7

เจ็ด เจ้ายุทธภพคนใหม่


เจ็ด

เจ้ายุทธภพคนใหม่

 

การเสียชีวิตแบบไม่ธรรมดาของขุนนางใหญ่ระดับเฉิงเซี่ยง[1] กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วเมืองหลวงภายในเวลาไม่กี่ชั่วยามหลังจากหลินเมี่ยวซินพบศพเป็นคนแรก เหล่ามือปราบจากศาลหมิงจูถูกเรียกตัวมากลางดึกเพื่อสืบสวนหาตัวคนร้ายในคดีฆาตกรรมอัครเสนาบดีจงหยาง ท่ามกลางขุนนาง เหล่าจอมยุทธ์ และชาวเมืองที่พากันเฝ้าติดตามดูว่าใครคือผู้ฆ่าสังหาร

ศพของอัครเสนาบดีจงหยางถูกเคลื่อนย้ายจากห้องนอนมู่สาวเย่าอันเป็นสถานที่เกิดเหตุมายังลานหินกว้าง ซึ่งรายล้อมด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่มที่มุงดูอยู่เต็มพื้นที่ในหอรื่นรมย์ มือปราบทั้งห้าคนของศาลหมิงจูร่วมกันชันสูตรศพและค้นหาร่องรอยการเสียชีวิต

“ปิ่นปักผมแทงเข้าเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจทำให้เสียชีวิตในทันที ไม่มีแผลแห่งความไม่แน่ใจ[2] หรือแผลการป้องกันตัว และมีรอยฟกช้ำอันเกิดจากการถูกกระแทกเล็กน้อยที่บริเวณหน้าอก แต่ไม่มีร่องรอยความเสียหายของอวัยวะภายในอื่น เชื่อได้ว่าท่านอัครเสนาบดีจงหยางถูกฆาตกรรมมิใช่การฆ่าตัวตายแน่นอนขอรับ” หัวหน้ามือปราบเจียงหลุนรายงานต่อรองแม่ทัพหานอี้ผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นั้น ขณะที่องค์หญิงอวี่เยียนยังคงอำพรางโฉมหน้าด้วยผ้าแพรปิดหน้าสีขาวและยืนปะปนอยู่กับฝูงชนที่เฝ้าดูการสืบสวน

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย ถึงท่านอัครเสนาบดีจะไม่มีแผลแห่งความไม่แน่ใจหรือแผลการป้องกันตัว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ใช้ปิ่นปักผมแทงฆ่าตัวตายนี่นา” รองแม่ทัพหานอี้ตั้งข้อสงสัย

“ตามปกติวิสัยของการฆ่าตัวตายด้วยของมีคมนั้น แผลที่ถูกแทงจะไม่ผ่านเสื้อผ้า เพราะผู้ฆ่าตัวตายจะถอดอาภรณ์ชั้นนอกออกก่อนเสมอเพื่อให้ของมีคนแทงเข้าร่างกายได้โดยง่าย อีกทั้งก่อนตายท่านอัครเสนาบดีจงหยางยังอยู่ในอารมณ์สุขสำราญใจที่จะได้ร่วมรักกับหญิงงามอันดับหนึ่ง จึงไม่มีมูลเหตุจูงใจให้ฆ่าตัวตายขอรับ” มือปราบเจียงหลุนตอบอย่างฉะฉาน

“ดูจากสภาพแวดล้อมและวัตถุพยานก็ชี้ชัดว่ามู่สาวเย่าเป็นผู้ฆ่าอัครเสนาบดีจงหยางซินะ”

“ขอรับใต้เท้า... มู่สาวเย่าคงไม่ยอมร่วมรักกับท่านอัครเสนาบดีจงหยาง จึงได้ลงมือฆ่าท่านแล้วหลบหนีไป” มือปราบเจียงหลุนสันนิษฐาน พลางลอบถอนหายใจด้วยความหนักใจ แม้จะเข้าใจสถานการณ์ที่บีบบังคับของเด็กสาว แต่นางก็มิควรลงมืออำมหิตเช่นนี้ เพราะอย่างไรเสียนางก็เติบโตในหอคณิกา ก็น่าจะเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องพวกนี้ไว้อยู่แล้วมิใช่หรือ เขาเองก็ชื่นชมในความฉลาดน่ารักของมู่สาวเย่าจนรู้สึกเสียดาย และหนักใจหากเขาต้องเป็นคนจับนางเข้าคุก

องค์หญิงอวี่เยียนยิ้มหยันต่อความอ่อนหัดในการชันสูตรศพของหัวหน้ามือปราบสูงวัย ทั้งๆ ที่เขาเป็นมือปราบมานาน ก็น่าจะมีความรอบรู้และละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ แต่กลับสรุปผลการชันสูตรผิดพลาดเสียได้ แม้องค์หญิงจะรู้ว่า อัครเสนาบดีจงหยางถูกผู้มีวรยุทธ์ฆ่าตาย ทว่าองค์หญิงก็เลือกจะปิดปากเงียบไม่ชี้แจงให้รองแม่ทัพหานอี้กับมือปราบเจียงหลุนฟัง ด้วยไม่มีเหตุการณ์นองเลือดองค์หญิงจึงไม่แสดงตัว

“นั่นไง มู่สาวเย่า! นางอยู่ตรงนั้น” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น แล้วชี้นิ้วไปยังประตูทางเข้าหอรื่นรมย์ เด็กสาวผู้งดงามน่ารักในชุดฮั่นฝูสีชมพูปักลวดลายหงส์สยายปีกอันวิจิตรซึ่งเป็นอาภรณ์ตัวเดิมที่นางสวมตั้งแต่ก่อนการประมูล บริเวณเอวบางมีขลุ่ยหยกเสียบไว้ในผ้าคาดเอว ผู้คนที่มุงดูต่างพากันถอยหนีเด็กสาวเมื่อนางเดินตรงจากหน้าประตูเข้ามายังลานหินกว้าง จนกลายเป็นการแหวกทางให้มู่สาวเย่าเดินได้อย่างสง่างามโดยไม่มีใครมาขวาง

“เจ้ามามอบตัวสินะมู่สาวเย่า” รองแม่ทัพหานอี้ถาม

“ข้ามิได้ทำอะไรผิดจะมามอบตัวด้วยข้อหาอะไรเล่าเจ้าคะ” มู่สาวเย่าย้อนถาม พลางแย้มยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวต่อรองแม่ทัพหานอี้และเหล่ามือปราบทั้งห้าที่จ้องจะจับตัวนาง

“อย่ามาเล่นลิ้น เจ้าเป็นคนฆ่าอัครเสนาบดีจงหยางตาย หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ ยอมรับสารภาพมาซะดีๆ” รองแม่ทัพหนุ่มตวาด ความพิสมัยในตัวมู่สาวเย่าหายไปสิ้นเมื่อเขาคิดถึงความโหดเหี้ยมของนาง

“หลักฐานมัดตัวที่ท่านเอ่ยถึงคงหมายถึงปิ่นปักผมของข้าสินะเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าจากปิ่นปักผมอันนั้นเช่นกัน”

ถ้อยคำของมู่สาวเย่าทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างมองหน้ากันเลิกลั่กด้วยความงุนงงสงสัย จนมือปราบเจียงหลุนเป็นฝ่ายถามแทนทุกคน

“เจ้าจะพิสูจน์เยี่ยงไร”

มู่สาวเย่ายิ้มน้อยๆ พลางตอบเสียงดัง “ข้าจะพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน แต่ข้าต้องขอซากหมูตายหนึ่งตัวกับตัวพี่เมี่ยวซินในการพิสูจน์ครั้งนี้ด้วย ไม่ทราบท่านรองแม่ทัพจะอนุเคราะห์ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”

รองแม่ทัพหานอี้หันไปพยักหน้ากับมือปราบเจียงหลุน แล้วในเวลาต่อมาซากหมูตายก็ถูกยกมาวางตรงหน้ามู่สาวเย่าพร้อมกับหลินเมี่ยวซินที่ยืนเอาใจช่วยเด็กสาวอยู่ข้างๆ ซากหมูตาย

