9

เก้า องค์หญิง นักฆ่า หญิงคณิกา และจอมมาร



เก้า

องค์หญิง นักฆ่า หญิงคณิกา และจอมมาร

 

รถม้าอันวิจิตรงดงามที่มีอาชาเทียมรถสองตัวประดับประดาด้วยกระดิ่งห้อยคอ ที่คาดหัว สายบังเหียนทำจากหนังแท้ และจำนวนเหล่าทหารผู้ติดตามหลายสิบนาย บ่งบอกยศศักดิ์ว่าเป็นขบวนเสด็จของกู้หลุนกงจู่[1] ซึ่งเสด็จออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่วัดเมี่ยงอังในเมืองเตี้ยนเอี้ย

“องค์หญิง เมืองลั่วหยางก็มีวัดมากมาย เหตุใดพระองค์ต้องเสด็จไปวัดเมี่ยงอังที่อยู่ห่างไกลเกือบร้อยลี้ด้วยเล่าเพคะ” นางกำนัลอาวุโสทูลถามต่อองค์หญิงอวี่เยียน ขณะนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังวิ่งไปอย่างช้าๆ

“แม่นมไม่รู้อะไร วัดเมี่ยงอังมีภิกษุรูปหนึ่งบำเพ็ญศาสนกิจอย่างเคร่งครัดและมีเมตตาธรรมจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วจงหยวน ข้าอยากไปนมัสการท่านสักครั้ง จึงขอพระราชทานอนุญาตจากเสด็จพ่อออกนอกวังหลวงอย่างไรล่ะ”

“แต่เส้นทางที่จะไปวัดเมี่ยงอังต้องผ่านช่องเขาขาดที่เขาลือกันว่าเป็นจุดที่พวกโจรชอบปล้นสะดมและฉุดคร่าผู้หญิงไปข่มขืนนะเพคะ แม้เราจะมีทหารองครักษ์ติดตามอารักขาจำนวนมาก แต่หม่อมฉันก็อดห่วงความปลอดภัยขององค์หญิงมิได้”

“ข้าศรัทธาในภิกษุรูปนั้น เชื่อว่าบารมีของท่านจะต้องคุ้มครองพวกเราให้ปลอดภัยตลอดเส้นทางแน่ๆ” องค์หญิงอวี่เยียนส่งยิ้มให้แม่นมจ้านที่ยังไม่คลายความวิตก

ขบวนเสด็จเดินทางมาจนเข้าใกล้ช่องเขาขาด แม่นมจ้านนั่งลุ้นตัวโก่งขณะรถม้าวิ่งผ่านช่องแคบของภูเขา ขณะที่องค์หญิงอวี่เยียนมิได้หวาดกลัวแต่อย่างใด นางยังคงเปิดผ้าม่านมองดูทิวทิศน์ข้างทางอย่างสำราญใจ

“โจร! โจรภูเขาดักปล้น!”

“คุ้มกันองค์หญิง!”

เสียงร้องตะโกนของทหารองครักษ์ทำเอาแม่นมจ้านตระหนกตกใจ หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม แต่กระนั้นนางก็ยังแสดงการปกป้ององค์หญิงด้วยการถกกระโปรงดึงเอามีดสั้นที่เสียบไว้ในถุงเท้าออกมาถือไว้ องค์หญิงอวี่เยียนเห็นความจงรักภักดีในตัวแม่นมจ้านก็ยิ้มกว้าง พลางเอ่ยชวนขัน

“มีดสั้นเล่มจิ๋วเท่าฝ่ามือนี้คงได้แค่สะกิดผิวพวกโจรเท่านั้นแหละ แม่นมจะกลายเป็นตัวตลกให้พวกมันหัวเราะเล่นนะ”

“ดีกว่าให้หม่อมฉันนั่งเฉยดูองค์หญิงตกอยู่ในอันตรายเพคะ” แม่นมจ้านกล่าว พลางเปิดประตูรถม้าเพื่อดูสถานการณ์ภายนอก เป็นจังหวะเดียวกับหัวหน้าองครักษ์วิ่งเข้ามาหาและทูลรายงาน

“องค์หญิง ทหารของพวกเราต้านทานกองโจรที่โจมตีอย่างหนักไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงหนีไปพร้อมกับแม่นมจ้านก่อน กระหม่อมจะตีฝ่าวงล้อมเบิกทางให้องค์หญิงหลบหนีไปพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็ได้” องค์หญิงอวี่เยียนเอ่ย พลางหันไปบอกแม่นมจ้าน “แม่นมตามข้ามาอย่าให้ห่างนะ”

“เพคะ”

ว่าแล้วหัวหน้าองครักษ์ก็คุ้มครองสตรีทั้งสองจากคมดาบคมกระบี่ของโจรภูเขาที่จู่โจมเข้ามาเป็นระยะๆ ท่ามกลางการต่อสู้ปะทะอาวุธกันระหว่างทหารองครักษ์หลายสิบนายกับเหล่าโจรภูเขานับร้อย ด้วยกำลังที่มีมากกว่าทำให้หัวหน้าองครักษ์เพลี่ยงพล้ำ ในขณะที่กำลังจะถูกจับกุมตัวเขาก็ตะโกนให้องค์หญิงอวี่เยียนกับแม่นมหนีไป สตรีทั้งสองต่างวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึก โดยมีจอมโจรห้าคนไล่ล่าไปติดๆ ก่อนที่โจรทั้งห้าจะใช้วิชาตัวเบากระโดดตัวลอยมาดักล้อมรอบพวกนางไว้จนมิอาจวิ่งหนีไปไหนได้ อีกพวกตีวงแคบเข้ามาหมายฉุดองค์หญิงรูปงาม

“อย่าเข้ามานะ ไม่อย่างนั้นข้าเสียบจริงๆ ด้วย” แม่นมจ้านตวาด พลางยืนบังร่างองค์หญิงไว้ ในมือถือมีดสั้นขู่พวกมัน แต่แล้วนางกำนัลอาวุโสก็ถูกหนึ่งในห้าโจรใช้แส้ฟาดเข้าที่ข้อมือจนมีดสั้นหลุดกระเด็นไปไกล เมื่อไร้อาวุธโจรทั้งห้าก็กระโจนเข้ามาฉุดองค์หญิงอวี่เยียนและจับตัวแม่นมไปมัดกับต้นไม้

“ปล่อยข้านะ ข้าบอกให้ปล่อย” องค์หญิงร้องลั่น ฝ่ายแม่นมจ้านก็ตะโกนด่าและพยายามดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดจากการถูกมัดด้วยเชือก

“งดงามหยาดฟ้าขนาดนี้ ขอข้าคนแรกเถอะนะ” โจรจอมกักขฬะคนหนึ่งเอ่ย พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้างาม

ฉับพลันนั้นก้อนหินขนาดเล็กอันทรงพลังก็พุ่งเข้ามากระแทกศีรษะของโจรจอมกักขฬะผู้นั้นจนมันเซถลาล้มลงกับพื้น จอมยุทธ์รูปงามกระโดดลงจากหลังพญาอินทรีมายืนเบื้องหน้าองค์หญิง ท่ามกลางความตกใจของจอมโจรทั้งห้า สีหน้าพวกมันซีดเผือดไปตามๆ กัน ต่างปากคอสั่นขณะเอ่ยฉายานามของอดีตนักฆ่ารูปงาม

“นัก-ฆ่า-พญา-อินทรี!”

“ถ้าไม่อยากตายก็ไปให้พ้นหน้าข้า” อวิ๋นไคสั่งเสียงเข้ม โจรทั้งห้าต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คล้ายกำลังชั่งใจว่าควรจะต่อสู้กับบุรุษรูปงามตรงหน้าดีหรือไม่ ทว่าในบรรดานักโทษ ผู้ร้าย จอมโจร หรือแม้แต่นักฆ่าด้วยกัน ชื่อเสียงของนักฆ่าพญาอินทรีเป็นที่กระฉ่อนไปทั่วว่าเป็นผู้มีวรยุทธ์ไร้เทียมทาน ไปมาไร้ร่องรอย เหยื่อทุกรายที่เขาต้องการสังหารไม่เคยรอดพ้นคมกระบี่ของเขา ทางราชสำนักยกให้เขาเป็นนักฆ่ามือวางอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด

“เจ้ากล้าต่อสู้กับพวกข้าอย่างนั้นรึ” หนึ่งในห้าจอมโจรตะโกนถาม

อวิ๋นไคไม่ปริปากพูดใดๆ เพียงแค่ใช้นิ้วดันกระบี่ออกจากฝักเล็กน้อยก็สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่พวกโจรเป็นอย่างมาก จนวิ่งหนีเตลิดเปิดโปงไปคนละทิศคนละทาง

“เป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นไคหันมาถามองค์หญิงอวี่เยียนที่ยืนนิ่งมองดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ

“ข้าไม่เป็นอะไร ขอบใจเจ้ามาก” องค์หญิงรูปงามตอบ ก่อนเดินไปแก้เชือกที่ผูกมัดแม่นมไว้กับต้นไม้ แม่นมจ้านยิ้มร่า สีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งอกที่มีบุรุษมาช่วยองค์หญิงไว้ได้ทัน

“ขอบคุณท่านจอมยุทธ์มาก ถ้าท่านไม่ช่วยองค์หญิงไว้ ข้าคงต้องกัดลิ้นตายด้วยความเสียใจแน่ๆ” แม่นมจ้านพูดเสียงสั่นแทบอยากร้องไห้ออกมาอย่างดีใจ

“ดูท่านจะรักองค์หญิงมากเลยนะ” อวิ๋นไคถาม ยังไม่ทันที่แม่นมจะตอบ เสียงหัวหน้าองครักษ์ก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“องค์หญิง แม่นมจ้าน” หัวหน้าองครักษ์วิ่งตรงเข้ามาหา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอวิ๋นไคยืนอยู่ข้างองค์หญิง “เจ้า!”

