8

แปด จอมมารผู้บำเพ็ญตบะ


แปด

จอมมารผู้บำเพ็ญตบะ

 

มู่สาวเย่ารู้สึกเหมือนตัวนางถูกลมหอบพัดข้ามผืนฟ้าไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งห่างไกลจากลำธารบนภูเขา ท่ามกลางมวลวิหคที่ตื่นตกใจกับมือโปร่งแสงขนาดมหึมาซึ่งโอบอุ้มร่างบางของนางผ่านกลางฝูงพวกมันไป ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลงเพียงชั่วอึดใจก็พลันสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เด็กสาวมิได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป เพราะนางถูกรายล้อมด้วยเหล่าบุรุษรูปงามถึงแปดคนซึ่งหันมาจ้องมองดูนางทันทีที่นางปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา มู่สาวเย่ามองดูรอบกาย มือโปร่งแสงได้อันตรธานหายไปในอากาศแล้ว และสถานที่ที่มันพามาคือห้องโถงสีขาวที่มีบุรุษแปดคนยืนขนาบข้างสองฝั่ง โฉมหน้าของบุรุษทั้งแปดคนนั้นงดงามดุจเทพเซียนที่จำแลงกายลงมา แต่ความรูปงามของพวกเขายังพ่ายแพ้ต่อบุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่เหนือบัลลังก์หินหยกขาวด้านหน้ามู่สาวเย่าและทุกคนในห้องนั้น

เครื่องหน้าของบุรุษผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นดวงตาคมคู่สวยกับจมูกโด่งงามเป็นสัน ริมฝีปากเรียวน่ามอง โด่ดเด่นด้วยคิ้วเข้มเชิดขึ้นตัดกับผิวกายที่เนียนขาวดุจหิมะแรก และแก้มที่แดงระเรือด้วยเลือดฝาดดุจดั่งผิวทารก แม้แต่รอยสักรูปเปลวอัคคีสีนิลกลางหน้าผากยังดูมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลน่ามองมากยิ่งขึ้น ขนาดมู่สาวเย่าที่เคยอยู่หอคณิกาพบเห็นบุรุษรูปงามมานับไม่ถ้วน ยังรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้รูปงามเกินกว่าจะพรรณนาออกมาได้ แม้แต่จิตรกรเอกก็มิอาจวาดรูปเขาให้งดงามเหมือนตัวจริงได้

“นางคือคนที่เห็นโฉมหน้าท่านประมุข” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตะโกนขึ้นด้วยเสียงของหญิงชราที่มีอายุหกสิบปี หากนางไม่ตะโกนขึ้นมา มู่สาวเย่าก็คงไม่สังเกตเห็นว่ามียายเฒ่าร่างเด็กผู้นี้อยู่ในห้องนี้ด้วย เพราะถูกความงามของบุรุษทั้งเก้าคนบดบังสายตาไปหมดแล้ว

“เช่นนั้นเราก็ต้องฆ่านางสิ” สมุนมือขวานามว่าเทียนยี่เอ่ยขึ้น แต่ถูกจอมมารทัดทานไว้เสียก่อน

“เจ้าจะมีปัญญาฆ่านางได้รึ ในเมื่อนางเป็นเจ้ายุทธภพคนปัจจุบัน วิชาเพลงขลุ่ยพิฆาตของนางเป็นที่เลื่องลือในหมู่จอมยุทธ์ แค่เวลาชั่วข้ามคืนก็สังหารอดีตเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายลงได้เชียวนะ”

มู่สาวเย่าเห็นรอยยิ้มหยันของจอมมารหนุ่ม นางก็แน่ใจในทันทีว่าเขารู้เรื่องที่นางแอบให้อวิ๋นไคช่วยต่อสู้เพื่อตบตาผู้คนในหอรื่นรมย์คืนนั้น หากจอมมารกับลูกสมุนทั้งเก้าคนนี้ลงมือสังหารนางจริง นางคงตายแน่นอน เพราะอวิ๋นไคก็มิได้อยู่ ณ ที่นี้ด้วย

ฟิ้วๆๆ!

มู่สาวเย่าถูกอาวุธลับของเทียนยี่กระแทกเข้าที่ท่อนแขน เมื่อเขาดีดลูกเหล็กเล็กๆ ออกมาเพื่อทดสอบวรยุทธ์ของนางจนเกิดเป็นรอยฟกช้ำบนแขนเรียว

“นี่น่ะหรือเจ้ายุทธภพ แค่อาวุธลับเล็กๆ ยังหลบไม่ได้ อย่างนี้ควรกล่าวว่านางเป็นนักต้มตุ๋นผู้เก่งฉกาจหรือพวกชาวยุทธ์โง่เง่าเต่าตุ่นดีล่ะ” เทียนยี่เย้ยหยัน พาให้สหายของเขาในห้องนั้นหัวเราะเยาะมู่สาวเย่าไปด้วย มีเพียงจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีที่แค่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“เราฆ่านางตอนนี้เลยดีหรือไม่ ท่านประมุข” ลูกสมุนมือซ้ายนามว่าตี้ฉิวเสนอต่อจอมมาร

“สังหารนางนั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ทำไมพวกเราไม่ฟังคำสั่งเสียของนางก่อนเล่า อย่างน้อยก็ถือเป็นความเมตตาต่อสตรีผู้อาภัพอับโชค ที่มาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นอย่างโฉมหน้าที่แท้จริงของข้า” เสียงของจอมมารหนุ่มทุ้มนุ่มกังวานน่าฟัง แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาแฝงความอำมหิตไว้ในเจตนา

“เจ้าจะสั่งเสียอะไรก่อนตายก็ว่ามา” ยายเฒ่าร่างเด็กตวาดใส่มู่สาวเย่า

มู่สาวเย่ายิ้มเล็กน้อย พร้อมกับไล่มองหน้าเหล่าบุรุษทีละคน จนกระทั่งหยุดยืนมองจอมมารหนุ่มผู้เป็นประมุขพรรคนิ่งและนาน ก่อนเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ตั้งแต่ข้าปรากฏตัวต่อหน้าพวกท่านที่เป็นบุรุษ ยังไม่มีชายใดเอ่ยชมรูปร่างหน้าตาของข้าเลยสักคน แม้ข้าจะมิได้งดงามราวกับเทพธิดา แต่บุรุษหลายคนที่เห็นโฉมหน้าข้าต่างเอ่ยชมในความงามของข้ากันทั้งนั้น แต่พวกท่านกลับแปลกประหลาด ที่เอ่ยกันแต่เรื่องฆ่าสังหารข้าเพียงอย่างเดียว พวกท่านไม่รู้สึกเสียดายความงดงามของข้าบ้างเชียวหรือ”

เทียนยี่ทำเสียงฮึในลำคอ ก่อนจะกล่าว “ความงามของเจ้าก็เหมือนดอกไม้ สักวันต้องโรยราแห้งเหี่ยว เหมือนซากผุพังที่รอวันเปื่อยเน่ามีหนอนชอนไชฟอนเฟะหาความน่าชมมิได้ เหตุใดพวกข้าต้องชื่นชมสิ่งน่าเกลียดเช่นนี้ด้วยเล่า”

มู่สาวเย่าหัวเราะขัน แล้วโต้กลับไป “มีบุรุษสองประเภทเท่านั้นที่จะมีความคิดเช่นท่าน นั่นคือนักพรตที่บำเพ็ญตบะไม่ข้องเกี่ยวกับอิสตรี และสอง พวกชายตัดแขนเสื้อ หรือก็คือผู้ชายที่มีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยกัน พวกท่านเป็นประเภทไหนล่ะ แต่ถ้าให้ข้าเดา ข้าว่าต้องเป็นประการหลังใช่หรือไม่”

“เจ้า!” ลูกสมุนของจอมมารต่างโมโหโกรธา ชักกระบี่ออกมาเพื่อสังหารมู่สาวเย่า ทว่าจอมมารไม่ยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่กลัวตายเลยสินะ” จอมมารรูปงามถามเสียงเย็นชา ฝ่ายมู่สาวเย่าก็แย้มยิ้มเชิดหน้าตอบกลับไป

“ข้าจะต้องกลัวตายไปไย ในเมื่อสหายเก่าของข้าคือจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี หัวหน้าของพวกเขา”

“เจ้าโกหก ประมุขข้าจะเป็นสหายกับเจ้าได้อย่างไร” ยายเฒ่าร่างเด็กผู้มีนามว่าหนี่ว์ไหตวาดลั่นห้อง มู่สาวเย่ามิได้มีท่าทีตกใจหรือหวาดกลัว เพราะนางรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้

“เมื่อห้าปีก่อน ประมุขเจ้ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มขอทานเนื้อตัวสกปรก หน้าตาเปอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน สวมเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่นหาความงามมิได้ อาศัยอยู่ในศาลเจ้าร้าง ประทังชีวิตด้วยการขอเศษเงินเศษอาหารผู้อื่นกิน” มู่สาวเย่าหันไปถามจอมมารรูปงาม “ที่ข้าพูดมาถูกต้องหรือไม่ ท่านยาจก”

ลูกสมุนทั้งเก้าคนมองหน้ากันเลิกลั่ก แม้จะไม่อยากเชื่อในถ้อยคำของเด็กสาวน่ารัก แต่ด้วยท่าทางและวาจาที่มั่นใจของมู่สาวเย่าก็ทำให้ทุกคนลังเลมิใช่น้อย ฝ่ายจอมมารเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