“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะล้างข้อกล่าวหาฆ่าคนตายของเจ้าได้เยี่ยงไร เริ่มพิสูจน์สิ” รองแม่ทัพเร่ง

มู่สาวเย่าหันไปบอกกับหญิงคณิกาอันดันหนึ่งแห่งหอรื่นรมย์ “พี่เมี่ยวซินช่วยเอาปิ่นปักผมของท่านแทงตรงกลางลำตัวซากหมูตายให้แรงที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้เลยนะเจ้าคะ”

“ได้” หลินเมี่ยวซินรับคำ จากนั้นก็ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมา เงื้อมือขึ้นสูงแล้วปักปิ่นเข้าที่ลำตัวหมูเต็มแรง มีเลือดพุ่งออกมาเปอะเปื้อนอาภรณ์ของหญิงคณิกาสาวเล็กน้อย แต่นางมิได้ใส่ใจ พลางขยับถอยไปยืนลุ้นให้มู่สาวเย่าแก้ข้อกล่าวหาสำเร็จ

“ทุกคนเห็นปิ่นที่ปักอยู่บนซากหมูตายแล้ว รู้หรือไม่ว่ามันแตกต่างจากปิ่นของข้าที่ปักบนหน้าอกท่านอัครเสนาบดีอย่างไร” มู่สาวเย่าร้องถามผู้คนที่รายล้อมอยู่ ณ ที่นั้น มือปราบเจียงหลุนตบหน้าผากตัวเองดังฉาด พร้อมกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง

“ใช่แล้ว ข้าช่างโง่เขลานัก”

“ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย” รองแม่ทัพหานอี้เปรย สีหน้าเต็มไปด้วยความฉงน

“อย่างนี้ขอรับใต้เท้า ปิ่นที่ปักบนซากหมูลึกเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของด้ามปิ่น มิได้จมมิดเหลือแต่ส่วนหัวเหมือนเช่นปิ่นที่ปักบนหน้าอกของอัครเสนาบดีจงหยาง แสดงว่าเรี่ยวแรงของอิสตรีมิอาจแทงปิ่นให้จมมิดด้ามปิ่นได้ เพราะตรงบริเวณหัวใจมีทั้งผิวหนังและกระดูกที่เป็นแรงต้าน อีกทั้งเป็นการแทงเพียงแผลเดียวก็ทะลุเข้าหัวใจได้ กอรปกับหัวปิ่นที่เป็นหยกแข็งมีรอยแตกร้าวเล็กน้อย แสดงว่าต้องเป็นบุรุษหรือไม่ก็เป็นผู้มีวรยุทธ์เท่านั้นที่จะทำได้ขอรับ” มือปราบเจียงหลุนอธิบาย

“ถ้ามิใช่มู่สาวเย่า แล้วบุรุษคนใดเล่าที่สังหารอัครเสนาบดีจงหยาง” รองแม่ทัพแผดเสียงถามด้วยความสงสัยอย่างหนัก

“ข้าจะเรียกมือสังหารตัวจริงออกมาเองเจ้าค่ะ” สิ้นคำมู่สาวเย่าก็ยกนิ้วขึ้นเป่าปาก ไม่นานอาชาสีขาวปลอดตัวหนึ่งก็วิ่งเหยาะย่างเข้ามาในหอรื่นรมย์ มีบุรุษร่างผอมสูงในชุดจอมยุทธ์สีม่วงนั่งฟุบหน้าอยู่บนหลังอาชาตัวนั้น

เมื่ออาชามายืนเคียงกายมู่สาวเยา นางก็ประกาศออกมาเสียงดัง “บุรุษผู้นี้คือฆาตกรตัวจริงที่สังหารท่านอัครเสนาบดีจงหยาง”

มือปราบเจียงหลุนตรงเข้ามาดึงแขนที่ห้อยอยู่ของบุรุษร่างผอมเพื่อให้อีกฝ่ายลงมาจากหลังอาชา แล้วศพเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายก็หล่นตุ้บลงมานอนตาเหลือกแผ่หลาบนพื้นหิน ทำเอามือปราบสูงวัยถึงกับผงะ รวมทั้งเหล่าจอมยุทธ์ต่างตกตะลึงพรึงเพริดไปทั้งหอรื่นรมย์ การเสียชีวิตของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่รายที่สองกลายเป็นฉนวนเหตุนำไปสู่ความวุ่นวายในเวลาต่อมา

“เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายบุกเข้ามาในห้องนอนของข้าและสังหารอัครเสนาบดีจงหยางเพื่อชิงตัวข้า แต่เขาหารู้ไม่ว่าข้าเองก็มีวรยุทธ์ที่จะสังหารเขาได้เช่นกัน” มู่สาวเย่ากล่าวเสียงดังต่อหน้าทุกคน

“เจ้าจะบอกว่าเจ้าฆ่าเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายตายเยี่ยงนั้นรึ” จอมยุทธ์ผู้หนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมา

“ใช่ ตามกฎแห่งยุทธภพ ผู้ใดต้องการเป็นเจ้ายุทธภพต้องประลองฝีมือกับจอมยุทธ์ที่ชาวยุทธ์ยกย่องให้เป็นที่หนึ่งในยุทธภพ ซึ่งก็คือเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย บัดนี้ข้าได้ทำตามกฎโดยการประลองฝีมือกับเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย แต่เขามิยอมรับความพ่ายแพ้และพยายามฆ่าข้าให้ได้ จนข้าต้องใช้วิชาเพลงขลุ่ยพิฆาตจัดการกับเขา...” มู่สาวเย่าหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนเปล่งวาจาด้วยเสียงอันดังกังวาน

“นับจากนี้ ข้า... มู่สาวเย่า คือเจ้ายุทธภพคนใหม่”

สิ้นคำประกาศ เสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังขึ้น ไม่เพียงแค่ชาวยุทธ์ที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นลั่นหอรื่นรมย์เท่านั้น แม้แต่เหล่าขุนนางกับชาวเมืองที่เฝ้าดูมาตั้งแต่ต้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เด็กเมื่อวานซืน[3] ริอ่านจะเป็นเจ้ายุทธภพ” กระแสการต่อต้านลุกพึ่บราวกับจุดไฟบนเชื้อเพลิง จอมยุทธ์คนหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมาเสียงดัง

“ข้าไม่เชื่อว่านางเป็นคนฆ่าเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย เด็กที่เติบโตในหอคณิกาอย่างนางจะมีวรยุทธ์ได้เยี่ยงไร จะมีจอมยุทธ์คนใดอยากเป็นอาจารย์ของหญิงคณิกา ทั้งหมดที่นางพูดมาโป้ปดมดเท็จทั้งเพ”

“ใช่ๆ ต้องเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งคนอื่นที่ฆ่าเจ้ายุทธภพแน่ๆ แล้วนางก็สวมรอยแอบอ้างว่าเป็นคนฆ่าเพื่อจะได้เป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่”

คำกล่าวของจอมยุทธ์สองคนที่ตะโกนขึ้นมาทำให้เกิดความเห็นพ้องต้องกันในหมู่ชาวยุทธ์ รวมทั้งคนในราชสำนักที่มองดูอยู่ห่างๆ ฝ่ายเหลาป่านแห่งหอรื่นรมย์ถึงกับยกผ้าเช็ดหน้าผืนบางขึ้นซับเหงื่อที่แตกพลั่ก ด้วยความหวาดหวั่นว่าจะเกิดเหตุให้หญิงคณิกาและทรัพย์สินในหอรื่นรมย์ของนางต้องบุบสลายเสียหายย่อยยับลงไป ขณะที่เด็กสาวผู้กลายเป็นเป้าโจมตีเพียงแค่ยิ้มบางๆ มิได้สะทกสะท้านต่อความคิดเห็นที่เป็นความจริงนั้นเลย ทั้งยังเอ่ยท้าเหล่าจอมยุทธ์ทุกคนอีกด้วย

“หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็จงดาหน้าเข้ามาประลองยุทธ์กับข้าได้เลย”