“เขามาช่วยข้าไว้ ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกพวกโจรฉุดไปแล้ว” องค์หญิงชี้แจง แล้วเอ่ยถามถึงสถาณการณ์ขณะนั้น

“ตอนแรกกระหม่อมก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพวกมันจึงส่งสัญญาณให้ล่าถอยกัน แต่ตอนนี้กระหม่อมเข้าใจแล้ว ที่แท้เพราะนักฆ่าอวิ๋นไคปรากฏตัวจึงทำให้พวกมันขวัญเสียรีบหนีกันไปพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์ทูลรายงาน

“แล้วทหารของเราเป็นอย่างไรกันบ้าง”

“นับว่าโชคดีที่ทหารของเราได้รับการฝึกมาอย่างดี จึงต่อสู้กับโจรได้อย่างสูสี อีกทั้งใช้เวลาไม่นานพวกมันก็ล่าถอย จึงไม่มีผู้ใดเสียชีวิต มีเพียงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่เส้นทางไปวัดเมี่ยงอังยังอีกยาวไกล หากมีโจรหรือคนร้ายดักซุ่มโจมตีอีก กระหม่อมเกรงว่ากำลังทหารเราจะมิอาจสู้รบตบมือกับพวกมันได้” หัวหน้าองครักษ์รายงานตามตรง ซึ่งองค์หญิงก็เห็นด้วย

“เช่นนั้นพวกเราก็กลับวังหลวงกันก่อน วันหลังข้าค่อยไปวัดเมี่ยงอัง”

“ทรงพระเมตตายิ่งนัก กระหม่อมจะถ่ายทอดคำสั่งขององค์หญิงทันทีพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบหัวหน้าองครักษ์ก็วิ่งกลับไปยังทางเดิมซึ่งเป็นจุดที่เหล่าทหารรอกันอยู่

องค์หญิงอวี่เยียนหันมาเอ่ยกับอวิ๋นไค “เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะทูลต่อเสด็จพ่อให้พระราชทานรางวัลแก่เจ้า โปรดตามข้ากลับวังหลวงด้วย”

อวิ๋นไคยกมือขึ้นคำนับ “เป็นพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็มีเรื่องจะทูลขอบางอย่างต่อฮ่องเต้เช่นกัน”

“ท่านไม่ต้องห่วง ฮ่องเต้โปรดปรานองค์หญิงอวี่เยียนมาก ไม่ว่าท่านขออะไรฝ่าบาทต้องพระราชทานสิ่งของนั้นให้ท่านแน่นอน” แม่นมจ้านกล่าวโดยมิได้คิดอะไรมาก “องค์หญิง พวกเรารีบกลับวังหลวงกันดีกว่าเพคะ”

ว่าแล้วแม่นมจ้านก็ประคององค์หญิงเดินกลับไปยังขบวนทหารองครักษ์ นางกำนัลอาวุโสไม่ได้สังเกตเลยว่าองค์หญิงอวี่เยียนกับอวิ๋นไคเหลือบมองและส่งยิ้มให้กัน

 

ม้าเร็วรีบกลับวังหลวงเพื่อส่งข่าวแก่องค์ฮ่องเต้เรื่องโจรภูเขาดักปล้นขบวนเสด็จขององค์หญิงอวี่เยียนระหว่างเสด็จไปวัดเมี่ยงอัง หลังจากฮ่องเต้กวงอู่ตี้ทรงทราบก็ร้อนพระทัยอย่างยิ่ง ทรงเสด็จไปประทับรอ ณ ประตูทิศตะวันออกซึ่งเป็นทางเข้าวังหลวงใกล้กับตำหนักกงจูอันเป็นที่ประทับขององค์หญิงอวี่เยียนที่สุด นอกจากฮองเต้ที่รอคอยการกลับมาของพระธิดาแล้ว ยังมีฮองเฮาซึ่งเป็นพระมารดาแท้ขององค์หญิงอวี่เยียนก็รอคอยอย่างกระวนกระวายด้วยเช่นกัน เมื่อขบวนเสด็จผ่านประตูวังเข้ามา องค์หญิงอวี่เยียนก็รีบเสด็จลงจากรถม้าเพื่อมาถวายเคารพฮ่องเต้กับฮองเฮาที่มารอรับ

“อวี่เยียน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ฮ่องเต้จับแขนพระธิดาคนโปรดให้ลุกขึ้น แล้วตรัสถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ต่างจากฮองเฮาที่โผเข้ากอดองค์หญิงแล้วตรัสด้วยสุรเสียงสั่นเครือ

“ต่อไปแม่จะไม่ให้เจ้าออกจากวังแล้ว หากเจ้าเป็นอะไรไปแม่จะอยู่ได้อย่างไร”

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ หม่อมฉันมิได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย ยังคงสบายกายสบายใจดีทุกอย่าง อย่าได้ทรงวิตกกังวลใจเลยเพคะ”

“กราบทูลฝ่าบาท ตรงนี้แสงตะวันแรงกล้ามิควรยืนอยู่นาน ทูลเชิญทั้งสามพระองค์เสด็จไปประทับในตำหนักกงจูก่อน แล้วจึงค่อยไถ่ถามเรื่องราวต่างๆ กับองค์หญิงดีหรือไม่เพคะ” แม่นมจ้านทูลเสนอ และทุกพระองค์ก็ทรงเห็นชอบ

ตำหนักกงจูดูคับแคบไปถนัดตาเมื่อฮ่องเต้ ฮองเฮา เหล่าพระญาติ รวมทั้งขุนนางระดับสูงที่สนิทกับองค์หญิงอวี่เยียนต่างพากันเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญที่องค์หญิงเพิ่งไปประสบมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย เรื่องราวต่างๆ ถูกถ่ายทอดโดยหัวหน้าองครักษ์และแม่นมจ้านผู้อยู่เคียงข้างองค์หญิงในช่วงเวลานั้น

“เจ้ารอดมาได้เพราะนักฆ่าพญาอินทรีอย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้ตรัสถามพระธิดาคนโปรด

“เพคะ หากมิได้อวิ๋นไคช่วยเอาไว้ หม่อมฉันคงถูกพวกโจรกักขฬะย่ำยีเป็นแน่ ด้วยความช่วยเหลือของเขาในครั้งนี้ทำให้หม่อมฉันรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขาเหลือล้น จึงอยากทูลขอเสด็จพ่อให้พระราชทานรางวัลแก่อวิ๋นไคด้วยเพคะ” องค์หญิงอวี่เยียนทูลขออย่างนอบน้อม

“คนไหนล่ะอวิ๋นไค” ฮ่องเต้ตรัสถาม พลางไล่พระเนตรมองหานักอดีตฆ่าพญาอินทรีผู้โด่งดัง แล้วจอมยุทธ์รูปงามที่ยืนอยู่มุมห้องก็เดินแทรกตัวเข้ามา ความที่รูปงามและสง่าผ่าเผยเป็นที่สะดุดตาแก่เหล่าชนชั้นสูงในห้องนั้น เสียงชื่นชมจึงดังอื้ออึงจนฮ่องเต้ต้องแกล้งกระแอมกระไอ

“กระหม่อมอวิ๋นไค ในอดีตมีสมญานามว่า นักฆ่าพญาอินทรีพ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นไคหมอบกราบลงกับพื้น ก่อนได้รับพระราชทานอนุญาตให้ลุกขึ้นยืน

“เจ้าบอกว่าเป็นสมญานามในอดีต แสดงว่าบัดนี้เจ้าไม่ได้เป็นนักฆ่าแล้วเยี่ยงนั้นรึ” ฮ่องเต้ทรงสงสัย

“เสด็จพ่อจำเรื่องมู่สาวเย่า หญิงคณิกาที่ทำให้บุรุษทั่วหล้าต้องเดินทางมาประมูลแย่งชิงตัวนางได้หรือไม่เพคะ” อวี่เยียนทูลถามก่อนทบทวนเรื่องราวให้พระบิดาและทุกคนในห้องนั้นฟัง

“อ้อ ที่แท้อวิ๋นไคผู้นี้ก็เป็นทาสรับใช้ของมู่สาวเย่าที่กลายเป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่นั่นเอง” องค์หญิงชิงชิงผู้ดำรงตำแหน่งเหอซั่วกงจู่[2] และเป็นพี่สาวขององค์หญิงอวี่เยียนเอ่ยขึ้น

“เอาละ ข้าจะไม่พูดถึงอดีตของเจ้า เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็เลิกเป็นนักฆ่าแล้ว และอวี่เยียนก็เป็นตัวแทนข้าพระราชทานอภัยโทษให้แก่เจ้า ในครั้งนี้เจ้าได้ทำความดีความชอบยิ่งใหญ่ที่ช่วยอวี่เยียนผู้เป็นแก้วตาดวงใจของข้า ทำให้ข้าซาบซึ้งใจมาก ไหนจงบอกข้ามาสิว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใดตอบแทน หากไม่ผิดศีลธรรมและเป็นสิ่งที่ข้าหามาได้ ข้าก็จะพระราชทานให้แก่เจ้า” ฮ่องเต้ตรัสถามอวิ๋นไคซึ่งรอเวลานี้มานาน

