6

หก ค่ำคืนแห่งการนองเลือด


หก

ค่ำคืนแห่งการนองเลือด

 

ความเป็นอยู่อย่างสุขสงบของราษฎรบนแผ่นดินย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปกครองอาณาจักรของฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุด เช่นเดียวกับฮ่องเต้กวงอู่ตี้ที่มีพระประสงค์ให้ราษฎรในแคว้นฮั่นของพระองค์ได้อยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้นเมื่อมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นในแคว้นฮั่น โดยเฉพาะเมืองลั่วหยางซึ่งเป็นเมืองหลวง จึงล่วงรู้ถึงพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้กวงอู่ตี้ แม้แต่ข่าวเล็กๆ อย่างการจับจองที่นั่งเพื่อการประมูลเด็กสาวในคืนวันรับแขกครั้งแรกในฐานะหญิงคณิกาก็กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันในที่ประชุมช่างฉาว[1] ในตอนเช้า

“กราบทูลฝ่าบาท เมื่อย่างเข้าสู่ยามอิ๋น ในวันนี้ได้เกิดการจลาจลขึ้นที่หน้าหอคณิกาแห่งหนึ่ง ตามรายงานของท่านเจ้าเมืองลั่วหยางระบุว่า มีผู้คนจำนวนมากต่างยื้อแย่งกันซื้อใบจองที่นั่งเพื่อเข้าร่วมการประมูลหญิงคณิกานางหนึ่งในคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีผู้หนึ่งถวายรายงานต่อฮ่องเต้กวงอู่ตี้ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่มาร่วมประชุม ณ พระตำหนักไถ่เหอ อันเป็นพระตำหนักสำหรับการบริหารราชกิจของฮ่องเต้

“แค่หญิงคณิกาคนเดียว เหตุใดผู้คนจึงต้องยื้อแย่งกันประมูลตัวนางด้วยเล่า อีกทั้งยังไปรอกันตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางเพื่อไปซื้อเพียงแค่ใบจับจองที่นั่งเช่นนั้นหรือ ดูไม่เกินจริงไปหน่อยรึ” ฮ่องเต้ผู้มีพระชนมายุสี่สิบห้าพรรษาตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอันกังวาน

“ความงามของหญิงคณิกาผู้นี้มิได้ด้อยไปกว่าสี่สุดยอดหญิงงามในตำนาน[2] เลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีบุรุษคนใดที่ได้ยลโฉมนางแล้วจะไม่ลุ่มหลงในตัวนาง ความงดงามน่ารักของนางเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแคว้น จนนางได้รับฉายานามว่า เทพธิดาสิ้นภัสสร อันหมายถึง ความงามที่ทำให้แม้แต่เทพธิดาบนสรวงสรรค์ยังต้องสิ้นแสงสว่างรอบกายาพ่ะย่ะค่ะ”เสนาบดีคนเดิมกล่าว

“บังอาจ!” รองแม่ทัพหานอี้ตวาดขึ้นมา “ต่อให้หญิงคณิกาผู้นั้นจะงามถึงขนาดล่มแคว้นได้ แต่ก็เป็นเพียงแค่หญิงคณิกานางหนึ่งเท่านั้น ท่านเสนาบดีเผิงมิบังควรนำเรื่องของนางมากราบทูลให้ระคายเคืองเบื้องพระบาทของฝ่าบาท ทำเช่นนี้เท่ากับดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของฮ่องเต้ชัดๆ”

เสนาบดีเผิงผู้เอ่ยคนแรกยิ้มหยันให้รองแม่ทัพหานอี้ ก่อนหันไปทูลต่อฮ่องเต้ด้วยเสียงอันดังเพื่อให้ขุนนางในที่นั้นได้ยินทั่วถึง “กระหม่อมจะไม่ทำในสิ่งที่รองแม่ทัพหานกล่าวหาเลย หากการประมูลหญิงคณิกาในคืนนี้จะไม่มีขุนนางระดับสูงอย่างท่านอัครเสนาบดีจงหยาง รองแม่ทัพหานอี้ รวมทั้งขุนนางหลายท่านในที่นี้ไปร่วมประมูลกันแย่งสตรีนางเดียวในครั้งนี้ด้วย ช่างเป็นเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงของราชสำนักยิ่งนัก”

“การไปหอคณิกาเป็นการหาความสำราญส่วนบุคคล มิได้ทำให้ราชกิจที่ได้รับมอบหมายจากฝ่าบาทต้องล้มเหลวสักนิด และข้ากับรองแม่ทัพหานอี้ก็มิได้ต้องการตัวหญิงคณิกาผู้นั้นเพื่อตนเองด้วย เจ้าอย่ามากล่าวโทษพวกข้าหน่อยเลย” อัครเสนาบดีจงหยางโต้กลับ

“แล้วพวกเจ้าต้องการนางไปเพื่อใคร” ฮ่องเต้กวงอู่ตี้ตรัสถาม

“กระหม่อมต้องการประมูลและไถ่ตัวนางมาเป็นอนุให้บุตรชายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีจงหยางทูล

“ส่วนกระหม่อมต้องการตัวนางมาเป็นหยิงชิ เพื่อให้เหล่าลูกน้องของกระหม่อมได้สำราญใจ คลายความตึงเครียดจากการกรำศึกในสนามรบพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่สั่งห้ามพวกเจ้าก็แล้วกัน ว่าแต่หญิงคณิกาผู้นั้นมีนามว่าอย่างไรหรือ”

“มู่สาวเย่าพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีจงหยางกับรองแม่ทัพหานอี้ทูลตอบพร้อมกัน แล้วฮ่องเต้ก็แย้มพระสรวลอย่างนึกขัน ก่อนจะตรัสล้อ