เมื่อ ‘เด็กเมื่อวานซืน’ ร้องท้าเช่นนี้มีหรือที่เหล่าจอมยุทธ์จะนิ่งเฉย ต่างชักกระบี่และอาวุธประจำกายออกมาสังหารเด็กสาวซึ่งยืนอยู่ใจกลางวงล้อมของพวกเขา ขุนนางราชสำนักกับชาวเมืองที่กลัวโดนลูกหลงพากันหลบมุมหาที่กำบังกันให้วุ่น มู่สาวเย่าดึงขลุ่ยหยกซึ่งเหน็บไว้ที่เอวขึ้นมาเป่า เพียงเสียงขลุ่ยเริ่มบรรเลงก็มีพลังลมปราณรุนแรงพุ่งเข้ากระแทกจุดต่างๆ ตามร่างกายของเหล่าจอมยุทธ์ที่จู่โจมเข้ามาจนขยับเขยื้อนแขนขาไม่ได้ ล้มพับลงไปกองกับพื้นกันระนาว ความชาแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของอวัยวะที่ถูกพลังปราณพุ่งใส่กลายเป็นคนพิกลพิการชั่วขณะ อาวุธสังหารร่วงหลุดจากมือตกสู่พื้นหินราวกับพร้อมใจกันโยนทิ้ง สร้างความตกใจชวนพิศวงให้แก่ทุกคนในที่นั้น

“เจ้าใช้วิชาสำนักไหนจัดการกับพวกข้ากันแน่” หนึ่งในจอมยุทธ์ที่นอนพิกลพิการอยู่บนพื้นตะโกนถาม มู่สาวเย่าลดขลุ่ยลงแล้วตอบเสียงกังวาน

“วิชาเพลงขลุ่ยพิฆาตของข้าไร้ซึ่งสำนักใดถ่ายทอด เพราะเป็นวิชาที่อาจารย์นิรนามของข้าเป็นผู้คิดค้นขึ้นและสอนข้าจนสำเร็จขั้นสุดยอด ก่อนที่อาจารย์จะออกเดินทางไปท่องยุทธภพ หากข้าไม่ปรานีต่อพวกท่าน คงใช้เพลงขลุ่ยพิฆาตนี้จู่โจมจุดตายของพวกท่านให้ตายไปแล้ว”

“เพียงแค่เป่าขลุ่ยก็เกิดเป็นพลังลมปราณพุ่งเข้าใส่พวกเราได้พร้อมๆ กัน ช่างเป็นสุดยอดวิชาโดยแท้” จอมยุทธ์ทั้งหลายเริ่มใจฝ่อ มู่สาวเย่าเห็นกลอุบายของตนเริ่มสัมฤทธิผล จึงรีบตอกย้ำให้ทุกคนคล้อยตามคำกล่าวของนางตั้งแต่ต้น

“พวกท่านดูที่หน้าผากของเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายสิ มีร่องรอยถูกพลังลมปราณกระแทกจนชีพจรภายในขาดสะบั้น แสดงว่าเขาถูกวิชาเพลงขลุ่ยพิฆาตของข้าสังหารจริงๆ”

ทุกคนในที่นั้นต่างหันไปมองศพของเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย แล้วก็เห็นจริงตามที่มู่สาวเย่าบอก จึงพยักหน้ายอมรับกัน

“มีจอมยุทธ์ท่านใดอยากท้าประลองกับข้าอีกหรือไม่” มู่สาวเย่าตะเบ็งเสียงถามอย่างกึกก้อง แต่ไม่มีผู้ใดกล้าลองดี เมื่อเห็นเหล่าจอมยุทธ์ต่างศิโรราบ มู่สาวเย่าจึงประกาศตนขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่อีกครั้ง

“นับจากนี้ ข้า... มู่สาวเย่า คือเจ้ายุทธภพ” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเบื้องหลังเพลงขลุ่ยพิฆาตของมู่สาวเย่านั้นมีนักฆ่าพญาอินทรีสมรู้ร่วมคิดด้วย

ย้อนไปตอนที่มู่สาวเย่าบอกนักฆ่าอวิ๋นไคว่าต้องเตรียมของสามสิ่งเพื่อให้ตัวนางและเขาพ้นจากข้อหาฆ่าคนตายในคืนนี้

เจ้าจะทำเยี่ยงไร อวิ๋นไคสงสัย มู่สาวเย่ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอ่ยตอบ

มิต้องทำอะไรมาก แค่เตรียมของสามสิ่งเท่านั้น

สามสิ่ง?”

หนึ่งอาชา หนึ่งขลุ่ย และหนึ่งสมองของข้า มู่สาวเย่าตอบ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าพิศวงก็อธิบายให้ฟัง 

“ท่านเป็นนักฆ่าที่ถูกทางการประกาศจับจึงมิอาจปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนได้ ดังนั้นข้าจึงต้องใช้อาชาเพื่อแบกศพเจ้ายุทธภพเข้าไปในหอรื่นรมย์ในจังหวะที่ข้าเฉลยว่าใครคือผู้สังหารอัครเสนาบดีจงหยาง ส่วนขลุ่ยนั้นข้าจะใช้หลอกพวกชาวยุทธ์ว่ามีวิชาเพลงขลุ่ยพิฆาต และใช้วิชานี้สังหารเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายตาย”

อวิ๋นไคหัวเราะเยาะ “ไม่มีใครเชื่อถ้อยคำของเจ้าหรอก แค่พวกชาวยุทธ์ตวัดกระบี่ใส่เจ้าแค่กระบวนท่าเดียว เจ้าก็ดับดิ้นสิ้นใจตายตรงนั้นแล้ว”

“ข้าถึงต้องใช้สิ่งของอย่างที่สามอย่างไรล่ะ นั่นก็คือสมองของข้า” มู่สาวเย่ายักคิ้ว

“อย่างไร” นักฆ่าหนุ่มสงสัย

“ท่านจงแอบอยู่ในหมู่ตึกของหอรื่นรมย์ อย่าได้ปรากฏตัวให้ใครเห็น เมื่อข้าเริ่มเป่าขลุ่ยก็เป็นการส่งสัญญาณให้ท่านใช้วิชาดรรชนีพิฆาตจู่โจมเหล่าจอมยุทธ์ที่เข้ามาทำร้ายข้า เพราะข้าดูจากที่ท่านต่อสู้กับเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายจึงรู้ว่าท่านรู้จุดต่างๆ ตามร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างดี ท่านจึงสังหารเขาด้วยจุดตายได้ แต่ท่านอย่าได้ทำร้ายจอมยุทธ์ที่ต่อสู้กับข้าด้วยจุดตายเด็ดขาด เอาแค่ทะลวงจุดที่ทำให้อัมพาตชั่วคราวก็พอ ทำให้พวกเขาเชื่อว่าข้าใช้เพลงขลุ่ยพิฆาตจัดการกับพวกเขา”

“เจ้าจะรับสมอ้างว่าเป็นผู้สังหารเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายไปเพื่อเหตุใด” อวิ๋นไคยังไม่คลายความสงสัย

“ข้าจะประกาศตัวเป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่ ตามกฎแห่งยุทธภพ ผู้ใดต้องการเป็นหนึ่งเหนือเหล่าชาวยุทธ์ทั้งหลาย ต้องโค่นล้มเจ้ายุทธภพคนปัจจุบันเสียก่อน และการสังหารเจ้ายุทธภพก็ไม่มีความผิดด้วย” มู่สาวเย่าชี้แจง

“เจ้ามิคิดหรือว่าข้าเป็นคนฆ่าเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายก็อาจอยากเป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่ด้วยเหมือนกัน” อวิ๋นไคเลิกคิ้วสูง

“ถ้าท่านอยากเป็นเจ้ายุทธภพท่านคงเป็นไปนานแล้วละ คงไม่ต้องรอถึงวันนี้หรอก อีกอย่าง... ท่านเป็นโรคมนุษย์ผักด้วย คงไม่อยากเป็นเป้าสังหารของใคร เพราะพวกเขาอาจตามสืบจนรู้จุดอ่อนเรื่องนี้ของท่าน”

อวิ๋นไคหรี่ตาลงมองเด็กสาว แล้วถาม “เจ้าบอกจะทำให้ข้าหลุดพ้นคดีฆ่าคนด้วย เจ้าโอ้อวดหรือไม่”

