1

หนึ่ง ดรุณีน้อยแห่งหอรื่นรมย์


หนึ่ง

ดรุณีน้อยแห่งหอรื่นรมย์

 

ทั่วทั้งเมืองลั่วหยางต่างครึกครื้นด้วยผู้คนที่ตื่นขึ้นมาทำมาหากินตั้งแต่ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า มีเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่เงียบเหงาดุจหอร้างไร้ผู้มาเยือน ผิดแผกจากยามค่ำคืนที่คึกคักด้วยอาคันตุกะผู้เป็นบุรุษ สถานที่นั้นคือหอคณิกาอันโด่งดังและมีชื่อเสียงในหมู่บุรุษเพศแห่งเมืองลั่วหยางนามว่าหอรื่นรมย์

“เสี่ยวเย่า เสี่ยวเย่า” หญิงงามนางหนึ่งตะโกนเรียกดรุณีน้อยที่อยู่ในความดูแลของตน นางเดินหาไปทั่วหมู่ตึกในหอรื่นรมย์ซึ่งเงียบเชียบเพราะหญิงคณิกาคนอื่นต่างอ่อนเพลียจากกิจกรรมยามค่ำคืนจึงพากันหลับใหลกันหมด เมื่อไร้เงาดรุณีน้อยที่ตามหา หลินเมี่ยวซินจึงเดินไปยังเรือนนอนของเหลาป่าน8

“เหลาป่าว เหลาป่าว9” หลินเมี่ยวซินเคาะประตูและร้องเรียกเจ้าของหอรื่นรมย์เสียงดัง เพียงอึดใจคนในห้องก็เปิดประตูออกมาต่อว่าอย่างขุ่นเคือง

“ข้าบอกแล้วไงให้เรียกข้าว่าเหลาป่าน ไม่ใช่เหลาป่าว ต้องให้บอกสักกี่ครั้งหือ”

หลินเมี่ยวซินมองสตรีร่างท้วมในชุดฮั่นฝูสีฉูดฉาดพอๆ กับเครื่องประทินผิวบนใบหน้าที่จัดเต็มจนดูเลอะด้วยความอ่อนใจ แม้แต่ในยามหลับแม่เล้าแห่งหอรื่นรมย์ก็ยังแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูงดงามตามรสนิยมของนางอยู่ตลอดเวลา

‘เห็นแล้วเหนื่อยแทน’ หลินเมี่ยวซินคิด

“เจ้ามีอะไรกับข้า เมี่ยวซิน” เหลาป่านร่างท้วมถามสาวงามที่มาขัดจังหวะการนอนของนาง

“ท่านเห็นมู่สาวเย่าหรือไม่” หลินเมี่ยวซินย้อนถามเหลาป่านโดยไม่มีคำต่อท้ายอย่างหญิงคณิกาคนอื่นที่ต้องมีคำว่า ‘เจ้าคะ’ หรือ ‘เจ้าค่ะ’ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะหลินเมี่ยวซินเป็น ‘อี้จี’ หรือหญิงคณิกาชั้นสูง ผู้เป็นดาวประจำหอคณิกาที่ไม่เน้นขายเรือนร่าง แต่ให้บริการเพียงศิลปะและการดนตรี ทำหน้าที่พูดคุยกับแขกให้พวกเขาประทับใจจนปรนเปรอทรัพย์สินเงินทองและของมีค่า เสน่ห์ของหลินเมี่ยวซินทำให้บุรุษหลงใหลจนยากจะถอนตัว นางจึงเป็นขุมทรัพย์อันมีค่าของเหลาป่าน ดังนั้นเพื่อมิให้หลินเมี่ยวซินย้ายไปอยู่หอคณิกาอื่น เหลาป่านร่างท้วมจึงเอาอกเอาใจยกย่องหลินเมี่ยวซินเป็นเหมือนสหายคนหนึ่ง