“แค่โบตั๋นดอกนี้แย้มกลีบก็สะเทือนถึงบัลลังก์ฮ่องเต้เสียแล้ว”

หลังจากการประชุมช่างฉาวเสร็จสิ้น ฮ่องเต้กวงอู่ตี้ก็เสด็จไปยังตำหนักของพระธิดาองค์เล็กเพื่อตรัสถามในสิ่งที่ยังคาพระทัยพระองค์อยู่ เมื่อมาถึงตำหนักกงจู องค์หญิงอวี่เยียนกำลังเล่นหมากล้อมกับผู้เป็นพี่สาวซึ่งก็คือองค์หญิงชิงชิง พระธิดาทั้งสองคุกเข่าลงถวายคำนับแก่ฮ่องเต้กวงอู่ตี้เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในห้องโถงของตำหนัก แล้วฮ่องเต้ก็ทรงเล่าเรื่องในที่ประชุมเมื่อเช้าให้องค์หญิงทั้งสองฟัง

“ความงามของมู่สาวเย่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพคะเสด็จพ่อ” องค์หญิงชิงชิงเอ่ยขึ้น “ไม่เพียงแต่ขุนนางทุกระดับในราชสำนักเท่านั้น แม้แต่จอมยุทธ์ทั่วหล้า ไม่เว้นกระทั่งเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายก็ยังจะมาประมูลตัวนางด้วย”

“เสด็จพี่เสด็จไปแย่งซื้อใบจองที่นั่งกับเขาด้วยใช่หรือไม่เพคะ” อวี่เยียนถามอย่างรู้ทัน ฝ่ายพี่สาวก็ยิ้มแห้งๆ พยักหน้ายอมรับ

“ไม่มีกฎข้อไหนห้ามมิให้สตรีเข้าร่วมประมูลหญิงคณิกาเสียหน่อย ถึงจุดประสงค์ของข้าจะแตกต่างจากพวกบุรุษ แต่ข้าก็อยากได้ตัวมู่สาวเย่ามาเป็นนางกำนัลของข้านี่”

“เจ้าคิดอย่างไรกับการเข้าร่วมประมูลของอัครเสนาบดีจงหยาง รองแม่ทัพหานอี้ และเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย” ฮ่องเต้ตรัสถามอวี่เยียน

“ทั้งท่านอัครเสนาบดีและรองแม่ทัพหานอี้มิได้พูดความจริงเพคะ ทั้งสองคนต้องการตัวมู่สาวเย่าเพื่อความใคร่ของตัวเองเพคะ”

“ไหนลองอธิบายให้ข้าฟังสิ”

“ท่านอัครเสนาบดีจงหยางเป็นที่นับหน้าถือตาของเหล่าขุนนางทุกระดับชั้น ทั้งตำแหน่งหน้าที่และการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่น่ายกย่อง กอปรกับอายุล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา ทำให้ท่านอัครเสนาบดีมิกล้ายอมรับในที่ประชุมว่าตนเองหลงใหลในตัวเด็กสาวคราวหลาน จึงเท็จทูลว่าจะประมูลมู่สาวเย่ามาให้บุตรชายของตน”

“ช่างไม่ดูสังขารตัวเองเลยสิน่า” องค์หญิงชิงชิงว่า

“ส่วนรองแม่ทัพหานอี้ยังหนุ่มแน่น แต่ด้วยความเครียดในการกรำศึกสงครามอย่างที่เขาทูลเสด็จพ่อ ทำให้เขาอยากมีสตรีไว้ปลดปล่อยอารมณ์แห่งชายชาตรี แต่จะให้มู่สาวเย่าเป็นหยิงชิก็เท่ากับต้องยกนางให้ลูกน้องด้วย หม่อมฉันคิดว่าเขาคงไม่ต้องการเช่นนั้นเพคะ”

“ถ้าไม่เป็นหยิงชิจะเข้าไปในค่ายทหารได้เยี่ยงไร นางเป็นอิสตรี มิสมควรอยู่ในกองทัพอยู่แล้ว” ผู้เป็นพระบิดาตรัสถาม

“หม่อมฉันเดาว่ารองแม่ทัพหานอี้คงจะให้มู่สาวเย่าปลอมตัวเป็นบุรุษแฝงกายเข้าไปในกองทัพ เพียงเท่านี้รองแม่ทัพหานอี้ก็สามารถเก็บมู่สาวเย่าไว้เพื่อความสำราญของตัวเองเพียงผู้เดียว ซึ่งการทำเช่นนี้ผิดกฎกองทัพ ทำให้เขามิกล้าทูลความจริงต่อเสด็จพ่อเพคะ”

“พวกเขาช่างน่าละอายจริงๆ เพคะ” องค์หญิงชิงชิงต่อว่าอีก ก่อนถามผู้เป็นน้องสาวต่อ “แล้วเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายล่ะ ต้องการตัวมู่สาวเย่าไปเพื่ออะไร ข้าได้ยินพวกชาวยุทธ์พูดกันว่าเขาเป็นเจ้ายุทธ์ที่หมกมุ่นกับการฝึกวรยุทธ์ไม่สนใจในอิสตรี จึงไม่น่าเอาตัวมู่สาวเย่าไปเพื่อเสพสมเหมือนเช่นบุรุษอื่น”

“เคยได้ยินวิชาลมปราณสราญรมย์หรือไม่เพคะ”