“กราบทูลฝ่าบาท สิ่งที่กระหม่อมต้องการเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทมีอยู่แล้ว และทรงพระราชทานให้กระหม่อมได้โดยง่ายพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนงขึ้นสูง “มันคืออะไรรึ”

“กระบี่เทพสวรรค์และทหารศึกจำนวนหนึ่งหมื่นนายพ่ะย่ะค่ะ”

คำตอบของอวิ๋นไคสร้างเสียงฮือฮาในหมู่ราชนิกุลและขุนนางต่างพากันวิจารณ์ในความใจกล้าของอดีตนักฆ่ารูปงาม ที่ทูลขอสิ่งล้ำค่าอย่างกระบี่เทพสวรรค์อันเป็นอาวุธคู่บารมีของฮ่องเต้ทุกพระองค์ และก่อนที่สถานการณ์จะพลิกผันจากการพระราชทานรางวัลเป็นการลงพระอาญาแทน องค์หญิงอวี่เยียนก็โพล่งออกมาดังๆ

“กระบี่เทพสวรรค์เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของฮ่องเต้ ผู้ได้รับการเคารพในฐานะโอรสแห่งสวรรค์ เจ้าเป็นสามัญชน จะมาครอบครองอาวุธของโอรสสวรรค์ได้เยี่ยงไร”

“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจเอื้อมเป็นเจ้าของกระบี่เทพสวรรค์ แต่เจ้านายของกระหม่อมถูกจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีจับตัวไป และนางจะถูกสังหารในวันพรุ่งนี้ ด้วยพลังมารนั้นมีอานุภาพรุนแรงยากต่อการเอาชนะได้ ต้องมีพลังแห่งเทพมาปราบ และอาวุธที่จะใช้กำจัดจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีได้มีเพียงกระบี่เทพสวรรค์ของฝ่าบาทเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นไคชี้แจง

“อ๋อ เจ้าทำเพื่อเจ้ายุทธภพมู่สาวเย่านี่เอง แล้วทหารศึกหมื่นนายก็เพื่อยกไปช่วยต่อสู้กับคนในพรรคมารสินะ” อวี่เยียนพยักหน้าช้าๆ ก่อนหันไปทูลต่อฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ อวิ๋นไคเป็นนักฆ่าที่ผู้คนต่างเลื่องลือกันว่าเป็นยอดจอมยุทธ์ลำดับต้นๆ หากรวมพลังกับอาวุธล้ำค่าอย่างกระบี่เทพสวรรค์ เชื่อแน่ว่าอวิ๋นไคต้องเอาชนะจอมมารแห่งยุทธภพได้แน่เพคะ”

ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์ลังเล ก่อนจะตรัส “แต่เขาไม่เคยมีประสบการณ์การสู้รบ อีกทั้งมิใช่แม่ทัพ หากข้าแต่งตั้งเขาเป็นผู้นำทัพในครั้งนี้ เชื่อแน่ว่าเหล่าทหารจะต้องไม่มั่นใจในตัวเขาแน่ๆ อาจถึงขั้นหนีทัพก็ได้”

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีข้อเสนอ” อวิ๋นไคเอ่ย เมื่อฮ่องเต้พยักหน้า เขาจึงกราบทูล “กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าองค์หญิงอวี่เยียนร่ำเรียนพิชัยยุทธ์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อีกทั้งยังเคยเป็นที่ปรึกษาให้ฝ่าบาทในการสู้รบกับพวกนอกด่าน ด้วยสติปัญญาขององค์หญิงเป็นที่ยอมรับในหมู่ทหารศึก เช่นนั้นแล้ว ทำไมฝ่าบาทมิทรงแต่งตั้งให้องค์หญิงอวี่เยียนเป็นกุนซือและแม่ทัพในครั้งนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“อะไรนะ! เจ้าจะให้อวี่เยียนออกรบกับเจ้าด้วยอย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงสูงอย่างคาดไม่ถึงกับข้อเสนอของอดีตนักฆ่ารูปงาม

“เสด็จพ่อ เคยให้หม่อมฉันสืบเรื่องจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีเพื่อหาทางสังหารเขา และนี่ก็เป็นโอกาสของราชสำนักแล้วที่จะกำจัดจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีเพื่อสร้างความสงบสุขให้ทุกคนในใต้หล้า พระราชทานอนุญาตให้หม่อมฉันไปร่วมรบกับอวิ๋นไคเถิดเพคะ”

“อย่านะเพคะ ลูกเรายังเยาว์เกินกว่าจะต่อสู้กับใครได้ แค่โจรภูเขานางยังต้องมีคนช่วยเลย” ฮองเฮาทรงคัดค้านออกมา ฝ่ายองค์หญิงอวี่เยียนเห็นความลังเลในสายพระเนตรของฮ่องเต้และสีพระพักตร์วิตกกังวลของฮองเฮา องค์หญิงจึงทูลขอร้องทั้งสองพระองค์อีกครั้ง

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เรื่องวรยุทธ์หม่อมฉันอาจสู้มิได้ แต่เรื่องกลศึกหม่อมฉันมั่นใจว่าไม่เป็นรองใคร หม่อมฉันอยากทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง เพื่อขุนนางและราษฎรชาวฮั่น ทรงเห็นแก่ความตั้งใจของหม่อมฉัน พระราชทานอนุญาตเถอะนะเพคะ”

“ก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น” ในที่สุดฮ่องเต้ก็พระทัยอ่อน “ข้าขอแต่งตั้งองค์หญิงอวี่เยียนเป็นกุนซือและเป็นแม่ทัพนำทหารศึกหนึ่งหมื่นนายไปบุกทำลายพรรคมาร และแต่งตั้งให้อวิ๋นไคเป็นรองแม่ทัพ สามารถใช้กระบี่เทพสวรรค์ของข้ากำจัดจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีได้” สิ้นคำประกาศของฮ่องเต้กวงอู่ตี้ ราชเลขาก็จัดการถ่ายทอดคำสั่งเป็นราชโองการในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นตำหนักกงจูก็เงียบลงเมื่อทุกพระองค์แยกย้ายกันกลับตำหนัก รวมทั้งเหล่าขุนนางที่กลับจวนของตน ท่ามกลางเสียงชื่นชมในความกล้าหาญขององค์หญิงอวี่เยียนและอดีตนักฆ่าอวิ๋นไคที่อาสาไปปราบจอมมาร ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วทุกอย่างล้วนเป็นอุบายที่ทั้งสองคนร่วมมือกันวางแผนเพื่อให้บรรลุความต้องการของตัวเอง

ย้อนไปในคืนก่อนวันที่องค์หญิงจะเสด็จไปวัดเมี่ยงอัง ตำหนักกงจูได้มีอาคันตุกะเป็นอดีตนักฆ่าพญาอินทรีและเขาก็ได้พูดคุยกับองค์หญิงอวี่เยียนเป็นครั้งแรก

 

กลิ่นบุปผาหอมฟุ้งกระจายไปทั่วตำหนักกงจูเมื่อถึงยามที่องค์หญิงอวี่เยียนต้องทรงสรงน้ำชำระพระวรกาย เหล่านางกำนัลนำน้ำมันหอมที่สกัดจากมวลบุปผานานาพรรณมาเทลงในสระสรงน้ำพร้อมโรยกลีบดอกเหมยกุ้ย[3] สีชาดอันเป็นสีโปรดขององค์หญิงลงไปจนกลีบดอกเหมยกุ้ยลอยเหนือผิวน้ำเต็มสระแลดูสวยงาม สิ่งสุดท้ายของการตระเตรียมคือการนำเครื่องหอมและเทียนหอมมาตั้งไว้รอบห้องเพื่อเพิ่มความรัญจวนยิ่งขึ้น

“องค์หญิง ห้องสรงน้ำพร้อมแล้วเพคะ” นางกำนัลเข้าไปทูลเชิญองค์หญิงอวี่เยียนที่ประทับรออยู่ในห้องบรรทม

องค์หญิงอวี่เยียนลุกขึ้นเดินมายังห้องสรงน้ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห้องบรรทม มีเพียงประตูบานเลื่อนไร้กลอนกั้นห้องไว้เท่านั้น นางกำนัลสองคนเข้ามาถอดอาภรณ์ขององค์หญิงจนมิเหลืออาภรณ์ใดปกปิด เจ้าของเรือนร่างงดงามค่อยๆ หย่อนกายลงไปในสระ กลีบดอกเหมยกุ้ยลอยเคลื่อนตามแรงกระเพื่อมของน้ำที่มีวัตถุแทรกลงมา ทว่าเสียงบางอย่างทำให้องค์หญิงต้องเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ก่อนเอ่ยกับนางกำนัลในห้อง

“พวกเจ้าออกไปจากห้องนี้ให้หมดทุกคน รอให้ข้าเรียกจึงค่อยเข้ามา”

“เพคะ” นางกำนัลทยอยกันออกจากห้อง เมื่ออยู่เพียงลำพังองค์หญิงก็ดึงปิ่นปักผมออกจากมวยผม แล้วซัดใส่เปลวไฟบนปลายเทียนหอมที่วางเรียงกันอยู่ริมสระจนดับลงทั้งหมด ภายในห้องสรงน้ำมืดมิดลงฉับพลัน มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาพอให้มีแสงสลัว