“ข้าใช้ให้มู่สาวเย่าเอาขนมไหว้พระจันทร์ไปให้มือปราบเจียงหลุนเอง” เหลาป่านตอบเสียงเนือยๆ

“เหลาป่าน!” หลินเมี่ยวซินตะคอกเสียงดัง จนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง “ท่านให้เด็กสิบสองปีไปศาลได้อย่างไร ที่นั่นมีแต่เจ้าหน้าที่บุรุษกับพวกนักโทษต่ำช้าอยู่กัน มันมิใช่สถานที่ที่เด็กสมควรจะเข้าไปเลยนะ”

“อย่ากังวลนักเลย ต่อให้ที่นั่นเป็นขุมนรก เด็กไร้เดียงสาอย่างมู่สาวเย่าก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ป่านนี้คงวิ่งเล่นอยู่ในศาลกับชุนจื่อจนเพลินแล้วละ”

“ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร มู่สาวเย่าไม่เหมือนเด็กคนอื่นนะเหลาป่าน” หญิงคณิกาสาวร้องลั่นในตอนท้าย เมื่อเจ้าของหอร่างท้วมไม่สนใจฟังและปิดประตูใส่หน้านาง แม้หลินเมี่ยวซินจะทุบประตูเรียกอีกหลายครั้งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ออกมา จนหญิงคณิกาสาวถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาพร้อมกับพึมพำออกมา

“เหลาป่านช่างโง่เขลายิ่งนัก มิรู้เลยว่าความน่ารักน่ามองของมู่สาวเย่าต่างหากที่ข้าเป็นห่วง หาใช่ความไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่จะต้องใส่ใจไม่” หลินเมี่ยวซินทอดถอนใจ “หวังว่าเสี่ยวเย่าของข้าจะปลอดภัยนะ”

 

หนุ่มน้อยชุนจื่อพะว้าพะวังไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่ก้อนหินบนพื้นซึ่งอาจสะดุดล้ม แมววิ่งตัดหน้าทำให้ตกใจ รถม้าวิ่งชนจนบาดเจ็บ ไปจนถึงโดนบุรุษมาก้อร่อก้อติก ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะข้างกายเขามีดรุณีน้อยหน้าตางดงามน่ารักดุจเซียนหนวี่10 ดวงตาเด็กน้อยกลมโตดั่งจันทร์เพ็ญ แก้มแดงระเรือด้วยเลือดฝาด ผิวกายาสีขาวอมชมพูดุจผิวทารก และด้วยรูปลักษณ์เหล่านี้ทำให้ดรุณีน้อยวัยสิบสองปีโดดเด่นกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไป ทุกย่างก้าวที่มู่สาวเย่าเดินผ่านจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนที่ได้พบพาน

“สาวเย่า เจ้าอยู่ข้างๆ ข้านะ อย่าวิ่งหรือเดินเร็วไป ข้าไม่อยากให้เราพลัดหลงกัน” ชุนจื่อเอ่ยกับมู่สาวเย่าที่เดินเคียงกันมา แม้การกลัวพลัดหลงจะเป็นหนึ่งในความกลัวร้อยแปดพันประการที่ชุนจื่อไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เพื่อให้มู่สาวเย่าอยู่ในสายตา เขาจึงต้องอ้างกับดรุณีน้อยเช่นนั้น ฝ่ายมู่สาวเย่าได้ยินดังนั้นก็ชูมือเล็กๆ มาตรงหน้าชุนจื่อที่ตัวสูงกว่าเกือบช่วงตัว

“ถ้าเช่นนั้นก็จับมือกันไว้สิเจ้าคะ เราจะได้ไม่พลัดหลงกัน”

“ไม่ได้ๆ” ชุนจื่อปฏิเสธพัลวัน “เหลาป่านสั่งนักสั่งหนา ห้ามข้าแตะเนื้อต้องตัวเจ้าเด็ดขาด”

