สอง
ยาจกปากร้าย
เสียงกลองดังระรัวมาจากหน้าศาลหมิงจู แสดงถึงความร้อนใจของผู้มาร้องทุกข์ เป็นเหตุให้เจ้าเมืองลั่วหยางสั่งเจ้าหน้าที่ให้เปิดศาลและเบิกตัวผู้มาเรียกร้องขอความเป็นธรรม ทว่าเมื่ออยู่ในห้องพิจารณาคดีมือปราบเจียงหลุนกลับต้องประหลาดใจ เพราะผู้มาฟ้องคือหนุ่มน้อยผู้ติดตามมู่สาวเย่าที่เพิ่งออกจากศาลไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก่อน แม้จะคาดเดาในใจได้ว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับดรุณีน้อยแห่งหอรื่นรมย์เป็นแน่ แต่เจียงหลุนก็มิอาจเอ่ยปากถามได้ เพราะขณะนั้นเข้าสู่กระบวนการไต่สวนของท่านเจ้าเมืองแล้ว
ชุนจื่อเดินร้องไห้เข้ามาคุกเข่ากับพื้นเบื้องหน้าเจ้าเมืองลั่วหยางผู้ทำหน้าที่เสมือนตุลาการ
“ใต้เท้า... ช่วย... ข้า... ด้วย... นาง... หายตัวไป...” ชุนจื่อพูดปนสะอื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา บ่งบอกว่าร้องไห้มาอย่างหนัก เจ้าเมืองมิอาจเข้าใจได้ว่าเด็กหนุ่มต้องการให้ช่วยเรื่องใดจึงถามกลับไป
“เจ้าจะฟ้องร้องใคร ได้เขียนคำฟ้องมาหรือไม่”
ชุนจื่อรีบเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วตอบอย่างฉะฉาน “ข้ามิได้มาฟ้องร้อง แต่มาแจ้งความคนหายขอรับ”
“เหลวไหล” เจ้าเมืองตวาด “ที่นี่เป็นศาลสำหรับฟ้องร้องดำเนินคดี มิใช่ซือถู[1] จะได้รับแจ้งความคนหายให้เจ้าได้ เจ้ามาตีกลองโดยไม่มีคำฟ้องรู้หรือไม่ว่ามีโทษโบยสิบไม้น่ะ”
“ใต้เท้า ข้ายอมถูกโบยสิบไม้เพื่อแลกกับการที่ท่านอนุญาตให้มือปราบเจียงสืบหามู่สาวเย่า สหายน้อยของข้าที่หายตัวไปขอรับ” ชุนจื่อกล่าวเสียงหนัก โดยไม่หวาดกลัวต่อการถูกลงโทษแม้แต่น้อย
“เหตุใดต้องเป็นมือปราบเจียงด้วย” เจ้าเมืองสงสัย
“ประการแรก... เพราะมือปราบเจียงรู้จักและเคยเห็นหน้าของมู่สาวเย่า ประการที่สอง... ชื่อเสียงเรื่องการสะกดรอยตามคนร้ายของท่านมือปราบเป็นที่เลื่องลือยิ่งนัก ดังนั้นหากต้องการใครสักคนสืบหาตัวมู่สาวเย่าให้เจอ ข้าจึงคิดว่ามือปราบเจียงเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดขอรับ”
คำตอบของชุนจื่อทำให้เจ้าเมืองกับเจียงหลุนมองหน้ากัน ก่อนเจ้าเมืองจะหันมากล่าวกับชุนจื่อ “เจ้าร้องไห้ฟูมฟายราวกับบิดาที่ทำลูกหาย ไม่คิดว่าในความตกใจเจ้ายังมีสติคิดไตร่ตรองได้ฉลาดถึงเพียงนี้ เอาเถอะ ข้าจะยอมให้มือปราบเจียงช่วยตามหาสหายน้อยของเจ้า”
เด็กหนุ่มดีใจสุดขีด รีบโขกศีรษะกับพื้น “ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณท่านมือปราบ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย”
“ให้เจอมู่สาวเย่าก่อนดีกว่า เจ้าค่อยมาขอบคุณพวกข้า” เจ้าเมืองกล่าว ก่อนหันไปสั่งมือปราบเจียงหลุน “เจ้านำกำลังเจ้าหน้าที่ไปสืบหาตัวมู่สาวเย่า สืบได้ความอย่างไรมารายงานข้าด้วย”
