครุบเหยื่อมิแตกต่างจากพยัคฆ์ตัวจริง สามารถฉีกเนื้อกัดกินเหล่าทหารได้อย่างสยดสยอง แม้ทุกคนจะถูกรุมกัด แต่มีเพียงอวิ๋นไคผู้เดียวที่พยัคฆ์ปีศาจไม่เข้าใกล้ พวกมันได้แต่ขู่คำรามและเดินวนไปวนมารอบตัวอดีตนักฆ่ารูปงาม

“เพราะกระบี่เทพสวรรค์สินะ” อวิ๋นไคยิ้มมุมปาก ด้วยกระบี่เป็นของฮ่องเต้ผู้เป็นดั่งโอรสสวรรค์ มีพลังเทพคุ้มครองจากเหล่าปีศาจและมารชั่วร้าย จึงปกป้องอวิ๋นไคซึ่งถือกระบี่ไว้ในมือ

ฉับพลันนั้นอวิ๋นไคก็ตวัดกระบี่จนเกิดเป็นพลังลมปราณรุนแรงรวมกับพลังเทพจากกระบี่พุ่งเข้าใส่พยัคฆ์ปีศาจที่โอบล้อมเขาไว้ ร่างพวกมันสลายกลายเป็นควันสีดำก่อนจะจางหายไป อดีตนักฆ่าหนุ่มมิรั้งรอให้สูญเสียเลือดเนื้อเหล่าทหารกล้า เขาใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นสู่กลางอากาศแล้ววาดกระบี่เป็นวงกว้าง ส่งพลังอันไร้ขีดจำกัดของตนและอานุภาพแห่งกระบี่สังหารพยัคฆ์ปีศาจทุกตัวที่กำลังขย้ำเหล่าทหาร ในพริบตาพวกมันก็สลายหายไปจนหมดสิ้น

อวิ๋นไคใช้นิ้วแตะกระบี่เทพสวรรค์แล้วยกขึ้นลูบ ดวงตาของเขากลายเป็นดวงตาทิพย์ สามารถมองเห็นจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีและลูกสมุนอีกแปดคนยืนอยู่กลางเวหาเบื้องหน้าเขา และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกเห็นจึงลดตัวลงมายืนบนพื้นดิน องค์หญิงอวี่เยียนที่ลงจากหน้าผาและแอบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ สนามรบได้เพ่งมองบุรุษผู้มีท่วงท่าสง่างามและองอาจที่สุดในฝ่ายมาร ทว่าน่าเสียดาย... บุรุษที่นางใฝ่ฝันอยากจะเห็นโฉมหน้ากลับสวมหน้ากากสีทองปกปิดใบหน้าของเขาไว้ แต่องค์หญิงยังไม่หมดหวัง เพราะอวิ๋นไคต้องทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ คือต้องทำให้จอมมารรูปงามเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้นางได้ยลโฉม ว่าแล้วอวี่เยียนก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยไปพร้อมๆ กับรอช่วยมู่สาวเย่า

“เจ้ามิอาจใช้พลังมารทำร้ายข้าได้เหมือนตอนเจอกันครั้งแรกอีกแล้ว ในมือข้าคืออะไรเจ้าคงรู้ดี หากยังอยากมีลมหายใจอยู่ก็จงปล่อยตัวมู่สาวเย่าออกมาแต่โดยดี” อวิ๋นไคเริ่มด้วยการขู่ซ่งเว่ยเชียนซี

หนี่ว์ไหหัวเราะเยาะหยันออกมาดังๆ ก่อนเอ่ย “ถึงประมุขข้าไร้ซึ่งพลังมาร ก็ใช่ว่าจะต่อสู้กับเจ้าไม่ได้สักหน่อย อย่ามาทำอวดเก่งนัก เดี๋ยวจะอับอายขายขี้หน้าคนอื่นไม่รู้ด้วย”