“เข้าใจเลือกเวลาบุกรุกเข้ามาจริงๆ นะ เจ้าอาคันตุกะลามก” องค์หญิงเอ่ยเสียงเข้ม พลางตวัดสายตามองคานไม้ด้านบนของตำหนัก “เห็นหมดแล้วสินะ”

บุรุษผู้ถูกต่อว่ากระโดดลงจากคานไม้มายืนริมสระเบื้องหน้าองค์หญิง “ข้าเพิ่งเข้ามา ไม่คิดว่าเจ้าจะเข้ามาอาบน้ำ”

“ไม่ได้เป็นใบ้ก็ควรส่งเสียงให้ได้ยินก่อนข้าถอดชุดสิ มิใช่เคาะนิ้วกับคานไม้ให้ข้าได้ยินทีหลัง ถ้าไม่เห็นว่าเจ้ามีวรยุทธ์เหนือกว่าข้า ข้าคงใช้ปิ่นแทงตาเจ้าไปตั้งแต่ตอนเห็นเจ้าบนคานนั่นแล้ว”

“แค่ลูกเกดติดกำแพง มีอะไรให้น่ามอง รีบอาบน้ำแล้วมาคุยกัน ข้าจะไปรอที่ห้องข้างๆ” พูดจบอวิ๋นไคก็เดินฝ่าความมืดสลัวไปเปิดประตูบานเลื่อนแล้วเข้าไปในห้องบรรทมขององค์หญิงอวี่เยียน

“หยาบคายที่สุด” อวี่เยียนว่า พลางก้มมองหน้าอกตัวเอง “ออกจะสะบึ้ม”

ด้วยรู้สึกขุ่นเคืองที่เรือนร่างของตนถูกอดีตนักฆ่ารูปงามเห็นทั่วสรรพางค์กาย ทำให้องค์หญิงอวี่เยียนคิดเอาคืนด้วยการสรงน้ำอย่างเชื่องช้า และปล่อยให้อวิ๋นไครอในห้องบรรทมนานเกินหนึ่งชั่วยามจึงค่อยแต่งตัวแล้วเดินผ่านประตูบานเลื่อนเข้าไปด้านในเพื่อพูดคุยกับอวิ๋นไคตามที่เขาบอก

อวิ๋นไคละสายตาจากภาพวาดบนผนังมามององค์หญิงอวี่เยียน เขามิได้ตำหนินางที่ทำให้รอนาน และยังรินน้ำชาบนโต๊ะกลมกลางห้องให้นางอีกด้วย

“เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าข้าลักลอบเข้ามาในวังด้วยประสงค์ใด” อวิ๋นไคไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยตรงไปตรงมากับองค์หญิง

“ก็คงมิได้มาเพื่อถ้ำมองข้าเปลือยกายแน่ๆ ไม่เช่นนั้นข้าคงเรียกทหารให้มาจับตัวเจ้านานแล้ว” อวี่เยียนว่า

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นพระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ จึงมาเพื่อขอร้องให้เจ้าช่วยทูลขอกระบี่เทพสวรรค์กับฮ่องเต้ ให้ทรงพระราชทานกระบี่ให้ข้ายืมชั่วคราว” อวิ๋นไคไม่อ้อมค้อม พลางจ้องมององค์หญิงด้วยสีหน้าจริงจัง อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ แล้วจึงตอบ

“มาขอร้องแต่กลับพูดจาเป็นกันเองกับองค์หญิงสูงศักดิ์เยี่ยงข้า ไม่ไร้มารยาทไปหน่อยหรือ”

“ข้าพูดกับเจ้ามิใช่ในฐานะองค์หญิงกับสามัญชน แต่เป็นชาวยุทธ์ด้วยกัน ถ้าเจ้าถือตัว เห็นยศศักดิ์เป็นเรื่องสำคัญ ข้าก็จะเปลี่ยนถ้อยคำที่ใช้พูดกับเจ้า”

“ช่างเถอะ จะมาถือสาอะไรกับอดีตนักฆ่าผู้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเล่า...” องค์หญิงหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนเท้าแขนกับโต๊ะแล้วเชิดหน้าถามอีกฝ่าย “ถ้าข้าทำตามที่เจ้าขอ ข้าจะได้อะไรตอบแทน”

“โฉมหน้าที่แท้จริงของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี” คำตอบของอวิ๋นไคชัดถ้อยชัดคำและตรงใจราวกับนั่งอยู่ในใจองค์หญิงอวี่เยียน ทำเอานางถึงกับอึ้งไป แต่กระนั้นองค์หญิงรูปงามก็ไม่ยอมรับง่ายๆ

“โฉมหน้าของจอมมารมีอะไรให้ข้าสนใจ ก็แค่บุรุษที่มีรอยสักเปลวอัคคีสีนิลบนหน้าผากคนหนึ่งเท่านั้น”

อวิ๋นไคหัวเราะออกมา “เจ้ามีความปรารถนาแรงกล้าที่จะได้เห็นโฉมหน้าซ่งเว่ยเชียนซีมิใช่หรือ”

“เจ้าเอาอะไรมาพูด องค์หญิงอย่างข้ารึจะอยากเห็นหน้าจอมมารชั่วช้า อย่ามาคิดเดาเอาเองหน่อยเลย” องค์หญิงเอ่ยเสียงเรียบ พยายามข่มอารมณ์ตื่นเต้นมิให้แสดงออกมาทางสีหน้าจนอีกฝ่ายจับได้

“แล้วนั่นคืออะไร” อวิ๋นไคชี้นิ้วไปที่ภาพวาดบนผนังซึ่งเขาจ้องมองมันอยู่นาน ก่อนที่องค์หญิงจะเดินเข้ามาในห้องบรรทม “ภาพบุรุษรูปงามถูกวาดบนกระดาษธรรมดาที่มีรอยยับ แต่ผ้าแขวนที่ใช้ติดกระดาษกลับเป็นผ้าทอเนื้อดี แสดงถึงความรักและทะนุถนอมต่อภาพวาดนั้น ข้าดูภาพนี้อยู่นาน แต่ดูไม่ออกว่าเป็นภาพของบุรุษคนใด จนกระทั่งเห็นรอยหมึกจางๆ ใต้ภาพเป็นตัวอักษรสี่คำคือ     (ซ่ง เว่ย เชียน ซีข้าถึงรู้ว่าเจ้ามีจิตปฏิพัทธ์ต่อจอมมารรูปงามผู้นั้น”

องค์หญิงนิ่งเงียบเพราะจนคำพูด อวิ๋นไคเห็นเป็นโอกาสจึงแกล้งยั่วให้อวี่เยียนเกิดความอยากเห็นมากยิ่งขึ้น

“ภาพซ่งเว่ยเชียนซีที่เจ้าเฝ้ามองทุกวี่วันนี้แม้จะวาดได้งามชวนหลงใหลก็จริง แต่กลับห่างไกลจากตัวจริงยิ่งนัก ทั้งโฉมหน้าที่งามเกินกว่าบุรุษ เหล่าองค์ชาย หรือแม้แต่เทพเซียนก็หาเทียบเขาได้ไม่ และไม่มีจิตรกรคนใดสามารถวาดรูปซ่งเว่ยเชียนซีให้งามและสง่าผ่าเผยได้ใกล้เคียงกับตัวจริงเลยสักคน”

“เจ้าเคยเห็นหน้าซ่งเว่ยเชียนซีแล้วหรือ” องค์หญิงย้อนถาม

“แน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะบอกได้อย่างไรว่า ภาพวาดนี้งามมิได้เศษเสี้ยวของตัวจริงน่ะ” อวิ๋นไคชะโงกหน้าเข้าไปใกล้องค์หญิง แล้วหรี่เสียงลงต่ำคล้ายกลัวใครจะได้ยิน “ถ้าเจ้าเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซ่งเว่ยเชียนซีสักครั้ง เจ้าจะรู้ว่าที่ข้าพูดมามิได้เกินความจริงเลย และต้องกลับมาฉีกรูปที่เจ้าทะนุถนอมนี้ทิ้งอย่างไม่ไยดีแน่นอน”

อวี่เยียนยิ้มหยันก่อนโต้กลับ “เจ้าเอาโฉมหน้าของซ่งเว่ยเชียนซีมาหลอกล่อข้าเพื่อให้ข้ายอมช่วยเจ้า คิดหรือว่าข้ามิรู้ความจริงว่าเจ้าเองก็มีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจ้ายุทธภพมู่เช่นกัน”

คราวนี้เป็นอวิ๋นไคที่อึ้งบ้าง สีหน้ารู้ทันเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมไร้รอยยิ้มขึ้นมาทันที ฝ่ายอวี่เยียนก็สำทับต่อ

“มู่สาวเย่าสมอ้างว่าเป็นผู้สังหารเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายแล้วต่อสู้กับชาวยุทธ์ที่ท้าประลองกับนางจนชนะ ได้ประกาศตนเป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่ แต่แท้ที่จริงผู้ที่น่าจะได้เป็นเจ้ายุทธภพควรเป็นเจ้ามากกว่า...” อวี่เยียนหยุดพูดแล้วชำเลืองมองอวิ๋นไค เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบจึงพูดต่อ “เจ้าแอบช่วยมู่สาวเย่า ยอมเลิกอาชีพนักฆ่า อีกทั้งยังยอมคุกเข่าปวารณาตัวเป็นทาสรับใช้นางต่อหน้าทุกคนอีกด้วย ทั้งๆ ที่นางเด็กกว่าเจ้าและยังไร้วรยุทธ์ แต่เจ้าก็เสี่ยงตายลักลอบเข้ามาในวังหลวงเพื่อเอากระบี่เทพสวรรค์ไปช่วยนางจากจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี ถ้ามิใช่เพราะเจ้ามีใจให้มู่สาวเย่าแล้วจะทำทุกอย่างนี้เพื่ออะไรกัน”