“ถ้าเจ้าหมายถึงขอทานหนุ่มน้อยจอมโอหังที่อาศัยอยู่ในศาลเจ้าร้างชานเมืองลั่วหยางเมื่อห้าปีก่อน ข้าก็ต้องแสดงความเสียใจด้วย เพราะข้าได้สังหารเจ้าขอทานสหายของเจ้าไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงเข้าใจผิดเพราะข้าสวมสร้อยหยกของเจ้านั่นสินะ”

ทุกคนเหลือบมองไปที่คอของประมุขตนซึ่งสวมสร้อยคอที่มีจี้หยกเล็กๆ ห้อยติดตัวไว้ตลอดเวลา และพวกเขาก็เห็นสร้อยหยกนี้มาตั้งแต่เริ่มติดตามท่านประมุข แต่ไม่มีใครเฉลียวใจจะไถ่ถามท่านจอมมาร

“ถ้าท่านฆ่าขอทานคนนั้นจริง ทำไมต้องสวมสร้อยหยกของเขาด้วยล่ะ ทั้งๆ ที่สร้อยหยกบนคอของท่านก็เป็นเพียงหยกเทียมมิใช่ของแท้มีราคาแต่อย่างใด แต่ท่านทำราวกับมันเป็นของมีค่าควรแก่การหวงแหนไว้เช่นนั้นล่ะ นั่นเพราะจริงๆ แล้วท่านคือยาจกผู้เป็นสหายข้าเมื่อห้าปีก่อน แต่ท่านมิกล้ายอมรับจึงโกหกว่าท่านสังหารยาจกคนนั้น”

“เจ้าพยายามยัดเยียดให้ข้าเป็นสหายของเจ้า เพราะต้องการให้ข้าละเว้นชีวิตของเจ้าสินะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักอย่าง หากข้าชื่นชอบของสิ่งใดแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นของแท้หรือของเทียม สวยงามหรืออัปลักษณ์ ข้าก็ยังทะนุถนอมและเก็บรักษาสิ่งของชิ้นนั้นไว้อย่างดี เช่นเดียวกับสร้อยหยกเส้นนี้ ข้าชื่นชอบมันจึงได้เอามาจากศพของเจ้าขอทานนั่น”

“ท่านฆ่าเขาจริงๆ หรือ” มู่สาวเย่าถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อ

“ใช่” จอมมารตอบสั้นๆ ก่อนยกมือขึ้นทำท่าบีบบางสิ่ง และนั่นก็ทำให้มู่สาวเย่าเหมือนถูกใครบีบคออย่างแรง แม้ตัวนางกับจอมมารจะอยู่ห่างกันเกือบสามช่วงตัวก็ตาม ทว่าพลังของจอมมารรูปงามลึกล้ำเกินกว่าใครจะหยั่งถึงได้ แค่เพียงขยับปลายนิ้วก็สามารถสร้างมือโปร่งแสงขนาดมหึมา หรือแม้แต่บีบคอมู่สาวเย่าในระยะไกลเช่นนี้

โครม!

ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ อดีตนักฆ่าจะกระโดดจากหลังพญาอินทรีผู้เป็นสหายลงมากระแทกหลังคาห้องโถงซึ่งเป็นเพียงเรือนใหญ่คล้ายเรือนรับรองในจวนขุนนางทั้งหลาย ร่างสูงเพรียวแข็งแรงลงมายืนบนพื้นพร้อมด้วยเศษกระเบื้องหลังคาที่ร่วงหล่นตามลงมา แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเศษกระเบื้องนั้น เพราะต่างกระโดดหลบได้อย่างว่องไว การมาของอวิ๋นไคมีผลให้จอมมารหยุดพลังของตน และมู่สาวเย่ากลับมาหายใจได้อีกครั้ง

การบุกเข้ามาอย่างอุกอาจเช่นนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าลูกสมุนทั้งเก้าคนของจอมมาร พวกเขาต่างเข้าตะลุมบอนกับอวิ๋นไคซึ่งตั้งท่าเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว กระบี่ที่ไร้ค่ากลับกลายเป็นกระบี่ที่ทรงอานุภาพ เพราะวรยุทธ์ยอดเยี่ยมของอดีตนักฆ่าพญาอินทรี เพียงตวัดกระบี่แค่ฉับเดียวก็เกิดเป็นพลังลมปราณมหาศาลพุ่งเข้าใส่ลูกสมุนทั้งเก้าคนของจอมมาร จนกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง แต่มีหรือจะสยบพวกเขาลงได้ ลูกสมุนผู้เป็นบุรุษทั้งแปดคนต่างตั้งค่ายกลแปดทิศ แล้วดูดร่างอวิ๋นไคเข้าไปในค่ายกลแห่งมายา ขณะที่อวิ๋นไคถูกภาพลวงตาของค่ายกลหลอกล่อให้สูญเสียพลังลมปราณอยู่นั้น พญาอินทรีก็บินโฉบลงมา และใช้กรงเล็บจิกเข้าไปในดวงตาของลูกสมุนคนหนึ่ง

“โอ๊ย!” ตี้ฉิวยกมือขึ้นกุมดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง เมื่อขาดพลังของตี้ฉิวก็ทำให้ค่ายกลสลายหายไป หลังจากค่ายกลถูกทำลายอวิ๋นไคก็หลุดออกมาอาละวาดต่อ การต่อสู้คงจะจบด้วยชัยชนะของอดีตนักฆ่าหนุ่ม ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน เมื่อจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีใช้เส้นผมเส้นหนึ่งสร้างโซ่ตรวนนับร้อยเส้นขึ้นมาจู่โจมอวิ๋นไค แม้วรยุทธ์ของอวิ๋นไคจะสูงส่ง ทว่ากลับมิอาจสู้พลังมารที่ล้ำเลิศได้ เขาถูกโซ่ตรวนมัดแขนขาและลำตัวจนกระดุกกระดิกตัวมิได้ ส่วนพญาอินทรีก็ถูกโซ่ตรวนโจมตีจนบินหนีกระเจิงไปไกล

“นำตัวมันไปขังคุกไว้ก่อน” จอมมารสั่งสมุนทั้งเจ็ดคนที่ยังแข็งแรงดีอยู่ ก่อนหันไปทางหนี่ว์ไหหรือยายเฒ่าร่างเด็ก “เจ้าพาตี้ฉิวไปให้หมอเทวดารักษาดวงตา”

“แล้วนางล่ะเจ้าคะ” หนี่ว์ไหมิวายกังวลเกี่ยวกับมู่สาวเย่า จอมมารจึงสั่งให้ลูกสมุนทั้งเจ็ดคนนำตัวมู่สาวเย่าไปขังคุกใต้ดินรวมกับอวิ๋นไค ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดจอมมารจึงไม่ปลิดชีพมู่สาวเย่ากับอวิ๋นไคให้ตายลงตรงนั้น ทำไมจึงไว้ชีวิตพวกเขา และทำเพียงแค่นำตัวทั้งสองไปขังคุกไว้เท่านั้น เรื่องนี้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของทุกคนโดยเฉพาะมู่สาวเย่า

 

แสงจันทร์สีเหลืองนวลลอดผ่านช่องอากาศเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ตีกรอบด้วยเสาเหล็กกล้าดั่งกรงขัง หากเรียกให้ถูกควรเรียกว่า ‘คุก’ มากกว่า และบัดนี้มันได้กลายเป็นสถานที่คุมขังบุคคลสำคัญอย่างเจ้ายุทธภพมู่สาวเย่ากับอดีตนักฆ่าหนุ่มผู้ติดตามไปเสียแล้ว แสงนวลสลัวถูกกลืนหายไปในแสงไฟจากคบเพลิงที่ติดบนผนังทางเดินด้านหน้าคุก ความสว่างมีมากพอจะทำให้คนในคุกเห็นสภาพโดยรอบ อวิ๋นไคนั่งพิงผนังห้องขัง ขาข้างหนึ่งชันเข่าขึ้นเป็นที่วางแขน เขามองดูรอบคุกพลางใช้ความคิด มันไม่ง่ายเลยที่จะออกจากกรงเหล็กกล้าโดยไม่ออกทางประตูเหล็กซึ่งคล้องโซ่ตรวนเอาไว้ เมื่อมองลอดซี่กรงออกไปจะเห็นชายชุดดำซึ่งเป็นคนของพรรคมารยืนเฝ้าประตูคุกอยู่สองคน

“ท่านคิดว่าในอดีตจอมมารจะเป็นยาจกได้หรือไม่” เสียงมู่สาวเย่าดังขึ้นทำลายห้วงความคิดของอวิ๋นไค จนเขาต้องหันมามองเด็กสาวที่นั่งพิงผนังอยู่ข้างกายเขา

“เจ้าหมายถึงอดีตชาติของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเมื่อห้าปีก่อน จอมมารอาจจะเคยเป็นเด็กหนุ่มขอทานในศาลเจ้าร้างก็เป็นได้” มู่สาวเย่าบอกกับอวิ๋นไค อีกฝ่ายหัวเราะขบขัน

“จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าไม่เห็นหรือ จอมมารผู้นั้นรูปงามอย่างยิ่งยวด จนแม้แต่ข้าเองยังต้องอับอาย บุคลิกท่าทางเขาก็องอาจสง่างามดุจองค์ชายผู้สูงศักดิ์ จะเป็นยาจกผู้ต่ำต้อยไปได้เยี่ยงไรกัน”

