3

สาม การหายตัวไปของชุนจื่อ


สาม

การหายตัวไปของชุนจื่อ

 

“สาวเย่า! สาวเย่า ช่วยข้าด้วย! ช่วยขอร้องเหลาป่านให้ข้าด้วย”

เสียงร้องตะโกนของชุนจื่อที่อ้อนวอนอยู่นอกประตูทำให้มู่สาวเย่ากระวนกระวายใจ แต่นางถูกบ่าวรับใช้รูปร่างสูงใหญ่ถึงสองคนจับแขนทั้งสองข้างไว้มิให้ออกไปหาเด็กหนุ่ม จนกระทั่งบ่าวอีกสองคนที่โยนชุนจื่อออกไปเดินกลับเข้ามาในหอและลั่นดาลประตูบานใหญ่ด้วยกลอนสลักไม้

“ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่” มู่สาวเย่าตวาดบุรุษทั้งสองคนที่จับตัวนางไว้ พวกเขาจำต้องปล่อยนาง เพราะอย่างไรเสียมู่สาวเย่าก็เป็นไข่ในหินของเหลาป่านผู้มีอำนาจสูงสุดในหอรื่นรมย์ การขัดใจดรุณีน้อยจึงเป็นเรื่องมิควรทำอย่างยิ่ง เพราะมันอาจนำมาซึ่งการถูกไล่ออกจากหอคณิกาแห่งนี้

มู่สาวเย่าวิ่งไปยังห้องนอนของเหลาป่าน ในขณะที่หลินเมี่ยวซินก็เป็นห่วงเป็นใยชุนจื่อเช่นเดียวกัน จึงตามดรุณีน้อยไปด้วยอีกคน เมื่อมาถึงหน้าห้องมู่สาวเย่าก็ร้องเรียกสตรีที่อยู่ในห้อง

“ท่านแม่ ท่านแม่ ได้โปรดอย่าไล่พี่ชุนจื่อไปเลย”

เหลาป่านร่างท้วมเดินอุ้ยอ้ายมาเปิดประตูเพื่อต่อว่ามู่สาวเย่า “เจ้าชุนจื่อมันทำให้เจ้าโดนโจรฉุดไป เจ้ายังจะมาขอร้องแทนมันอีกรึ”

“ท่านแม่ พี่ชุนจื่อไม่ได้ทำให้ข้าโดนฉุด แต่เพราะข้าไม่ระวังตัวเองจึงถูกโจรจับตัวไป และข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ไยท่านต้องทำโทษพี่ชุนจื่อด้วยการไล่พี่ชุนจื่อออกจากหอด้วยเล่าเจ้าคะ” มู่สาวเย่าย้อนถามมารดาบุญธรรมอย่างใจเย็น

“นั่นสิ เหลาป่าน ท่านน่าจะเห็นแก่ที่ชุนจื่อคอยดูแลมู่สาวเย่ามาตั้งแต่แบเบาะ โดยเฉพาะในยามค่ำคืนที่พวกเราต่างต้องรับแขก อีกอย่าง... ในหอเราก็มีแต่ชุนจื่อเท่านั้นที่เป็นเพื่อนเล่นกับมู่สาวเย่า จะว่าไปเขาก็เหมือนองครักษ์ที่คอยพิทักษ์ดรุณีน้อยของพวกเรา เหตุใดท่านจึงขับไล่คนที่เป็นทั้งสหายและองครักษ์ของมู่สาวเย่าล่ะ”

“เจ้าทั้งสองคนหยุดพูดเลย ข้าตัดสินแล้วจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด” เหลาป่านยื่นคำขาดเสียงหนักแน่น

มู่สาวเย่าคุกเข่าลงกับพื้นทันที และประกาศอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นกัน “หากท่านแม่ไม่เปลี่ยนใจ ข้าก็จะไม่ลุกจากตรงนี้”

“เจ้า!” เหลาป่านถึงกับพูดไม่ออก ถ้าเป็นหญิงคณิกาคนอื่นนางคงไม่ไยดีและปล่อยให้นั่งคุกเข่าไปจนตายแน่นอน แต่นี่เป็นดรุณีน้อยที่นางคาดหวังจะให้เป็นหญิงคณิกาผู้เรียกทรัพย์มหาศาลจากบุรุษทั่วหล้า ร่างกายนางจึงเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด

“ท่านแม่อาจไม่สนใจว่าเข่าข้าจะด้านเป็นรอยช้ำ หรืออาจมียุงหรือแมลงมากัดจนผิวเนียนขาวของข้าเป็นรอยแผลเป็น หรือไม่ข้าก็ตากแดดตากลมจนไม่สบายหนักอาจถึงขั้นล้มป่วยจนตายไป ท่านแม่ก็คงไม่ไยดีต่อข้า ปล่อยให้ข้าคุกเข่าอยู่เช่นนี้ใช่หรือไม่”

หลินเมี่ยวซินอมยิ้มให้แก่ความเจ้าเล่ห์ของมู่สาวเย่าที่ใช้จุดอ่อนของเหลาป่านมาต่อรองกับนาง ซึ่งสตรีร่างท้วมก็รู้ดีว่าถ้ามาไม้นี้นางจะต้องยอมแพ้อย่างแน่นอน

“ก็ได้ ครั้งนี้ข้าจะยอมให้สักครั้ง แต่ถ้าเจ้าถูกบุรุษแตะเนื้อต้องตัวก่อนวันปักปิ่นเมื่อไร ข้าจะทำโทษชุนจื่อให้หลาบจำเลยทีเดียว” เหลาป่านลั่นวาจา ก่อนพยุงตัวมู่สาวเย่าให้ลุกขึ้น

“ขอบคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ ข้าจะระวังตัวมิให้บุรุษมาแตะเนื้อต้องตัวเด็ดขาด”

“ดีแล้ว” สตรีร่างท้วมพยักหน้าพอใจ แล้วหันไปเอ่ยกับหญิงคณิกาอันดับหนึ่ง “เมี่ยวซิน เจ้าลงไปบอกบ่าวรับใช้ให้เปิดประตูให้ชุนจื่อเข้ามา และเตือนสิ่งที่ข้าพูดเมื่อกี้กับเจ้าเด็กหนุ่มนั่นด้วย”

“ได้” หลินเมี่ยวซินรับคำ ก่อนจูงมือมู่สาวเย่าลงบันไดไปข้างล่างเพื่อไปบอกเหล่าบ่าวรับใช้ตามคำสั่งเหลาป่าน ชุนจื่อได้กลับเข้ามาทำงานในหอรื่นรมย์ในฐานะบ่าวรับใช้ผู้ติดตามมู่สาวเย่าเหมือนเช่นเดิม ดูเหมือนความสงบสุขจะกลับคืนมาอีกครั้ง ทว่าความงดงามน่ารักของมู่สาวเย่าก็ก่อปัญหาขึ้นอีกจนได้

ยามซวี[1] เป็นเวลาที่หอรื่นรมย์เปิดให้บริการ ตามหมู่ตึกต่างๆ เนืองแน่ได้บุรุษผู้พิสมัยในอิสตรี โดยเฉพาะตึกผีเสื้อซึ่งเป็นสถานที่ชมการแสดงร่ายรำการดนตรีของหลินเมี่ยวซินผู้เป็นหญิงคณิกาอันดับหนึ่งในหอรื่นรมย์ เสียงขลุ่ยสอดประสานกับเสียงกู่เจิงและระฆังดังแว่วเข้ามาถึงในสวนด้านหลังหมู่ตึก ซึ่งมู่สาวเย่ากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่กับชุนจื่อ

“เจ้าได้ยินเสียงดนตรีที่ดังอยู่นี่หรือไม่” จู่ๆ ชุนจื่อก็ถามขึ้นมา มู่สาวเย่าเงยหน้าจากหนังสือแล้วตอบกลับเสียงใส

“ได้ยินเจ้าค่ะ พี่ชุนจื่อจะถามข้าว่า พี่เมี่ยวซินบรรเลงดนตรีสมัยไหนอยู่ใช่หรือไม่”