“ขอรับ” มือปราบเจียงหลุนรับคำสั่ง
“ข้าจะตามท่านไปตามหาสาวเย่าด้วย” ชุนจื่อรีบบอก พลางลุกพรวดขึ้นยืน
“เจ้าไปก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงข้า รอฟังข่าวอยู่ที่นี่แหละ” มือปราบเจียงหลุนกล่าว ก่อนซักถามชุนจื่อในช่วงที่มู่สาวเย่าหายตัวไป เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนตามที่ต้องการจึงออกจากศาลไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกสิบคน
การสืบเสาะเริ่มจากการวาดรูปมู่สาวเย่าลงบนกระดาษและแจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่แต่ละคนนำไปสอบถามชาวบ้านว่าเคยเห็นดรุณีน้อยในรูปหรือไม่ เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ[2] มือปราบเจียงหลุนก็ได้วาดรูปพรรณสัณฐานของบุรุษที่ลักพาตัวมู่สาวเย่าไป ทว่าเมื่อนำภาพนั้นกลับมารายงานต่อท่านเจ้าเมืองและชุนจื่อที่รอฟังข่าวอยู่นั้น สิ่งที่เจ้าเมืองลั่วหยางบอกกับทุกคนได้สร้างความตกใจอย่างมาก โดยเฉพาะชุนจื่อ เด็กหนุ่มถึงกับเข่าอ่อนล้มพับไปกองกับพื้นด้วยจิตใจที่แตกสลาย
“ชายในรูปนี้เป็นโจรปล้นสวาทที่ทางการเพิ่งประกาศจับ เหยื่อทุกรายที่มันหมายตาไม่เคยรอดจากการถูกข่มขืนเลยสักราย”
“เป็นความผิดข้าเอง... เพราะข้าไม่ดูแลเจ้าให้ดี... สาวเย่า... ข้าจะกลับไปบอกเหลาป่านอย่างไรดี... นางต้องเฆี่ยนข้าจนตายแน่” ชุนจื่อตีอกชกตัวเองพลางคร่ำครวญอย่างจะเป็นจะตาย ทั้งเจ้าเมืองและมือปราบเจียงหลุนต่างมองเด็กหนุ่มด้วยความสังเวช
“เรื่องโจรปล้นสวาทจับตัวมู่สาวเย่าไปเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเหลาป่าน อย่างไรเสียนางก็ต้องรู้วันยังค่ำ เจ้ารีบกลับหอรื่นรมย์ไปแจ้งข่าวแก่นางเถอะ” ท่านเจ้าเมืองบอกกับชุนจื่อที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่กับพื้น
“ข้าจะพยายามตามหาตัวมู่สาวเย่าให้เจอก่อนที่นางจะเป็นอะไรไป”
แม้ถ้อยคำของมือปราบเจียงหลุนจะมิอาจยืนยันได้ว่ามู่สาวเย่าจะไม่ถูกโจรปล้นสวาทขืนใจ แต่อย่างน้อยชุนจื่อก็ยังฝากความหวังที่มีเพียงน้อยนิดไว้กับมือปราบสูงวัยผู้นี้ เด็กหนุ่มโค้งศีรษะคำนับขุนนางทั้งสองแล้วเดินออกจากศาลกลับไปยังหอรื่นรมย์
มู่สาวเย่าตกใจอย่างมากเมื่อตัวเองถูกชายร่างสูงใหญ่รวบเอวจากด้านหลังและถูกปิดปากด้วยฝ่ามือทั้งใหญ่และหยาบกร้าน ชายผู้นั้นวิ่งด้วยความเร็วดุจพายุเข้าไปในตรอกแคบๆ ข้างโรงเตี๊ยม แม้มู่สาวเย่าจะพยายามดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดจากวงแขนแข็งแรงที่รัดตัวนางไว้แต่ก็ไร้ผล นางถูกอุ้มไปจนสุดเขตตลาดเข้าสู่พื้นที่รกร้างอันไร้ผู้คนสัญจรไปมา มู่สาวเย่ารับรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองจึงฉวยจังหวะตอนชายตัวสูงชะลอฝีเท้า อ้าปากใช้ฟันซี่เล็กๆ กัดเข้าที่ฝ่ามือของชายผู้นั้นอย่างสุดแรง