มู่สาวเย่ากระโดดขึ้นไปคว้ามือข้างขวาของชุนจื่อด้วยมือทั้งสองข้างของนาง แล้วจับกระชับมั่นไว้ แม้เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดจะตกใจและพยายามดึงมือตัวเองออกแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะเขามิอาจรุนแรงกับดรุณีน้อยได้

“ข้าต้องถูกเหลาป่านโบยแน่เลย” ชุนจื่อโอดครวญ

“พี่ชุนจื่อจะถูกโบยด้วยเรื่องอันใดล่ะเจ้าคะ” มู่สาวเย่าเอียงคอถามอย่างสงสัย

“ก็เพราะข้าแตะเนื้อต้องตัวเจ้าน่ะสิ”

ดรุณีน้อยส่ายหน้าอย่างช้าๆ พลางชูมือตัวเองที่จับมืออีกฝ่ายไว้ให้เขาดู “ไม่ใช่พี่ชุนจื่อ แต่เป็นข้าต่างหากที่แตะเนื้อต้องตัวท่าน อย่างนี้ท่านจะโดนทำโทษได้อย่างไร”

“จริงด้วย ทำแบบนี้ข้าก็ไม่ผิด และเจ้าก็จะอยู่ข้างกายข้าด้วย” ชุนจื่อเริ่มคิดได้

เมื่อทุกอย่างลงตัวเด็กหนุ่มผู้ติดตามก็ปล่อยให้ดรุณีน้อยจับมือข้างขวาจูงไปด้านหน้า ส่วนมือข้างซ้ายของเขาก็ถือกล่องขนมไหว้พระจันทร์มุ่งหน้าสู่ศาลหมิงจูซึ่งเป็นที่ทำงานของมือปราบเจียงหลุน ผู้ที่เหลาป่านสั่งให้เอาขนมมาให้

ศาลหมิงจูเป็นสถานที่ไต่สวนพิจารณาคดีของชาวบ้าน ขุนนาง ไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ในเขตเมืองลั่วหยาง นอกจากเจ้าเมืองที่เป็นเหมือนตุลาการคอยตัดสินคดีแล้ว ยังมีมือปราบอีกห้าคนทำหน้าที่จับกุมคนร้าย ซึ่งมือปราบเจียงหลุนก็เป็นหัวหน้ามือปราบแห่งศาลหมิงจู และในเวลานี้เขาต้องกุมขมับกับคดีเล็กๆ ที่มิได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่กลับหาตัวคนร้ายได้ยากยิ่งกว่าคดีใหญ่ๆ ที่เขาเคยสืบมา

“ท่านมือปราบเจียง มีเด็กสองคนมาขอเข้าพบท่านขอรับ” ขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องที่มือปราบสูงวัยกำลังสอบสวนสตรีนางหนึ่งและบุรุษอีกสองคนซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีเล็กๆ ชวนปวดหัวนั้น

“ใครใช้ให้เด็กเข้ามาวุ่นวายในศาลกัน” มือปราบเจียงหลุนตวาด เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกรบกวนตอนกำลังสืบคดี แต่เพียงชั่วอึดใจเขาก็สงบใจลง และเอ่ยถามขุนนางชั้นผู้น้อย “เจ้าถามเด็กสองคนนั้นหรือไม่ว่ามาหาข้าด้วยเหตุใด ถ้ามาเรียกร้องขอความเป็นธรรม เจ้าก็ให้พวกเขาไปตีกลองหน้าศาลให้ท่านเจ้าเมืองเปิดศาลก็แล้วกัน”

“เอ่อ...” ขุนนางชั้นผู้น้อยอึกอักมิกล้าพูด จนมือปราบสูงวัยต้องเค้นให้ปริปาก

“มีอะไรก็เอ่ยออกมา อย่าทำให้ข้าเสียเวลา”