“เมื่อจังหวะและโอกาสมาถึงให้ท่านปรากฏตัว แต่จำไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามท่านใช้วิชาดรรชนีพิฆาตเด็ดขาด เพราะมันกลายเป็นเพลงขลุ่ยพิฆาตของข้าไปแล้ว ท่านจะใช้วิชานี้ได้ต่อเมื่อข้าเป่าขลุ่ยเท่านั้น”

“เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก” อวิ๋นไคว่า มู่สาวเย่าหัวเราะขันแล้วตอบ

“เขาเรียกว่าจอมนางเจ้าอุบายต่างหาก”

กลับมายังหอรื่นรมย์ เมื่อทุกคนยอมรับการขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่ของมู่สาวเย่า องค์หญิงอวี่เยียนซึ่งเฝ้าดูอยู่เงียบๆ มานานก็นึกอยากร่วมสนุกด้วย จึงตะโกนขึ้นมา

“ในเมื่อเจ้ายุทธภพมู่มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมเยี่ยงนี้ ก็อาจเป็นผู้สังหารอัครเสนาบดีจงหยางได้เช่นกัน”

“จริงด้วย มู่สาวเย่าพิสูจน์เองว่าอัครเสนาบดีจงหยางเสียชีวิตเพราะบุรุษ หรือไม่ก็ผู้ที่มีวรยุทธ์ แล้วนางก็มีวรยุทธ์ด้วย” รองแม่ทัพหานอี้เห็นพ้องขึ้นมาทันที พาให้หลายๆ คนเริ่มคล้อยตาม

“ท่านมือปราบเจียงหลุน” มู่สาวเย่าเรียกมือปราบสูงวัย “ท่านมือปราบเป็นผู้ชันสูตรศพอัครเสนาบดีจงหยาง คงทราบว่าสาเหตุการตายน่าจะมาจากผู้มีวรยุทธ์มากกว่าบุรุษที่ไร้วรยุทธ์ใช่หรือไม่”

“ใช่ เพราะปิ่นปักผมเสียบแทงหัวใจในแผลเดียวและจมมิดต้องเกิดจากพลังลมปราณที่ฝึกฝนมาอย่างดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้สังหารจะไร้วรยุทธ์” มือปราบเจียงหลุนตอบตามความจริง

“พลังลมปราณที่ฝึกฝนมาอย่างดีที่ท่านกล่าว ต้องฝึกมากี่ปี” มู่สาวเย่าถามอีก

“อย่างน้อยก็ต้องยี่สิบปี” มือปราบเจียงหลุนตอบเสียงดัง เมื่อเข้าใจเจตนาในการถามของเด็กสาว ฝ่ายมู่สาวเย่าก็ยิ้มบางๆ ออกมา และเอ่ยด้วยเสียงอันดังพอๆ กัน

“ข้าเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปี จะมีพลังลมปราณที่ฝึกฝนมาถึงยี่สิบปีได้เยี่ยงไร จากเหตุการณ์แวดล้อมและผลชันสูตรก็ชี้ชัดได้แล้วว่า ผู้ที่สังหารอัครเสนาบดีจงหยางคือเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายแน่นอน”

กลอุบายหลอกลวงเพื่อก้าวขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพของมู่สาวเย่าไม่มีช่องโหว่ใดๆ ให้จับพิรุธได้เลย หาก ณ ที่นั้นไม่มีองค์หญิงอวี่เยียนผู้มีปัญญาฉลาดเฉลียวไม่แพ้มู่สาวเย่ายืนรวมอยู่ด้วย

องค์หญิงอวี่เยียนแอบล้วงอาวุธลับเป็นมีดสั้นเล่มเล็กๆ ซัดเข้าใส่ร่างบางของมู่สาวเย่าโดยมิให้เด็กสาวรู้ตัว การจู่โจมแบบเงียบกริบเช่นนี้มีเพียงผู้มีวรยุทธ์สูงส่งเท่านั้นที่จะล่วงรู้ ดังนั้นนักฆ่าอวิ๋นไคจึงกระโดดลงมาจากหลังคา และใช้กระบี่ขวางวิถีของมีดสั้นที่พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว จนอาวุธลับนั้นสะท้อนกลับไปที่เจ้าของ ซึ่งองค์หญิงมิอาจหลบได้เนื่องจากมีชาวบ้านยืนอยู่ด้านหลัง นางจึงดึงป้ายพระราชทานของฮ่องเต้ที่เก็บไว้ในผ้าคาดเอวขึ้นมารับมีดสั้นนั้น

กึก!

เสียงมีดสั้นกระทบกับป้ายไม้สีทองทำให้ทุกคนหันไปมอง เมื่อเหล่าขุนนางราชสำนักเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ของฮ่องเต้ก็พากันตกตะลึงและรีบคุกเข่าลงกับพื้น ทำให้องค์หญิงมิอาจปิดบังโฉมหน้าของตนได้อีกต่อไป จึงดึงผ้าแพรเนื้อบางสีขาวออก

“องค์หญิงอวี่เยียน!” ขุนนางคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ทำให้ชาวเมืองที่ยืนมองด้วยความสนใจพร้อมใจกันคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสตรีผู้สูงศักดิ์

“นักฆ่าพญาอินทรีอยู่ตรงหน้าแล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังไม่รีบจับกุมอีก” องค์หญิงอวี่เยียนถามกับมือปราบทั้งห้าคน พวกเขาจึงรีบลุกขึ้นและวิ่งไปจับนักฆ่าหนุ่ม ทว่าเพียงแค่อวิ๋นไคตวัดกระบี่ก็ตัดเส้นผมที่มัดไว้บนศีรษะของมือปราบทั้งห้าคนขาดสะบั้นหลุดร่วงลงมา ทั้งลูกน้องและมือปราบเจียงหลุนต่างชะงึกกึก มิกล้าจู่โจมเข้าใส่นักฆ่าหนุ่มอีก

“ในที่นี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้กับนักฆ่าพญาอินทรีได้หรอก” มู่สาวเย่าเอ่ยแทรกขึ้นมาลอยๆ ฝ่ายองค์หญิงอวี่เยียนก็สวนกลับมา

“ในเมื่อเจ้ายุทธภพมู่เป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง เหตุใดไม่จับนักฆ่าอวิ๋นไคส่งทางการเล่า นอกจากพิสูจน์ฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ยังจะได้รับการยกย่องจากชาวยุทธ์ว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมปราบอธรรมอีกด้วยนะ”

ฉับพลันนั้นมู่สาวเย่าก็ใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับขาของนักฆ่าอวิ๋นไคจนเขาล้มตัวลงคุกเข่ากับพื้น ก่อนเด็กสาวจะเดินไปยืนอยู่เบื้องหน้าเขา

“วรยุทธ์เจ้ามิอาจเทียบข้าได้แม้เพียงปลายก้อย แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้า...” มู่สาวเย่าหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามนักฆ่ารูปงามเสียงดังฟังชัดให้ได้ยินกันทั่ว “เจ้าจะยอมสวามิภักดิ์เป็นทาสรับใช้เจ้ายุทธภพคนใหม่อย่างข้าหรือไม่ หากเจ้ายอมรับ ข้าจะละเว้นชีวิตเจ้าและยอมให้เจ้าเป็นทาสผู้รับใช้ คอยติดตามข้าตลอดไป”

เมื่อสถานการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ อวิ๋นไคก็มิอาจปฏิเสธข้อเสนอของมู่สาวเย่าได้ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องการตัวเด็กสาวให้ร่วมเดินทางไปหาโสมป่าพันปีอยู่แล้ว ก็แค่ตบตาเป็นทาสรับใช้นางต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น แต่ลับหลังมีหรือที่เขาจะยอมทำตามคำสั่งนาง

“ข้าน้อมรับเป็นทาสรับใช้ของท่านเจ้ายุทธภพมู่” อวิ๋นไคกล่าวพลางก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการแสดงความยินยอมต่อหน้าทุกคน มู่สาวเย่าแสร้งตีหน้าขรึม แล้วพยักหน้าหงึกๆ ก่อนหันไปเอ่ยกับองค์หญิงอวี่เยียน