“โอ๊ย!” มันร้องลั่น ความเจ็บปวดทำให้มันเผลอผลักมู่สาวเย่าลงพื้น
เมื่อร่างเล็กบอบบางของนางเป็นอิสระ มู่สาวเย่าก็รีบลุกขึ้นวิ่งหนีไปจากโจรปล้นสวาทโดยย้อนกลับไปทางเดิม ทว่ามันกลับไหวตัวทันวิ่งไล่ตามมาติดๆ และใช้เชือกที่ผูกเป็นบ่วงโยนข้ามอากาศมาคล้องตัวมู่สาวเย่าไว้ แล้วดึงอย่างแรงจนนางหงายหลังล้มลงกับพื้นและถูกมัดไว้ราวกับสัตว์ที่ถูกมนุษย์ดักจับ
“แสบนักนะ นังเด็กแพศยา” โจรปล้นสวาทด่ามู่สาวเย่า พลางมัดตัวเด็กน้อยด้วยปลายเชือกที่คล้องจนแน่นตึง แล้วใช้ผ้าสีขาวมัดปากมิให้ส่งเสียง
“ไป... ข้าจะพาเจ้าไปขึ้นสวรรค์” มันยกตัวมู่สาวเย่าขึ้นพาดบ่า เดินอาดๆ ตรงเข้าไปในพงหญ้าข้างทางซึ่งมีศาลเจ้าร้างตั้งอยู่ในที่ลับตา
ศาลเจ้าร้างที่โจรปล้นสวาทฉุดมู่สาวเย่ามาเป็นอาคารทรงจีนชั้นเดียว ก่อด้วยอิฐซึ่งแตกหักผุพังบางส่วน แต่ยังคงสภาพเป็นศาลเจ้าที่มีรูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวฮั่นนับถือตั้งอยู่บนแท่นบูชาภายในศาลเจ้านั้น โจรปล้นสวาทโยนร่างเล็กบนบ่าลงบนพื้นที่ว่างตรงกลางศาลเจ้า มันมองดวงหน้างามของมู่สาวเย่าอย่างหื่นกระหาย ดรุณีน้อยรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ขนาดขยับตัวถอยหนีมันก็ยังย่างสามขุมเข้ามาหา
“เจ้าช่างงดงามน่ารักน่าสัมผัสจริงๆ งามยิ่งกว่าสตรีที่ข้าเคยเชยชมมาแล้วเสียอีก” โจรปล้นสวาทไม่เพียงแต่เอ่ยปาก ทว่ายังเอื้อมมือมาจับคางมู่สาวเย่าให้เงยขึ้น อีกฝ่ายสะบัดหน้าหนี แต่กลับถูกจับให้หันมาเผชิญหน้าอีก แล้วมันก็ก้มหน้าลงมาเพื่อหวังลิ้มรสริมฝีปากจิ้มลิ้มของดรุณีน้อย
โป๊ก!
โจรปล้นสวาทยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเอง พลางก้มมองดูวัตถุที่มากระแทกศีรษะอย่างแรงบนพื้น กระดูกสุนัขท่อนใหญ่ตกอยู่ข้างตัว โจรปล้นสวาทฉุนจัดหันขวับไปมองหาคนเขวี้ยงกระดูกสุนัขใส่ศีรษะตน มู่สาวเย่าเองก็หันไปมองเช่นเดียวกัน สิ่งที่ทั้งคู่เห็นคือหนุ่มน้อยวัยเดียวกับชุนจื่อ สวมชุดมอซอและขาดวิ่น เนื้อตัวสกปรกมอมแมมราวกับไม่ได้อาบน้ำมาเป็นแรมเดือน ผมเผ้ารุงรังกระเซอะกระเซิงนั่งพิงกำแพง มือข้างหนึ่งพาดบนเข่าที่ชันขึ้นมา สภาพไม่งามของเด็กหนุ่มบ่งบอกอาชีพของเขาได้เป็นอย่างดี
“เจ้าขอทาน บังอาจปากระดูกสุนัขใส่หัวข้ารึ!” โจรปล้นสวาทตวาด เลือดขึ้นหน้าจนแดงก่ำถึงใบหู “รีบไสหัวไปเลยนะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
“เฒ่าลามก เจ้าต่างหากที่ต้องไสหัวไป” ยาจกหนุ่มน้อยสวนกลับมา
“ว่าไงนะ! เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าตาย” โจรปล้นสวาทตะโกนด่า พร้อมกับใช้ร่างกายที่สูงใหญ่ของตัวเองวิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อยาจกหนุ่มน้อยหมายทุ่มลงพื้น แต่อีกฝ่ายกลับเร็วกว่า กระโดดข้ามศีรษะแล้วถีบหลังโจรร่างมหึมาจนล้มหน้าคะมำลงไปจุมพิตฝุ่น