ขุนนางชั้นผู้น้อยเข้าไปกระซิบที่ข้างหูมือปราบเจียงหลุนซึ่งเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ “แม่เล้าแห่งหอรื่นรมย์ให้ดรุณน้อยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มนำขนมไหว้พระจันทร์มาให้ท่านมือปราบขอรับ”

มือปราบสูงวัยซ่อนรอยยิ้มกรุ้มกริ่มไว้ในสีหน้า เหตุใดเขาจะไม่รู้กลอุบายของแม่เล้าแห่งหอรื่นรมย์ ที่ต้องการให้ดรุณีน้อยผู้นำขนมมานี้เป็นที่รู้จักในหมู่ขุนนาง โดยให้มือปราบเลื่องชื่ออย่างเขาเป็นผู้เบิกทาง

‘ในเมื่อให้ข้าเปิดตัวสินค้า ก็ต้องดูสินค้าก่อนละว่าล้ำค่าคู่ควรแก่การลงทุนแค่ไหน’ เจียงหลุนคิด ก่อนสั่งให้ขุนนางชั้นผู้น้อยไปพาดรุณีน้อยกับสหายผู้ติดตามเข้ามาข้างใน

เมื่อมู่สาวเย่าปรากฏกายต่อหน้ามือปราบเจียงหลุน สายตาของเขาก็มิอาจละไปจากดวงหน้าของดรุณีน้อยแห่งหอรื่นรมย์ได้เลย แม้นางจะยังอ่อนเยาว์ด้วยวัยเพียงแค่สิบสองปี แต่ความงดงามของนางก็เด่นชัดดุจบุปผาแรกแย้ม จนบุรุษผู้ยลโฉมเกิดความพิสมัยได้โดยง่าย

“ท่านมือปราบ เมื่อไรจะสอบสวนให้เสร็จๆ เสียที ข้าคุกเข่ารอจนเป็นเหน็บไปทั้งขาแล้ว” สตรีผอมแห้งที่เป็นหนึ่งในสามผู้ต้องสงสัยโวยวายลั่นห้อง ทำเอาบุรุษทุกคนในที่นั้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้ต้องสงสัยชายทั้งสองคนที่ต้องตื่นจากอาการพิศมองดรุณีน้อยอย่างเผลอไผล

“อยู่ในความสงบด้วย” ขุนนางชั้นผู้น้อยตวาด พลางใช้ไม้ยาวๆ สำหรับใช้ตอนเปิดศาลกระแทกกับพื้น สตรีผอมแห้งจึงสงบปากลง แต่มิวายมองค้อนมู่สาวเย่าที่เป็นตัวต้นเหตุให้การสอบสวนหยุดชะงัก

“นี่เป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่เหลาป่านให้พวกเรานำมาให้ท่านมือปราบขอรับ” ชุนจื่อกล่าว แล้วเดินถือขนมเข้าไปวางบนโต๊ะเบื้องหน้ามือปราบเจียงหลุน อีกฝ่ายส่งยิ้มให้มู่สาวเย่าโดยมิได้สนใจเด็กหนุ่ม

“ในห้องนี้ไม่มีสิ่งใดน่าชม อย่างไรเสียเจ้าไปรอข้าที่เรือนรับรองก่อน อีกสักพักข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมศาลหมิงจูให้ทั่วเลยดีหรือไม่” มือปราบสูงวัยหลอกล่อให้มู่สาวเย่าอยู่ต่อ เพื่อเขาจะได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกับดรุณีน้อยน่ารักผู้นี้ให้มากขึ้น

“ไม่...” ชุนจื่อจะปฏิเสธ แต่มู่สาวเย่ากลับแตะแขนเขาและพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาอนุญาต ในที่สุดเขาก็ใจอ่อนอีกจนได้ “อยู่ได้แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้นนะ”

“เจ้าค่ะ” มู่สาวเย่ารับคำอย่างตื่นเต้น ก่อนหันไปถามมือปราบสูงวัย “สามคนนี้เป็นใครหรือเจ้าคะ ทำไมถึงนั่งคุกเข่ากับพื้นแบบนั้น”