“มันเป็นยอดวิทยายุทธ์โบราณที่ใช้หญิงพรหมจรรย์ในการฝึกวิชา โดยบุรุษจะรวมกายเป็นหนึ่งเดียวกับหญิงพรหมจรรย์ แล้วดึงพลังหยินในกายสตรีเพื่อเพิ่มพลังลมปราณในกาย ทำให้ฝึกวรยุทธ์ในคัมภีย์อื่นสำเร็จได้โดยง่าย” ฮ่องเต้ตรัสตอบ

“ใช่แล้วเพคะเสด็จพ่อ เพราะต้องรวมกายเป็นหนึ่งกับหญิงพรหมจรรย์ซึ่งเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายมิเคยสนใจมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเลือกเด็กสาวที่งดงามน่ารักอย่างมู่สาวเย่าเพื่อให้ตนเองมีอารมณ์ในการรวมกายเป็นหนึ่งเดียวกับนางเพคะ”

“การประมูลเพื่อชิงตัวมู่สาวเย่าคืนนี้คงจะดุเดือดเลือดพล่านน่าดูชมเลยนะเพคะ เพราะบุรุษทั้งสามคนต่างมีความปรารถนารุนแรงเหลือเกิน คงจะมิยอมกันง่ายๆ แต่สตรีที่ได้ประโยชน์ที่สุดจะเป็นใครไปมิได้นอกจากเหลาป่าวแห่งหอรื่นรมย์ ที่จะมั่งคั่งในชั่วข้ามคืนแน่นอน” องค์หญิงชิงชิงเอ่ย พลางหัวเราะในลำคอ

“อวี่เยียน เจ้าหยุดสืบเรื่องจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีชั่วคราวก่อน ข้าอยากให้เจ้าไปร่วมงานประมูลครั้งนี้แทนชิงชิง หากเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นเจ้าจงใช้ป้ายอาญาสิทธิ์นี้จัดการทุกอย่างได้เลย” ฮ่องเต้กวงอู่ตี้ตรัส พร้อมกับยื่นป้ายไม้สีทองซึ่งแกะสลักพระนามของพระองค์ไว้ให้แก่พระธิดาองค์เล็ก องค์หญิงอวี่เยียนยื่นพระหัตถ์ไปรับไว้แล้วย่อกายลงน้อมรับพระบัญชา

“เสด็จพ่อทำเช่นนี้มิได้นะเพคะ หม่อมฉันสู้อุตส่าห์ไปยื้อแย่งใบจองที่นั่งด้วยตัวเองตั้งแต่ยามอิ๋น แล้วจะให้เสี่ยวอวี่ไปแทนหม่อมฉันได้อย่างไร” องค์หญิงชิงชิงโวยวาย แต่ฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักไปโดยมิได้สนพระทัยในคำประท้วงของพระธิดาองค์โต ทำให้องค์หญิงชิงชิงถึงกับโอดครวญออกมา

“โธ่เอ๊ย ข้าก็ไม่มีนางกำนัลหน้าตาแฉล้มไว้ดูเล่นแล้วละสิเนี่ย เสด็จพ่อพระทัยร้าย”

 

            หนึ่งชั่วยามก่อนเริ่มการประมูล

“เร่งมือเข้า ใกล้เวลาเริ่มงานแล้ว ต๊าย! นั่นไปเอาชุดนักพรตที่ไหนมาถึงได้ปิดมิดชิดขนาดนั้น มันต้องเป็นชุดผ้าบางเน้นทรวดทรงอวดเรือนร่างงดงามของลูกสาวข้าหน่อยสิ” สตรีร่างท้วมผู้มีอำนาจสูงสุดในหอรื่นรมย์ยืนสั่งการโหวกเหวกอยู่ภายในห้องแต่งตัวรวมของเหล่าหญิงคณิกา ซึ่งในคืนนี้มีเพียงมู่สาวเย่าผู้เดียวที่ใช้ห้องนี้ในการแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม เพื่อออกรับแขกในคืนแรกบนเส้นทางหญิงงามผู้ขายเรือนร่าง

“เหลาป่าน มู่สาวเย่าเหมือนบุปผาแรกแย้ม ชุดที่เปิดเผยเนื้อหนังมังสาเยี่ยงนั้นไม่เหมาะกับมู่สาวเย่าหรอก มันดูเป็นสตรีชั้นต่ำเกินไป นางควรสวมอาภรณ์ที่ทำจากผ้าต่วนปักลวดลายหงส์สยายปีกเหมือนดั่งสตรีสูงศักดิ์จะดีกว่า” หลินเมี่ยวซินทักท้วง

“ใช่ๆๆ ข้าก็ลืมคิดไป ทำอย่างไรดีล่ะ ข้ามิได้เตรียมอาภรณ์ที่เจ้าว่ามาให้มู่สาวเย่าเลย แล้วในหอรื่นรมย์ของเราก็ไม่มีชุดเช่นนั้นสักชุด” เหลาป่านมีสีหน้ากลัดกลุ้ม แต่ในเวลาต่อมานางก็ยิ้มหน้าบานเมื่อหลินเมี่ยวซินนำชุดที่เคยสวมเมื่อครั้งเป็นคุณหนูในจวนอัครเสนาบดีออกมาให้มู่สาวเย่าสวม

อาภรณ์สีชมพูปักลวดลายหงส์สยายปีกอันวิจิตรช่วยเสริมส่งให้มู่สาวเย่าดูสวยเด่นสง่างามดั่งองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ทั้งเหลาป่าน เมี่ยวซิน และหญิงคณิกาทุกคนต่างชมไม่ขาดปาก เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพและได้เวลาเริ่มงาน ประตูหอรื่นรมย์ก็เปิดให้แขกที่มีใบจองที่นั่งทยอยเข้ามาจนเต็มหมู่ตึกผีเสื้อซึ่งเป็นสถานที่จัดการประมูล เหลาป่านจึงออกไปยืนกลางเวทีซึ่งเป็นกระดานไม้ยกพื้นเพื่อเปิดงาน