“คิดทำบัดสีต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์... ไม่รู้จักอายฟ้าดิน... ยังมาว่าข้าเป็นเด็กเหลือขออีก ไอ้คนลามก กระอักเลือดตายตรงนี้เถอะ” ยาจกหนุ่มสบถ ขณะที่ขาก็เตะต่อยโจรปล้นสวาทแบบไม่ยั้ง แม้อีกฝ่ายจะปล่อยหมัดสวนกลับแต่ยาจกหนุ่มน้อยก็ใช้วิทยายุทธ์ขั้นพื้นฐาน นั่นคือวิชากังฟู จัดการโจรปล้นสวาทวัยฉกรรจ์จนสลบเหมือดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
ยาจกหนุ่มน้อยใช้นิ้วโป้งลูบปลายจมูกตัวเองและเชิดหน้ายืดอกทำท่าราวกับขุนพลผู้ชนะศึก เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วมู่สาวเย่าก็พยายามส่งเสียงผ่านผ้าที่มัดปากเพื่อให้หนุ่มน้อยขอทานช่วยแก้มัด อีกฝ่ายได้ยินเสียงก็เดินเข้ามานั่งยองๆ ตรงหน้าดรุณีน้อยแต่ไม่แก้มัดให้นาง
“เฒ่าลามกนั่นมีตาเสียเปล่าแต่เหมือนคนตาบอด เจ้าหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เยี่ยงนี้ยังจะพิศวาสอีก” ยาจกหนุ่มน้อยว่า
มู่สาวเย่าเอ่ยเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะถูกปิดปาก เลยถูกยาจกหนุ่มน้อยหาเรื่องตำหนิอีก “เด็กอะไรช่างโง่เขลานัก อยากให้ข้าช่วยแก้มัดแต่ไม่รู้จักก้มหัวขอร้องข้าดีๆ สมควรแล้วที่ถูกมัดไว้เยี่ยงนี้”
มู่สาวเย่ารีบโค้งศีรษะลงคำนับหงกๆ
“ก็แค่นั้นแหละ ยัยขี้เหร่” ยาจกหนุ่มน้อยหัวเราะในลำคอ พลางเอื้อมมือไปแก้ผ้าที่ปากและเชือกที่มัดตัวมู่สาวเย่าไว้
พอเป็นอิสระมู่สาวเย่าก็เดินวนรอบตัวเด็กหนุ่มขอทาน พินิจมองเขาเหมือนจ้องมองวัตถุโบราณที่หาได้ยากยิ่ง นัยน์ตากลมโตดุจพระจันทร์ดวงเล็กฉายแววตื่นเต้นดีใจออกมา ฝ่ายยาจกหนุ่มเห็นดรุณีน้อยทำตัวพิลึกน่ารำคาญก็แผดเสียง
“สตรีขี้ริ้ว มองอะไร”
มู่สาวเย่ายิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ “ข้าเคยอ่านเจอคำว่า ‘ยาจก’ ที่มีคำอธิบายไว้ในหนังสือ แต่มิอาจเข้าใจหรือนึกภาพออกได้เลย จนกระทั่งวันนี้ข้าเพิ่งได้เห็นยาจกตัวเป็นๆ ที่จับต้องตัวได้อย่างท่าน ข้าดีใจยิ่งนัก”
ดรุณีน้อยไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมมือข้างหนึ่งไปลูบแขนยาจกหนุ่มน้อยอีกด้วย
“โอ๊ย! จะบ้าตาย” ยาจกหนุ่มน้อยกลอกตามองบน ปากก็ดุใส่ “สตรีขี้เหร่ ข้าไม่ใช่ของประหลาดที่เจ้าจะมาจ้องเอาๆ เยี่ยงนี้นะ”
“ท่านยาจกช่างเป็นบุรุษที่พิเศษยิ่งนัก ยิ่งกว่าบุรุษใดในเมืองลั่วหยางเลยเจ้าค่ะ”
ถ้อยคำเยินยอของดรุณีน้อยทำเอายาจกหนุ่มน้อยต้องหรี่ตามองนาง แล้วถามอย่างสงสัย
“พิเศษอย่างไร”
“พิเศษสิเจ้าคะ เพราะบุรุษทุกคนที่เห็นหน้าข้าต่างบอกว่าข้างดงามน่ารักดุจเซียนน้อย มีแต่ท่านเท่านั้นที่มองข้าขี้ริ้วขี้เหร่”
“เจ้าจะหาว่าข้ามีตาแต่ไร้แววสินะ”