“บางครั้งมันก็มิใช่ความรักเสมอไปนักหรอก ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าก็ไม่เป็นไร ข้าเข้าไปขโมยกระบี่เทพสวรรค์เองก็ได้” อวิ๋นไคขยับตัวลุกขึ้นก้าวเดิน แต่แล้วต้องหันกลับมาเมื่อองค์หญิงเอ่ยขึ้น

“ข้ามีวิธีทำให้เจ้าได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างเปิดเผยโดยไม่ถูกจับกุม และยังได้รับพระราชทานกระบี่เทพสวรรค์กับทหารศึกหนึ่งหมื่นนายไปต่อสู้กับจอมมารอีกด้วย”

“เจ้าจะช่วยข้างอย่างนั้นรึ” อวิ๋นไคเลิกคิ้วสูง อวี่เยียนหันมาสบตาและตอบอย่างชัดเจน

“ใช่ แต่เจ้าต้องรับปากข้าสองข้อ ข้าถึงจะยอมช่วยเจ้า”

“ว่ามา”

“หนึ่ง... ในศึกครั้งนี้เจ้าต้องทำให้ซ่งเว่ยเชียนซีเปิดเผยโฉมหน้าให้ได้ และสอง... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามเจ้าฆ่าจอมมารผู้นั้นเด็ดขาด”

“ท่าทางเจ้าจะชอบจอมมารรูปงามเอามากๆ” อวิ๋นไคเอ่ยเสียงเรียบ มิได้เยาะหยันองค์หญิงผู้หลงรักบุรุษที่ยังมิเคยได้เห็นหน้าเลยสักครั้ง จอมยุทธ์หนุ่มเดินกลับมานั่งที่เดิมพลางเอ่ยถาม “ข้าต้องทำอะไรบ้าง”

“สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ... ข้าจะสร้างสถานการณ์ให้เจ้าได้กลายเป็นวีรบุรุษช่วยพระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ และนางก็จะพาเจ้าเข้าวังเพื่อพบเสด็จพ่อของนาง เจ้าก็ถือโอกาสนั้นขอพระราชทานรางวัลเป็นกระบี่เทพสวรรค์และทหารศึกหนึ่งหมื่นนาย” อวี่เยียนอธิบาย

“พระธิดาคนโปรดก็คือเจ้า” อวิ๋นไคเอ่ย

“ใช่” อวี่เยียนอมยิ้ม ก่อนเล่าแผนการให้ฟัง “ข้าจะทูลขอเสด็จพ่อไปวัดเมี่ยงอังในเมืองเตี้ยนเอี้ย เหตุที่ต้องไปที่นั่นเพราะเส้นทางไปวัดต้องผ่านช่องเขาขาด ซึ่งใครๆ ต่างลือกันว่าเป็นจุดดักปล้นของพวกโจร ข้าจะจ้างองครักษ์ฝีมือดีให้ไปดูลาดเลาและปลอมตัวเป็นโจรภูเขาดักปล้นและฉุดข้า เมื่อนั้นเจ้าค่อยปรากฏตัวเพื่อช่วยข้า ด้วยวรยุทธ์และชื่อเสียงการเป็นนักฆ่าของเจ้า ทุกคนต้องเชื่อแน่ว่าพวกโจรล่าถอยหนีเตลิดไปเพราะเกรงกลัวเจ้า”

“ข้าพอเข้าใจแผนการเจ้าบ้างแล้ว แต่ข้ายังกังขาว่าฮ่องเต้ไม่มีทางแต่งตั้งข้าเป็นแม่ทัพนำขุนศึกทั้งหนึ่งหมื่นนายไปสู้รบกับจอมมารแน่ๆ ไม่ต้องบอกเหตุผลเจ้าก็คงรู้อยู่แล้ว”

“มิต้องเป็นกังวล ข้าคิดทางแก้ไว้แล้ว” ว่าแล้วองค์หญิงก็เล่ากลอุบายทั้งหมดให้อวิ๋นไคฟัง และในวันต่อมาทุกอย่างก็ดำเนินไปตามอุบายที่องค์หญิงวางแผนไว้ โดยมีอวิ๋นไคกับองครักษ์ที่ถูกจ้างมาเป็นโจรร่วมปฏิบัติการ สุดท้ายทั้งอดีตนักฆ่ารูปงามและองค์หญิงผู้เลอโฉมก็บรรลุข้อตกลงระหว่างกัน

 

ระหว่างที่กองทัพหลวงกำลังเคลื่อนพลมุ่งหน้าสู่หุบเขาเร้นลับอันเป็นสถานที่ตั้งของพรรคมารก็เป็นเวลาเดียวกับที่หนี่ว์ไหนำอาหารเช้ามาให้มู่สาวเย่าถึงในคุก แม้ยายเฒ่าร่างเด็กจะไม่ชอบใจเท่าไร แต่ก็มิอาจขัดคำสั่งของจอมมารที่สั่งให้ดูแลตัวประกันสาวผู้นี้ให้ดี นางจึงต้องยกอาหารมาให้มู่สาวเย่าด้วยตัวเอง

“เอ้า รีบๆ กินซะ ข้าจะได้รีบเก็บ” หนี่ว์ไหกระแทกตะกร้าใส่อาหารลงกับพื้นคุกซึ่งปูด้วยก้อนอิฐอย่างแรง จนเกิดเสียงดัง ปลุกให้มู่สาวเย่าตื่นจากการหลับใหลอย่างยาวนานตลอดทั้งคืน เด็กสาวลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจพร้อมส่งเสียงร้องประกอบท่าทาง

“เป็นหญิงงามเสียเปล่าแต่ไร้ซึ่งความสำรวม” หนี่ว์ไหพูดกระทบ ฝ่ายคนถูกว่ามิได้สลดเลยสักนิด ทั้งยังหันมาทักทายคนว่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะแม่นางหนี่ว์ไหคนงาม”

“ไม่ต้องมาแกล้งชมข้า รีบกินอาหารเร็วๆ เข้า” หนี่ว์ไหย่อตัวลงนั่งแล้วผลักตะกร้าไปตรงหน้ามู่สาวเย่า

“ข้ายังมิได้ล้างหน้า ขัดขี้ฟันเลย จะกินอาหารทั้งๆ ที่น้ำลายเหม็นบูด ขี้ตากรังได้เยี่ยงไรเจ้าคะ” มู่สาวเย่าแกล้งยายเฒ่าในร่างเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเล่น

“เรื่องมาก” หนี่ว์ไหว่า ก่อนหันไปสั่งลูกสมุนในพรรค “ไปเอาน้ำกับแปรงขัดฟัน[4] มาให้นางหน่อยสิ”

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จมู่สาวเย่าก็โอดครวญอีก “แม่นางหนี่ว์ไห ทำเยี่ยงไรดีเจ้าคะ ข้าต้องถ่ายทุกข์ทุกเช้า มิเช่นนั้นข้าจะปวดท้องกินอะไรไม่ลงเลย”

“เจ้านี่มันน่ารำคาญจริงๆ!” หนี่ว์ไหตวาดอย่างฉุนจัด แต่ก็ลุกเดินไปเปิดประตูห้องขัง “ตามข้ามา”

มู่สาวเย่าอมยิ้ม แล้วเดินตามหนี่ว์ไหไปเข้าห้องสุขาซึ่งเป็นแผ่นไม้ประกอบกันเป็นฉากกั้นสี่ทิศ ด้านหนึ่งเป็นประตูเปิดปิดสำหรับเข้าออก ด้านในมีถังไม้เล็กๆ ไว้สำหรับถ่ายทุกข์ ซึ่งจะมีคนนำไปเททิ้งและทำความสะอาดถังไม้ที่บ่อน้ำด้านหน้าสุขานั้น เมื่อเสร็จธุระมู่สาวเย่าก็เดินกลับคุกใต้ดินโดยมีหนี่ว์ไหตามประกบ ระหว่างทางเด็กสาวก็ชวนคุย

“ในบรรดาพวกท่าน ผู้ใดรู้จักกับท่านประมุขซ่งก่อนเจ้าคะ”

“เจ้าอยากรู้ไปทำไม” หนี่ว์ไหย้อน

“ก็แค่คิดว่าไม่มีใครรู้จักท่านประมุขซ่งมาก่อนข้าแน่นอน เพราะข้ามั่นใจว่าท่านประมุขซ่งคือสหายยาจกของข้า หรือท่านมีใครในพรรคที่รู้จักท่านประมุขซ่งเกินห้าปีล่ะ” มู่สาวเย่าแกล้งหลอกถามยายเฒ่าร่างเด็ก

“มีแน่นอน ก็หมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยอย่างไรล่ะ เขารู้จักกับท่านประมุขมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าเรื่องครอบครัว สหาย นิสัยใจคอ หรือแม้แต่ของรักของหวงของโปรดปรานของท่านประมุข หมอเปี่ยนเชวี่ยก็รู้หมดทุกเรื่อง อย่างเจ้าน่ะเทียบไม่ติดฝุ่นเขาเลย”

“พาข้าไปพบท่านหมอได้หรือไม่เจ้าคะ” มู่สาวเย่ากระโจนเข้าไปจับแขนหนี่ว์ไห และรบเร้าให้นางพาไปหาหมอเปี่ยนเชวี่ยผู้เป็นสหายวัยเด็กของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี

“โอ๊ย! รำคาญ ถอยไปให้ห่างเลย” ไม่พูดเปล่าหนี่ว์ไหยังใช้พลังลมปราณผลักร่างมู่สาวเย่าจนตัวลอยกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ที่มีกิ่งไม้หักยื่นออกมา ปลายไม้หักอันแหลมคมบาดเข้าที่ต้นแขนของเด็กสาวจนเกิดเป็นรอยแผลคล้ายแมวข่วนและมีเลือดไหลซึมออกมา แม้เป็นเพียงแผลเล็กๆ มิใช่แผลฉกรรจ์ แต่ก็ทำให้มู่สาวเย่าหน้าถอดสี ร้องตะโกนให้หนี่ว์ไหช่วย

“แม่นางหนี่ว์ไห ช่วยข้าด้วย ไปตามหมอเปี่ยนเชวี่ยมาที”

หนี่ว์ไหทำหน้าเบื่อหน่าย “เจ้านี่วอนให้ข้าอยากฆ่าเจ้าเสียจริง”

“ข้า-กำลัง-จะ-ตาย-ตาม-หมอ-มา-รักษา-ข้า-ด้วย” มู่สาวเย่าพูดกระท่อนกระแท่น ร่างบางซวนเซคล้ายกำลังจะเป็นลม ยายเฒ่าร่างเด็กเห็นแล้วก็แผดเสียงใส่

“อย่ามาสำออยหน่อยเลย แผลเท่าแมวข่วนริอ่านจะให้หมอเทวดารักษา อยากพบหมอเปี่ยนเชวี่ยอย่างนั้นรึ ฝันไปเถอะ”

จู่ๆ เด็กสาวก็ล้มลงไปนอนกับพื้น บาดแผลเท่าแมวข่วนที่ยายเฒ่าเห็นกลับมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด ทำเอาหนี่ว์ไหตกใจรีบวิ่งเข้าไปดูมู่สาวเย่าที่นอนหน้าซีดไร้สีเลือด

“ทำไมเลือดไหลนองแบบนี้” หนี่ว์ไหลนลานทำอะไรไม่ถูก “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเนี่ย”

“ข้า-เป็น-โรค-โลหิต-ไหล-ไม่-หยุด” พูดจบมู่สาวเย่าก็สลบแน่นิ่งไป

ภาพมู่สาวเย่านอนแน่นิ่งกับพื้นมีเลือดไหลออกจากแผลที่ต้นแขนไม่หยุดปรากฏให้เห็นในเปลวอัคคีบนฝ่ามือของซ่งเว่ยเชียนซีที่เขาเฝ้าดูนางมาตั้งแต่รุ่งเช้า ยายเฒ่าร่างเด็กผู้เป็นลูกสมุนคนสนิทของเขาก็ตัวเล็กเกินกว่าจะอุ้มเด็กสาวได้ จึงเอาแต่ร้องตะโกนให้คนมาช่วย ทว่ามันอาจช้าไม่ทันกาล จอมมารรูปงามจึงลงจากแท่นหินในสุสานและหายตัวฉับพลันมายังจุดที่สองสาวอยู่กัน

“ท่านประมุข” หนี่ว์ไหร้องเรียกอย่างตกใจกึ่งดีใจ เมื่อเห็นประมุขของตนปรากฏตัวข้างกายเด็กสาวแล้วอุ้มร่างบอบบางที่สลบไสลขึ้นมาแนบอก 

จอมมารรูปงามหันมาสั่งยายเฒ่าร่างเด็ก “เจ้าไปขอปวยกีเช่า[5] กับหมอเปี่ยนเชวี่ย แล้วเอาไปให้ข้าที่เรือนพฤกษา”

“ให้ข้าไปตามหมอเปี่ยนเชวี่ยมารักษานางเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” หนี่ว์ไหเสนอ

“ไม่ต้อง ข้าจะรักษานางเอง” จอมมารตอบเสียงห้วน ก่อนหายวับไปในอากาศ ฝ่ายหนี่ว์ไหรีบกุลีกุจอใช้วิชาตัวเบาเหาะไปยังที่พักของหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยเพื่อขอหญ้าห้ามเลือดหรือปวยกีเช่าตามคำสั่งของจอมมารรูปงาม

เรือนพฤกษาเป็นเรือนไม้เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่และมวลบุปผานานาพรรณ แลดูสวยงามและร่มรื่นน่าอาศัย ซ่งเว่ยเชียนซีวางร่างบอบบางของมู่สาวเย่าลงบนเตียงนอนนุ่มภายในห้องที่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนคุณภาพเยี่ยมราคาแพง เลือกสรรด้วยความพิถีพิถันและสีสันสดใส เหมือนจะบ่งบอกความเป็นอิสตรี

ซ่งเว่ยเชียนซีจับต้นแขนมู่สาวเย่าพลิกเล็กน้อยเพื่อดูบาดแผลและเห็นว่าเลือดยังไหลไม่หยุด เขาจึงเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนบางจากในลิ้นชักของตู้เสื้อผ้ามาพันแผลนางไว้ก่อนเพื่อชะลอการไหลของเลือดระหว่างรอหนี่ว์ไห เพียงชั่วอึดใจลูกสมุนสาวที่จอมมารหนุ่มรอคอยก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้อง

“มาแล้วเจ้าค่ะ” หนี่ว์ไหส่งต้นปวยกีเช่าสดให้ซ่งเว่ยเชียนซี

จอมมารหนุ่มรีบจัดการเด็ดเอาแต่ใบนำไปล้างน้ำจนสะอาด จากนั้นจึงนำมาขยี้ให้ละเอียด แล้วเอาไปพอกที่แผลบนต้นแขนเด็กสาวทันที เพียงไม่นานเลือดก็หยุดไหล ในขณะที่มู่สาวเย่ายังนอนนิ่งอยู่บนเตียง

“จะแกล้งหลับอีกนานหรือไม่ หรือต้องให้ข้ากรีดแขนเจ้าให้เลือดไหลไม่หยุดจนตายขึ้นมาจริงๆ” ซ่งเว่ยเชียนซีเอ่ยเสียงเข้ม ขณะนั่งอยู่บนขอบเตียงข้างกายเด็กสาว มู่สาวเย่ารู้ว่าตัวเองถูกจอมมารหนุ่มจับได้จึงลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง ยายเฒ่าร่างเด็กเห็นดังนั้นก็โวยวายออกมา

“เจ้าแกล้งหลอกข้าว่าเป็นโรคโลหิตไหลไม่หยุดอย่างนั้นรึ”

“ข้าเป็นโรคโลหิตไหลไม่หยุดจริงๆ แม่นางหนี่ว์ไหก็เห็นแล้วนี่เจ้าคะ ว่าเลือดข้าไหลออกมามากแม้จะเป็นแผลเล็กๆ ซึ่งคนปกติเลือดจะแค่ไหลซึมเพียงเล็กน้อยแล้วหยุดไหลโดยไม่ต้องใช้หญ้าห้ามเลือดเลย” มู่สาวเย่าชี้แจง

“จะให้ข้าเชื่อเช่นนั้นหรือ เจ้าทำท่าจะดับดิ้นสิ้นใจตายไปต่อหน้าข้าราวกับจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แต่พอท่านประมุขขู่เท่านั้น เจ้าก็ฟื้นขึ้นมาง่ายๆ เหมือนไม่ได้เป็นอะไรมาก” หนี่ว์ไหโต้กลับทันที

“ยังไม่เข้าใจอีกรึ นางแกล้งแสดงเกินจริงน่ะ” จอมมารเอ่ย

หนี่ว์ไหทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ “ที่แท้เจ้าอาศัยแผลที่เลือดไหลไม่หยุด แกล้งทำท่าจะตายต่อหน้าข้าเพื่อให้ข้าตามหมอเปี่ยนเชวี่ยมารักษาเจ้า แต่ความจริงคือเจ้าอยากพบท่านหมอนี่เอง ฮึ! ข้าน่าจะฆ่าเจ้าให้ตายไปจริงๆ เสียเลยนะ”

“ข้าต้องขอโทษแม่นางหนี่ว์ไหด้วย ข้าแค่อยากพบท่านหมอเปี่ยนเชวี่ยจริงๆ”

“เจ้าอยากพบเขาไปทำไม” ซ่งเว่ยเชียนซีถาม

‘จะบอกได้อย่างไรล่ะว่าข้าจะถามท่านหมอเรื่องของท่านกับการรักษาโรคมนุษย์ผักของอวิ๋นไค ขืนข้าบอกความจริงมีหวังถูกกีดกันมิให้พบท่านหมอแน่’ มู่สาวเย่าคิด ก่อนจะตอบเลี่ยงไปทางอื่น “ข้าอยากถามท่านหมอเปี่ยนเชวี่ยถึงการรักษาโรคโลหิตไหลไม่หยุดของข้า ท่านหมออาจมีวิธีทำให้ข้าหายขาดจากโรคนี้”

“ไม่ต้องไปถามให้เสียเวลา ข้าตอบแทนให้ก็ได้ โรคของเจ้าไม่มีทางรักษาให้หายขาด และถ้าถามถึงวิธีห้ามเลือด เจ้าก็คงจะรู้ดีอยู่แล้ว เพราะในอดีตเจ้าก็เคยเฉียดตายมาแล้วครั้งหนึ่ง”

คำพูดของจอมมารรูปงามทำให้มู่สาวเย่าสงสัยยิ่งนัก จนต้องถามกลับไป “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยเฉียดตายเพราะโรคโลหิตไหลไม่หยุดมาก่อน”