“ด้วยวรยุทธ์ของเหล่ามือปราบในราชสำนัก หรือแม้แต่ทหารองครักษ์ของฮ่องเต้ก็มิอาจจับตัวนักฆ่าอวิ๋นไคได้ และถ้าข้าสั่งให้ทาสรับใช้อย่างนักฆ่าอวิ๋นไคลงมือสังหารคนที่นี่ย่อมเกิดการนองเลือดไม่จบไม่สิ้น อีกทั้งขุนนางที่นักฆ่าอวิ๋นไคสังหารก่อนหน้านี้ก็เป็นพวกกังฉินโกงกินบ้านเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดและการฆ่าสังหารคนผู้บริสุทธิ์ในอนาคต ข้าอยากทำข้อตกลงกับองค์หญิงสักเล็กน้อย หากองค์หญิงรับปากว่าจะทูลขอกับฮ่องเต้ให้อภัยโทษให้อวิ๋นไคและยกเลิกประกาศจับตัวเขา ข้าก็จะสั่งอวิ๋นไคให้เลิกเป็นนักฆ่า ไม่ให้เขาลงมือฆ่าคนบริสุทธิ์อีก มิทราบว่าองค์หญิงจะยอมรับข้อตกลงนี้หรือไม่”

องค์หญิงอวี่เยียนถึงกับหัวเราะเบาๆ ในความเจ้าเล่ห์เพทุบายของมู่สาวเย่าที่วางแผนมาเป็นขั้นเป็นตอน จนองค์หญิงอย่างนางต้องตกเป็นหมากตัวหนึ่งในกลอุบายของมู่สาวเย่าไปด้วย องค์หญิงอวี่เยียนชูป้ายไม้สีทองพระราชทานขึ้นเหนือศีรษะ ประกาศเสียงดัง

“ป้ายอาญาสิทธิ์ในมือข้าเปรียบเหมือนเป็นตัวแทนขององค์ฮ่องเต้ ดังนั้นข้าขออภัยโทษแก่นักฆ่าอวิ๋นไคและยกเลิกประกาศจับตัวเขา แต่ถ้าภายภาคหน้านักฆ่าอวิ๋นไคฆ่าคนในราชสำนักหรือผู้บริสุทธิ์อีก เจ้ายุทธภพมู่สาวเย่าต้องรับผิดชอบความผิดนั้นด้วยการสังหารอวิ๋นไคต่อหน้าชาวเมืองลั่วหยาง”

“น้อมรับพระบัญชาเพคะ” มู่สาวเย่าคุกเข่าลงคำนับกับพื้น

ทุกอย่างเป็นไปตามที่มู่สาวเย่าคาดการณ์ไว้ ทั้งตัวนางและอวิ๋นไคต่างหลุดพ้นจากคดีฆ่าคนตายด้วยกันทั้งคู่ และชั่วข้ามคืนมู่สาวเย่าก็ได้เป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่สมใจ เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของจอมมารรูปงาม ผู้มองเห็นทุกอย่างผ่านเปลวอัคคีบนฝ่ามือซึ่งเกิดจากพลังมารราวกับมีดวงตาทิพย์

“คนหนึ่งฉลาดหลักแหลม อีกคนก็มีวิทยายุทธ์ไร้เทียมทาน เช่นนี้ท่านประมุขจะสังหารเด็กสาวมู่สาวเย่าได้เยี่ยงไรเจ้าคะ” ยายเฒ่าในร่างเด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบกล่าวขึ้น หลังจากเฝ้าดูมู่สาวเย่าผ่านเปลวอัคคีร่วมกับผู้เป็นนาย

จอมมารรูปงามยกยิ้มมุมปาก “การสังหารครั้งแรกจะเกิดขึ้นตอนมู่สาวเย่าอยู่ในสภาพไม่พร้อม และอวิ๋นไคอยู่ห่างไกลเกินกว่าจะปกป้องนางได้”

“มันคือตอนไหนหรือเจ้าคะ ท่านประมุข” ยายเฒ่าร่างเด็กสงสัย

“ตอนมู่สาวเย่าอาบน้ำ”

“ต๊าย! ท่านประมุขเป็นจอมมารลามก โอ๊ย...!” พูดไม่ทันจบยายเฒ่าร่างเด็กก็ถูกประมุขของตนซัดพลังมารเข้าที่ใบหน้าจนเลือดกลบปาก เจ้าตัวรีบขอโทษขอโพยในทันที

“ข้าผิดไปแล้วท่านประมุข ยกโทษให้ข้าด้วย”

“เจ้าจงไปปลิดชีพมู่สาวเย่าตอนนางอาบน้ำ ความไม่พร้อมของนางจะทำให้นางหนีไปไหนไม่ได้ และอวิ๋นไคก็อยู่ไกลเกินกว่าจะช่วยได้ทัน หากเจ้าทำไม่สำเร็จ รู้ใช่หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ยายเฒ่าร่างเด็กรีบยกมือขึ้นน้อมรับคำสั่ง พร้อมกล่าวเสียงหนักแน่น “ข้าจะไม่ทำให้ท่านประมุขผิดหวังเด็ดขาด”

ว่าแล้วยายเฒ่าก็หายวับไปราวกับล่องหน จอมมารซ่งเว่ยเชียนซีมองภาพมู่สาวเย่าในเปลวอัคคีบนฝ่ามือแล้วยิ้มมุมปาก

 

ความสงบสุขและความเงียบอาจเป็นที่ปรารถนาของหลายๆ คน แต่ไม่ใช่กับแม่เล้าร่างท้วมแห่งหอรื่นรมย์ที่ประสงค์จะเห็นความครึกครื้นรื่นเริงภายในหอคณิกาของนาง ตั้งแต่เมื่อคืนที่เกิดคคีฆาตกรรมบุรุษผู้ยิ่งใหญ่สองคน และเด็กสาวผู้งดงามที่สุดในใต้หล้าได้ประกาศตนเป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่ ก็ทำให้หอรื่นรมย์แห่งนี้หมดความน่าสนใจไปถนัดใจ เมื่อไม่มีหญิงคณิกาเลื่องชื่ออย่างมู่สาวเย่าเป็นแม่เหล็กดึงดูดบุรุษเพศ หอรื่นรมย์ก็กลายเป็นหอร้างในชั่วข้ามคืน

“อัครเสนาบดีจงหยางก็ตายไปแล้ว เงินค่าประมูลมู่สาวเย่าก็ไม่ได้ และกิจการยังมาย่ำแย่อีก ทำไมฟ้าจึงกลั่นแกล้งข้าเยี่ยงนี้” เหลาป่านคร่ำครวญปานจะขาดใจตาย เมื่อหอรื่นรมย์เปิดบริการในคืนถัดมา และมีลูกค้ามาใช้บริการเบาบางจนน่าใจหาย อีกทั้งมู่สาวเย่าก็กำลังเก็บเสื้อผ้าเพื่อเดินทางไปท่องยุทธภพ

“ท่านแม่ ข้าขอโทษที่มิอาจอยู่ในหอรื่นรมย์ได้อีกต่อไป ข้าเป็นเจ้ายุทธภพแล้ว ต้องมีจอมยุทธ์จำนวนมากมาท้าประลอง ถ้าข้ายังอยู่ที่นี่จะยิ่งทำให้ท่านแม่และพวกพี่ๆ พลอยเดือดร้อนไปด้วย ข้าจึงต้องไปจากที่นี่” มู่สาวเย่าเอ่ย พลางยกห่อผ้าที่ใส่อาภรณ์ของตนขึ้นสะพายไหล่แล้วเดินเข้าไปกอดมารดาร่างท้วมที่ยืนรออยู่หน้าห้องนอน

“ข้าจะคัดค้านอะไรเจ้าได้ หากเหนี่ยวรั้งเจ้าไว้มีหวังถูกเจ้าใช้ขลุ่ยพิฆาตปลิดชีวิตข้าเป็นแน่” เหลาป่านว่า มู่สาวเย่ากับหลินเมี่ยวซินต่างยิ้มให้กัน เพราะทั้งคู่รู้ว่าเพลงขลุ่ยพิฆาตที่มู่สาวเย่ากล่าวอ้างนั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็ต้องให้คนอื่น โดยเฉพาะเหลาป่านเข้าใจไปเช่นนั้น จะได้ไม่กล้ามาบังคับมู่สาวเย่าให้เป็นหญิงคณิกาอีก