“มิกล้าเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่ชื่นชมในวาจาตรงไปตรงมาของท่านต่างหาก” มู่สาวเย่ายิ้มน้อยๆ อย่างน่ารัก แต่อีกฝ่ายกลับไม่พอใจ
“อย่ามาประจบ ข้ายากจนจนแทบจะอดตายเยี่ยงนี้ ไม่มีอะไรจะให้เจ้าหรอก รีบๆ ไปให้พ้นที่พักของข้าเลย”
เด็กหนุ่มขอทานดันหลังมู่สาวเย่าให้เดินออกไปจากศาลเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับหันมาจับมือเขาไว้แล้วโค้งคำนับ
“ขอบคุณท่านมาก ท่านยาจก ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย” มู่สาวเย่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ผิดกับอีกคนที่หน้าบึ้งตึงพร้อมกับตวาดกลับมา
“บุญคุณมันกินได้เสียเมื่อไร ถ้าอยากตอบแทนข้า...” ยาจกหนุ่มน้อยหยุดพูดนิดหนึ่ง พลางยกมือขึ้นดึงสร้อยที่คล้องคอมู่สาวเย่าอย่างแรงจนมันหลุดติดมือ “สร้อยหยกนี้ถือเป็นของตอบแทนที่ข้าช่วยเจ้าจากเฒ่าลามกนั่นก็แล้วกัน”
พูดจบยาจกหนุ่มน้อยก็ผลักตัวมู่สาวเย่าออกไปข้างนอก แล้วปิดประตูศาลเจ้ามิให้นางเข้ามาสร้างความวุ่นวายกับเขาอีก
“ข้าจะจดจำท่านไว้ในใจนะเจ้าคะ ท่านยาจก” ดรุณีน้อยตะโกนเข้าไป แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับมา
เพียงครู่เดียวมู่สาวเย่าก็เห็นมือปราบเจียงหลุนและเจ้าหน้าที่ราวสิบคนเดินเข้ามาในบริเวณศาลเจ้าร้าง ทั้งสองฝ่ายต่างดีใจที่ได้เจอกัน การไถ่ถามเหตุการณ์ความเป็นไปจึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา แล้วมือปราบเจียงหลุนก็พังประตูเข้าไปเพื่อจับตัวโจรปล้นสวาท ซึ่งมันยังคงนอนแน่นิ่งกับพื้น มีเพียงยาจกหนุ่มน้อยปากร้ายเท่านั้นที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ข่าวโจรปล้นสวาทลักพาตัวมู่สาวเย่าไปทำเอาทุกคนในหอรื่นรมย์แตกตื่น ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดรุณีน้อยมู่สาวเย่าคงไม่พ้นต้องราคีก็คราวนี้ เหลาป่านร้องไห้เสียอกเสียใจ คร่ำครวญราวกับจะขาดใจตาย
“อุตส่าห์เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ หวังจะให้เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในลั่วหยาง หมดสิ้นแล้วขุมทรัพย์มหาศาลของข้า ทำไมฟ้าต้องกลั่นแกล้งข้าเยี่ยงนี้ ทำให้ข้าเสียเงินเสียทองเลี้ยงดูนางไปโดยสูญเปล่า ใครเล่าจะรับผิดชอบ”
“เหลาป่าน ท่านก็เกินไปนะ แทนที่จะเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของมู่สาวเย่า กลับมานั่งตีโพยตีพายเสียดายเงินทองของจอมปลอมเช่นนี้” หลินเมี่ยวซินต่อว่า
“ของจอมปลอมอะไร ทุกวันนี้หอรื่นรมย์อยู่ได้ก็เพราะเงินทองที่เจ้าพูดมาทั้งนั้น” แม่เล้าแห่งหอคณิกาอันดับหนึ่งแย้ง
หลินเมี่ยวซินเป็นห่วงมู่สาวเย่าเกินกว่าจะมาโต้เถียงกับเหลาป่าน นางเฝ้าภาวนาในใจให้สาวเย่าของนางปลอดภัย และแล้วคำอธิษฐานของนางก็เป็นจริง เมื่อมือปราบเจียงหลุนพามู่สาวเย่ากลับมายังหอรื่นรมย์