“มิต้องพิรี้พิไร จัดการพวกมันเลย” รองแม่ทัพหนุ่มตะโกนบอกอวิ๋นไค และนั่นก็เป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้ด้วยวรยุทธ์ล้วนๆ ไร้ซึ่งพลังมารใดๆ เพราะอวิ๋นไคใช้กระบี่เทพสวรรค์สะกดพลังมารของฝ่ายซ่งเว่ยเชียนซี แต่กระนั้นอดีตนักฆ่าหนุ่มก็ยังมิอาจสังหารจอมมารรูปงามให้ดับดิ้นได้ ทั้งสองต่อสู้กันด้วยสุดยอดวรยุทธ์ไร้เทียนทาน แต่มิรู้ผลแพ้ชนะ

ฝ่ายจอมมารมีลูกสมุนแปดคนที่เก่งกาจยิ่งนัก สามารถต่อสู้ปะทะกับกองทหารหลายพันที่รอดตายจากพยัคฆ์ปีศาจได้อย่างเหนือชั้น รวมทั้งรองแม่ทัพหานอี้ที่สู้แบบตัวต่อตัวกับหนี่ว์ไห ทั้งๆ ที่ร่างกายของทั้งคู่แตกต่างกันลิบลับ คนหนึ่งสูงใหญ่กำยำ แต่อีกคนตัวเล็กเท่าเด็กเจ็ดขวบ ทว่าหนี่ว์ไหกลับว่องไวและมีวรยุทธ์ไม่เป็นรองหานอี้เลย นางจึงต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสี

เมื่อซ่งเว่ยเชียนซีกับอวิ๋นไคฝีมือทัดเทียมกัน จึงต้องมีตัวแปรที่มาทำให้การต่อสู้จบลงโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะ ดังนั้นจอมมารรูปงามจึงใช้กำลังภายในดึงร่างบางที่ถูกจี้สกัดจุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่โดยไม่มีใครสังเกตเห็นให้ลอยมาสู่วงแขนของเขา ซ่งเว่ยเชียนซีคลายจุดให้มู่สาวเย่าแล้วจับนางมายืนด้านหน้าเพื่อเป็นโล่กำบังให้เขา

“ข้าต้องการสังหารมู่สาวเย่า แต่เจ้าต้องการช่วยนาง” จอมมารรูปงามเอ่ยกับอวิ๋นไคที่ยืนมองด้วยสีหน้านิ่งไร้อารมณ์ “มาดูกันว่าเจ้ากับข้า ใครจะทำได้สำเร็จก่อนกัน”

สิ้นคำจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีก็บีบคอมู่สาวเย่า ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะดิ้นทุรนทุรายเพราะขาดอากาศหายใจ ฉับพลับนั้น อวิ๋นไคก็พุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับใช้กระบี่เสียบแทงทะลุผ่านร่างบอบบางของมู่สาวเย่าไปยังร่างสูงเพรียวเบื้องหลังนางด้วย

ฉึก!

เลือดของผู้ถูกแทงไหลอาบกระบี่เทพสวรรค์จนปลายกระบี่เป็นสีแดงฉาน ทว่ากลับมิใช่เลือดของมู่สาวเย่า แต่เป็นเลือดจากมือจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี หากความไวในการแทงกระบี่ใส่ร่างมู่สาวเย่าของอวิ๋นไคใกล้เคียงกับความเร็วของเลี่ยเป้า[3] ความเร็วของซ่งเว่ยเชียนซีที่ผลักมู่สาวเย่าให้พ้นจากวิถีกระบี่ก็เทียบเท่ากับการบินดิ่งของโหยวสุ่น[4] ซึ่งถือกันว่าเป็นสัตว์ที่เร็วที่สุดในใต้หล้า ซ่งเว่ยเชียนซีใช้มือขวาจับลำกระบี่เทพสวรรค์มิให้เสียบแทงร่างเขา เลือดจากมือเรียวจึงไหลอาบปลายกระบี่