จู่ๆ มู่สาวเย่าก็ร้องไห้โฮออกมา สร้างความงุนงงให้แก่อวิ๋นไคยิ่งนัก “เจ้าร้องไห้ทำไม”

เด็กสาวพูดปนเสียงสะอื้น “ผู้มีพระคุณของข้า คนที่ข้าเฝ้าจะตอบแทนทุกเมื่อเชื่อวันถูกเจ้ามารใจโหดฆ่าตายเมื่อห้าปีก่อนแล้วน่ะสิ ข้ายังไม่ได้ทดแทนคุณยาจกใจดีผู้นั้นเลย เขาก็มาถูกฆ่าตายเสียก่อน จะไม่ให้ข้าเสียใจได้อย่างไร”

“เจ้าก็แก้แค้นให้เขาสิ” อวิ๋นไคเสนอ

“ข้าจะเอาอะไรไปแก้แค้นล่ะ ข้าเป็นเพียงสตรี อีกทั้งยังไร้วรยุทธ์ด้วย จะใช้ความงามหลอกล่อให้เจ้ามารหลงหัวปักหัวปำ เจ้านั่นก็ดูท่าจะเป็นพวกนิยมบุรุษ หรือไม่ก็เป็นพวกนักพรตบำเพ็ญตบะแน่ๆ แล้วข้าจะใช้อะไรไปสู้กับเจ้าจอมมารนั่นได้ล่ะ” พูดจบมู่สาวเย่าก็ลุกพรวดขึ้นยืนแม้จะยังสะอื้นไห้อยู่ก็ตาม

“เจ้าจะทำอะไร” อวิ๋นไคสงสัยเมื่อเห็นเด็กสาวยืนตัวตรงแน่ว อีกฝ่ายมิได้ตอบ แต่ใช้การกระทำแทนคำตอบ

“ท่านผู้มีพระคุณ ข้าไม่มีอาหารหรือแม้แต่สุราสักจอกสำหรับเคารพดวงวิญญาณของท่าน ดังนั้นข้าขอคำนับท่านยาจกแทนการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของท่านนะเจ้าคะ” พูดจบมู่สาวเย่าก็คุกเข่าลงคำนับและเอาศีรษะโขกพื้นเบาๆ เป็นการเคารพอย่างสูงสุด การกระทำของมู่สาวเย่าอยู่ในสายตาของจอมมารโดยผ่านทางเปลวอัคคีที่เป็นดั่งดวงตาทิพย์

“น่ารังเกียจจริงๆ นับถือยาจกเป็นผู้มีพระคุณ ถึงกับโขกศีรษะเคารพดวงวิญญาณกันเลย โธ่ หน้าตาสะสวยเสียเปล่า แต่งี่เง่าสิ้นดี” หนี่ว์ไหเอ่ยอย่างเย้ยหยันเมื่อดูภาพมู่สาวเย่าในเปลวอัคคีร่วมกับผู้เป็นนายภายในห้องโถงห้องเดิม

“ข้าว่าน่านับถือนะ ขนาดยาจกต่ำต้อยนางยังไม่รังเกียจ อีกทั้งยังเคารพนับถือเขาอย่างจริงใจด้วย” เทียนยี่กล่าวชม ทำให้หนี่ว์ไหไม่พอใจ

“ท่านมือขวาชื่นชมนางเพราะเห็นว่านางงดงามใช่หรือไม่”

“พูดกันตามจริง หากพวกข้าทั้งแปดคนมิได้รับการถ่ายทอดวิชามารจากท่านประมุขซึ่งต้องบำเพ็ญตบะยุ่งเกี่ยวในกามารมณ์กับอิสตรีมิได้ ข้าก็คงจะหวั่นไหวไปกับความงามของเด็กสาวคนนั้นได้ง่ายๆ เหมือนบุรุษคนอื่นเช่นกัน”เทียนยี่ยอมรับออกมาตรงๆ และสหายอีกหกคน ไม่รวมตี้ฉิวที่ไปรักษาตัวอยู่ต่างก็พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย

“พวกเจ้าช่างอ่อนหัดนัก ดูท่านประมุขสิ เย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ ต่ออิสตรีทุกคน ต่อให้งามหยาดฟ้าราวกับเทพธิดาก็มิอาจทำให้ประมุขเราหวั่นไหวได้ สายลมมิอาจสั่นคลอนภูผาได้ฉันใด หัวใจของประมุขก็หนักแน่นมั่นคงมิโยกคลอนไปตามความงามของอิสตรีฉันนั้น”

“หนี่ว์ไห เจ้าติดตามรับใช้ข้ามากี่ปี” จอมมารถาม

“สี่ปีเจ้าค่ะ” ยายเฒ่าร่างเด็กตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“แค่สี่ปีเจ้ารู้ใจข้ายิ่งกว่าตัวข้าเองอีกรึ เจ้าจะมาหยั่งรู้ความคิด ความรู้สึกข้าได้อย่างไรฮึ” จอมมารเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา จนคนฟังรู้สึกเยียบเย็นไปถึงขั้วหัวใจ 

“ข้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าด้วยท่านประมุข” หนี่ว์ไหตัวสั่นเทา รีบย่อตัวลงหมอบกับพื้นด้วยความกลัวถูกทำโทษ แต่จอมมารมิได้ทำอะไรนาง เพียงแต่มีคำสั่งออกมา

“นำตัวมู่สาวเย่าไปที่ห้องนอนข้า คืนนี้ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนข้าเด็ดขาด”

“ท่านประมุข! ท่านจะ...” ลูกสมุนต่างพากันตกใจ หนี่ว์ไหถึงกับโวยวายออกมาทันที

“ไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านประมุขจะมีอะไรกับมู่สาวเย่าไม่ได้ มิเช่นนั้นพลังมารที่ท่านฝึกฝนมาจะต้องสูญสลายไป ได้โปรดไตร่ตรองดูอีกครั้งด้วยเถิดเจ้าคะ”

“ใครไม่เห็นด้วย ข้าจะเชือดคอให้ตายตรงนี้เลย” จอมมารกล่าวเสียงเรียบ แต่เด็ดขาดจนไม่มีใครกล้าปริปากคัดค้านอีก เมื่อเห็นลูกสมุนทุกคนนิ่งเงียบ จอมมารก็สั่งย้ำอีกครั้ง

“ไปพามู่สาวเย่ามา ข้าจะรออยู่ที่ห้องนอน”

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเมื่อต้องนั่งเฉยๆ อยู่ภายในคุกที่เหม็นอับและสภาพอากาศที่ย่ำแย่ ความเย็นยะเยือกลอดผ่านช่องอากาศเข้ามาด้านในทำให้สองหนุ่มสาวผู้ถูกคุมขังต้องนั่งคุดคู้กอดเข่าเพื่อคลายความหนาวเหน็บรอบกาย อวิ๋นไครู้สึกสงสัยกับการนั่งขับร้องเพลงเบาๆ ของมู่สาวเย่ายิ่งนัก

“ดูเจ้าช่างไร้ความวิตกกังวลหรือหวาดกลัวใดๆ ต่อการอยู่ในเงื้อมมือจอมมารซะเหลือเกินนะ” อวิ๋นไคว่า

“ข้าจะต้องหวาดกลัวด้วยเรื่องใดเล่า ดูก็รู้ว่าจอมมารไม่คิดจะฆ่าพวกเราแน่ๆ มิเช่นนั้นคงจัดการสังหารพวกเราให้ดับดิ้นไปตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องโถงนั่นแล้ว” มู่สาวเย่ากล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร จอมมารอาจจะรอเวลาในรุ่งเช้าเพื่อสังหารพวกเรากลางแจ้งก็เป็นได้”

“วิตกกังวลไปก็เท่านั้น รอดูสถานการณ์คืนนี้ก่อนก็แล้วกัน”

ยังไม่ทันขาดคำประตูคุกก็เปิดกว้าง ผู้ที่เดินเข้ามาในคุกคือลูกสมุนมือขวาของจอมมาร ซึ่งมู่สาวเย่าจำชื่อเสียงเรียงนามของบุรุษผู้นี้ได้ว่าชื่อเทียนยี่ อันแปลว่า มติสวรรค์ เขาเดินเข้ามาฉุดแขนมู่สาวเย่าให้ลุกขึ้นตามเขาออกไป โดยมีสหายอีกสองคนถือกระบี่จ่อลำคออวิ๋นไคไว้เพื่อมิให้อดีตนักฆ่าหนุ่มต่อสู้ขัดขวางการพาตัวเด็กสาวไปให้จอมมาร

“พวกเจ้าจะพานางไปไหน” อวิ๋นไคถามเสียงเข้ม

“ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ” เทียนยี่ย้อนถามอย่างยียวน มู่สาวเย่าเห็นว่าใช้ไม้แข็งคงไม่เกิดผล จึงเอ่ยอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานกับเทียนยี่

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านประมุขของพวกท่านคงอยากจะพบข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านเทียนยี่”

เทียนยี่ทำหน้าประหลาดใจ แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “เจ้าจำชื่อข้าได้... เจ้าช่างมีความจำเป็นเลิศและยังมีไหวพริบดีทีเดียว ใช่แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านประมุข”