ซ่งเว่ยเชียนซีเอื้อมมือมาจับมือมู่สาวเย่าชูขึ้น แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “แผลเป็นบนหลังฝ่ามือเจ้าออกจะเด่นชัดขนาดนี้ ถ้าไม่รู้ก็โง่เขลาเต็มทนแล้ว รอยแผลเป็นเป็นทางยาวบ่งบอกว่าถูกของมีคมกรีด และลักษณะแผลนูนใหญ่แปลว่าต้องกรีดลึกพอควรเพื่อให้เป็นแผลเป็นติดตัว ถ้าคนกรีดรู้เรื่องโรคของเจ้าก็คงมีเจตนาสังหารเจ้า ยกเว้นแต่เขาไม่รู้เท่านั้น”

“ท่านนี่เป็นเทพเซียนหรืออย่างไรนะ ถึงได้รู้ดีขนาดนี้” มู่สาวเย่าประชด ก่อนยอมรับ “ใช่ แผลเป็นนี้เกิดขึ้นตอนข้ายังเป็นทารก ข้าเกือบตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด จนท่านแม่ของข้าต้องรีบพาข้าไปหาหมอ แต่ไม่มีหมอคนไหนทำให้เลือดหยุดไหลได้ โชคดีที่มีหมอเทวดาผ่านมาเห็นพอดีจึงช่วยรักษาข้าจนรอดชีวิตมาได้”

“เจ้าก็มีชีวิตรัดทดพอๆ กับเจ้ายาจกจอมโอหังคนนั้นเลยนะ” จู่ๆ ซ่งเว่ยเชียนซีก็เอ่ยถึงผู้มีพระคุณของมู่สาวเย่า เด็กสาวถึงกับหันมาสบตาจอมมารรูปงาม พลางอ้อนวอนขอร้องเขา

“ท่านช่วยเล่าเรื่องสหายยาจกให้ข้าฟังได้หรือไม่”

“ชีวิตเส็งเคร็งของเจ้านั่นมิควรค่าให้ข้าจดจำเลยสักนิด บางทีถ้าเจ้าไม่ได้เจอกับยาจกตอนนั้น ชีวิตเจ้าอาจจะโชคดีกว่านี้ก็เป็นได้” พูดจบจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีก็ลุกขึ้นเดินจากไป โดยพูดทิ้งท้ายไว้ “ทางที่ดีเจ้าลืมเจ้ายาจกนั่นเสียดีกว่า”

มู่สาวเย่ามองด้านหลังร่างสูงเพรียวที่เดินอย่างองอาจและสง่างาม ทุกอิริยาบถของจอมมารหนุ่มดูน่ามองไปหมด จนมู่สาวเย่ารู้สึกสับสนว่าเขาจะใช่เด็กหนุ่มยาจกเมื่อห้าปีก่อนหรือไม่

“เฮ้ เด็กเจ้าเล่ห์ หายดีแล้วก็กลับไปเข้าคุกซะ” เสียงเรียกของหนี่ว์ไหทำให้มู่สาวเย่าละสายตาจากช่องประตูหันมาสนใจยายเฒ่าร่างเด็ก อีกฝ่ายยืนเท้าเอวพูดต่อ “อย่ามาเล่นตุกติกกับข้าอีกเชียว ไม่อย่างนั้นข้าบีบแผลเจ้าให้เลือดพุ่งอีกรอบแน่”

มู่สาวเย่าขยับตัวลงจากเตียง พลางมองไปรอบห้อง ก่อนหันไปถามหนี่ว์ไห “ในพรรคของประมุขซ่งมีสตรีอยู่ด้วยหรือเจ้าคะ”

“เจ้าคิดว่าท่านประมุขที่บำเพ็ญตบะจะยอมให้มีสตรีอยู่ในพรรคเยี่ยงนั้นรึ ส่วนข้าถือเป็นข้อยกเว้น เพราะชราภาพมากแล้ว และร่างกายก็เป็นแค่เด็กเจ็ดขวบ ไม่มีทางยั่วยวนท่านประมุขได้เหมือนอย่างที่เจ้าทำแน่... แล้วทำไมข้าต้องมาคอยตอบคำถามของเจ้าด้วยนะ เอ้า รีบไปเร็วๆ เข้า” หนี่ว์ไหเร่ง แต่มู่สาวเย่ายังคงสนใจเรือนแห่งนี้

“ถ้าไม่มีสตรีอื่นอยู่ในพรรค แล้วเรือนนอนแห่งนี้ผู้ใดอาศัยอยู่ล่ะเจ้าคะ ทั้งเครื่องเรือน การตกแต่ง และข้าวของเครื่องใช้ ล้วนบ่งบอกว่าเจ้าของเรือนต้องเป็นสตรีแน่ๆ”

“ข้าไม่รู้และรอวันจะได้รู้ด้วย”

คำตอบของหนี่ว์ไหทำให้มู่สาวเย่าฉงนและคาดเดาต่อไป “ท่านไม่รู้... หรือที่นี่ยังไร้ผู้อาศัยเจ้าคะ เพราะดูจากการวางข้าวของเครื่องใช้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างมาก เหมือนมันไม่เคยโดนหยิบใช้”

“เจ้านี่ช่างสอดรู้สอดเห็นจริงๆ” หนี่ว์ไหว่า แต่นางเองก็สงสัยและคาใจเรื่องเรือนพฤกษามานานแล้ว จนอยากจะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับใครสักคน เผื่อว่านางจะได้รับคำตอบ หนี่ว์ไหจึงเล่าให้มู่สาวเย่าฟัง

“ตั้งแต่ก่อตั้งพรรค ท่านประมุขก็สั่งให้สร้างเรือนพฤกษาแห่งนี้ด้วย อย่างที่เจ้าเอ่ยมาล้วนถูกต้องทุกประการ เรือนนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสตรีโดยเฉพาะ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมายังมิเคยมีสตรีนางใดได้ย่างกรายเข้ามาในนี้ นอกจากข้าที่ต้องมาทำความสะอาดทุกวัน และข้าก็ไม่เห็นวี่แววว่าท่านประมุขจะพาสตรีนางใดมาอยู่ที่นี่ ข้าสงสัยยิ่งนักว่าท่านประมุขจะสร้างเรือนพฤกษานี้ขึ้นมาทำไม และเพื่อสตรีคนใด”

มู่สาวเย่าฟังแล้วก็หัวเราะอย่างเห็นขัน “ข้าก็เป็นสตรีนะ ประมุขซ่งพาข้ามาที่นี่ หรือท่านจะสร้างเรือนนี้มาเพื่อข้า”

“เหลวไหล อย่างท่านประมุขน่ะหรือจะทำเพื่อเด็กสาวในหอคณิกาอย่างเจ้า เพราะที่นี่อยู่ใกล้จุดที่เจ้าแกล้งสลบต่างหาก ท่านประมุขจึงต้องพาเจ้ามารักษาที่นี่” หนี่ว์ไหแย้ง แม้น้ำเสียงจะไม่หนักแน่นและมีความไม่มั่นใจในแววตาก็ตาม

“ประมุขซ่งมีจิตรักใคร่ในอิสตรีมิได้ แล้วเขาจะสร้างเรือนสำหรับสตรีนี้ขึ้นมาด้วยเหตุใด” มู่สาวเย่าทำหน้าสงสัย ก่อนทำตาโตโพล่งออกมาดังๆ “รึว่าเขามีจิตเบี่ยงเบนเป็นอิสตรี”

“เจ้าสิเบี่ยงเบน”

“อุ๊ย!” เด็กสาวสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ บุรุษที่นางกำลังนินทาก็ปรากฏกายขึ้นด้านหลัง เด็กสาวรีบหันขวับไปยิ้มกลบเกลื่อนทันที “ท่านย้อนกลับมาทำไมเจ้าคะ หรือว่าคิดถึงข้าจนทนไม่ไหวต้องกลับมาหาข้าอีก”

มู่สาวเย่ามิวายแกล้งกระเซ้าจอมมารรูปงามเล่น ซ่งเว่ยเชียนซียังคงทำหน้านิ่งไร้อารมณ์เหมือนเดิม เขายื่นมือซ้ายมาข้างหน้าแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “คืนข้ามาเดี๋ยวนี้”

“อะไรเจ้าคะ” มู่สาวเย่าขมวดคิ้ว

“สร้อยหยกที่เจ้าขโมยมา”

“ได้อย่างไรเจ้าคะ สร้อยหยกนั่นเป็นของข้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ข้ามิได้ยกให้ท่านสักหน่อย” มู่สาวเย่าประท้วง

“จะคืนหรือไม่คืน” จอมมารถามเสียงเรียบ ทว่าสีหน้ากลับดุดัน

“ท่านไม่ใช่เจ้าของ เหตุใดข้าต้องคืน... ว้าย!” มู่สาวเย่าร้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อจอมมารเอามือมาค้นตามตัวนาง เขาแตะต้องสัมผัสไปทั่วลำตัวบอบบาง มู่สาวเย่าพยายามปัดป้องและต่อว่าต่อขานเขาเสียงดัง “ท่านนี่เอะอะอะไรก็ลวนลามข้าอยู่เรื่อยเลยนะ”

ซ่งเว่ยเชียนซีไม่ฟังเสียง ค้นจนเจอสร้อยหยกอยู่ในผ้าคาดเอวของเด็กสาวจึงล้วงเอามันออกมาสวมคอตัวเอง แล้วไม่พูดไม่จาหายตัววับไปในอากาศ มู่สาวเย่าถึงกับหงุดหงิดบ่นออกมา “ร้ายเหลือเกินจริงๆ”