มือปราบเจียงหลุนรู้สึกแปลกใจที่ดรุณีน้อยสนใจผู้ต้องสงสัยทั้งสามคนมากกว่าสิ่งของภายในห้องที่น่าดึงดูดใจยิ่งกว่า แต่เมื่อเห็นความอยากรู้ในแววตาของดรุณีน้อย เขาจึงเล่าให้ฟัง แม้ในใจจะคิดว่านางไม่มีทางเข้าใจในสิ่งที่เขาจะพูดเป็นแน่

“เมื่อคืนมีโจรเข้าไปขโมยแหวนหยกเขียวมรกตในจวนท่านเสนาบดีหลิว จากการสืบหาร่องรอยหลักฐานต่างๆ ทำให้รู้ว่าโจรคนนั้นเป็นจอมโจรแต้จิ๋วที่อาละวาดขโมยข้าวของไปทั่วแคว้นฮั่น และข้าก็มั่นใจว่าหนึ่งในสามคนนี้จะต้องเป็นจอมโจรแต้จิ๋วที่ขโมยหยกของท่านเสนาบดีไปแน่ๆ แต่พอค้นตามตัวและห่อผ้าที่พวกนี้พกติดตัวก็ไม่เจอแหวนหยกเลย”

มู่สาวเย่าฟังจบก็หันไปมองข้าวของที่อยู่ในห่อผ้าทั้งสามห่อซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าสตรีและบุรุษสองคนผู้เป็นเจ้าของ ก่อนจะเอ่ยถามมือปราบสูงวัยด้วยความสงสัย “เหตุใดถึงเรียกโจรผู้นั้นว่าจอมโจรแต้จิ๋วล่ะเจ้าคะ”

“เพราะโจรมันพูดกับเหยื่อเป็นภาษาแต้จิ๋ว ทางการจึงสันนิษฐานว่ามันเป็นชาวเมืองแต้จิ๋ว จึงตั้งฉายามันว่าจอมโจรแต้จิ๋วอย่างไรล่ะ” มือปราบเจียงหลุนอธิบาย

“ทั้งสามคนนี้พูดภาษาแต้จิ๋วได้หรือไม่เจ้าคะ”

คำถามของมู่สาวเย่าทำเอามือปราบเจียงหลุนหัวเราะขบขันในความไร้เดียงสาของดรุณีน้อย “ไหนเลยพวกเขาจะพูดภาษาแต้จิ๋วให้ข้าได้ยินเล่า ถ้าพูดออกมาเมื่อไรข้าก็จะจับได้ทันทีว่าเขาเป็นจอมโจรแต้จิ๋วน่ะสิ”

“ต่อให้พวกเขาไม่พูดภาษาแต้จิ๋ว เราก็รู้ได้ว่าผู้ใดเป็นจอมโจรแต้จิ๋วเจ้าค่ะ”

“เจ้ารู้ตัวคนร้ายแล้วอย่างนั้นหรือ” มือปราบสูงวัยย้อนถามอย่างสงสัย

“เจ้าค่ะ”

มือปราบเจียงหลุน ขุนนางชั้นผู้น้อย และชุนจื่อต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครเชื่อว่าดรุณีน้อยวัยสิบสองปีจะรู้ตัวคนร้ายจริง ฝ่ายมู่สาวเย่าเห็นทุกคนมีสีหน้าไม่เชื่อเช่นนั้นก็เลยต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ดรุณีน้อยเดินเข้าไปหาสตรีผอมแห้งที่นั่งหน้าบึ้งคุกเข่าอยู่กับพื้น

“ชุดชงชาในห่อผ้าตรงหน้านี้เป็นของท่านน้าใช่หรือไม่เจ้าคะ” มู่สาวเย่าชี้ไปยังชุดชงชาสีขาวที่วางอยู่บนผ้าด้านหน้าสตรีผอมแห้ง อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ อย่างเสียไม่ได้