มู่สาวเย่าแอบมองอยู่หลังเวที ในใจรู้สึกผิดหวังอย่างแรงที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของนักฆ่าพญาอินทรีในกลุ่มแขกที่มาร่วมประมูล มีเพียงอัครเสนาบดีจงหยาง รองแม่ทัพหานอี้ เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย และสตรีผู้ปิดบังโฉมหน้าด้วยผ้าแพรสีขาวเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้สำหรับแขกพิเศษ

“เขาไม่มาใช่หรือไม่” หลินเมี่ยวซินถามขึ้น ขณะยืนซ้อนหลังมู่สาวเย่ามองหานักฆ่ารูปงามในหมู่บุรุษที่นั่งอยู่หน้าเวที

“เขาต้องมาแน่เจ้าค่ะ ข้ามั่นใจ” มู่สาวเย่าตอบไม่เต็มเสียงนัก

เมื่อเหลาป่านประกาศชื่อมู่สาวเย่าออกมาท่ามกลางบุรุษเพศที่เฝ้ารอคอยการประมูลแข่งขันชิงตัวหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วยใจระทึก เด็กสาวก็ก้าวเท้าออกจากม่านด้านหลังขึ้นมากลางเวที ความงดงามน่ารักในอาภรณ์วิจิตรทำให้มู่สาวเย่าดูเลอค่าคู่ควรแก่การทุ่มทรัพย์ไม่อั้นเพื่อชิงตัวนางมาเคียงกาย และแล้วการประมูลก็เริ่มต้นขึ้น

“หนึ่งหมื่นตำลึงทอง” รองแม่ทัพหานอี้ตะโกนขึ้นก่อนใคร เหลาป่านแอบยิ้มอย่างพอใจ เพราะแค่ราคาประมูลเริ่มต้นก็สูงลิ่วเกินกว่าที่นางคิดไว้อีก

“สองหมื่นตำลึงทอง” เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายประมูลบ้าง แล้วราคาประมูลก็ดันสูงขึ้นเรื่อยๆ บุรุษผู้ทรงอิทธิพลทั้งสามคนต่างไม่ยอมแพ้ การแข่งขันราคาดุเดือดจนบุรุษที่มาร่วมประมูลคนอื่นต่างพากันเงียบกริบ ด้วยสู้ราคากับบุรุษทั้งสามคนไม่ไหว องค์หญิงอวี่เยียนยิ้มหยันภายใต้ผ้าแพรสีขาว นางนึกสมเพชในความหน้ามืดตามัวของบุรุษทั้งสามคน ที่ใช้เงินมหาศาลกับแค่เปิดบริสุทธิ์คณิกาน้อยเพียงแค่ครั้งเดียว

“สองแสนตำลึงทอง” จำนวนเงินที่สามารถสร้างตำหนักในวังหลวงได้ทั้งตำหนักได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่บุคคลในงาน ต่างมองบุรุษผู้เสนอราคาที่ไม่มีบุรุษคนใดสามารถเสนอสูงกว่านี้ได้ เหลาป่านตะโกนนับหนึ่งถึงสามแล้วการประมูลก็สิ้นสุดลง เจ้าของหอรื่นรมย์ยิ้มแก้มปริ พลางประกาศนามของบุรุษผู้ชนะการประมูล

“ท่านอัครเสนาบดีจงหยาง คือแขกคนแรกของมู่สาวเย่า”

ขุนนางระดับสูงผู้เข้าสู่วัยชราลุกขึ้นยืดอกภาคภูมิใจในชัยชนะเหนือรองแม่ทัพอี้หานผู้ยังหนุ่มแน่นและเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายผู้มีวรยุทธ์เก่งกาจไร้เทียมทาน

“มู่สาวเย่า เจ้าพาท่านอัครเสนาบดีจงหยางขึ้นไปบนห้องนอนของเจ้าสิ” เหลาป่านหันไปสั่งบุตรสาวบุญธรรม เด็กสาวจำใจต้องเดินลงจากเวทีเข้าไปหาขุนนางสูงวัยเจ้าของร่างท้วมลงพุง

อัครเสนาบดีจงหยางถือโอกาสยกแขนขึ้นโอบไหล่เด็กสาว แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของต่อหน้าบุรุษทุกคนซึ่งส่งสายตามาให้ด้วยความอิจฉา ฝ่ายมู่สาวเย่าก็ยังคงมองหานักฆ่าหนุ่มรูปงามผู้ที่นางกำชับนักกำชับหนาให้มาร่วมประมูลและไถ่ตัวนางออกจากหอรื่นรมย์ แต่ก็ไร้วี่แววว่าเขาจะมา ความฝันและความหวังของนางจึงสลายไปราวกับหมอกควัน

ภายในห้องนอนของมู่สาวเย่าถูกตกแต่งด้วยของมงคลสีแดง ไม่ว่าเทียน ปลอกหมอน ผ้าคลุมเตียง หรือแม้แต่ผ้าม่านก็ล้วนปักลวดลายเทพสถิตมิแตกต่างจากห้องหอของคู่บ่าวสาว ถ้ามู่สาวเย่าสวมอาภรณ์สีแดงสดและมีผ้าแพรสีเดียวกันคลุมศีรษะ นางต้องคิดว่าตัวเองกำลังร่วมหอลงโรงกับขุนนางสูงวัยร่างท้วมเป็นแน่