“เจ้ารู้ใจข้าจริงๆ ข้าตั้งใจจะถามเช่นนั้นละ แต่ดูเจ้าคงจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว”

“ใช่เจ้าค่ะ พี่เมี่ยวซินบรรเลงดนตรีสมัยจ้านกั๋วด้วยกู่เจิง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่เริ่มเล่นกันในสมัยจ้านกั๋วเช่นกัน” มู่สาวเย่าตอบได้อย่างฉะฉาน

“เครื่องดนตรีจีนแบ่งออกเป็นกี่ชนิด” ชุนจื่อยังถามต่อ

“ชาวฮั่นแบ่งประเภทของเครื่องดนตรีตามลักษณะของวัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรีนั้นๆ แบ่งออกเป็นแปดชนิดคือ หนึ่งไม้ สองหนัง สามไม้ไผ่ สี่โลหะ ห้าน้ำเต้า หกหิน เจ็ดดิน และแปดเส้นไหมเจ้าค่ะ”

“เก่งมากสาวเย่า พี่เมี่ยวซินคงจะสอนเจ้าสินะ”

“ใช่เจ้าค่ะ พี่เมี่ยวซินสอนข้าทั้งเรื่องอักษร การร่ายรำ การดนตรี และมารยาท แต่สิ่งที่พี่เมี่ยงซินไม่สอนเด็ดขาดทั้งๆ ที่ท่านแม่กำชับให้สอนหนักสอนหนา แต่พี่เมี่ยวซินก็ไม่สอนสักที ทำให้ท่านแม่โกรธมาก และขู่ว่าจะส่งข้าไปเรียนกับพี่สาวในหอคนอื่น”

“เรื่องที่เหลาป่านอยากให้สอนก็คงไม่พ้นเรื่องเสน่ห์หญิงที่ทำให้ตราตรึงใจชายละสิ” ชุนจื่อเดาได้ตรงเผง มู่สาวเย่าหัวเราะคิก ก่อนเอื้อมมือไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งจากในกองหนังสือเบื้องหน้า

“พี่เมี่ยวซินมิได้สอนข้าเรื่องนั้น แต่นางกลับยื่นสมุดเล่มนี้มาให้แทน” มู่สาวเย่าส่งสมุดให้เด็กหนุ่มดู อีกฝ่ายกลับต้องตกใจกึ่งประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นสมุดอะไร

“สมุดบันทึกของหลินต้าเทียน! นี่มันเป็นของอดีตอัครเสนาบดีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและถูกเนรเทศไปชายแดนเมื่อสิบสองปีก่อนนี่ ทำไมสมุดเล่มนี้มาอยู่กับเจ้าล่ะ”

“พี่เมี่ยวซินบอกข้าว่า นางคือลูกสาวของหลินต้าเทียน ครอบครัวนางถูกใส่ร้ายจนบิดาถูกเนรเทศ และสตรีในครอบครัวก็ถูกส่งมาหอคณิกา ซึ่งพี่เมี่ยวซินก็เป็นหนึ่งในนั้น นางจึงต้องอยู่ในหอคณิกาชั่วชีวิต นางบอกว่าท่านพ่อของนางบันทึกประสบการณ์ ความรู้ การอ่านใจคน รวมทั้งเรื่องราวในวังหลวงไว้ในสมุดเล่มนี้ มันจึงน่าจะมีประโยชน์กับข้า นางจึงมอบสมุดเล่มนี้ให้ข้า แต่นางกำชับมิให้ข้าเอาออกมาให้ใครเห็น”

“แน่นอนสิ ถ้าใครมาเห็นเข้าต้องหาว่าเจ้าเป็นพวกกบฏแน่ แต่ทำไมเจ้าเอามาให้ข้าดูล่ะ” ชุนจื่อสงสัย