“เอ้า ค่าไถ่ตัวมู่สาวเย่า” ไม่มีใครคาดคิดว่าอดีตนักฆ่าอวิ๋นไคจะโยนเงินหนึ่งตำลึงทองให้เหลาป่าน อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้โอดครวญขึ้นมาทันที

“จากสองแสนตำลึงทองเหลือแค่หนึ่งตำลึงทอง ทำไมมันช่างน้อยเช่นนี้ ท่านไม่ให้ข้าเยอะกว่านี้อีกสักหน่อยหรือ”

“ข้ามีแค่นี้ ไม่เอาใช่หรือไม่” อวิ๋นไคเอื้อมมือไปคว้าเงินในมือเหลาป่าน แต่สตรีร่างท้วมเอี้ยวแขนหลบมืออีกฝ่ายอย่างว่องไว

“ก็ยังดีกว่าไม่ได้” เหลาป่านว่า

“ข้าต้องไปแล้วเจ้าค่ะ” มู่สาวเย่าเอ่ยลาทุกคนในหอรื่นรมย์ที่ยืนส่งตรงลานหินกว้างใจกลางหมู่ตึก หลินเมี่ยวซินร้องทักท้วง

“ทำไมไม่รอให้เช้าก่อนค่อยออกเดินทางล่ะ”

“ข้ากับอวิ๋นไคนอนพักมาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว หากต้องพักอีกคืนเกรงว่าจะทำให้ลูกค้าไม่กล้าเข้ามาที่นี่อีก ข้ากับอวิ๋นไคจะไปพักที่โรงเตี๊ยมในเมืองก่อนแล้วจึงค่อยออกเดินทางแต่เช้า” มู่สาวเย่าอธิบาย

“แต่ว่า...” หลินเมี่ยวซินจะท้วงอีก แต่เหลาป่านก็พูดแทรกขึ้นมา

“ตามใจเจ้าเถอะ ต่อให้ข้ากับเมี่ยวซินทัดทานเจ้าอย่างไร เจ้าก็คงอยากออกจากหอรื่นรมย์จนตัวสั่น คงไม่คิดอาลัยอาวรณ์ที่นี่เท่าใดนักหรอก”

มู่สาวเย่าคุกเข่าลงตรงหน้าเหลาป่านกับหลินเมี่ยวซิน แล้วเอ่ยถ้อยคำที่มาจากใจ “บุญคุณของท่านแม่กับพี่เมี่ยวซิน ข้าขอจดจำไว้ในใจ หากวันใดข้าได้เป็นใหญ่ ข้าจะกลับมาตอบแทนบุญคุณพวกท่านแน่นอน ตอนนี้ได้แต่เพียงขอให้พวกท่านรับการคำนับขอบคุณจากหัวใจของข้าไว้เท่านั้น”

สิ้นคำมู่สาวเย่าก็โขกศีรษะลงกับพื้นสามครั้งเป็นการขอบคุณแด่ผู้มีพระคุณทั้งสอง หลินเมี่ยวซินถึงกับร้องไห้ออกมา ทรุดกายลงกอดร่างบางของมู่สาวเย่า สองสาวต่างกอดคอกันร่ำไห้ คนในหอรื่นรมย์ต่างพากันโศกเศร้าไม่แพ้กัน แม้แต่เหลาป่านก็ยังน้ำตาซึม แต่การจากไปในทางที่ดีขึ้นของมู่สาวเย่าก็เป็นที่ยินดีของเหล่าพี่ๆ ที่เป็นหญิงคณิกาในหอรื่นรมย์

“ที่นี่ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด” อวิ๋นไครำพึงออกมาขณะเดินออกจากหอรื่นรมย์ไปพร้อมกับมู่สาวเย่า

“ท่านพูดเหมือนเคยอยู่ที่นี่มาก่อน” มู่สาวเย่าเอียงคอถามด้วยความสงสัย

“ข้าเป็นบุรุษก็ย่อมต้องเคยมาใช้บริการที่นี่บ้างสิ เพียงแต่มันนานมากแล้วเท่านั้น” อวิ๋นไคตอบเสียงเรียบ มู่สาวเย่าก็มิได้ติดใจสงสัยใดๆ เพราะตอนนี้ต้องเร่งหาโรงเตี๊ยมสำหรับค้างคืนในคืนนี้ก่อน

 

หลังจากเที่ยวตระเวนหาห้องพักตามโรงเตี๊ยมไปทั่วเมืองลั่วหยางก็ไม่มีห้องพักที่ใดว่างเหลืออยู่เลย จนกระทั่งความหวังเดียวของหนุ่มสาวอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งสุดท้ายตรงสุดเขตของเมืองหลวง

“เหลือห้องพักแค่ห้องเดียวขอรับ พวกท่านจะเช่าหรือไม่” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวกับสองหนุ่มสาว

มู่สาวเย่ากับอวิ๋นไคต่างมองหน้ากัน แล้วตอบพร้อมกัน

“เช่า / ไม่เช่า”

“เอาอย่างไรกันแน่ขอรับ คุณหนูบอกว่าเช่า ส่วนคุณชายก็บอกว่าไม่เช่า ตกลงแล้วจะเช่าหรือไม่เช่าขอรับ” เถ้าแก่มองหน้าเด็กสาวน่ารักสลับกับชายหนุ่มรูปงาม

“ถ้าไม่เช่าที่นี่ แล้วเราจะไปนอนที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ” มู่สาวเย่าว่า

“ตามป่าตามเขาก็นอนได้ ชายหญิงมิได้แต่งงานกันจะมานอนอัดสองคนบนเตียงเดียวกันได้เยี่ยงไร”

“ท่านไม่คิดจะเสียสละให้ข้านอนบนเตียง แล้วท่านนอนบนพื้นบ้างหรือ”

“ไม่”

มู่สาวเย่าเม้มปาก ก่อนยอมแพ้ “เอาอย่างนี้ ข้าจะเป็นฝ่ายนอนบนพื้นเอง แล้วท่านก็นอนบนเตียงไป ตกลงหรือไม่”

“มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ เพราะข้าเป็นคนออกเงินนี่นา” อวิ๋นไคตอบหน้าตาย ก่อนจะยื่นเงินให้เถ้าแก่ซึ่งรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ท่านใจร้ายกับหญิงสาวน่ารักแบบนี้ได้ลงคอเชียวหรือ ถ้าเป็นข้าคงรีบยกเตียงนอนให้นางไปแล้ว” เถ้าแก่ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูอวิ๋นไค ก่อนจะเดินนำทั้งคู่ไปยังห้องพักด้านบนชั้นสอง

เมื่ออยู่ตามลำพังในห้องนอน อวิ๋นไคก็ยื่นคำขาดกับมู่สาวเย่า “ระหว่างที่ข้ากับเจ้าอยู่ด้วยกัน เจ้าต้องปฏิบัติตามกฎที่ข้าบอกสามข้อคือ หนึ่ง... ห้ามแตะเนื้อต้องตัวข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเจ้าสัมผัสโดนข้าแม้เพียงปลายก้อยจะต้องถูกฟาดก้นด้วยกระบี่ สอง... ต้องหาเงินมาเลี้ยงดูข้า เพราะเจ้าทำให้ข้าต้องเลิกอาชีพรับจ้างฆ่าคน และสาม... ต้องคอยหาอาหาร เตรียมที่นอน คอยพัดวีไล่ยุงหรือแมลงทุกครั้งที่ข้าเข้านอนจนข้าหลับ หากทำไม่ได้ตามกฎ ข้าจะทิ้งเจ้าไว้เพียงลำพัง ซึ่งสตรีไร้วรยุทธ์อย่างเจ้าจะต้องถูกชาวยุทธ์ฆ่าตายเพื่อช่วงชิงตำแหน่งเจ้ายุทธภพอย่างแน่นอน”

มู่สาวเย่ายกมือขึ้นเพื่อถาม อีกฝ่ายหรี่ตามองอย่างไม่ไว้วางใจในคำถามของเด็กสาว แต่ก็เอ่ยปากอนุญาต “มีอะไรว่ามา”