การกระทำของบุรุษรูปงามทั้งสองสร้างความตกใจ พิศวงงงวย และประหลาดใจให้แก่องค์หญิงอวี่เยียนผู้เฝ้าดูอยู่ห่างๆ หลังพุ่มไม้และมู่สาวเย่าที่หันกลับมามองสองบุรุษหลังจากถูกผลักอย่างแรงจนล้มลงนั่งกับพื้น เหตุใดอวิ๋นไคที่เป็นเหมือนสหายของมู่สาวเย่ากลับคิดสังหารนางโดยไม่ลังเล ในขณะที่จอมมารซ่งเว่ยเชียนซีที่ประกาศปาวๆ ว่าต้องสังหารมู่สาวเย่าในวันนี้กลับเป็นผู้ช่วยชีวิตเหยื่อสาวของเขาไว้ เกิดคำถามมากมายขึ้นในใจหญิงงามทั้งสอง ทว่าเวลานี้มิใช่เวลามาขบคิด เพราะการสู้รบยังดำเนินต่อไป อวี่เยียนฉวยโอกาสตอนทุกคนกำลังต่อสู้กันพุ่งตัวด้วยวิชาตัวเบาออกจากการซ่อนตัวเข้าไปจับแขนมู่สาวเย่าที่ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นโฉมหน้าองค์หญิง และพาหลบออกมายังต้นไม้ใหญ่ริมสมรภูมิรบอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ

“เจ้าเป็นใคร” มู่สาวเย่าถามสตรีที่มีโฉมหน้าเหมือนตนราวกับพิมพ์เดียวอย่างสงสัย ขณะแอบอยู่หลังต้นไม้ด้วยกัน

“มิต้องถามให้มากความ รีบเปลี่ยนเสื้อเร็ว ข้าจะสลับตัวกับเจ้า เร็วๆ เข้า” อวี่เยียนเร่งมู่สาวเย่า อีกฝ่ายทำตามแต่โดยดี เพราะคิดว่านี่อาจจะเป็นแผนช่วยชีวิตนางของฝ่ายอวิ๋นไคก็เป็นได้

“โฉมหน้าจอมมารถูกเปิดเผยแล้ว” เสียงอวิ๋นไคตะโกนดังก้องไปทั่วสมรภูมิรบ เมื่อซ่งเว่ยเชียนซีบาดเจ็บที่มือจนเพลี่ยงพล้ำถูกอวิ๋นไคกระชากหน้ากากสีทองที่ปกปิดโฉมหน้าไว้ออกไป ทั้งรองแม่ทัพหานอี้ เหล่าทหารศึกแห่งกองทัพหลวง รวมถึงองค์หญิงอวี่เยียนที่เฝ้ารอโอกาสนี้มานานต่างพุ่งสายตาจับจ้องไปที่ดวงหน้าของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีซึ่งยืนหน้านิ่งท่ามกลางเหล่านักรบที่รายล้อม

ความงามที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีสร้างความตะลึงงันให้แก่ผู้มิเคยได้ยลโฉม โดยเฉพาะองค์หญิงอวี่เยียนถึงกับตกอยู่ในภวังค์ไร้สติไปชั่วขณะ ฝ่ายลูกสมุนพรรคมารทั้งแปดคนก็เป็นห่วงและวิตกกังวลกับการมีคนเห็นโฉมหน้าประมุขตน รวมทั้งอาการบาดเจ็บที่มือขวาจนมิอาจต่อสู้ได้เต็มที่ ทำให้สมุนทั้งแปดคนพุ่งตัวกลับมายืนปกป้องคุ้มครองประมุขพรรคจากฝ่ายอวิ๋นไค

“ท่านประมุขหนีไปก่อน พวกข้าจะรับมือกับเจ้าอวิ๋นไคเอง” เทียนยี่บอกกับประมุขรูปงาม

“ข้ามิต้องทำเรื่องน่าอับอายด้วยการหนีเอาตัวรอดคนเดียวเยี่ยงนั้นหรอก” ซ่งเว่ยเชียนซีเอ่ยเสียงเรียบ ไม่มีท่าทีวิตกกังวลหรือประหวั่นพรั่นพรึงใดๆ เมื่อตนเองกำลังจะพ่ายแพ้

“แต่ท่านประมุขใช้พลังมารมิได้และยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ข้าเกรงว่า...” เทียนยี่ไม่กล้าเอ่ยต่อว่า ‘ท่านประมุขจะไม่รอด’ แต่คนฟังก็อ่านใจสมุนมือขวาได้ จอมมารรูปงามเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย มิได้หลบหนีไปอย่างที่ลูกสมุนของตนเอ่ยปาก