“เพราะในใต้หล้านี้ นอกจากพี่เมี่ยวซินแล้ว ก็มีพี่ชุนจื่อเท่านั้นที่จะไม่มีวันทำร้ายข้า ต่อให้พี่ลำบากแค่ไหนพี่ก็ไม่มีวันหักหลังข้าแน่นอน” มู่สาวเย่ายิ้มสดใส นัยน์ตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อแสงโคมไฟจากหมู่ตึกส่องมากระทบ ชุนจื่อมองดวงหน้างดงามน่ารักตรงหน้าแล้วบอกกับตัวเองว่า ต่อให้เขาเป็นคนสุดท้ายในแผ่นดินที่มีชีวิตอยู่ เขาก็จะไม่มีวันทำร้ายดรุณีน้อยผู้นี้เด็ดขาด

“เจ้าเติบโตในหอคณิกา โตขึ้นก็คงมีชีวิตไม่ต่างจากพี่เมี่ยวซินหรือหญิงคณิกาคนอื่น เจ้าจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายไปทำไม” ชุนจื่อสงสัยอีก

มู่สาวเย่ายิ้มน้อยๆ กล่าวอย่างสดใส “ในวัยเยาว์ข้ามิอาจกำหนดชีวิตตัวเองได้ เมื่อฟ้ากำหนดให้ข้าเติบโตในหอรื่นรมย์ ข้าจึงมิอาจฝ่าฝืน แต่ข้ามีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคืออยากเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ช่วยเหลือผู้ยากไร้ และทำให้คนทั่วหล้าอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้นเพื่อให้ความฝันเป็นจริง สักวันหนึ่งข้าจะต้องออกจากหอรื่นรมย์นี้ไปท่องยุทธภพให้ได้”

“เจ้าตัวแค่นี้ก็มีความฝันอันยิ่งใหญ่” ชุนจื่ออดชื่นชมไม่ได้ “ได้ ข้าจะติดตามเจ้า คอยพิทักษ์คุ้มครองช่วยเหลือเจ้าทุกวิถีทาง จนกว่าความฝันของเจ้าจะเป็นจริงขึ้นมา”

“สัญญานะเจ้าคะ” มู่สาวเย่าชูนิ้วก้อยขึ้นมา ชุนจื่อยกนิ้วตัวเองขึ้นเกี่ยวก้อยและให้คำมั่นอย่างหนักแน่น

“ข้าสัญญา”

มู่สาวเย่าเพิ่งสังเกตเห็นบางอย่างบนศีรษะของชุนจื่อจึงอุทานขึ้นมา “เอ๊ะ ศีรษะพี่ชุนจื่อมีปานแดงรูปหัวใจด้วยเจ้าค่ะ”

ชุนจื่อยกมือขึ้นจับโคนผมที่อยู่เหนือหน้าผากตน แล้วหัวเราะ “ใช่ บางคนก็บอกว่ามันเป็นปานรูปหัวใจ บางคนก็มองเป็นรูปใบโพธิ์ ดีที่มันไม่ใหญ่มาก ไม่อย่างนั้นคงสะดุดสายตาคนทั่วไปแน่ๆ”

“เป็นปานแดงตรงโคนผมยังดีกว่าเป็นแผลเป็นบนมือเหมือนของข้านะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นคงน่าเกลียดกว่า” สีหน้ามู่สาวเย่าเศร้าลงเมื่อมองดูรอยแผลเป็นบนหลังฝ่ามือของตน

“แค่แผลเป็นเล็กๆ มิได้ทำให้ความงามของเจ้าลดน้อยลงเลย” ชุนจื่อเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แล้วเจ้าตัวก็สะดุ้งกับความคิดเกินเลยกว่าพี่น้องของตัวเองจนต้องพูดกลบเกลื่อน “เจ้ารีบอ่านหนังสือเถอะ ถ้าพี่เมี่ยวซินเลิกงานเมื่อไร เจ้าต้องไปช่วยพี่เมี่ยวซินขนดนตรีมิใช่หรือ เดี๋ยวจะอ่านไม่จบบทเอาได้นะ”

มู่สาวเย่าพยักหน้าแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่อ ฝ่ายชุนจื่อก็ใช้พัดโบกให้ความเย็นและไล่ยุงกับแมลงแก่นาง จนกระทั่งดรุณีน้อยเริ่มง่วงและฟุบหลับกับโต๊ะ เด็กหนุ่มมองดวงหน้างดงามไร้ที่ตินั้นอย่างรักใคร่ พลางเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆ ที่มีแผลเป็นขึ้นมาจุมพิตเบาๆ ก่อนชะโงกหน้าไปหอมแก้มเนียนใสของมู่สาวเย่าอย่างอดใจไว้ไม่ไหวโดยที่นางไม่รู้สึกตัว