“ตั้งแต่มาที่นี่ข้ายังมิได้ดื่มชาเลยสักถ้วย รู้สึกกระหายยิ่งนัก ไม่ทราบท่านน้าจะเมตตาชงชาให้ข้าดื่มได้หรือไม่เจ้าคะ” มู่สาวเย่าใช้ความน่ารักออดอ้อนสตรีตรงหน้า

“ข้าจะชงชาให้เจ้าดื่มเอง” ขุนนางชั้นผู้น้อยอาสา แต่มือปราบเจียงหลุนกลับต่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชา

“เจ้าไม่เห็นหรือว่าเด็กน้อยอยากดื่มชาของแม่นางลู่ เจ้ายังจะเอาชาจืดชืดในศาลเราให้เด็กน้อยดื่มอีกรึ” พูดจบมือปราบเจียงหลุนก็หันไปพยักพเยิดกับแม่นางลู่หรือสตรีผอมแห้งผู้นั้นให้ทำตามคำขอของดรุณีน้อย

แม่นางลู่ใช้ชุดชงชาของตนชงชาแจกจ่ายให้ทุกคนในห้องสอบสวน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ในท่าเดิม ความหอมและมีรสหวานนิดๆ ทำให้มือปราบเจียงหลุนถึงกับเอ่ยปากชม

“ช่างเป็นชาเลิศรสจริงๆ ชานี้คือชาอะไรหรือ”

“ชากังฮูเต๊เจ้าค่ะ” แม่นางลู่ยิ้มอย่างปลื้มใจที่มือปราบเลื่องชื่ออย่างเจียงหลุนชื่นชมชาของนาง แล้วจู่ๆ มู่สาวเย่าก็ประกาศออกมา

“ท่านน้าคือจอมโจรแต้จิ๋ว”

สตรีผอมแห้งตกใจสุดขีด ก่อนร้องโวยวายลั่นห้อง “อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ เจ้าเด็กบ้า มีหลักฐานอะไรมากล่าวหาข้า”

“จับตัวนางไว้” มือปราบเจียงหลุนสั่งขุนนางชั้นผู้น้อยจับแม่นางลู่ทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้นางหลบหนี แต่ด้วยความฉับไวและฝีมือระดับจอมโจรทำให้การจับตัวแม่นางลู่ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายนางก็กระโดดออกทางหน้าต่างและหลบหนีไปอย่างลอยนวล

“วาดรูปนางแล้วส่งให้หัวเมืองต่างๆ ติดประกาศจับ” มือปราบเจียงหลุนสั่งการกับทหารประจำศาลที่วิ่งเข้ามาในห้อง ความชุลมุนวุ่นวายจบลงด้วยการรายงานผลการสอบสวนคดีจอมโจรแต้จิ๋วขโมยแหวนหยกเขียวมรกตแก่ท่านเจ้าเมือง ส่วนมู่สาวเย่ากับชุนจื่อก็ลามือปราบเจียงหลุนกลับหอรื่นรมย์

“เจ้าเขียนในรายงานว่า ดรุณีวัยสิบสองปีนามว่า มู่สาวเย่า เป็นผู้ชี้ตัวจอมโจรแต้จิ๋วได้ นี่เจ้ากุเรื่องเท็จขึ้นมาใช่หรือไม่ เจ้าเป็นถึงหัวหน้ามือปราบยังไม่รู้ตัวคนร้าย แล้วเด็กแค่สิบสองปีจะรู้ตัวคนร้ายได้อย่างไร” เจ้าเมืองลั่วหยางถามด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง

“เรียนใต้เท้า ตอนไต่สวนผู้ต้องหาทั้งสามคน ข้าก็อับจนปัญญา มิรู้ว่าใครคือจอมโจรแต้จิ๋วกันแน่ แต่มู่สาวเย่ากลับชี้ทางสว่างให้ข้า ด้วยการให้แม่นางลู่ชงชาให้ข้าดื่ม ข้าถึงได้รู้ว่าใครคือจอมโจรแต้จิ๋ว” มือปราบเจียงหลุนชี้แจง