“มู่สาวเย่า!” ทุกคนร้องตะโกนอย่างดีใจ เหลาป่านเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปหาเด็กน้อยทั้งๆ ที่นางรูปร่างท้วมน่าจะเคลื่อนไหวช้าแต่กลับรวดเร็วกว่าผู้ใด สิ่งที่นางทำอันดับแรกมิใช่การซักถาม แต่เป็นการถลกแขนเสื้อมู่สาวเย่าเพื่อดูแต้มพรหมจรรย์[3] ซึ่งนางแต้มไว้บนท้องแขนตรงบริเวณข้อมือของมู่สาวเย่าตั้งแต่ยังเป็นทารก
“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว” เหลาป่านถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก ก่อนยกมือไหว้ปลกๆ “ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ลูกมิต้องสูญเสียทรัพย์แล้ว”
มือปราบเจียงหลุน หลินเมี่ยวซิน และคนอื่นๆ ในหอรื่นรมย์ต่างส่ายหน้าในความเห็นแก่เงินของแม่เล้า ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะปกติเช่นทุกวัน ทว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นเหลาป่านกลับเรียกตัวชุนจื่อมาพบเพื่อขับไล่เขาออกจากหอรื่นรมย์โทษฐานที่ไม่ดูแลมู่สาวเย่าให้ดี
“ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเหลาป่าน ข้าผิดไปแล้ว อย่าขับไล่ข้าเลย” เด็กหนุ่มอ้อนวอนเสียงดังขณะที่ถูกบ่าวรับใช้คนอื่นจับตัวถูลู่ถูกังไปตามทางแล้วโดนโยนออกนอกประตูหอรื่นรมย์
“พี่ชุนจื่อ” มู่สาวเย่าได้ยินเสียงร้องตะโกนของสหายสนิทก็วิ่งออกจากห้องนอนมายังหน้าประตู แต่บ่าวรับใช้กลับจับนางไว้มิให้ออกไปหาเด็กหนุ่ม
“สาวเย่า สาวเย่า ช่วยข้าด้วย”
[1] ตำรวจผู้พิทักษ์ประชาเริ่มขึ้นในจีนตั้งแต่สมัยโบราณ แบ่งเป็น 3 ตำแหน่งคือ 1. ซือถู (司徒) ดูแลเรื่องของประชาชน (แพ่ง) 2. ซือหม่า (司马) ทำหน้าที่คล้ายทหารดูแลชายแดน และ 3. ซื่อ (士) ดูแลเรื่องอาชญากรรม (อาญา) และการจำคุก
[2] ประมาณสิบห้านาที
[3] แต้มพรหมจรรย์ หรือโส่วกงซา (守宫砂) คือการแต้มจุดแดงพรหมจรรย์ที่ข้อมือของหญิงเพื่อเป็นเครื่องหมายของการรักษาความบริสุทธิ์ ตามบันทึก ‘ป๋ออู้จื้อ’ (博物志) ในสมัยจิ้น กล่าวว่าหากใช้สาร Cinnabar (แร่ชนิดหนึ่งมีสีแดง) เลี้ยงตุ๊กแก ตุ๊กแกจะเปลี่ยนสี และหากป้อนแร่ซินนาบาร์จนครบ 7 ชั่ง (ประมาณ 3.5 กิโลกรัม) แล้วเอาตุ๊กแกมาตำ จากนั้นเอาสีแต้มไปที่แขนของสาวพรหมจรรย์ สีแดงนี้จะไม่หลุดจนกว่าจะเสียพรหมจรรย์ จึงค่อยๆ เลือนหายไป เป็นที่มาของวิธีการพิสูจน์ความบริสุทธ์ของหญิงสาวในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงตามบันทึกหรือไม่ ต่อมามีธรรมเนียมปฏิบัติว่า หญิงสาวที่เข้าวังจะแต้มโส่วกงซาไว้ที่ข้อมือ เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพรหมจรรย์ ในหมู่ชาวบ้านบอกเล่าต่อกันมาว่าโส่วกงซาไม่มีผลกับหญิงที่มีสามีแล้ว
ความคิดเห็น |
---|