“การไปพบท่านประมุขในครั้งนี้ ข้าอาจไม่มีชีวิตรอดกลับมา หากท่านเทียนยี่ไม่ว่าอะไร ข้าขอเอ่ยอำลากับสหายของข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ได้สิ” เทียนยี่ตอบทันทีโดยไม่คิดตริตรองแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเสียทั้งคู่ก็ไร้อาวุธ และอวิ๋นไคก็ถูกจอคอด้วยคมกระบี่ของพวกเขาอยู่แล้ว เขาจึงปล่อยตัวเด็กสาว มู่สาวเย่าเดินเข้าไปกระซิบเบาๆ ใกล้ๆ อวิ๋นไค

“ไม่ต้องห่วง คืนนี้ข้าจะต้องพาท่านออกไปจากที่นี่ให้ได้ รอคอยให้ข้ากลับมาช่วยนะ” พูดจบมู่สาวเย่าก็ส่งยิ้มให้อวิ๋นไค อีกฝ่ายทำหน้าพิศวง แม้อยากจะถามเต็มทีว่า ‘เจ้าจะทำอย่างไร’ แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้ถามออกมา จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ และมองดูมู่สาวเย่าถูกเทียนยี่กับสมุนทั้งสองคนพาตัวออกจากคุก

“นางจะทำอะไรกันแน่นะ” อวิ๋นไคพึมพำกับตัวเอง

 

อาณาเขตด้านหลังของพรรคมารเป็นป่าช้าอันเงียบเชียบวังเวง และเต็มไปด้วยหลุมฝังศพนับพันหลุม เทียนยี่เดินนำมู่สาวเย่าผ่านกองกระดูกที่ไร้การฝังกลบอีกจำนวนมาก โดยมีลูกสมุนสองคนเดินปิดท้าย การถูกพาตัวมายังสถานที่ชวนขนลุกเช่นนี้ทำให้มู่สาวเย่าอดที่จะเอ่ยปากถามสมุนมือขวาของจอมมารมิได้

“ท่านเทียนยี่ ไหนท่านบอกข้าว่าจะพาข้าไปหาท่านประมุขของท่านที่ห้องนอนของเขามิใช่หรือ เหตุใดจึงพาข้ามายังป่าช้าล่ะ หรือท่านคิดจะลงมือสังหารข้าที่นี่เสียเอง”

เทียนยี่หัวเราะขัน “ถ้าข้าจะฆ่าเจ้ามิต้องพามาไกลถึงที่นี่หรอก อยู่ในคุกข้าก็ฆ่าเจ้าได้ และข้าขอย้ำว่า ที่นี่แหละเป็นทางไปยังห้องนอนของท่านประมุข”

“ห้องนอนของท่านจอมมารเป็นสุสานเยี่ยงนั้นหรือ” น้ำเสียงมู่สาวเย่าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“เดาเก่งนี่ ใช่แล้ว ท่านประมุขนอนในสุสานที่ป่าช้าแห่งนี้”เทียนยี่ชะลอฝีเท้ามาเดินข้างกายเด็กสาว แล้วสาธยายความโหดเหี้ยมของประมุขตนให้มู่สาวเย่าฟัง “ทุกๆ เจ็ดวัน ท่านประมุขจะต้องออกไปสังหารคนเพื่อนำศพมาไว้ที่นี่ โครงกระดูกมากมายที่เจ้าเห็นตามทางเป็นของสะสมเล่นของท่านประมุขเลยละ”

“ช่างเป็นของสะสมที่น่าสยดสยองอะไรเยี่ยงนี้ สงสัยคืนนี้ข้าอาจจะกลายเป็นของเล่นสะสมของประมุขท่านแน่ๆ” มู่สาวเย่าตีหน้าเศร้า

“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ ท่านประมุขน่ะไม่มีทางจะมีอะไรกับผู้...” เทียนยี่รู้สึกตัวจึงยั้งปากไว้ได้ทัน ก่อนจะรีบเอ่ยกลบเกลื่อน “หากเจ้าทำให้ท่านประมุขพอใจก็อาจไม่ต้องกลายเป็นของสะสมอีกชิ้นของท่านประมุขก็เป็นได้”

“ข้าจะทำให้ประมุขของพวกท่านพอใจที่สุดเลยละ” มู่สาวเย่ายิ้มเจ้าเล่ห์ ในขณะที่คนฟังทั้งสามคนต่างพากันยิ้มเยาะ

เมื่อมาถึงประตูทางเข้าหน้าสุสานซึ่งก่อสร้างด้วยหินสีนิลเป็นมันวาวเมื่อกระทบกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน เทียนยี่เคาะประตูหินสามครั้งพร้อมกับส่งเสียงแจ้งการมาถึงของพวกตนต่อท่านประมุขพรรคมาร เพียงชั่วอึดใจประตูหินหน้าสุสานก็เลื่อนเข้าไปด้านในราวกับมีกลไกซ่อนอยู่

“เจ้าเข้าไปสิ” เทียนยี่บอกกับมู่สาวเย่าซึ่งยกมือขึ้นอุดจมูกทันทีที่ประตูเปิดออก

“มีซากศพอยู่ข้างในสุสานด้วยหรือ” มู่สาวเย่าถามเมื่อได้กลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนลอยออกมาจากด้านใน

“ใช่ ข้าบอกแล้วไง ศพมนุษย์เป็นของเล่นสะสมของท่านประมุข ท่านย่อมนำศพเข้าไปประดับในห้องนอนเป็นธรรมดา” เทียนยี่เอ่ย พร้อมกับดันหลังให้เด็กสาวเข้าไปด้านในก่อนประตูสุสานจะเลื่อนปิดสนิท

เสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งสามคนค่อยๆ เบาลง แสดงว่าพวกเขาเดินกลับไปทางเดิมโดยมิได้ยืนเฝ้าอยู่หน้าสุสาน มู่สาวเย่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนมองดูรอบห้องกว้างซึ่งมีซากศพเน่าเฟะเต็มไปด้วยหนอนชอนไชยั้วเยี้ยน่าเกลียดอยู่บนแท่นหินกลางห้อง ฝั่งตรงข้ามที่เด็กสาวยืนอยู่เป็นทางเดินเข้าไปยังห้องอีกห้องหนึ่ง มู่สาวเย่าเดาว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องนอนของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี จึงเดินผ่านซากศพตรงไปยังห้องนั้น

ภายในห้องนอนของจอมมารไม่มีทั้งเตียง ตู้เสื้อผ้า หรือชั้นวางของใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่อยู่ในห้องมีเพียงสิ่งเดียวคือแท่นหินหยกขาวซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง และบัดนี้จอมมารรูปงามที่สุดในใต้หล้าก็กำลังหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินหยกนั้น

“ท่านเรียกข้าให้มาดูท่านนั่งหลับบนหินแข็งๆ เยี่ยงนั้นรึเจ้าคะ” มู่สาวเย่าเริ่มต้นสนทนา ก่อนจอมมารรูปงามจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แต่ยังมิได้ขยับเขยื้อนตัว

“เจ้าคิดว่าภายในสุสานนี้เป็นเช่นไร” จอมมารถามเสียงเรียบ

“บรรยากาศไม่ชวนฝันเท่าไร กลิ่นไม่หอมรัญจวนใจทำให้หมดอารมณ์เอาง่ายๆ อีกทั้งยังไม่มีที่นอนนุ่มๆ อุ่นๆ ไว้วาดลีลาอีกด้วย แต่ไม่เป็นไร แค่มีตัวข้าอยู่ที่นี่เท่านั้นก็เพียงพอให้ท่านได้สุขสมอารมณ์หมายแน่นอน” มู่สาวเย่าเอ่ยอย่างแฝงความนัย

“นี่เจ้าคิดอะไรอยู่” ซ่งเว่ยเชียนซีถามเหมือนรู้แต่ไม่พูดออกมา ฝ่ายเด็กสาวก็แสร้งทำเป็นไขสือตอบออกไป

“ท่านไม่ต้องกลัว ข้าเติบโตมาในหอคณิกา เรื่องทำให้บุรุษมีความสุขดั่งขึ้นสรวงสวรรค์นั้นข้าเรียนรู้มาพอควร แม้ไม่ถึงกับช่ำชอง แต่ก็ทำให้ท่านตราตรึงใจไปอีกนานแน่ๆ” พูดจบมู่สาวเย่าก็แย้มยิ้ม พลางค่อยๆ ร่ายรำอย่างเย้ายวน ยักย้ายส่ายสะโพกแล้วค่อยๆ ปลดผ้าคาดเอวออก จนอาภรณ์ชั้นนอกเลื่อนหลุดขณะร่ายรำอย่างเร้าร้อนยิ่งขึ้น จนเหลือเพียงชุดสีขาวชั้นในปกปิดกายเท่านั้น มู่สาวเย่าขยับเข้าไปหาจอมมารหนุ่มและร่ายรำยั่วยวนด้วยท่วงท่างดงามชวนให้เสน่หา ทว่าอีกฝ่ายกลับนั่งมองนิ่ง มิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เขามิได้พอใจต่อการร่ายรำของเด็กสาว แต่ก็มิได้หยุดยั้งการกระทำของนาง เมื่อมู่สาวเย่าชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ จนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน เรียวปากงามจู่โจมหมายประทับลงบนริมฝีปากได้รูปของจอมมารหนุ่ม แต่เขากลับหันหน้าหลบจุมพิตของนาง