“ซ่งเว่ยเชียนซี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” อวิ๋นไคประกาศกร้าว

ความชื่นชอบในตัวจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีทำให้องค์หญิงอวี่เยียนในคราบมู่สาวเย่าวิ่งออกจากหลังต้นไม้ใหญ่เข้าไปหาจอมมารรูปงามเพื่อปกป้องเขา ทว่าไม่มีใครคาดคิด เมื่อจู่ๆ เกิดลมพัดแรงราวกับพายุ และทุกสรรพสิ่งคงถูกพัดปลิวตามแรงลมหากยืนไม่มั่นคงกับพื้นปฐพี

“ใครกันแน่ที่ควรจะดับดิ้น” ซ่งเว่ยเชียนซียกยิ้มมุมปาก

อวิ๋นไครู้ในบัดเดี๋ยวนั้นว่า การที่จอมมารซ่งเว่ยเชียนซีเลือกต่อสู้กับพวกตนในยามอู่ เพราะช่วงเวลานี้จะเกิดพายุฝน อวิ๋นไคไม่รู้ว่าจอมมารรูปงามผู้นี้ล่วงรู้ความลับเรื่องโรคมนุษย์ผักของเขาได้อย่างไร แต่ตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในอันตรายและมิอาจแก้ไขใดๆ ได้ ชั่วพริบตาเม็ดฝนก็ตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว พร้อมๆ กับการสลบแน่นิ่งไปของอดีตนักฆ่ารูปงามท่ามกลางความงุนงงของนักรบทุกคนในที่นั้น เว้นแต่มู่สาวเย่าที่เฝ้ามองและประเมินสถานการณ์อยู่ในใจเงียบๆ

รองแม่ทัพหานอี้วิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปหาอวิ๋นไคที่นอนเป็นมนุษย์ผักอยู่บนพื้นดินที่เปียกชุ่ม เขาเขย่าตัวอดีตนักฆ่าหนุ่มและเรียกให้ตื่น ทว่าร่างเพรียวกลับนอนนิ่งไร้การตอบสนอง ฝ่ายลูกสมุนจอมมารต่างมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่สถานการณ์พลิกผันเข้าข้างพวกตน

“สังหารอวิ๋นไคตอนนี้เลย” หนี่ว์ไหตะโกนบอกพรรคพวก

“ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง” ซ่งเว่ยเชียนซีเอ่ย พลางแบมือซ้ายที่ไร้แผลยื่นมาด้านหน้า เกิดควันสีดำพวยพุ่งออกจากฝ่ามือลอยลิ่วเข้าสู่กลางใจเหล่าขุนศึกฝ่ายตรงข้าม

ด้วยพลังมารอันแรงกล้าที่ไร้ขีดจำกัดในยามเมฆดำทะมึนบดบังแสงตะวันเหนือน่านฟ้าหุบเขาเร้นลับทำให้สามารถสะกดจิตเหล่าทหารแห่งกองทัพหลวงผู้ซึ่งมีบาปติดตัวให้คลุ้มคลั่ง ต่างยกอาวุธขึ้นห้ำหันกันเอง มีเพียงมู่สาวเย่ากับองค์หญิงอวี่เยียนผู้มิเคยสังหารผู้ใดให้เป็นบาปเท่านั้นที่หลุดพ้นจากอำนาจการสะกดจิตของจอมมารรูปงาม แม้รองแม่ทัพหานอี้จะพยายามตั้งสมาธิมิให้พลังมารเข้าครอบงำจิตใจ ทว่ามือที่ถือกระบี่กลับง้างขึ้นเพื่อแทงลงบนร่างเพรียวที่นอนไร้สติอยู่เบื้องล่างจนหานอี้ต้องใช้มืออีกข้างจับมือที่ขยับรั้งไว้

‘ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องช่วยพวกเขา’ มู่สาวเย่าคิด ก่อนจะวิ่งออกจากหลังต้นไม้เข้าไปหารองแม่ทัพหานอี้ ฝ่าคมดาบคมกระบี่ของเหล่าทหารซึ่งรบพุ่งกันเองโดยมีอวี่เยียนที่หันมาเห็นเข้าช่วยคุ้มกัน จนหญิงงามทั้งสองมายืนรวมกับรองแม่ทัพหนุ่มและอวิ๋นไค