“มู่สาวเย่า เจ้าช่างงดงามน่ากินยิ่งนัก” อัครเสนาบดีจงหยางจ้องมองเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างหื่นกระหาย เขายิ้มตาหยีจนริ้วรอยเหี่ยวย่นปรากฏขึ้นที่หางตาทั้งสองข้าง มู่สาวเย่าลุกขึ้นขยับตัวถอยห่างไปยังมุมห้องด้วยความรังเกียจ ฉับพลันขุนนางสูงวัยร่วงท้วมก็กระโจนเข้ามาหามู่สาวเย่าหมายจะกอดรัดนางด้วยวงแขนแข็งแรง แต่ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะผลักไส ร่างท้วมลงพุงของอัครเสนาบดีจงหยางก็ถูกฝ่ามือหนึ่งซัดเข้ากลางอกจนกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง เจ้าตัวร้องครางออกมา ก่อนเงยหน้ามองผู้ที่ลงมือกับเขา

“เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้ เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย!” อัครเสนาบดีจงหยางตะคอกใส่หน้าบุรุษร่างผอมในชุดจอมยุทธ์สีม่วง ผู้ซึ่งกระโดดเข้ามาทางช่องหน้าต่างและซัดฝ่ามือใส่เขา มู่สาวเย่าขยับถอยหลังและเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ

“เจ้ายกมู่สาวเย่าให้ข้าเถิด แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยการหาสาวงามสิบคนให้เจ้าแทน” เจ้ายุทธภพร่างผอมยื่นข้อเสนอ

“ไม่! ข้าต้องการมู่สาวเย่าเท่านั้น” อัครเสนาบดีแผดเสียง “เจ้าไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมข้า ออกไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นข้าจะตะโกนเรียกคนของข้าขึ้นมาจับตัวเจ้า”

“เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ให้มู่สาวเย่าแก่ข้า”

“ใช่”

สิ้นเสียงของขุนนางสูงวัยเพียงชั่วพริบตาเจ้ายุทธภพร่างผอมก็ใช้วรยุทธ์ดึงปิ่นปักผมหยกบนศีรษะของมู่สาวเย่าให้ลอยมา แล้วซัดปิ่นเข้าใส่ร่างท้วมลงพุง ก่อนใช้กำลังภายในกระแทกฝ่ามือลงไปที่หัวปิ่นปักผมจนมันเสียบแทงจมลึกเข้าไปในอกซ้ายของอัครเสนาบดีจงหยางจนเลือดพุ่ง แล้วร่างท้วมก็ทรุดฮวบลงไปนอนกับพื้น เลือดสีแดงไหลเป็นทางยาวสู่ประตูห้องนอน

“ท่านอัครเสนาบดี!” มู่สาวเย่าตกใจรีบวิ่งเข้าไปดูขุนนางสูงวัย เมื่อจับชีพจรตรงข้อมือก็รู้ว่าอัครเสนาบดีจงหยางสิ้นใจแล้ว

“ท่านฆ่าเขาทำไม” มู่สาวเย่าลุกขึ้นถามเจ้ายุทธภพเสียงดัง แล้วนางก็ถูกเขาจี้สกัดจุด[3] มิให้ขยับตัวหรือร้องเรียกใครได้

เจ้ายุทธภพร่างผอมก้มศีรษะลงมากระซิบข้างหูมู่สาวเย่า “คืนนี้เจ้าอยู่ในห้องกับอัครเสนาบดีจงหยางเพียงลำพังสองต่อสอง และเขาก็ตายด้วยปิ่นปักผมของเจ้า ทุกคนจะต้องคิดว่าเจ้าใช้ปิ่นหยกฆ่าขุนนางเฒ่าผู้นี้เพื่อป้องกันตัวแล้วหนีไป จะไม่มีใครสงสัยว่าข้าเป็นคนสังหารเขาและพาตัวเจ้าไป”

พูดจบเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายก็อุ้มร่างบางของมู่สาวเย่าขึ้นพาดบ่า แล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดออกทางหน้าต่างห้องขึ้นไปบนหลังคาหมู่ตึก ก่อนจะหายลับไปในความมืดมิดของท้องฟ้า

ด้วยความเป็นห่วงในตัวมู่สาวเย่าทำให้หลินเมี่ยวซินแอบขึ้นมาดูบนห้องนอนของมู่สาวเย่า เมื่อมาถึงหน้าประตูหญิงคณิกาสาวก็เห็นคราบน้ำที่ใต้ขอบประตู ด้วยความสงสัยนางจึงใช้ปลายนิ้วแตะคราบน้ำนั้นขึ้นมาดูใต้โคมไฟที่แขวนอยู่หน้าห้อง 

“เลือด!” หลินเมี่ยวซินตกใจอย่างหนัก ด้วยความกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมู่สาวเย่า นางจึงตัดสินใจผลักประตูเข้าไปดู แล้วนางก็ต้องตกใจสุดขีดกับภาพตรงหน้า

“กรี๊ด...!”