“ทั้งสามคำถามดูจะทำให้ท่านเสียศักดิ์ศรีมากเลยนะเจ้าคะ”

“ข้าไม่เห็นจะเสียศักดิ์ศรีตรงไหน ออกจะได้เปรียบด้วยซ้ำ” อวิ๋นไคยังตามความคิดเด็กสาวไม่ทัน

“ไม่เลย ท่านกำลังจะถูกผู้อื่นดูถูกเอาง่ายๆ อย่างข้อแรก ท่านมิให้ข้าแตะเนื้อต้องตัวท่าน แต่ท่านแตะเนื้อต้องตัวข้าได้ใช่หรือไม่”

“ใช่ ข้าย่อมมีสิทธิ์แตะเนื้อต้องตัวเจ้าได้”

“ท่านคือคนลามกโดยแท้ ที่หาโอกาสแตะเนื้อต้องตัวข้าโดยมิยอมให้ข้าต่อว่าท่านได้ ท่านก็จะหาโอกาสลวนลามข้าได้ ใครๆ ก็จะหาว่าท่านเป็นจอมลามก ท่านมิเสียศักดิ์ศรีแห่งนักฆ่าผู้เลื่องชื่อในอดีตหรอกหรือ”

“ก็ได้ ข้อแรกเป็นอันโมฆะ แต่อีกสองข้อเจ้าจะต้องทำตามที่ข้าบอก”

“ข้อสองยิ่งแล้วใหญ่เลยเจ้าคะ ท่านจะให้ข้าหาเลี้ยงท่าน แต่ข้าเป็นอิสตรี จะหาเลี้ยงบุรุษ อย่างนี้คนอื่นจะหาว่าท่านเกาะผู้หญิงกินนะเจ้าคะ ยิ่งเสียศักดิ์ศรีเข้าไปใหญ่เลย ส่วนข้อสาม ท่านจะให้ข้าที่มิได้เป็นบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติท่านขนาดนั้นก็ต้องมีค่าแรงค่าตอบแทนกันบ้างละ มิฉะนั้นจะเป็นการใช้แรงงานสตรีเกินกว่าเหตุนะเจ้าคะ”

อวิ๋นไคเริ่มหงุดหงิด เอ่ยเสียงห้วน “สรุปว่าข้าตั้งกฎสามข้อนี้มิได้เลยสินะ”

มู่สาวเย่าหัวเราะขัน “ท่านมิต้องตั้งกฎให้ยุ่งยาก เราอยู่ด้วยกันแค่เพียงเอ่ยปาก ข้าก็จะทำให้ท่านด้วยความเต็มใจโดยมิต้องให้ท่านมาบังคับให้ลำบากใจเลย”

พูดจบมู่สาวเย่าก็เดินไปจัดที่นอนบนเตียงให้อวิ๋นไค อดีตนักฆ่าหนุ่มมองด้านหลังเด็กสาวที่ขะมักเขม้นกับการปูที่นอนก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางคิด ‘นางแย้งทุกข้อที่ข้าตั้งกฎมิใช่เพื่อดื้อดึงไม่ทำตาม แต่เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันก็มิควรตั้งกฎให้อึดอัดใจนั่นเองที่นางต้องการ’

“ท่านมานอนได้แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะพัดให้จนท่านหลับเลย” มู่สาวเย่าร้องเรียกอดีตนักฆ่าหนุ่ม

“เจ้าเต็มใจเองนะ” อวิ๋นไคถาม

“เจ้าค่ะ” มู่สาวเย่าพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ แล้วอดีตนักฆ่าหนุ่มรูปงามก็นอนลงบนเตียงนุ่มและหลับตาลงโดยมีเด็กสาวน่ารักใช้พัดคอยไล่ยุงหรือแมลงไปเรื่อยๆ เวลาล่วงเลยไปครึ่งชั่วยามอวิ๋นไคก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาลุกขึ้นนั่งมองเด็กสาวที่ฟุบหลับข้างเตียง มือน้อยๆ ยังถือพัดกระดาษไว้มิได้วาง

“ภายนอกดูใสซื่อน่ารัก แต่ภายในใครเล่าจะรู้ว่าเป็นเช่นไร” สีหน้าและถ้อยคำที่เอ่ยออกมาของอวิ๋นไคล้วนแสดงความเยาะหยันอย่างชัดเจน ในขณะที่สาวน้อยน่ารักมิได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย

 

หากเป็นฤดูหนาวชาวฮั่นจะไม่นิยมอาบน้ำในช่วงเช้า แต่ถ้าเป็นฤดูร้อน แม้อากาศจะไม่ร้อนจัดเหมือนเช่นดินแดนทางตอนใต้ แต่ผู้คนก็มักจะอาบน้ำในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนขึ้นมา มู่สาวเย่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ต้องอาบน้ำชำระร่างกาย ทว่าโรงเตี๊ยมที่นางกับจอมยุทธ์หนุ่มรูปงามพักค้างคืนเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่ไม่มีบริการถังอาบน้ำในห้องหรือมีสถานที่อาบน้ำส่วนตัวให้แก่แขกที่มาพัก

“คุณหนูต้องไปอาบน้ำในลำธารบนภูเขาด้านหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตอบมู่สาวเย่า เมื่อนางลงมาจากห้องนอนเพื่อถามเขา

“อาบน้ำในที่โล่งแจ้งน่ะหรือเถ้าแก่”

“ใครๆ ก็อาบกันแบบนั้นทั้งนั้นแหละขอรับ หรือคุณหนูยังมิเคยลองขอรับ” ชายวัยกลางคนผู้เป็นเถ้าแก่ทำหน้าอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง จนมู่สาวเย่าต้องแสร้งทำเป็นไขสือ

“ใครว่าล่ะ ข้าท่องยุทธภพไปทั่ว ย่อมต้องมีประสบการณ์อาบน้ำในที่โล่งแจ้งอยู่แล้ว เพียงแต่ทุกครั้งข้าก็ยังไม่คุ้นชินสักที เลยถามย้ำกับท่านให้แน่ใจเท่านั้น”

เถ้าแก่พยักหน้าหงึกๆ พลางอมยิ้มแล้วเอ่ย “ตอนเช้าๆ เช่นนี้ยังไม่ค่อยมีคนขึ้นไปอาบน้ำเท่าไร หากสายแล้วคนจะเยอะเต็มลำธารทีเดียว”

ไม่ต้องรอให้ถึงตอนสายๆ อย่างที่เถ้าแก่เอ่ยมา มู่สาวเย่าก็รีบชวนอวิ๋นไคไปยังลำธารบนภูเขาด้านหลังโรงเตี๊ยมทันที เมื่อมาถึงจุดหมายแล้วเด็กสาวก็ต้องตื่นตะลึงในความใสแจ๋วของน้ำในลำธารที่มองเห็นโขดหินเบื้องล่าง มีแอ่งคล้ายภาชนะขนาดใหญ่รองรับน้ำไว้เบื้องล่างลำธาร น้ำไหลรินจนล้นแอ่ง แล้วไหลลงสู่ที่ต่ำดูคล้ายน้ำตก

“เจ้าจะลากข้ามาดูเจ้าอาบน้ำทำไม ข้าไม่อยากเป็นตากุ้งยิงหรอกนะ” อวิ๋นไคว่า

“ข้าให้ท่านมาเฝ้ายามต่างหาก... เอ้านี่” มู่สาวเย่ายื่นแถบผ้าสีดำส่งให้อวิ๋นไค อีกฝ่ายทำหน้างุนงงจนเด็กสาวต้องอธิบาย “ท่านใช้ผ้าผืนนี้ปิดตาไว้ ด้วยวรยุทธ์ของท่านสามารถฟังเสียงฝีเท้าคนได้สบายอยู่แล้ว หากท่านได้ยินเสียงใครเดินเข้ามาก็ให้ตะโกนบอกข้า ข้าจะได้รีบขึ้นจากลำธาร”