มู่สาวเย่าหัวเราะคิกออกมา ก่อนจะขยับถอยห่างไปสวมชุดให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยปนขัน “ท่านมิใช่บุรุษที่รักชอบในบุรุษด้วยกัน แต่ท่านฝึกวิชามารที่ต้องบำเพ็ญตบะ ยุ่งเกี่ยวกับอิสตรีมิได้ หากท่านมีจิตตกอยู่ในกามารมณ์แม้เพียงเล็กน้อย พลังมารที่ท่านฝึกฝนมาก็จะตีย้อนกลับจนชีพจรขาดสะบั้น แม้เอาชีวิตรอดมาได้ แต่ก็จะกลายเป็นคนพิกลพิการไร้วรยุทธ์ ท่านจึงต้องควบคุมจิตใจมิให้หวั่นไหวต่อการยั่วยวนของข้าใช่หรือไม่”

“เจ้าดูจากอะไร ข้าอาจจะเป็นชายตัดแขนเสื้อที่ไม่นิยมชมชอบอิสตรีก็เป็นได้” จอมมารหนุ่มบอกหน้าตาย

มู่สาวเย่าส่ายหน้าช้าๆ “ซากศพที่อยู่ด้านนอกนั่นเป็นตัวบอกให้ข้ารู้ว่าท่านบำเพ็ญตบะ ท่านเอาศพเข้ามาอยู่ในสุสานเพื่อปลงสังขารทั้งกลิ่นและรูปที่ไม่ชวนมอง ทุกอย่างก็เพื่อฝึกจิตใจให้กล้าแข็ง ปลงสังเวชต่อของสวยๆ งามๆ มิใช่ของเล่นสะสมของท่านดั่งที่เทียนยี่ขู่ข้าเลย”

“เจ้ารู้มากขนาดนี้ แล้วรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงให้เจ้ามาหาข้าที่นี่”

‘เพราะท่านเปิดโอกาสให้ข้าหนีน่ะสิ ท่านจะรอดูว่าข้าจะหนีได้หรือไม่ และหนีได้อย่างไร’ มู่สาวเย่าตอบในใจ นางมิได้เอ่ยออกมา เพราะหากตอบตามความจริง จอมมารจะประเมินว่านางอวดฉลาดเกินไป และต้องหาทางกันมิให้นางหนีได้ตามที่พูดแน่นอน

‘คอยดูเถอะ คืนนี้ข้าจะหนีไปจากที่นี่ให้ท่านดู’ มู่สาวเย่าคิด ก่อนตอบเลี่ยงๆ “ท่านคงอยากพบข้าเพราะเรื่องสหายยาจกของข้าใช่หรือไม่”

“ข้าไม่ได้อยากรู้เรื่องยาจกจอมโอหังนั่น” น้ำเสียงจอมมารยังคงราบเรียบขณะพูด

“ข้ามาคิดดูแล้ว ท่านต้องไม่ใช่สหายยาจกของข้าแน่ๆ เพราะสหายข้าแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะสกปรกไม่น่ามอง แต่จิตใจภายในของเขาดีงามดุจเทพเซียนเดินดิน มีคุณธรรมเปี่ยมล้น ยากจะหาได้ในใต้หล้า จะมาเป็นจอมมารที่โหดเหี้ยมฆ่าคนราวกับผักปลาได้อย่างไรกัน จริงหรือไม่” มู่สาวเย่าพูดไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาสลดเศร้าวูบหนึ่งของจอมมารรูปงาม “แม้ข้าจะโกรธแค้นที่ท่านสังหารสหายของข้า แต่ข้าก็ไร้ความสามารถ มิอาจแก้แค้นแทนสหายได้ คงได้แต่หาของเซ่นไหว้ดวงวิญญาณสหายยาจกทุกปีเท่านั้น”

“ถ้าเจ้าจะพูดแต่เรื่องสหายยาจกของเจ้า ก็หุบปากซะ ข้าไม่อยากฟัง”

“ก็ได้ๆ ข้ารู้ว่าท่านรำคาญข้า แต่ท่านรู้หรือไม่ ท่านช่วยให้ข้าไม่ต้องนอนหนาวเหน็บอยู่ในคุกใต้ดินกับอวิ๋นไค เพราะความเย็นยะเยือกอาจทำให้เขาหาไออุ่นด้วยการกกกอดข้าได้ แต่ท่านไม่เหมือนกัน ข้ารู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับท่าน” มู่สาวเย่าส่งยิ้มอ่อนหวานให้จอมมารหนุ่ม อีกฝ่ายหรี่ตามอง

“เจ้ารู้สึกปลอดภัยเพราะข้าล่วงเกินเจ้ามิได้ละสิ”

“อย่างไรก็ตาม ข้าก็อยากตอบแทนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านยื่นมือมาช่วยให้ข้าได้นอนที่นี่ ข้าจะต้มน้ำสมุนไพรช่วยเพิ่มพลังในกาย ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น ท่านจะได้หลับสบายในคืนนี้” มู่สาวเย่าเริ่มโน้มน้าวจอมมารรูปงามตามแผนการที่คิดไว้ในใจ

“ใครจะกล้าดื่มของของเจ้า ถ้าเจ้าใส่ยาพิษลงในน้ำสมุนไพรขึ้นมา ข้ามิต้องตายหรอกหรือ”

“ถ้าท่านไม่เชื่อข้าจะลองดื่มให้ดูก่อนก็ได้ หรือไม่ท่านก็ใช้เข็มเงินทดสอบว่าข้าใส่ยาพิษลงไปหรือไม่ก็ได้”

“อยากทำอะไรก็ตามใจ” จอมมารเอ่ย พลางนั่งหลับตาในท่าขัดสมาธิเหมือนเดิม

มู่สาวเย่ายิ้มมุมปาก ก่อนเดินออกจากห้องไปยังประตูทางเข้าออกสุสาน เมื่อประตูเลื่อนเปิดมู่สาวเย่าก็ต้องตกใจ เพราะจู่ๆ ยายเฒ่าร่างเด็กก็ล้มหน้าคะมำกับพื้นต่อหน้ามู่สาวเย่า

“ท่านแอบฟังว่าข้ากับท่านจอมมารทำอะไรกันข้างในใช่หรือไม่” มู่สาวเย่าเดาได้ตรงเผง อีกฝ่ายแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วตอบ

“ข้าแค่มาเฝ้าระวังมิให้เจ้าทำร้ายท่านประมุขต่างหาก”

มู่สาวเย่าอมยิ้ม “ท่านมาก็ดีแล้ว ข้าอยากได้หม้อต้มน้ำกับน้ำสักกาหนึ่ง ท่านช่วยหาให้ข้าได้หรือไม่”

“เจ้าจะเอาไปทำอะไร” หนี่ว์ไหตวาดเพราะนางไม่ชอบขี้หน้าเด็กสาวสักเท่าไร ยิ่งมาสั่งราวกับเป็นเจ้านายเช่นนี้ยิ่งทำให้ไม่พอใจใหญ่

“ท่านหามาให้ข้าก่อน แล้วข้าจะบอกท่านทีหลัง” มู่สาวเย่าต่อรอง เพราะรู้ว่าถ้าบอกความจริงจะยิ่งโดนซักไซ้มากความเป็นแน่ ฝ่ายหนี่ว์ไหแม้จะไม่พอใจแต่ก็อยากรู้ใจจะขาดว่ายัยเด็กสาวหน้าสวยคนนี้จะทำอะไรกันแน่ จึงเดินกลับไปยังห้องครัวเพื่อหาสิ่งของตามที่มู่สาวเย่าต้องการมาให้นาง

เมื่อได้สิ่งของครบมู่สาวเย่าก็ก่อไฟต้มน้ำให้เดือด แล้วล้วงเอาห่อกระดาษในผ้าคาดเอวออกมา เมื่อคลี่ออกก็เห็นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีน้ำตาลเท่าฝ่ามือ หนี่ว์ไหเอื้อมมือมาจับข้อมือมู่สาวเย่ารั้งไว้มิให้นางใส่แผ่นสี่เหลี่ยมนั่นลงไปในหม้อต้ม

“นั่นอะไร” หนี่ว์ไหถาม

หมาเฟ่ยส่าน[1] ยาสมุนไพรช่วยเพิ่มพลังและช่วยให้เลือดลมในกายไหลเวียนได้ดีขึ้น ข้าจะต้มให้ท่านจอมมารดื่ม” มู่สาวเย่าพูดปดคำโตอย่างแนบเนียน และยังท้าหนี่ว์ไหอีกด้วย “ท่านจะใช้เข็มเงินทดสอบดูก่อนก็ได้ หากมันเป็นยาพิษจริงข้ายินดีให้ท่านสังหารข้าได้เลย”

“ไม่ต้องท้า เจ้าต้มเสร็จเมื่อไรข้าต้องพิสูจน์แน่” หนี่ว์ไหว่าแล้วก็ทำเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมู่สาวเย่าต้มยาสมุนไพรเสร็จก็ถูกหนี่ว์ไหใช้เข็มเงินพิสูจน์ เมื่อปลายเข็มไม่เป็นสีดำหนี่ว์ไหก็ยังไม่ไว้วางใจ บังคับให้มู่สาวเย่าลองดื่มดูก่อน