บนท้องฟ้ายามยามค่ำคืน พระจันทร์ส่องแสงสีนวลกระจ่างทั่วฟ้าจดพื้นดิน กลางท้องฟ้ามีจอมยุทธ์ผู้เป็นหนึ่งเหนือชาวยุทธ์ทั่วหล้ากำลังแบกร่างบอบบางของหญิงงามเจ้าของสมญานาม ‘เทพธิดาสิ้นภัสสร’ ลอยล่องพุ่งทะยานจากยอดไม้หนึ่งไปยังยอดไม้ด้านหน้าด้วยวิชาตัวเบาอันล้ำลึก จิตใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือรืออยากรวมกายเป็นหนึ่งเดียวกับสาวงามอย่างเร่าร้อน

“วิชาลมปราณสราญรมย์จะทำให้ข้าเป็นเจ้ายุทธภพไปอีกยาวนาน และยังได้เสพสมกับเจ้าที่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วย ช่างน่าเปรมปรีดิ์อะไรเยี่ยงนี้” เจ้ายุทธภพร่างผอมเอ่ยกับมู่สาวเย่าที่พาดตัวอยู่บนบ่า แม้เด็กสาวอยากจะเกลี้ยกล่อมเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายด้วยถ้อยคำโน้มน้าวใจให้เขาปล่อยตัวนาง แต่ก็มิอาจกระทำได้ดั่งใจเนื่องจากนางถูกสกัดจุดไว้

ฉับพลันที่ปลายเท้าเจ้ายุทธภพแตะใบไม้และกระโดดขึ้นกลางท้องฟ้าก็มีราชันแห่งปักษาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในใต้หล้าบินโฉบเข้าใส่ร่างผอมจากทางด้านหลัง และใช้กรงเล็บอันแหลมคมจิกศีรษะเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย ทว่าเจ้ายุทธภพกลับรับรู้ถึงการจู่โจมแบบมิให้ตั้งตัวนั้นเสียก่อน เขายกกระบี่ซึ่งถืออยู่ในมือข้างที่ว่างขึ้นขวางกั้นกรงเล็บทรงพลัง ก่อนตวัดคมกระบี่ปาดเข้าที่ขาพญาอินทรี ดีแต่อีกฝ่ายสะบัดปีกบินหลบได้ทัน แม้การจู่โจมจะไร้ผล แต่ก็ทำให้เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายลงจากฟ้ามาสู่พื้นดินโดยมีนักฆ่ารูปงามยืนรออยู่เบื้องล่าง

เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายวางร่างเพรียวบางของมู่สาวเย่าลงบนพื้นดินราบเรียบใต้ต้นไผ่ที่สูงชะลูด ภายใต้ดวงหน้างดงามซึ่งขยับริมฝีปากแย้มยิ้มออกมามิได้ จึงมีเพียงหัวใจที่เต้นระรัวในอกด้วยความตื่นเต้นยินดีเมื่อได้เห็นบุรุษผู้ที่คาดหมายว่าจะมาช่วยนางให้พ้นจากเงื้อมมือเจ้ายุทธภพจอมกักขฬะ

สองบุรุษผู้มีวรยุทธ์ต่างยืนจ้องหน้ากันด้วยสีหน้าท่าทางอันไม่เป็นมิตร ก่อนเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายจะตะโกนถามจอมยุทธ์รูปงามผู้สวมอาภรณ์สีแดงเลือดหมูด้วยน้ำเสียงกระด้าง

“เจ้าเป็นใคร”

อีกฝ่ายมิได้ตอบ แต่ยกนิ้วขึ้นเป่าปาก ครั้นได้ยินเสียงอันคุ้นเคย พญาอินทรีซึ่งโบยบินเหนือผืนปฐพีอย่างสง่างามก็บินโฉบลงมายืนข้างกายนักฆ่าหนุ่ม พอเห็นอินทรีกับบุรุษรูปงามผู้มีกระบี่คล้องด้านหลังอยู่ด้วยกัน เจ้ายุทธภพจึงนึกขึ้นมาได้

“ที่แท้เจ้าก็คือนักฆ่าพญาอินทรีนามว่า อวิ๋นไค นี่เอง มีคนจ้างเจ้ามาสังหารข้าอย่างนั้นรึ” เจ้ายุทธภพเลิกคิ้วสูง

“ไม่มี” อวิ๋นไคตอบ พลางชี้นิ้วไปทางมู่สาวเย่าที่นั่งนิ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ “ข้าต้องการตัวนาง”

คำตอบของนักฆ่ารูปงามสร้างความไม่พอใจให้เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย แต่เขามิได้แสดงอารมณ์ขุ่นเคืองออกมา แค่หัวเราะในลำคอและแสร้งแสดงความเมตตาต่ออีกฝ่าย “เพื่อเห็นแก่ที่ชื่อเจ้ากับข้าออกเสียงคล้ายกัน ทั้งยังเขียนด้วยตัวอักษร 开 (ไค, คาย) เหมือนกันอีก ข้าจะหลับหูหลับตาปล่อยเจ้าไป”

นักฆ่าอวิ๋นไคมิได้เอื้อนเอ่ยคำใด เขาเดินตรงเข้าไปหามู่สาวเย่า ทว่ากลับถูกเจ้ายุทธภพใช้กระบี่ขวางหน้าไว้ เพียงแค่สบตาทั้งสองก็รู้แล้วว่ามิอาจเจรจาตกลงกันด้วยดีได้ การต่อสู้ตามวิถีแห่งชาวยุทธ์จึงเริ่มต้นขึ้น

เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายใช้พลังลมปราณที่ฝึกฝนมากว่ายี่สิบปีควบคุมกระบี่ในมือให้พุ่งแหวกอากาศตรงเข้าใส่ลำคออวิ๋นไคอย่างรวดเร็ว นักฆ่าหนุ่มมิได้หลบหลีก ยังคงยืนนิ่งมั่นคงดุจขุนเขา เพียงแค่อวิ๋นไคยกนิ้วชี้ไปทางกระบี่แล้ววาดมือเฉียงลงดูคล้ายไร้พิษสงและความพิสดารอันใด แต่เกิดลมปราณสายหนึ่งพวยพุ่งใส่ลำกระบี่ กระบี่ฟ้าประทานของเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเบาดุจขนนกและคมกริบขนาดตัดเส้นผมขาดถึงกับหักเป็นสองท่อนในทันที

เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายมั่นใจในพลังลมปราณกระบี่อันแกร่งกร้าวรุนแรงของตนอย่างยิ่ง แต่เมื่อพบว่านักฆ่าหนุ่มเพียงพุ่งลมปราณผ่านปลายนิ้วชี้กลับสามารถหักกระบี่ฟ้าประทานของเขาได้ เจ้ายุทธภพถึงกับหน้าถอดสี มิคาดคิดว่าพลังฝีมือของนักฆ่าหนุ่มจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายก็ยังกุมสติมั่น รีบเปลี่ยนกระบวนท่าจู่โจมเป็นกระบวนท่าหมัดในวิชาอรหันต์พันกร

หมัดทั้งสองข้างฟาดเข้าใส่ร่างเพรียวบางของอวิ๋นไค เสียงหมัดพุ่งฝ่าอากาศดังกึกก้องด้วยอานุภาพมหาศาล มิคาดนักฆ่าหนุ่มผู้นี้เพียงปาดมือด้วยท่วงท่าสามัญ หมัดของเจ้ายุทธภพก็พลาดเป้าทุกครั้ง พลังหมัดนับร้อยชั่งถึงกับสูญสลายไปในพริบตา ซ้ำในเวลาถัดมาเจ้ายุทธภพยังถูกซัดกลับด้วยฝ่ามือเดียว จนร่างผอมซวนเซแทบจะล้มลง แต่ก็ยังพยุงกายตั้งมั่นไว้ได้ ทว่าลมปราณภายในกายเกิดความปั่นป่วน อวัยวะภายในถูกกระแทกเสียหายจนกระอักเลือดออกมา

นักฆ่าอวิ๋นไคมิรั้งรอให้เจ้ายุทธภพเดินพลังลมปราณเพื่อฟื้นตัว เขาดีดหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งจากปลายนิ้ว ก้อนหินแม้เล็กยิ่งกลับแฝงพลังรุนแรงผิดธรรมดา เจ้ายุทธภพอับจนปัญญา ได้แต่เบี่ยงกายไปด้านข้างหนึ่งก้าวเพื่อหลบเลี่ยง ซึ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในการคำนวณของนักฆ่าหนุ่มไว้แต่แรก เมื่อเจ้ายุทธภพหลบก็เป็นการเปิดเผยจุดจิวเหว่ยหรือจุดตายอยู่ตรงกลางอก ทำให้อวิ๋นไคสามารถใช้วิชาดรรชนีพิฆาตดีดพุ่งพลังออกมา เจ้ายุทธภพรู้ว่าตนเองกำลังเพลี่ยงพล้ำจึงใช้พลังลมปราณทั้งหมดที่มีพุ่งผ่านฝ่ามือไปดึงร่างมู่สาวเย่าที่นั่งอยู่ใต้ต้นไผ่ให้ลอยลิ่วเข้ามาบังร่างผอมของตนไว้

อวิ๋นไครีบสลายลมปราณจากนิ้วของตนอย่างฉับพลัน เพื่อมิให้เด็กสาวถูกดรรชนีพิฆาตแทงทะลุจุดตายบนร่างของนาง อวิ๋นไคดึงพลังลมปราณจากปลายนิ้วลงสู่เท้าทั้งสอง การรั้งพลังภายในกลับคืนในพริบตาเช่นนี้เป็นข้อห้ามอย่างใหญ่หลวงของผู้ฝึกวรยุทธ์ เนื่องจากพลังลมปราณเมื่อพุ่งออกมา หากถูกรั้งกลับไปฉับพลันจะย้อนกระแทกชีพจรภายในตนเองจนขาดสะบั้น มีเพียงผู้ฝึกลมปราณจนลึกล้ำยิ่งเท่านั้นจึงสามารถกระทำเช่นนี้ได้ นักฆ่าหนุ่มไร้ชื่อเสียงเรียงนามในยุทธภพไหนเลยจะมีฝีมือถึงขั้นนั้นได้ เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายคิด ทว่ากลับผิดคาด นักฆ่าหนุ่มมิเพียงแต่รั้งพลังย้อนกลับมาได้อย่างปลอดภัย ยังใช้วิชาตัวเบาหายตัวจากด้านหน้าลอบไปด้านหลัง ฟาดฝ่ามือเข้ากลางหลังเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายเต็มแรง จนเจ้าตัวทรุดกายลงไปคุกเข่ากับพื้นด้วยอาการเจ็บปวดเจียนตาย

“เป็นไปไม่ได้ ข้าพ่ายแพ้ได้อย่างไร” เจ้ายุทธภพตาเหลือกถลน เอ่ยไปกระอักเลือดไป นักฆ่ารูปงามมิได้สนใจเจ้ายุทธพอีก เขาเดินเข้าไปคลายจุดให้มู่สาวเย่าที่ยืนนิ่งอยู่ข้างกายเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย

“ทำไมท่านเพิ่งมาเอาตอนนี้ เหตุใดไม่ไปประมูลไถ่ตัวข้าตั้งแต่หัวค่ำ เห็นหรือไม่ว่าเกิดการนองเลือดขึ้น ทั้งหมดเป็นเพราะท่านผิดสัญญากับข้า เรื่องร้ายๆ จึงเกิดขึ้นกับทุกคน” มู่สาวเย่าตะคอกใส่นักฆ่าหนุ่มทันทีที่ร่างกายเป็นอิสระ

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่มีเงินไปไถ่ตัวเจ้า แล้วสัญญิงสัญญาอะไรนั่นข้าก็มิได้รับปาก มีแต่เจ้าที่คิดไปเองฝ่ายเดียว” นักฆ่าหนุ่มตอบเสียงเรียบ สีหน้านิ่งไร้อารมณ์จนดูเหมือนบึ้งตึง