“ข้าไม่ทำตามที่สั่งคงไม่ได้สินะ” อวิ๋นไคถามเสียงเข้ม

“ถือว่าข้าขอร้องก็ได้นะเจ้าคะ” มู่สาวเย่ากะพริบตาปริบๆ ทำหน้าอ้อนอย่างน่ารัก แต่แทนที่อวิ๋นไคจะยิ้มตอบ เขากลับตีหน้าขรึมและกระชากผ้าสีดำในมือมู่สาวเย่าไปปิดตา เด็กสาวเองก็เพิ่งรู้ว่าการทำท่าอ้อนนั้นเขาไม่ชอบเลยสักนิด

มู่สาวเย่าถอดอาภรณ์ทั้งตัวจนเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงซึ่งเป็นชุดชั้นในก่อนลงไปเล่นน้ำในลำธาร ความเย็นสบายทำให้เด็กสาวเพลิดเพลินไม่น้อย และในตอนนั้นเองก็เป็นจังหวะที่ยายเฒ่าร่างเด็กซึ่งติดตามดูมู่สาวเย่าอยู่ห่างๆ มาสองวันเต็มๆ ได้มีโอกาสลงมือฆ่าสังหารเด็กสาวเสียที

ยายเฒ่ากระโดดลงมาจากยอดไม้ข้างลำธาร แล้วล้วงเอามีดสั้นซึ่งเป็นอาวุธลับประจำตัวออกมา ขณะกำลังจะปาอาวุธใส่ร่างบางในน้ำเบื้องล่าง พริบตานั้นได้มีเจ้าอินทรีขนาดมหึมาพุ่งเข้ามาชนอย่างแรง จนยายเฒ่ากระเด็นไปกระแทกต้นไม้

“มีคนลอบสังหาร” เสียงพญาอินทรีดังกึกก้องทั่วบริเวณ ทำให้มู่สาวเย่าตกใจรีบว่ายน้ำไปคว้าต้นอ้อริมลำธารมาต้นหนึ่งและเด็ดเอาดอกออกเหลือเพียงก้านกลวงๆ แล้วจึงดำน้ำลงไปหลบใต้โขดหินโดยใช้ต้นอ้อเป็นท่อสำหรับหายใจ เด็กสาวมั่นใจว่าอวิ๋นไคจะต้องต่อสู้กับผู้ที่มาลอบสังหารนาง ซึ่งนางจะรอให้อวิ๋นไคจัดการกับคนผู้นั้นให้จบก่อนจึงจะขึ้นจากน้ำได้

เป็นไปตามที่มู่สาวเย่าคาด อวิ๋นไคซึ่งนั่งอยู่ริมตลิ่งดึงผ้าผูกตาออก และกระโจนไปต่อสู้กับยายเฒ่าร่างเด็ก ด้วยฝีมือของอวิ๋นไคที่เหนือกว่าหลายขุมจึงจู่โจมยายเฒ่าในร่างเด็กเจ็ดขวบด้วยกระบี่เพียงไม่กี่กระบวนท่า ยายเฒ่าก็โดนกระบี่เฉือนเนื้อไปหลายแผล จนในที่สุดนางสู้ไม่ไหวต้องใช้วิชาตัวเบาขั้นสุดยอดหายลับไปในเมฆา อวิ๋นไคกระโดดลงมาสู่พื้นดิน ตามมาด้วยพญาอินทรีผู้เป็นสหาย

“มู่สาวเย่าไปไหนแล้ว” พญาอินทรีถามสหายสนิท

อวิ๋นไคดูไปทั่วลำธารก็เห็นปลายต้นอ้อที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา เขาก้มลงหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วเขวี้ยงไปตัดยอดต้นอ้อจนหัก ทำให้น้ำไหลเข้าไปในลำปล้อง

มู่สาวเย่าถึงกับสำลักน้ำจนต้องรีบถีบตัวโผล่พ้นน้ำขึ้นมา “แค็กๆๆ”

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” คำถามของพญาอินทรีทำให้มู่สาวเย่าตกใจ เพราะนางเพิ่งรู้ว่านกตัวใหญ่นี้พูดภาษามนุษย์ได้ แต่ที่ต้องตกใจมากกว่านั้นคือ ตอนนี้นางกำลังเปลือยอยู่ในน้ำ

“พวกท่านหลับตาเดี๋ยวนี้” มู่สาวเย่าร้องลั่นทีเดียว มีผลให้อดีตนักฆ่าหนุ่มกับพญาอินทรีต้องหันหลังให้นางพร้อมกับหลับตาลง

“ไม่เห็นมีอะไรให้มองเลย” อวิ๋นไคเอ่ยเสียงเรียบ

“ในความไม่มีมันก็ยังมีแหละ” มู่สาวเย่าเถียงกลับ พลางเดินขึ้นจากน้ำมาสวมอาภรณ์โดยไม่ลืมเปลี่ยนเอี๊ยมสีแดงที่เป็นชุดชั้นในเป็นตัวใหม่ แล้วจู่ๆ ก็ไม่มีใครคาดคิด เมื่อมีมือขนาดใหญ่หลายสิบเท่าของมือคนธรรมดามาโอบร่างบอบบางของมู่สาวเย่า

“กรี๊ด...!” เสียงมู่สาวเย่าตกใจที่ตัวเองถูกลักพาตัวด้วยวิธีแปลกประหลาด

อวิ๋นไคกับพญาอินทรีหันมาดูมู่สาวเย่าพร้อมกัน สิ่งที่พวกเขาเห็นคือมือโปร่งแสงที่โอบอุ้มตัวมู่สาวเย่าหายเข้าไปในท้องฟ้า

“พลังแบบนี้...” พญาอินทรีมิกล้าเอ่ยชื่อของคนที่ตัวเองคิด

“จอมมารซ่งเว่ยเชียนซี” อวิ๋นไคต่อให้โดยมิกลัวเกรง เขาเดินมาหยิบเอี๊ยมสีแดงที่เปียกน้ำบนพื้นดิน พลางเอ่ย “จอมมารจับตัวมู่สาวเย่า แสดงว่านางต้องเห็นโฉมหน้าของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีและรอยสักเปลวอัคคีสีนิลบนหน้าผากของเขาแน่”

“จอมมารจะต้องสังหารมู่สาวเย่าเป็นแน่ เจ้าจะไปช่วยนางหรือไม่” พญาอินทรีถามคล้ายไม่แน่ใจในการตัดสินใจของสหาย อวิ๋นไคมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ บนสีหน้า เพียงแต่ตอบเสียงนิ่งๆ

“ชีวิตนางเป็นของข้า คนที่จะฆ่านางได้มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น”


[1] เฉิงเซี่ยง (丞相) แปลว่า มหาเสนาบดี หรือ อัครเสนาบดี เป็นตำแหน่งขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ทว่าในนิยายเรื่องนี้ได้เอ่ยถึงฮ่องเต้กวงอู่ตี้ซึ่งเป็นฮ่องเต้สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เนื่องจากตำแหน่งอัครเสนาบดีในสมัยฮั่นตะวันออกเรียกว่า ซือถู (司徒) หรือเจ้ากรมการศึกษา ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ มิได้มีอำนาจใดๆ นักเขียนจึงมิได้นำมาใช้มาอ้างอิง และใช้คำว่า ‘เฉิงเซี่ยง’ ในสมัยฮั่นตะวันตกมาใช้แทน

[2] แผลแห่งความไม่แน่ใจ (Hesitation Mark) คือรอยแผลข้างๆ บาดแผลที่ทำให้ตาย อันเกิดจากการที่ผู้ตายมีความลังเลไม่มั่นใจว่าจะเจ็บไหม หรือทำอย่างไรให้ตายได้ จึงแทงไม่ลึกหรือเป็นรอยแผลเล็กน้อยไม่ถึงตาย ดังนั้นถ้าเป็นการฆาตกรรมจะไม่พบแผลแห่งความไม่แน่ใจนี้

[3] ‘เด็กเมื่อวานซืน’ เป็นคำกล่าวเชิงดูหมิ่นหรือเชิงสั่งสอนว่า ‘มีความรู้หรือมีประสบการณ์น้อย’ ตรงกับสำนวนจีนว่า 吴下阿蒙 (อู๋ เซี่ย อา เหมิง) มีความหมายเดียวกับ ‘ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ หรือ ‘อ่อนหัด’ (乳臭未干, 口尚乳臭. 菜鸟)



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น