มู่สาวเย่ารู้อยู่แล้วว่าต้องถูกบังคับเช่นนี้จึงได้กินยาแก้ไว้ก่อน แล้วจึงดื่มหมาเฟ่ยส่านโดยมิได้สลบไปตามฤทธิ์ของยา หลังจากนั้นมู่สาวเย่าก็ถือยาสมุนไพรที่หลอกทุกคนว่าเป็นน้ำสมุนไพรเข้ามาให้จอมมารดื่ม

“ท่านประมุข ขอข้าดื่มเพื่อทดสอบดูก่อนเจ้าค่ะ” หนี่ว์ไหยังไม่ไว้วางใจ นางเอื้อมมือมาคว้าชามจากมือมู่สาวเย่าที่ส่งให้จอมมารหนุ่มไปดื่ม แต่ยายังไม่ออกฤทธิ์ทันทีทันใด ทำให้หนี่ว์ไหไม่เป็นอะไร จอมมารจึงเทยาจากหม้อต้มใส่ชามด้วยตัวเอง แล้วยกขึ้นดื่มท่ามกลางสีหน้าซ่อนยิ้มของมู่สาวเย่า แต่เด็กสาวหารู้ไม่ว่าจอมมารหนุ่มแอบใช้พลังขับยาออกจากร่างกายทางปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางซึ่งซ่อนไว้ด้านหลัง

เพียงหนึ่งเค่อ หนี่ว์ไหก็ล้มสลบหมดสติลงไปนอนกับพื้น จอมมารเห็นดังนั้นก็รู้แล้วว่าน้ำสมุนไพรที่มู่สาวเย่าต้มให้ดื่มเป็นยาสลบ จึงแกล้งล้มตัวลงนอนบนแท่นหินให้มู่สาวเย่าตายใจ ฝ่ายมู่สาวเย่าก็กระหยิ่มยิ้มย่องในแผนการที่ลุล่วงไปด้วยดี นางเดินเข้าไปหาจอมมารแล้วปลดสร้อยหยกที่เคยเป็นของตนเมื่อตอนเด็กออกจากคอของจอมมารหนุ่ม

“สร้อยหยกนี่เป็นของข้า ข้าขอเอาคืนก็แล้วกัน” มู่สาวเย่าเอ่ยกับจอมมารที่นอนอยู่บนแท่นหิน แล้วนางก็เดินออกจากสุสานโดยไม่ลืมเอาหม้อต้มยาหมาเฟ่ยส่านไปด้วย พอคล้อยหลังมู่สาวเย่า จอมมารซ่งเว่ยเชียนซีก็ลุกขึ้นนั่งแล้วยิ้มมุมปาก

“ฉลาดไม่เบา แต่อย่าหวังว่าจะรอดเงื้อมมือข้าไปได้ง่ายๆ เลย”

 

การเดินจากสุสานกลับมายังคุกใต้ดินโดยไม่ให้ถูกจับทำได้อย่างง่ายดายเพราะเป็นยามโฉ่ว[2] ซึ่งคนในพรรคมารส่วนใหญ่ที่ไม่มีหน้าที่เฝ้ายามต่างพากันเข้านอนกันหมดแล้ว มู่สาวเย่าจึงอาศัยคบไฟที่หยิบฉวยเอาจากในสุสานส่องนำทางกลับไปยังคุกใต้ดินเพื่อไปช่วยอวิ๋นไค การปรากฏตัวของมู่สาวเย่าเพียงลำพังโดยไม่มีคนในพรรคมารควบคุมตัวทำให้บุรุษสองคนผู้เฝ้าหน้าประตูคุกใต้ดินต้องประหลาดใจกึ่งสงสัย แต่พวกเขาไม่ประมาท ต่างชักกระบี่ออกมาเตรียมสู้ พลางตะโกนถามมู่สาวเย่าที่เดินถือคบไฟกับยาต้มตรงเข้ามาหา

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร หรือเจ้าทำร้ายท่านประมุขแล้วกลับมาช่วยสหาย”

“ไม่ต้องถามให้มากความ จับตัวนางไว้ก่อน” หนึ่งในสองผู้เฝ้าประตูตวาด ก่อนจะจู่โจมเด็กสาวหมายจับตัว ฝ่ายมู่สาวเย่ารีบโยนคบไฟทิ้ง แล้วล้วงของบางสิ่งจากในผ้าคาดเอวขึ้นมาแสดง

“ดูนี่ก่อน เห็นหรือไม่ว่ามันคืออะไร”

สองบุรุษชะงักและพูดขึ้นพร้อมกัน “สร้อยหยกของท่านประมุข!”

“ใช่ ท่านประมุขของพวกท่านโปรดปรานข้ามาก จึงได้มอบสร้อยหยกเส้นนี้ให้ข้าและปล่อยตัวข้าเป็นอิสระ ข้าจึงกลับมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนสหายของข้า” มู่สาวเย่าเริ่มเข้าสู่อุบายที่คิดไว้

“ข้าจะเชื่อคำพูดเจ้าได้อย่างไร” หนึ่งในสองบุรุษว่า

“แต่ข้าเชื่อนะ” สหายอีกคนกล่าว “สร้อยหยกเส้นนี้ท่านประมุขสวมติดตัวไว้ตลอดเวลา น่าจะเป็นของรักของหวงของท่าน การที่สร้อยหยกมาอยู่กับนาง ก็หมายความว่าท่านประมุขชื่นชอบนางมากจนขนาดมอบสร้อยหยกสุดหวงนี้ให้ แล้วนางก็ไร้วรยุทธ์ ไม่มีทางที่จะขโมยมาจากท่านประมุขได้หรอก”

เมื่อได้ฟังสหายอธิบายอย่างมีเหตุมีผล บุรุษอีกคนก็เชื่อตาม ทว่าพวกเขาทั้งสองคนก็ยังไม่ยอมให้มู่สาวเย่าเข้าไปในคุก

“ถึงท่านประมุขจะปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปข้างในคุกได้ หากไม่มีคำสั่งจากท่านประมุขโดยตรงข้าก็ให้เจ้าเข้าไปหาสหายของเจ้ามิได้”

“ว้า เช่นนั้นน้ำสมุนไพรที่ข้าเอามาก็เป็นหมันแล้วน่ะสิ” มู่สาวเย่าแกล้งตีหน้าเศร้า บ่นกระปอดกระแปด “ข้าอุตส่าห์แบ่งจากที่ต้มให้ท่านจอมมารดื่มมาให้อวิ๋นไคแท้ๆ สมุนไพรที่นำมาต้มก็หายากมากและแพงมากด้วย น่าเสียดายจริงๆ คงต้องเททิ้งแล้วละ”

มู่สาวเย่าทำท่าจะเททิ้ง สองบุรุษทัดทานขึ้นทันที

“เดี๋ยวสิ เจ้าจะให้พวกข้าดื่มแทนได้หรือไม่ล่ะ จะได้ไม่เสียของด้วย”

“โอ๊ะ! จริงด้วย ข้าไม่น่าลืมพวกท่านเลย” มู่สาวเย่าจัดแจงเทยาสลบ ‘หมาเฟ่ยส่าน’ ลงในชามที่อีกฝ่ายนำมาให้ แล้วสาธยายสรรพคุณหลอกๆ ที่ตัวนางคิดขึ้นให้บุรุษทั้งสองฟัง “สมุนไพรนี่จะช่วยเพิ่มพลังและช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น พวกท่านจะสดชื่นตลอดทั้งคืนที่เฝ้ายามเชียวละ”

ทุกอย่างเป็นไปตามอุบายที่มู่สาวเย่าวางไว้ ผู้เฝ้าประตูทั้งสองคนต่างสลบเหมือดหลังจากดื่มยาสมุนไพรหมาเฟ่ยส่านไปสักพัก มู่สาวเย่ารีบค้นตามตัวพวกเขา จนกระทั่งเจอพวงกุญแจสำหรับไขประตูคุกและโซ่ตรวนที่คล้องอยู่กับซี่กรงห้องขัง เด็กสาวผ่านเข้าไปด้านในได้สำเร็จ

“เจ้ามาช่วยข้าจริงๆ ด้วย” อวิ๋นไคเอ่ยอย่างขันๆ ขณะมองมู่สาวเย่าใช้กุญแจไขโซ่ตรวนที่คล้องซี่กรงเหล็ก

“ท่านควรพูดว่า ข้ามาช่วยท่านได้จริงๆ ต่างหาก มิใช่ข้ามาช่วยท่านจริงๆ เพราะอย่างไรข้าก็ต้องมาช่วยท่านอยู่แล้ว ท่านจะต้องสงสัยอะไร ที่ควรสงสัยคือข้ามาช่วยท่านได้อย่างไรสิ” มู่สาวเย่าว่าก่อนเข้ามาฉุดแขนอวิ๋นไค “รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ถ้ายาสลบหมดฤทธิ์จอมมารฟื้นขึ้นมาพวกเราจะหนีลำบากนะ”

“ก็ไปสิ” อวิ๋นไคตอบสั้นๆ แล้วเดินเร็วตามแรงดึงของมู่สาวเย่าออกจากห้องขัง ทั้งสองก้าวพ้นประตูคุกมาได้ไม่เท่าไรก็มาประจันหน้ากับเทียนยี่ซึ่งเดินผ่านมาพอดี

“พวกเจ้า!” เทียนยี่ตกใจและร้องตะโกนเรียกพรรคพวกทันที “มู่สาวเย่าจะหนีแล้ว มาช่วยกันจับเร็ว”