การแตะเนื้อต้องตัวเล็กๆ น้อยๆ ของชุนจื่อคงจะไม่มีใครตำหนิหากแม่เล้าแห่งหอรื่นรมย์ไม่มองลงมาจากชั้นสองของหมู่ตึก นางมองการกระทำของชุนจื่อด้วยความเดือดดาล ความไว้วางใจเป็นอันสิ้นสุดลงในตอนนั้น

“เจ้าเด็กชุนจื่อ ข้าจะกำจัดเจ้าด้วยน้ำมือของมู่สาวเย่าเอง คอยดู”

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเหลาป่านเรียกหามู่สาวเย่าตั้งแต่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสง ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเจ้าของหอรื่นรมย์จะนอนขี้เซาจนตะวันส่องบั้นท้ายจึงลุกจากที่นอน แต่เช้าวันนี้มิได้เป็นเหมือนเช่นทุกวัน นางตื่นขึ้นมาและใช้บ่าวคนหนึ่งให้ไปตามดรุณีน้อยผู้เป็นบุตรสาวบุญธรรมมาพบ ครั้นมู่สาวเย่ามาถึงก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแม่บุญธรรมหรือเหลาป่านกำลังวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะพร้อมด้วยพู่กันและชุดฝนหมึก

“เข้ามาสิสาวเย่า ข้ามีอะไรจะให้เจ้าช่วยหน่อย” เหลาป่านกวักมือเรียกมู่สาวเย่าที่ยืนอยู่ระหว่างช่องประตู เมื่อถูกเรียกอีกฝ่ายจึงเดินเข้ามาภายในห้องพลางเอ่ยถามแม่บุญธรรม

“ท่านแม่จะให้ข้าเขียนจดหมายใช่หรือไม่”

“อุ๊ยตาย ลูกแม่ช่างฉลาดยิ่งนัก แค่เห็นกระดาษกับพู่กันก็รู้แล้ว” เหลาป่านจีบปากจีบคอชมมู่สาวเย่าไม่ขาดปาก มู่สาวเย่ารอให้นางหยุดพูดจึงบอก

“เพราะท่านแม่ใช้กระดาษซวนจื่อ[2] ซึ่งเป็นกระดาษที่ดีที่สุด สามารถถ่ายทอดความงามของหมึกและสีได้เต็มที่ คนส่วนใหญ่จึงมักใช้เขียนจดหมายหรือทำเป็นหนังสือ ซึ่งท่านแม่นำกระดาษแผ่นเดียวมาวาง ก็บ่งชัดว่าท่านแม่จะให้ข้าเขียนจดหมาย”

“ในเมื่อเจ้ารอบรู้เช่นนี้ แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าจะให้เขียนจดหมายถึงใคร” เหลาป่านแกล้งถามดรุณีน้อย

“สหายของท่านแม่ ข้ารู้จักแต่ท่านมือปราบเจียงหลุนเท่านั้นเจ้าค่ะ” มู่สาวเย่าตอบตามความจริง อีกฝ่ายรีบรับสมอ้างทันที

“ใช่ๆ ข้าจะให้เจ้าเขียนจดหมายถึงท่านมือปราบ นั่งลงสิ แล้วเขียนตามที่ข้าบอก”

“แต่ลายมือข้าหาสู้พี่เมี่ยวซินได้ไม่ เหตุใดท่านแม่จึงมิเรียกพี่เมี่ยวซินมาเขียนจดหมายให้ท่านเล่าเจ้าคะ” มู่สาวเย่าสงสัย “ปกติท่านแม่ก็ไหว้วานพี่เมี่ยวซินมิใช่หรือเจ้าคะ”

“ข้าแค่อยากอวดลายมือลูกสาวตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้อื่นมิได้หรือ เจ้าจะซักให้ได้อะไรขึ้นมา”