“มู่สาวเย่ามีสองคน” หนี่ว์ไหเอ่ยขึ้นอย่างตกใจกึ่งงงงวย เมื่อเห็นสตรีสองนางที่อยู่กลางสนามรบหน้าเหมือนกันราวกับฝาแฝด เทียนยี่ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น เพ่งมองสองนางเพื่อหาข้อแตกต่างพลางเปรยขึ้น

“นอกจากอาภรณ์ของพวกนางแล้ว ข้ามิเห็นความแตกต่างอื่นที่บ่งบอกว่าเป็นมู่สาวเย่าตัวจริงเลย”

“ข้าจำได้ ก่อนหน้านี้มู่สาวเย่าสวมชุดสีเหลือง” หนี่ว์ไหบอกพรรคพวก ในขณะที่ซ่งเว่ยเชียนซีเพียงแต่ยืนนิ่งเฉยมองดูสองมู่สาวเย่าโดยมิปริปากเอ่ยใดๆ

มู่สาวเย่าผู้สวมอาภรณ์สีฟ้าขององค์หญิงก้มลงหยิบกระบี่เทพสวรรค์ที่ตกอยู่ข้างกายอวิ๋นไคขึ้นมาส่งให้รองแม่ทัพหนุ่ม พลางเอ่ยออกมาดังๆ เพื่อเรียกสติอีกฝ่าย

“ถือกระบี่นี่ไว้ พลังเทพจากกระบี่จะปกป้องท่านจากการสะกดจิตของจอมมาร”

หานอี้ได้ยินดังนั้นก็รีบใช้มือข้างที่ว่างเอื้อมไปรับกระบี่เทพสวรรค์มาถือไว้อย่างว่องไว ควันสีดำลอยออกจากตัวเขา ทำให้มือที่ง้างอยู่ตกลงมาพร้อมกับปล่อยกระบี่คู่ใจตกลงพื้น มู่สาวเย่ามองไปรอบสนามรบจนสะดุดเข้ากับบางอย่าง

“พวกท่านตามข้ามา” มู่สาวเย่าตะโกนบอกหานอี้กับอวี่เยียน แม้จะสงสัยแต่ทั้งสองก็วิ่งตามมู่สาวเย่าไปยังชายป่าข้างสนามรบ ซึ่งระหว่างทางที่วิ่งไป รองแม่ทัพหานอี้ได้ใช้กระบี่เทพสวรรค์ปัดป้องอาวุธจากเหล่าทหารที่คลุ้มคลั่ง

มู่สาวเย่านั่งลงกับพื้นดินซึ่งมีพรรณไม้เป็นใบม้วนๆ แทงขึ้นมา หัวกลมๆ ใต้ดินขึ้นอยู่เต็มทั่วผืนป่าบนหุบเขาเร้นลับ

“ช่วยข้าจุดไฟเผาว่านหอมเร็วๆ เข้า” เด็กสาวร้องบอกสองคนที่วิ่งมาด้วยกัน

“มันคือต้นว่านหอมหรือ” อวี่เยียนถามอย่างตื่นเต้น ขณะช่วยมู่สาวเย่าจุดไฟเผาต้นว่านหอมเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า ส่วนรองแม่ทัพหานอี้ก็ลงมือช่วยอีกแรง แต่มิวายถามมู่สาวเย่าด้วยความงุนงงสงสัย

“ทำไมเราต้องจุดไฟเผาต้นว่านหอมด้วยล่ะ”

“การจะปิดกั้นพลังมารที่สะกดจิตเหล่าทหารได้ต้องให้พวกเขาปิดอายตนะทั้งหก ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือการนอนหลับ และควันจากต้นว่านหอมสามารถทำให้ทหารสลบได้ เช่นนี้พวกเขาก็จะหยุดฆ่าฟันกันเอง” องค์หญิงอวี่เยียนในคราบมู่สาวเย่าเป็นฝ่ายตอบแทน