“พอๆๆ รีบกลับไปเข้าคุกเลย” หนี่ว์ไหจับแขนมู่สาวเย่าลากไปยังคุกใต้ดินและขังตัวมู่สาวเย่าไว้ตามเดิม

 

สายลมพัดผ่านกระท่อมไม้ไผ่วูบหนึ่งพร้อมการปรากฏกายของจอมมารรูปงามผู้สวมอาภรณ์สีดำสนิท เสียงพูดคุยของบุรุษสองคนดังแว่วแผ่วมาจากด้านในกระท่อม ซ่งเว่ยเชียนซีก้าวเท้ายาวๆ เดินผ่านแปลงสมุนไพรที่ปลูกอยู่โดยรอบเข้าไปยืนตรงช่องประตู นัยน์ตาคมจ้องมองหมอเทวดาหนุ่มพันผ้าสีขาวปิดดวงตาบุรุษหน้าหวานซึ่งนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไม้กลางห้อง การมาของจอมมารรูปงามเงียบกริบจนบุรุษทั้งสองไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทำให้เจ้าตัวต้องใช้นิ้วเคาะบานประตูไม้ไผ่

“มาแล้วรึ ข้าคิดว่าเจ้าลืมสมุนมือซ้ายของเจ้าแล้วเสียอีก” คำต่อว่ากลายเป็นคำทักทายที่หมอเปี่ยนเชวี่ยเอ่ยกับซ่งเว่ยเชียนซีผู้เป็นสหายสนิท อีกฝ่ายมิได้ตอบโต้ เพียงขยับตัวเข้าไปยืนใกล้ๆ บุรุษหน้าหวานที่นั่งยิ้มเมื่อรู้ว่าประมุขของตนมาเยี่ยม

“ตี้ฉิว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ซ่งเว่ยเชียนซีเอ่ยถามสมุนมือซ้ายเจ้าของดวงหน้าหวานคล้ายอิสตรี

“ข้าหายเจ็บปวดแล้วท่านประมุข เพียงแต่...” สีหน้าตี้ฉิวสลดเศร้า เขาสุดจะกลั้นน้ำตาไว้ได้เมื่อต้องเอ่ยถึงดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง “ท่านหมอบอกว่าข้าลูกตาแตก เพราะกรงเล็บพญาอินทรีทั้งใหญ่และแหลมคม มันทิ่มลูกตาแตกทะลุจนมิอาจเก็บดวงตาคู่นี้ของข้าไว้ได้ ต้องควักออกมาเพื่อกันมิให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นตามมา”

“รุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ เปี่ยนเชวี่ย” ซ่งเว่ยเชียนซีหันไปถามหมอเทวดา อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ พลางอธิบาย

“ถ้าเป็นเพียงแผลแตกเล็ก ๆ พอเย็บให้ได้ แต่นี่เป็นแผลยาว อวัยวะภายในลูกตาไหลซึมทะลักปลิ้นออกมาจึงยากมากที่จะรักษา ต้องจบด้วยการผ่าตัดควักลูกตาออกมา”

จอมมารรูปงามเอื้อมมือไปวางบนบ่าของตี้ฉิวพร้อมกับปลอบใจ “เจ้ามีวรยุทธ์สามารถใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการรับรู้การเคลื่อนไหวรอบกาย หากฝึกฝนย่อมต้องต่อสู้ป้องกันตัวได้ดีกว่าเดิมแน่”

“ขอบคุณท่านประมุข ข้าจะพยายาม” ตี้ฉิวยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนถูกหมอหนุ่มพาเข้าไปในห้องนอนเพื่อพักผ่อน หลังจากนั้นหมอเปี่ยนเชวี่ยก็กลับเข้ามาในห้องโถงเพื่อถามเรื่องที่สงสัยกับจอมมารรูปงาม

“เจ้าเอาปวยกีเช่าไปรักษาใคร”

“มู่สาวเย่า”

“อะไรนะ! นางอยู่ที่นี่หรือ ทำไมเจ้าไม่บอกข้า นางได้รับบาดเจ็บด้วยหรือ แล้วเลือดนางหยุดไหลหรือไม่” หมอเปี่ยนเชวี่ยรัวคำถามใส่สหายสนิทราวกับยิงธนูพันดอก

“นางดวงแข็งยิ่งกว่าศิลาแลง ไม่ตายง่ายๆ หรอก” ซ่งเว่ยเชียนซีประชด

หมอเปี่ยนเชี่ยนหรี่ตามองจอมมารรูปงามแล้วถามอย่างรู้ทัน “เจ้ากีดกันมิให้ข้าเจอกับมู่สาวเย่า เพราะกลัวข้าปากสว่างพูดเรื่องของเจ้าใช่หรือไม่”

“รู้ตัวก็ดีแล้ว” จอมมารหนุ่มเอ่ยอย่างเย็นชา อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ก่อนเปรย

“แต่ข้าอยากเจอนางจริงๆ นะ นานมากแล้วตั้งแต่ข้าได้รู้จักนางครั้งแรก ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง จะงดงามน่ารักกว่าตอนที่นางยังเยาว์วัยหรือไม่ เฮ้อ... เป็นความโชคร้ายของข้ากับมู่สาวเย่าจริงๆ ที่มีจอมมารชั่วร้ายอย่างเจ้าคอยขัดขวางการพบกันของพวกเรา”

“พูดน้อยๆ หน่อย หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง” ซ่งเว่ยเชียนซีปรามหมอเทวดา

เสียงฝีเท้าใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามาในกระท่อม ทำให้บุรุษทั้งสองหันไปมองยังช่องประตู เทียนยี่ตรงเข้ามาคำนับแล้วรายงานเสียงเครียด

“ท่านประมุข เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ไว้ทุกประการ อวิ๋นไคนำกองทัพหลวงนับหมื่นนายมุ่งหน้ามายังหุบเขาเร้นลับแห่งนี้ มิทราบว่าท่านประมุขวางกลยุทธ์ไว้เยี่ยงไร”

“พวกเจ้าจงแกล้งปล่อยข่าวให้พวกมันรู้ว่าข้าจะสังหารมู่สาวเย่าเมื่อแสงตะวันส่องตรงศีรษะในวันพรุ่งนี้”

“จะดีหรือท่านประมุข ช่วงเวลานั้นพระอาทิตย์จะส่องแสงแรงกล้า ทำให้เห็นที่ตั้งมั่นของพวกเราบนหุบเขาเร้นลับชัดเจน พวกมันย่อมโจมตีเราได้ง่ายกว่ายามค่ำคืน อีกทั้งพลังมารของท่านจะอ่อนแรงลง ยิ่งเจ้าอวิ๋นไคมีกระบี่เทพสวรรค์ด้วย อาจไม่เป็นผลดีต่อท่านประมุขนะขอรับ” เทียนยี่แย้งด้วยความเป็นห่วงปนวิตก แต่หมอเปี่ยนเชวี่ยกลับดุสมุนมือขวาแทนสหาย

“พวกเจ้าอยู่กับซ่งเว่ยเชียนซีมานาน มิรู้หรือว่าเขาคำนวณดวงดาวรู้เหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้า พวกเจ้ายังสงสัยและไม่เชื่อมั่นในตัวประมุขของเจ้าอีกรึ”

เทียนยี่ยกมือขึ้นคำนับ รีบกล่าวขอโทษต่อประมุขรูปงาม ซ่งเว่ยเชียนซีมิได้ตำหนิติเตียนใดๆ เพียงแต่เอ่ยกับสมุนมือขวาสั้นๆ 

“ศึกครั้งนี้พวกเราไม่มีทางพ่ายแพ้


[1] กู้หลุนกงจู่ (固倫公主) เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 1 ผู้ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นพระธิดาที่เกิดจากฮ่องเต้กับฮองเฮา มีบรรดาศักดิ์เทียบเท่าชินอ๋อง ภายหลังผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้อาจจะเป็นองค์หญิงที่ฮ่องเต้โปรดปรานเป็นพิเศษ หรือพระธิดาบุญธรรมในฮ่องเต้ก็ได้ เช่น กู้หลุนหรงโซ่วกงจู่ พระธิดาบุญธรรมในฮ่องเต้เสียนเฟิง

[2] เหอซั่วกงจู่ (和碩公主) เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 2 ผู้ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นพระธิดาที่เกิดจากฮ่องเต้กับพระชายาหรือพระสนม หรือเป็นพระธิดาบุญธรรมในฮ่องเต้ ฮองเฮา หรือพระชายา มีบรรดาศักดิ์เทียบเท่าจวิ้นอ๋อง

[3] เหมยกุ้ย (玫瑰) คือดอกกุหลาบ

[4] แปรงขัดฟันหรือแปรงสีฟัน ปรากฏหลักฐานในสมัยราชวงศ์ถัง โดยใช้ขนด้านหลังคอหมูไซบีเรียนมัดติดกับด้ามไม้ไผ่ ผู้เขียนขอนำมาใช้ในนิยายโดยมิได้คำนึงถึงลำดับราชวงศ์ก่อนหลังใดๆ ทั้งสิ้น

[5] ต้นสาบเสือ เป็นสมุนไพรที่มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์ที่ผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดหดตัว และยังมีฤทธิ์ไปกระตุ้นสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น ทำให้สามารถห้ามเลือดได้



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น