“เทียนยี่ ท่านพลาดไปแล้ว ตอนนี้ท่านไม่มีจอมมารคอยช่วย และอวิ๋นไคก็มีวรยุทธ์เหนือกว่าท่านหลายขุมนัก พวกข้าต่างหากที่จะจับท่าน” มู่สาวเย่ายิ้มเยาะ ก่อนหันไปบอกอวิ๋นไค “จัดการเขาเลย”

อวิ๋นไคใช้พลังลมปราณดึงกระบี่จากในมือเทียนยี่ลอยมาเข้ามือเขา แต่กลับเป็นมู่สาวเย่าเองที่ต้องตะลึงและงุนงงอย่างหนัก เมื่ออวิ๋นไคตวัดปลายกระบี่มาจ่อลำคอระหงของนางแทนที่จะเป็นคอของเทียนยี่

“เจ้าทำอะไรน่ะ อวิ๋นไค” มู่สาวเย่าหันมาดุใส่อดีตนักฆ่าหนุ่ม แต่แล้วนางก็รู้คำตอบในเวลาต่อมา เมื่ออวิ๋นไคผู้นี้ดึงหน้ากากแปลงโฉมออก

“จอมมารซ่งเว่ยเชียนซี!” มู่สาวเย่าเอ่ยนามของบุรุษที่นางไม่คาดคิดว่าจะเป็นเขาขึ้นมา “ที่แท้ท่านแกล้งสลบ แล้วใช้วิชาตัวเบาล่วงหน้ามาก่อนที่ข้าจะมายังคุกใต้ดินเพื่อปลอมเป็นอวิ๋นไค ท่านคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าข้าต้องมาช่วยอวิ๋นไค... มิน่าถึงได้พูดว่าข้ามาช่วยอวิ๋นไคจริงๆ พวกท่านทุกคนแสร้งหลงกลข้า”

“เพราะเจ้าดูเบาท่านประมุขเกินไปน่ะสิ จึงได้ติดกับเช่นนี้” เทียนยี่เย้ย

“พวกท่านเอาตัวอวิ๋นไคไปไว้ไหน” มู่สาวเย่ารู้สึกเป็นห่วงสหายหนุ่มยิ่งนัก และนั่นกลายเป็นความผิดพลาดอย่างแรงที่นางเอ่ยถึงบุรุษอื่นต่อหน้าจอมมารหนุ่ม มิใช่ว่าจอมมารจะนึกชอบพอมู่สาวเย่าจนเกิดความหึงหวงแต่ประการใด ทว่าเพราะความหมั่นไส้เด็กสาวที่ไม่รู้จักห่วงตัวเอง กลับเอาแต่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเกินไปต่างหาก ทำให้เขาต้องปลดห่วงของนางให้สิ้น

“อย่าให้เจ้าอวิ๋นไคมีชีวิตรอดไปจนรุ่งเช้า จงสังหารมันตั้งแต่บัดนี้เลย” ซ่งเว่ยเชียนซีสั่งเทียนยี่เสียงเฉียบ อีกฝ่ายรับคำหนักแน่นแล้วหายเข้าไปในคุก มู่สาวเย่าจึงรู้ว่าพวกจอมมารแอบซ่อนอวิ๋นไคไว้ในคุก และน่าจะเป็นห้องขังอื่นที่นางมิได้สังเกตเห็น

“อย่าฆ่าอวิ๋นไคได้หรือไม่ แล้วข้าจะยอมทำตามทุกอย่างที่ท่านต้องการ” มู่สาวเย่าขอร้องอ้อนวอนต่อจอมมารรูปงาม

“ฮึ! ฆ่าหรือไม่ฆ่า เจ้าก็ต้องทำตามที่ข้าสั่งอยู่วันยังค่ำ นับตั้งแต่วันที่เจ้าเห็นโฉมหน้าของข้า ชีวิตเจ้าก็เป็นของข้าแล้ว” พูดจบซ่งเว่ยเชียนซีก็ยกแขนตวัดรอบเอวบางของมู่สาวเย่าดึงเข้ามาแนบชิดกายเขา ก่อนทั้งคู่จะหายวับไปในพริบตา

 

กลิ่นชวนสะอิดสะเอียนทำให้มู่สาวเย่ารู้ว่าตัวเองถูกพากลับมายังสุสาน จอมมารหนุ่มปล่อยร่างนางเป็นอิสระ แล้วถอยหลังไปยืนกอดอกจ้องมองเด็กสาว รอยยิ้มบางๆ ดูเจ้าเล่ห์ฉายอยู่บนใบหน้ารูปงาม ทำให้คนถูกมองนึกถึงนักล่าที่มองดูเหยื่ออันโอชะ แล้วคิดว่าจะกินอวัยวะส่วนไหนของเหยื่อก่อนดี แม้มู่สาวเย่าจะเป็นสตรีแกร่งที่ไม่กลัวต่อความตายหรืออันตรายใดๆ ทว่าสถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้กลับน่าหวาดกลัวยิ่งนัก อวิ๋นไคกำลังจะถูกสังหาร นางหมดปัญญาที่จะช่วยเขา คำอ้อนวอนใดๆ ที่นางเอ่ยขอกับจอมมารผู้นี้ดูไร้ผลและยากแก่การโน้มน้าวใจยิ่งนัก ราวกับแท่นเหล็กกล้าที่มิอาจทำให้หักได้ฉันใด จิตใจของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีก็หนักแน่นเด็ดเดี่ยวไม่ยอมโอนอ่อนฉันนั้น 

อีกอย่างคือ นางไม่ชอบสายตาของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีเลย มันทำให้นางทำตัวไม่ถูก ประหม่า และใจเต้นแรง มู่สาวเย่าไม่ชอบใจที่ตัวเองหมดหนทางสู้ ไร้แรงต่อต้าน มันทำให้นางรู้สึกถึงความพ่ายแพ้เมื่อเผชิญหน้ากับจอมมารผู้นี้ มู่สาวเย่าเลี่ยงหลบการสบตาเขาด้วยการเสมองไปทางอื่น จนมาเห็นยายเฒ่าร่างเด็กนอนสลบอยู่บนพื้นที่เดิมตั้งแต่ตอนถูกหลอกให้ดื่มยาสลบ

‘อย่างน้อยก็มีอยู่คนหนึ่งที่หลงกลข้า’ มู่สาวเย่าคิด

“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกให้หมด”

มู่สาวเย่านึกว่าตัวเองหูฝาดไป ‘จอมมารผู้บำเพ็ญตบะจะมาดูผู้หญิงเปลือยกายได้อย่างไร’

“ไม่ได้ยินรึ ข้าสั่งให้เจ้าถอดชุดออกให้หมด”

คราวนี้มู่สาวเย่าแน่ใจในบัดดล ร้องเอะอะโวยวายออกมาทันที “ท่านบำเพ็ญตบะ จะมาดูข้าเปลือยกายล่อนจ้อนได้เยี่ยงไร ท่านอยากชีพจรขาดสะบั้นเป็นคนพิกลพิการอย่างนั้นหรือ”

“ข้าบำเพ็ญมานานจนอยากลองทดสอบตัวเองดูว่า หากสตรีที่ใครๆ ต่างชื่นชมในความงามจนได้รับฉายานามว่า เทพธิดาสิ้นภัสสร มาเปลือยกายต่อหน้าจะทำให้ข้าจิตตกอยู่ในกามารมณ์หรือไม่ หากข้าหวั่นไหวไปกับทรวดทรงองค์เอวของเจ้าจนชีพจรขาดสะบั้นตายลง ก็เป็นผลดีกับเจ้ามิใช่หรือ เจ้าจะได้หนีออกไปจากที่นี่อย่างไรล่ะ” ซ่งเว่ยเชียนซีเอ่ยหน้าตาย

“ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านตาย” มู่สาวเย่าแย้ง

“ไม่อยากให้ข้าตาย หรือไม่อยากเปลือยกายต่อหน้าข้ากันแน่” ซ่งเว่ยเชียนซีเอ่ยอย่างรู้ทัน “จะถอดหรือไม่ถอด”

“ไม่!” มู่สาวเย่ากระแทกเสียง

ฉับพลันจอมมารรูปงามก็ดีดก้อนหินเล็กๆ มาสกัดจุดบนตัวมู่สาวเย่าจนนางขยับเขยื้อนตัวมิได้

“ท่านจะทำอะไรน่ะ” มู่สาวเย่าตวาดแว้ด เมื่อซ่งเว่ยเชียนซีเดินเข้ามาหาแล้วปลดผ้าคาดเอวของนางออก

“ข้าจะเปลื้องผ้าให้เจ้าเอง”

“อย่านะ!” มู่สาวเย่าร้องลั่นอย่างตื่นกลัว แต่อีกฝ่ายไม่ฟังและยังคงใช้มือเปลื้องอาภรณ์ของนางทีละชิ้น

“ถ้าท่านทำให้ข้าเปลือยกายต่อหน้าท่าน ข้าจะจองล้างจองผลาญท่านไปตลอดชีวิต จะทำให้ท่านตบะแตก ชีพจรขาดสะบั้นมิได้ตายดี กลายเป็นผีไร้หลุม” มู่สาวเย่าอับจนหนทางขัดขืน จนต้องงัดคำขู่เท่าที่คิดได้ขึ้นมาขู่จอมมารหนุ่มเพื่อหวังให้เขาหยุดการกระทำอนาจารนาง แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้าม เพราะซ่งเว่ยเชียนซีกลับรู้สึกสนุกยิ่งขึ้น มือเรียวยาวเปลื้องอาภรณ์ชั้นนอกจนมันเลื่อนหลุดจากไหล่กลมมนตกลงไปกองกับพื้น มู่สาวเย่าแทบอยากกัดมือลามกคู่นี้เสียเหลือเกิน