“คนดินแดนทางใต้ถือกันว่าว่านหอมเป็นว่านศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในการปราบมาร ขจัดปัดเป่าเคราะห์กรรม และสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ดังนั้นข้าจึงใช้ควันจากว่านหอมช่วยปกป้องทหารจากพลังมารของซ่งเว่ยเชียนซี” มู่สาวเย่าตัวจริงเสริม

เมื่อสิ้นข้อสงสัยหานอี้ก็จัดการจุดไฟเผาต้นว่านหอม นับว่าโชคดีที่ต้นไม้แถวชายป่าหนาทึบ ช่วยบดบังฝนที่ตกลงมาทำให้ดินใต้ดงว่านหอมแห้งเอื้อต่อการจุดไฟติดได้ง่าย กอปรกับฝนตกหนักเพียงครู่เดียวก็แผ่วลงเป็นตกปรอยๆ มิอาจทำให้ควันไฟจากการจุดไฟเผาต้นว่านหอมดับลงได้ ควันจึงลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ เหล่าทหารกล้าทั้งหลายพากันล้มตัวลงนอนสลบกับพื้นดิน

“ทำไมควันนี้ทำให้ข้าอ่อนแรงลงชอบกล” เทียนยี่เอ่ยขึ้น เมื่อควันลอยมาถึงพวกตน

“มันเป็นควันจากว่านศักดิ์สิทธิ์ หากพวกเราที่ฝึกวิชามารสูดดมเข้าไปมากๆ จะทำลายพลังมารในกายจนสูญสิ้นกำลังวังชา แม้แต่จะทรงตัวให้หยัดยืนก็มิอาจทำได้” ซ่งเว่ยเชียนซีบอกกับลูกสมุน ก่อนสั่งเสียงเฉียบ “กลับพรรคเดี๋ยวนี้”

จอมมารรูปงามหายตัวไปกับสายลม ตามด้วยลูกสมุนทั้งแปดคน แต่ก่อนที่หนี่ว์ไหจะตามประมุขของตนไป นางได้ใช้วิชาตัวเบาไปจับตัวมู่สาวเย่าผู้สวมอาภรณ์สีเหลืองพากลับพรรคไปด้วยกัน ฝ่ายคนถูกจับก็มิได้ต่อสู้ขัดขืน ทั้งยังยินดีต่อการถูกจับตัวไปในครั้งนี้อีกด้วย

 

การสู้รบยุติลงชั่วคราวโดยยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ เมื่อฝ่ายจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีล่าถอยกลับไปยังที่ตั้งมั่นพรรค ณ เชิงเขาฝั่งขวาของแม่น้ำ เหล่าขุนศึกแห่งกองทัพหลวงก็บาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กันเอง จนมิอาจตามไปถล่มพรรคมารได้ รองแม่ทัพหานอี้จึงสั่งถอยทัพไปตั้งค่ายห่างจากหุบเขาเร้นลับราวหนึ่งลี้[5] หลังจากทุกคนฟื้นจากควันสลบ รวมทั้งอวิ๋นไคที่ฟื้นขึ้นมาเมื่อฝนหยุดตก

“เจ้าเป็นอะไร จู่ๆ ก็ล้มแน่นิ่งนอนไม่ได้สติตอนหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น ทำเอาพวกเราเกือบตายกันทั้งกองทัพแล้ว” หานอี้ถามกึ่งต่อว่าอวิ๋นไค ขณะนั่งดื่มกินอาหารร่วมกันสามคนภายในกระโจมของรองแม่ทัพหนุ่ม

“ข้า... เอ่อ...” อวิ๋นไคอึกอักไม่อยากบอกความจริง แต่ก็ไม่รู้จะยกข้ออ้างอะไรมาตอบเพื่อให้หานอี้เชื่อ มู่สาวเย่าซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วยจึงช่วยเขาหาข้ออ้างที่น่าเชื่อถือมาตอบ และเพื่อมิให้เป็นการแก้ตัวแทนเด็กสาวจึงใช้วิธีถามเชิงชี้แนวคำตอบกับอวิ๋นไค

“ท่านคงหน้ามืดเป็นลมหมดสติเพราะความเครียดใช่หรือไม่”