“แค่ดื่มชากังฮูเต๊จะรู้ตัวจอมโจรแต้จิ๋วได้อย่างไรกัน” เจ้าเมืองซัก

“ชากังฮูเต๊ะที่มีลักษณะเฉพาะชาวแต้จิ๋วเท่านั้นขอรับ มู่สาวเย่าคงรู้จุดนี้และสังเกตเห็นชุดชงชาในห่อผ้าของแม่นางลู่ จึงรู้ว่านางคือจอมโจรแต้จิ๋ว เพราะชาวแต้จิ๋วทุกคนต้องดื่มชากังฮูเต๊ จึงต้องพกชุดชงชาติดตัวไปด้วย พอมู่สาวเย่าขอดื่มชาข้าจึงเริ่มเอะใจ ก่อนจะนึกเรื่องชากังฮูเต๊ขึ้นมาได้ขอรับ”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง เด็กน้อยมู่สาวเย่าไม่ธรรมดาจริงๆ” เจ้าเมืองนึกชื่นชม

“ขอรับ นางทั้งฉลาดและรอบรู้ แต่น่าเสียดาย”

“เสียดาย?” เจ้าเมืองขมวดคิ้วมองหน้ามือปราบเจียงหลุน อีกฝ่ายทอดถอนใจก่อนจะตอบ

“นางเป็นได้แค่ดรุณีน้อยแห่งหอรื่นรมย์ แม้อีกห้าปีข้างหน้านางจะเติบโตเป็นหญิงงามประหนึ่งหญิงงามล่มเมืองในตำนาน แต่นางก็เป็นได้แค่หญิงคณิกานางหนึ่งเท่านั้น ข้าจึงรู้สึกเสียดายความฉลาดของนางยิ่งนัก”

“ถ้าในอีกห้าปีข้างหน้านางเป็นหญิงคณิกาจริง ก็คงเป็นหญิงคณิกาอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ไร้สตรีใดทัดเทียมอย่างแน่นอน” เจ้าเมืองลั่วหยางกล่าวด้วยความมั่นใจ และมือปราบเจียงหลุนก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

 

หลังออกจากศาลหมิงจูทั้งชุนจื่อและมู่สาวเย่าก็แวะตามร้านข้างทางในตลาดใจกลางเมืองลั่วหยาง เด็กทั้งสองคนมิรู้ตัวเลยว่ามีบุรุษแต่งกายซอมซ่อผู้เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในศาลหมิงจูได้ถูกปล่อยออกมาและเดินตามพวกเขาอยู่ห่างๆ

เมื่อชุนจื่อกำลังยุ่งกับการจ่ายเงินให้พ่อค้าขายหมั่นโถว บุรุษผู้นั้นก็เข้ามาทางด้านหลังของมู่สาวเย่า แล้วใช้มือข้างหนึ่งปิดปากดรุณีน้อยเพื่อป้องกันมิให้นางส่งเสียง ส่วนมืออีกข้างก็อุ้มตัวมู่สาวเย่าวิ่งหายเข้าไปในตรอกแคบๆ ข้างโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว แม้แต่ผู้คนบริเวณนั้นก็มิทันได้เอะใจ

“สาวเย่า เจ้าจะกินหมั่นโถวเลยหรือไม่” ชุนจื่อจ่ายเงินเสร็จก็หันมาถามมู่สาวเย่า เด็กหนุ่มใจหายวาบเมื่อดรุณีน้อยข้างกายหายตัวไป “สาวเย่า สาวเย่า”

ชุนจื่อทิ้งหมั่นโถวในมือทันที เขาวิ่งพล่านตามหามู่สาวเย่าไปทั่วตลาด แต่ก็ไร้เงาของดรุณีน้อยแห่งหอรื่นรมย์

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น