มู่สาวเย่าชะงัก พลางนึกย้อนดูก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า นางกำชับให้เขามาไถ่ตัวนางในคืนนี้ เขาเพียงรับฟังแต่มิได้เอื้อนเอ่ยใดๆ ออกมา

“แต่การเงียบโดยไม่ค้านก็ถือว่ารับปากเหมือนกัน อีกอย่าง... อาชีพนักฆ่าก็ได้ค่าจ้างสูงลิ่วมิใช่หรือ ข้าดูออกหรอกว่าท่านมิใช่คนใส่ใจเรื่องอาภรณ์เครื่องแต่งกาย แม้แต่กระบี่ที่ท่านใช้ก็มิได้ล้ำค่าเยี่ยงกระบี่ฟ้าประทานของท่านเจ้ายุทธภพ เนื้อกระบี่ผสมโลหะธรรมดาขายอยู่ทั่วไป มิได้มาจากถิ่นทางทิศตะวันตก ซึ่งเลื่องชื่อเรื่องทำกระบี่ชั้นเลิศ ท่านสมถะเยี่ยงนี้เอาเงินไปใช้อะไรหมด” เด็กสาวแย้ง

“ข้าก็มีเรื่องต้องใช้สิ อีกอย่าง... ตอนนี้ข้าก็ทำให้เจ้าเป็นอิสระ เช่นนั้นก็ตามข้าไปหาโสมป่าพันปีได้แล้ว” อวิ๋นไคคว้าแขนมู่สาวเย่าลากไปตามทาง ฉับพลันนั้นเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายได้ใช้กำลังภายในเฮือกสุดท้ายพุ่งตัวเข้าใส่นักฆ่าหนุ่ม หมายฟาดหมัดด้วยพลังลมปราณอันเปี่ยมล้นพุ่งอัดกระแทกแผ่นหลังอวิ๋นไค

พริบตานั้นอวิ๋นไคก็ยกปลายนิ้วชี้ไปทางด้านหลัง ดีดพุ่งพลังดรรชนีพิฆาตกระแทกจุด ‘สิ้นฮุ่ย’ หรือจุดตายตรงกลางหน้าผากของเจ้ายุทธภพอย่างแรง จนชีพจรภายในขาดสะบั้น เลือดออกทวารทั้งเจ็ด และล้มลงนอนสิ้นใจตายตรงหน้าบุรุษและสตรีรูปงามทั้งสอง

“เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย!” มู่สาวเย่าตะลึงงัน รู้สึกสลดใจที่มีบุรุษต้องมาตายเพราะนางถึงสองคน แม้นางจะมิได้ลงมือฆ่า แต่ความงดงามของนางก็เป็นต้นเหตุให้พวกเขาเข่นฆ่ากัน ทว่ามู่สาวเย่าไม่มีเวลามานั่งทุกข์ใจกับโฉมหน้าตัวเอง สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนตอนนี้คือ การฉวยโอกาสนี้พลิกสถานการณ์ย่ำแย่ให้เป็นหนทางสู่ความยิ่งใหญ่เหนือชาวยุทธ์ทั่วหล้า

คิดได้ดังนั้นมู่สาวเย่าก็ขืนตัวรั้งไว้มิก้าวเดินเมื่อนักฆ่าหนุ่มฉุดแขนนางให้เดินไปพร้อมเขา อวิ๋นไคหันมามองหน้า ส่งสายตาดุแกมสงสัยมาให้ มู่สาวเย่าแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน เอ่ยวาจาโน้มน้าวนักฆ่าหนุ่ม

“ข้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าอัครเสนาบดีจงหยาง ท่านก็เป็นนักฆ่าที่ทางการประกาศจับ หากข้าไปกับท่านตอนนี้ เราสองคนจะต้องถูกคนทั่วหล้าตามไล่ล่าไม่จบไม่สิ้น เหตุใดพวกเราไม่ทำให้ตัวเองพ้นข้อหาฆ่าคนตายในคืนนี้เลยเล่า”

“เจ้าจะทำเยี่ยงไร” อวิ๋นไคสงสัย มู่สาวเย่ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยตอบ

“มิต้องทำอะไรมาก แค่เตรียมของสามสิ่งเท่านั้น”

“สามสิ่ง?”

“หนึ่งอาชา หนึ่งขลุ่ย และหนึ่งสมองของข้า”


[1] ‘ซ่างฉาว’(สำเนียงจีนกลาง) คือการที่ขุนนางเดินทางมาเข้าเฝ้าถวายรายงานต่อฮ่องเต้ หรือก็คือการที่ฮ่องเต้เสด็จออกมาเป็นประธานเปิดการประชุม (เสด็จออกว่าราชการ) เพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหางานบ้านงานเมืองต่างๆ

[2] สี่สุดยอดหญิงงามในตำนาน ได้แก่ ไซซี หวังเจาจวิน เตียวเสี้ยน และหยางกุ้ยเฟย อนึ่ง ผู้เขียนขออ้างถึงหญิงงามทั้งสี่นางเพื่อการเปรียบเทียบเท่านั้น โดยจะไม่คำนึงถึงยุคสมัยที่ทั้งสี่สาวงามปรากฏตัวขึ้นในประวัติศาสตร์จีนแต่อย่างใด

 

[3] การสกัดจุดในที่นี้คือการส่งลมปราณของผู้สกัดจุดไปยังร่างกายของผู้ถูกสกัดจุด เมื่อมีพลังแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ลมปราณไม่สามารถไหลเวียนได้เป็นปกติ จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น