อวิ๋นไคหันมาสบตามู่สาวเย่าอย่างคาดไม่ถึง เขาไม่คิดว่าเด็กสาวจะยังช่วยเขาทั้งๆ ที่นางก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาตั้งใจสังหารนางให้ตายลงด้วยมือของเขา

“เจ้าเครียดอย่างนั้นหรืออวิ๋นไค” เสียงหานอี้ทำให้อวิ๋นไคเลิกมองมู่สาวเย่าแล้วหันมาสนใจรองแม่ทัพแทน

“ใช่ ข้าคงเครียดเกินไป เพราะชีวิตทุกคนขึ้นอยู่กับข้า หากข้าสังหารจอมมารไม่ได้ ทุกคนก็จะตกอยู่ในอันตราย”

“แล้วอย่างไรล่ะ ทั้งข้ากับพวกทหารก็ตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจริงๆ ดีที่ได้องค์หญิงอวี่เยียนช่วยแก้ไขสถานการณ์ มิเช่นนั้นคงได้เป็นผีเฝ้าหุบเขากันทั้งกองทัพ” พูดจบหานอี้ก็หันไปยกมือขึ้นคำนับมู่สาวเย่า “ขอบพระทัยองค์หญิงเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ เพราะความปรีชาของพระองค์ทำให้พวกกระหม่อมรอดตายมาได้”

“ท่านรองแม่ทัพเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิใช่องค์หญิงอวี่เยียน แต่เป็นมู่สาวเย่าตัวจริงเจ้าค่ะ”

หานอี้ไม่ปักใจเชื่อในถ้อยคำของเด็กสาว “อย่าทรงล้อกระหม่อมเล่นสิพ่ะย่ะค่ะ ถึงอวิ๋นไคจะแปลงโฉมพระองค์ให้เหมือนมู่สาวเย่าราวกับแกะ แต่ฉลองพระองค์สีฟ้าที่ทรงสวมก็บ่งบอกว่าเป็นองค์หญิงแน่นอน”

“พวกเราสับเปลี่ยนชุดกัน ข้าจึงสวมอาภรณ์ขององค์หญิง”

ได้ยินดังนั้นรองแม่ทัพหนุ่มก็โวยวายออกมาด้วยความตกใจทันที “เป็นองค์หญิงที่ถูกจับตัวไป ไม่ จอมมารต้องฆ่าองค์หญิงแน่ ข้าต้องรีบไปช่วย”

“ช้าก่อน ท่านรองแม่ทัพ” อวิ๋นไคลุกขึ้นไปขวางหน้าหานอี้ไว้ ก่อนที่รองแม่ทัพจะวิ่งพรวดพราดออกจากกระโจม

“ซ่งเว่ยเชียนซีไม่สังหารองค์หญิงหรอก เพราะเจ้านั่นต้องใช้องค์หญิงเป็นตัวประกันเพื่อมาต่อรองกับพวกเรา อีกอย่าง... องค์หญิงอวี่เยียนก็ทรงมีพระปรีชาสามารถ ย่อมต้องเอาตัวรอดได้” อวิ๋นไคเอ่ยกับหานอี้เพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

“จะวางใจได้เยี่ยงไร เจ้าก็รู้ว่าจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีมันโหดเหี้ยมเพียงใด มันอาจล่วงเกินองค์หญิงก็เป็นได้” หานอี้วิตก

มู่สาวเย่าหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ท่านรองแม่ทัพวางใจได้ ต่อให้องค์หญิงยั่วยวนจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีแค่ไหน เขาก็มิอาจแตะเนื้อต้องตัวองค์หญิงได้ หากเขามีใจหวั่นไหวกับองค์หญิงแม้เพียงแค่คิด ชีพจรเขาจะขาดสะบั้นสิ้นใจตายในทันที”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” อวิ๋นไคถามเสียงห้วน

“เพราะข้าเคยยั่วยวนซ่งเว่ยเชียนซีมาก่อนน่ะสิ เขากระอักเลือดออกมาเลยนะ” มู่สาวเย่าเอ่ยแล้วยิ้มขันเมื่อนึกถึงตอนนั้น สีหน้าและแววตาแห่งความสนุกสนานปรากฏชัดบนดวงหน้างดงาม จนบุรุษที่มองอยู่เกิดอาการหงุดหงิด