มู่สาวเย่าโค้งศีรษะลงคำนับ “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้ามิได้มีเจตนาทำให้ท่านแม่รำคาญใจ ข้าจะลงมือเขียนจดหมายตามที่ท่านบอกเจ้าค่ะ”

ว่าแล้วมู่สาวเย่าก็นั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง ซึ่งเบื้องหน้าเป็นโต๊ะกลมที่มีกระดาษและชุดเครื่องเขียนวางอยู่ สตรีร่างท้วมเห็นบุตรสาวบุญธรรมยอมทำตามที่บอกโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ อีกก็ยิ้มออกอย่างพอใจ

“เจ้าเขียนตามที่ข้าบอกนะ” เหลาป่านกล่าว “กุ้ยฮวาหอมรัญจวนชวนนึกฝัน เหมันตฤดูยิ่งสะพรั่งงามจับตา เชิญท่านพี่ร่วมชื่นชมเคียงกายา ยามจื่อมิพานพบมิกลับเรือน”

แม้มู่สาวเย่าอยากจะกระเซ้ามารดาว่านี่มิใช่จดหมายธรรมดา แต่เป็นจดหมายนัดพบของคู่รักมากกว่า แต่ดรุณีน้อยก็ปิดปากมิกล้าพูดใดๆ ออกมา เพราะเกรงว่าจะสู่รู้เกินไป และริอ่านกระเซ้าเย้าแหย่ผู้หลักผู้ใหญ่โดยมิเห็นแก่หน้าท่าน การสงบปากสงบคำจึงเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุดในเวลานี้

เหลาป่านอ่านบทกลอนในจดหมายก็พยักหน้าช้าๆ อย่างพึงพอใจ “ขอบใจเจ้ามากสาวเย่า ที่เหลือข้าจัดการเอง เจ้ากลับไปหาเมี่ยวซินเถอะ”

“เจ้าค่ะ” มู่สาวเย่าโค้งกายเล็กน้อย ก่อนเดินออกจากห้องไป เด็กหญิงไม่รู้เลยว่ามารดาบุญธรรมของนางได้เขียนชื่อนางลงไปด้านล่างของบทกลอนในกระดาษนัดพบนั้น เหลาป่านพับกระดาษใส่ซองจดหมายสีขาว จากนั้นก็เรียกบ่าวรับใช้ที่เป็นบุรุษเข้ามาในห้อง

“หลังอาหารค่ำวันนี้ เจ้าเอาจดหมายฉบับนี้ไปวางไว้ในห้องนอนของชุนจื่อ อย่าให้ผู้ใดเห็นเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”

“ขอรับเหลาป่าน” บ่าวรับใช้ยื่นมือไปรับจดหมายแล้วสอดมันเข้าไปในอกเสื้อชั้นใน ก่อนเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

บ่าวรับใช้ที่ทำงานในหอรื่นรมย์จะได้กินอาหารเย็นก็ล่วงเลยเข้ายามไฮ่[3] ซึ่งพวกเขาเรียกอาหารมื้อนั้นว่าเป็นอาหารค่ำมากกว่า บ่าวรับใช้ที่เป็นบุรุษทุกคน รวมทั้งเด็กหนุ่มชุนจื่อจะต้องไปกินอาหาร ณ เรือนด้านหลังแยกต่างหากจากหญิงคณิกาในหอที่มักจะมีอาหารยกไปให้ถึงในห้องนอน

หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จชุนจื่อก็กลับห้องนอนเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำและเข้านอน แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องเด็กหนุ่มกลับพบซองจดหมายสีขาวที่มิได้เขียนตัวอักษรใดๆ ไว้บนหน้าซอง เขาจึงเปิดจดหมายออกมาดู

 

กุ้ยฮวาหอมรัญจวนชวนนึกฝัน      เหมันตฤดูยิ่งสะพรั่งงามจับตา

            เชิญท่านพี่ร่วมชื่นชมเคียงกายา      ยามจื่อมิพานพบมิกลับเรือน

                                                                                                            มู่สาวเย่า

 