“เจ้าบอกข้าเองว่าสามารถทำให้บุรุษมีความสุขดั่งได้ขึ้นสรวงสรรค์ และจะทำให้ข้าตราตรึงใจในตัวเจ้าไปอีกนานมิใช่หรือ แม้ข้าจะมิได้เสพสุขกับเจ้าอย่างที่เจ้าคาดหวัง แต่ข้าก็อยากเชยชมเรือนร่างเจ้าด้วยสายตาตลอดค่ำคืนนี้ เจ้าก็น่าจะดีใจนะที่ข้าผู้บำเพ็ญตบะตอบสนองความปรารถนาของเจ้า” ซ่งเว่ยเชียนซีเอ่ยเสียงเรียบด้วยสีหน้านิ่งๆ และมือที่ลูบไล้สาบเสื้อชั้นในสีขาวเล่น

“ข้าชักไม่เชื่อแล้วว่าท่านบำเพ็ญตบะจริงๆ อ้างว่าต้องการทดสอบใจตัวเอง แต่จริงๆ กำลังคิดลามกกับข้าอยู่ใช่หรือไม่” มู่สาวเย่าว่า

“เช่นนั้นมาดูกัน ว่าข้าบำเพ็ญจริงหรือแค่โกหก” พูดจบจอมมารก็ถอดเสื้อชั้นในสีขาวของมู่สาวเย่าออกเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงกับกางเกงขายาวที่ยังมิได้ถอดออก แล้วซ่งเว่ยเชียนซีก็ไล้นิ้วไปตามไหล่เปลือยเปล่าของเด็กสาว

“ท่านจะทำอะไร หยุดนะ” มู่สาวเย่าร้องห้ามเสียงหลง แต่อีกฝ่ายมิได้หยุดลวนลามนาง

“ท่านประมุข! อย่าเจ้าคะ! เดี๋ยวชีพจรขาดสะบั้น” หนี่ว์ไหร้องตะโกนขึ้นมา เมื่อนางตื่นมาเห็นประมุขของตนทำท่าจะตบะแตก เสียงของยายเฒ่าร่างเด็กทำให้ซ่งเว่ยเชียนซีชะงักและถอยห่างจากร่างเกือบเปลือยตรงหน้าไปยืนกอดอก พลางมองดูยายเฒ่าร่างเด็กใช้พลังดรรชนีคลายจุดให้เด็กสาว เมื่อเป็นอิสระมู่สาวเย่าก็รีบก้มลงคว้าเสื้อมาสวมปกปิดเรือนร่างจนมิดชิดเรียบร้อยดังเดิม

ฉับพลันนั้นจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีก็กระอักเลือดออกมาทีหนึ่ง เป็นที่ตกอกตกใจของยายเฒ่าร่างเด็ก

“ท่านประมุข เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” หนี่ว์ไหร้องถามอย่างร้อนใจ แต่ซ่งเว่ยเชียนซีมิได้สนใจนาง กลับเงยหน้าขึ้นมาถามมู่สาวเย่าแทน

“เชื่อหรือยังล่ะว่าข้าบำเพ็ญตบะจริง”

มู่สาวเย่ามิได้ตอบใดๆ เพราะนางรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำร้ายผู้บำเพ็ญตบะ แม้จอมมารซ่งเว่ยเชียนซีจะเป็นคนไม่ดี และนางก็แกล้งยั่วยวนเขาเล่นเพราะนึกสนุก แต่นางก็ไม่ประสงค์จะให้เขาบาดเจ็บหรือชีพจรขาดสะบั้นจนตายจริงๆ นางแค่อยากหนีไปจากที่นี่เท่านั้น

“ท่านประมุข ท่านประมุข” เสียงเทียนยี่ตะโกนอยู่หน้าสุสาน พอประตูเปิดเขาก็วิ่งเข้ามาในห้องแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าจอมมารหนุ่ม “ท่านประมุข ได้โปรดลงโทษข้าด้วย ข้าช่างไร้ฝีมือ มิอาจทำให้ท่านประมุขสมหวังได้”

“อวิ๋นไคหนีไปแล้วละสิ” จอมมารเอ่ยหน้านิ่ง ลูกสมุนมือขวาโขกศีรษะกับพื้น

“ท่านประมุข ข้าผิดไปแล้ว โปรดลงโทษข้าในความไร้สามารถด้วยเถิด”

“ตอนนี้มิใช่เวลาจะมาลงโทษผู้ใด อีกไม่นานอวิ๋นไคจะกลับมาพร้อมกับกำลังทหารนับหมื่นและกระบี่เทพสวรรค์ของฮ่องเต้กวงอู่ตี้ พวกเจ้าจงเตรียมตัวรับศึกหนักในอีกสามวันข้างหน้า” ซ่งเว่ยเชียนซีกล่าว ก่อนหันไปสั่งหนี่ว์ไห “เจ้าจงพามู่สาวเย่าไปขังคุกไว้ก่อน ดูแลนางให้ดี อย่าให้นางเจ็บป่วยหรือเป็นอะไรไปเด็ดขาด”

“ท่านประมุขยังจะห่วงนางอีกหรือ นางเกือบจะทำให้ท่านตายนะเจ้าคะ” หนี่ว์ไหแสดงความไม่พอใจ

“ใครว่าท่านประมุขเป็นห่วงนาง ท่านประมุขจะใช้นางเป็นโล่กำบังกระบี่เทพสวรรค์ที่เจ้าอวิ๋นไคนำมาสังหารท่านประมุขต่างหาก” เทียนยี่กล่าว พลางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามจอมมารหนุ่ม “เหลือเวลาอีกสองวันก็จะครบสิบราตรีที่ท่านประมุขต้องสังหารมู่สาวเย่า แต่เราต้องใช้นางเป็นโล่กำบังในศึกอีกสามวันข้างหน้า เราควรจะทำอย่างไรดีขอรับ จะฆ่านางก็มิได้ จะปล่อยให้มีชีวิตรอดเกินสิบราตรีก็มิได้ เพราะถ้านางรอดก็เท่ากับทำลายวาจาประกาศิตของท่านประมุขไป”

“ในเมื่อต้องสังหารนางในอีกสองวัน เราก็ทำให้ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าเดิมอีกหนึ่งวันสิ” จอมมารรูปงามกล่าว

“จะทำเยี่ยงไรหรือขอรับ”

“พวกเจ้าไปปล่อยข่าวให้ทั่วยุทธภพว่าจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีจะสังหารเจ้ายุทธภพคนใหม่ ณ หุบเขาเร้นลับในอีกสองวันข้างหน้า เท่านี้ก็บีบให้เจ้าอวิ๋นไคต้องเร่งขุนศึกให้กรีธาทัพมาโดยไว เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะสังหารทั้งอวิ๋นไคและมู่สาวเย่าให้ดับดิ้นตามวาจาประกาศิตของข้า” พูดจบซ่งเว่ยเชียนซีก็ไล่ให้ทุกคนออกไป หนี่ว์ไหกับเทียนยี่ควบคุมตัวมู่สาวเย่าไปขังคุกใต้ดินตามเดิม

มู่สาวเย่ามิอาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในศึกสงคราม ระหว่างกองทัพหลวงที่นำโดยอดีตนักฆ่าอวิ๋นไคกับจอมมารแห่งยุทธภพซ่งเว่ยเชียนซีบ้าง แต่ที่มู่สาวเย่าสงสัยคือ อวิ๋นไคจะเอากระบี่เทพสวรรค์ของฮ่องเต้กวงอู่ตี้มาได้อย่างไร รวมทั้งกองทหารนับหมื่นที่จอมมารพูดถึงอีกเล่า ใครจะไปสั่งการกองทัพได้ถ้าไม่มีราชโองการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่อดีตนักฆ่าอย่างอวิ๋นไคจะได้รับความไว้วางใจจากองค์ฮ่องเต้ แต่ทำไมจอมมมารซ่งเว่ยเชียนซีจึงมั่นใจว่าอวิ๋นไคทำเช่นนั้นได้ล่ะ

“เฮ้อ... ขี้เกียจคิดแล้ว ปวดหัว! นอนพักเอาแรงดีกว่า” มู่สาวเย่าตะโกนลั่นคุก พลางล้มตัวลงนอนคุดคู้กับพื้นอันเย็นเชียบ ไม่นานนางก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย


[1] ตามบันทึกใน ตำนานซานกั๋ว ของฮวาถว๋อ (หมอจีนชื่อดังผู้เป็นปรมาจารย์ด้านศัลยกรรม เป็นผู้คิดค้นตัวยาหมาเฟ่ยส่าน) ระบุว่า หมาเฟ่ยส่านเป็นยาดองสมุนไพรที่นำมาให้คนไข้ดื่มก่อนทำการผ่าตัด มีสรรพคุณคือทำให้คนไข้หมดความรู้สึกทั่วทั้งตัว ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ เวลาผ่าตัด หรือก็คือยาสลบนั่นเอง

[2] เวลาตั้งแต่ 01.00 น. - 02.59 น.

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น