“ดูเหมือนตอนอยู่กับซ่งเว่ยเชียนซี เจ้าจะมีความสุขมากสินะ ทำไมไม่กลับไปหาเจ้าจอมมารนั่นตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ บางทีเจ้าอาจจะยินดีกว่าอยู่กับข้าที่นี่” อวิ๋นไคว่า ก่อนจะเดินลงส้นเท้าออกจากกระโจมไป ปล่อยให้หานอี้กับมู่สาวเย่ามองหน้ากันด้วยความงุนงง

“เจ้าอวิ๋นไคเป็นอะไร ทำไมต้องโกรธด้วย เจ้าก็มิได้พูดอะไรผิดสักหน่อย” หานอี้ขมวดคิ้วมุ่น

“นั่นสิเจ้าคะ” มู่สาวเย่าเอ่ยพลางคิดในใจ ‘ข้าต่างหากที่สมควรโกรธ เขาคิดสังหารข้าให้ตายคากระบี่เขาแท้ๆ’

 

ทางด้านองค์หญิงอวี่เยียนก็ถูกยายเฒ่าร่างเด็กโอบเอวจากด้านหลังแล้วหายตัวแวบมายังห้องโถงของพรรค แต่ด้วยร่างกายที่เล็กกว่ามากทำให้หนี่ว์ไหใช้กำลังไปมากโข ทั้งกระโดดจับเอวและพาร่างบอบบางของอวี่เยียนในคราบมู่สาวเย่ามายืนเบื้องหน้าประมุขรูปงาม ทำให้หนี่ว์ไหเหนื่อยหอบมิใช่น้อย ท่ามกลางลูกพรรคคนอื่นที่ปรากฏตัวในห้องโถงก่อนหน้าสองนางเล็กน้อย

“ท่านประมุข ข้าจับตัวมู่สาวเย่ามาให้ท่านสังหารตามที่ลั่นวาจาประกาศิตไว้” หนี่ว์ไหเอ่ย เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าในห้องโถงของพรรค

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่านางคือมู่สาวเย่า ข้าเห็นนางผู้นี้ใช้วรยุทธ์ปกป้องมู่สาวเย่าอีกคนนะ” ลูกสมุนคนหนึ่งทักท้วง

“เรื่องวรยุทธ์มู่สาวเย่าอาจแอบปิดบังพวกเราก็เป็นได้ แต่ข้ามั่นใจว่านางผู้นี้คือมู่สาวเย่าตัวจริง เพราะนางสวมอาภรณ์สีเหลืองที่สวมตอนอยู่ที่นี่” หนี่ว์ไหแย้งอย่างมีเหตุมีผล

ซ่งเว่ยเชียนซีมองไปยังหลังฝ่ามือของสตรีโฉมงามตรงหน้า ปรากฏว่ามันไร้รอยแผลเป็น เขาจึงเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้ามิใช่มู่สาวเย่า... เจ้าเป็นใคร”

“ข้าคือสตรีผู้เป็นใหญ่รองจากมารดาแห่งแผ่นดิน สตรีที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์ฮ่องเต้ และเป็นสตรีที่สามารถให้คุณและโทษกับท่านได้ ข้าคือองค์หญิงแห่งแคว้นฮั่น นามว่า ฮั่นอวี่เยียน” อวี่เยียนกล่าว พร้อมกับส่งยิ้มให้จอมมารหนุ่ม อีกฝ่ายก็ยกยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยทักทายหญิงงามตรงหน้า

“ที่แท้เจ้าก็คือสตรีที่ขโมยดวงชะตาของผู้อื่นนี่เอง”


[1] เวลาตั้งแต่ 09.00 น. - 10.59 น.

[2] เวลาตั้งแต่ 11.00 น. - 12.59 น.

[3] เลี่ยเป้า (獵豹) คือเสือชีตาร์

[4] โหยวสุ่น (游隼) คือเหยี่ยวเพเรกริน

[5] 1 ลี้ () เท่ากับ 500 เมตร

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น