แม้จะนึกแปลกใจที่มู่สาวเย่าเขียนจดหมายนัดพบผู้ชายเช่นนี้ แต่ด้วยความสนิทสนมก็ทำให้ชุนจื่อคิดเข้าข้างตัวเองว่ามู่สาวเย่าคงจะอยากชมกุ้ยฮวากับเขา กอปรกับเจ้าตัวดีใจจนหัวใจเต้นแรงจึงมิได้คิดระแวดระวังใดๆ ชุนจื่อรีบอาบน้ำแต่งตัวไปตามนัดเมื่อย่างเข้าสู่ยามจื่อ[4]

ในจดหมายเอ่ยถึงกุ้ยฮวาหรือต้นหอมหมื่นลี้ที่มีอยู่เพียงต้นเดียวในเขตหอรื่นรมย์ ซึ่งต้นนั้นปลูกอยู่ทางชายป่าด้านหลังหมู่ตึกอันเป็นหน้าผาสูง ชุนจื่อเดินถือโคมไฟไปรออยู่ใต้ต้นหอมหมื่นลี้ กลิ่นกุ้ยฮวาหอมชื่นใจจนเด็กหนุ่มยังต้องสูดดม แล้วในจังหวะที่ชุนจื่อยืนคอยมู่สาวเย่าอยู่นั้น ชายฉกรรจ์ผู้สวมชุดบ่าวรับใช้ของหอรื่นรมย์สามคนก็ใช้ไม้ตีกระหน่ำเข้าที่ร่างผอมเพรียวของชุนจื่อ

“โอ๊ย!” ชุนจื่อร้องครวญครางออกมา ทั้งเนื้อทั้งตัวถูกรุมซ้อมอย่างไร้ความปรานี จนเขานอนนิ่งไป ชายคนหนึ่งจึงพูดขึ้น

“มู่สาวเย่าฝากมาบอกว่า คางคกอย่างเจ้าคิดจะกินเนื้อห่านฟ้า ฝันไปเถอะ ต่อไปอย่ามาให้นางเห็นหน้าอีก” พูดจบชายฉกรรจ์ทั้งสามคนก็พยุงร่างบอบช้ำของชุนจื่อโยนลงไปในหน้าผา ความมืดทำให้ทั้งสามคนมองไม่เห็นว่าร่างชุนจื่อตกลงไปติดกับกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากหน้าผา ความเกลียดแค้นเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มในบัดดล เขาสบถออกมาอย่างแผ่วเบา

“สาวเย่า เจ้าเตือนข้าดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องทำร้ายข้าปางตายเยี่ยงนี้ แค้นนี้ต้องชำระด้วยเลือดเนื้อของเจ้า... มู่สาวเย่า”

 

ในขณะที่ชุนจื่อได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส ฝ่ายมู่สาวเย่าก็ไปนั่งรอเด็กหนุ่มอยู่ในห้องนอนของเขา เมื่อชุนจื่อไม่กลับมาทั้งคืน มู่สาวเย่าก็ไปปรึกษากับหลินเมี่ยวซินในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น

“พี่ชุนจื่อหายตัวไปเจ้าค่ะ”

“ทำไมจึงคิดเช่นนั้นล่ะ ชุนจื่ออาจจะออกไปทำธุระข้างนอกก็เป็นได้” หลินเมี่ยวซินสันนิษฐาน มู่สาวเย่าส่ายศีรษะอย่างแรงจนผมกระจุยกระจาย

“ข้าสงสัยเรื่องจดหมายที่ท่านแม่ให้เขียน จึงไปเฝ้าหน้าห้องของท่านแม่ตอนยามจื่อ แต่ข้าก็ไม่เห็นท่านแม่ออกไปไหน และยังปิดไฟนอนอีกด้วย แต่คนที่ข้าเห็นกลับเป็นพี่ชุนจื่อที่เดินไปทางด้านหลังหมู่ตึก”

“เจ้ามองลงมาจากชั้นสองหรือ” หลินเมี่ยวซินสงสัย

“ใช่เจ้าค่ะ”

“เจ้าไปทำอะไรชั้นสอง ไหนเจ้าลองเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังสิ” หลินเมี่ยวซินเริ่มสนใจ นางคิดในใจว่าเรื่องนี้น่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่

“ท่านแม่ให้ข้าเขียนจดหมายถึงมือปราบเจียงหลุน ในจดหมายเป็นการนัดไปชมกุ้ยฮวาตอนยามจื่อ ข้าสงสัยว่าท่านแม่จะไปตามนัดหรือไม่จึงแอบไปซุ่มดูที่มุมห้องชั้นสอง แต่ท่านแม่ก็มิได้ออกมา แล้วข้าก็เห็นโคมไฟจากด้านล่างจึงชะโงกหน้าไปดูเลยรู้ว่าเป็นพี่ชุนจื่อ ข้าสงสัยว่าพี่ชุนจื่อไปที่ใด จึงไปดักรอถามที่ห้องนอนของพี่ชุนจื่อ แต่เขาก็ไม่กลับมา... ข้าเกรงว่าพี่ชุนจื่อจะเป็นอะไรไป”

“ทำไมเจ้าคิดในแง่ร้ายเช่นนั้นเล่า”

“เพราะต้นกุ้ยฮวาอยู่ด้านหลังหมู่ตึกซึ่งเป็นทางที่พี่ชุนจื่อไป แล้วก่อนหน้านั้นท่านแม่ก็อยากจะขับไล่พี่ชุนจื่อไปด้วย ท่านแม่อาจจะจงใจให้ข้าเขียนจดหมายนัดพบเพื่อล่อให้พี่ชุนจื่อไปพบ แล้วขับไล่พี่ชุนจื่อไปโดยที่ข้าไม่รู้ก็เป็นได้ หากพี่ชุนจื่อมิยอมไปข้าเกรงว่าจะมีการลงไม้ลงมือขึ้นมา” สีหน้ามู่สาวเย่าสลดเศร้า มีความวิตกกังวลในแววตากลมโตของดรุณีน้อย

หลินเมี่ยวซินเอื้อมมือไปลูบแก้มเนียนใสของมู่สาวเย่าพลางเอ่ยกำชับ “เจ้าอย่าเอ่ยเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด ต่อให้ชุนจื่อหายตัวไปจริง เจ้าก็ต้องทำใจ เพราะหากเหลาป่านโกรธเจ้าขึ้นมา หอรื่นรมย์แห่งนี้จะกลายเป็นนรกสำหรับเจ้า”

“พี่เมี่ยวซินหมายความเยี่ยงไร จะให้ข้านิ่งเฉยต่อการหายตัวไปของพี่ชุนจื่อหรือเจ้าคะ”

“ใช่ นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว หากเจ้ายังอยู่ที่นี่” หลินเมี่ยวซินกล่าวเสียงหนัก

มู่สาวเย่าส่ายหน้าช้าๆ “โตขึ้นข้าจะต้องออกไปจากที่นี่ และข้าจะตามหาพี่ชุนจื่อให้เจอ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ตาม”

หลินเมี่ยวซินมองสายตาที่มุ่งมั่นของดรุณีน้อยแล้วก็อดหวั่นใจมิได้ มู่สาวเย่ามิใช่เด็กน้อยหน้าตาธรรมดา แต่นางเป็นหยกชั้นเลิศของหอรื่นรมย์เลยทีเดียว เหลาป่านมีหรือจะปล่อยนางออกจากหอคณิกาแห่งนี้ง่ายๆ คงเป็นได้เพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ของมู่สาวเย่าเท่านั้น หลินเมี่ยวซินคิด


[1] เวลาตั้งแต่ 19.00 น. - 20.59 น.

[2] กระดาษซวนจื่อเป็น 1 ใน 4 สุดยอดสมบัติจีนที่อยู่ในชุดเครื่องเขียนจีนที่เรียกว่า ‘เหวิน ฝัง ซื่อ เป่า’ อันประกอบด้วย พู่กัน จานหมึก แท่งหมึก และกระดาษ

[3] เวลาตั้งแต่ 21.00 น. - 22.59 น.

[4] เวลาตั้งแต่ 23.00 น. - 24.59 น.

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น