ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

เพื่อนเก่า

“ว่าไงสายป่าน” ฉันรับสายด้วยความเร่งรีบ

“เมื่อคืนหายไปไหนยะ ฉันโทร. หาเป็นสิบสายก็ไม่รับ” เพื่อนสาวบ่นชุดใหญ่จนฉันต้องขอร้องให้หยุดพูดก่อน

“พอดีฉันเมาก็เลยกลับก่อน ถึงห้องก็สลบไปเลย”

“แน่นะ ทำไมมีคนเห็นว่าหล่อนขึ้นรถไปกับผู้ชาย” เสียงปลายสายฟังดูไม่เชื่อเท่าไหร่

ฉันเริ่มร้อนและมีเหงื่อตก “ผะ...ผู้ชายที่ไหน น่าจะเป็นยามที่มาเรียกแท็กซี่ให้มากกว่า” 

นาทีนี้แล้วก็ต้องเอาตัวให้รอดไว้ก่อน

“แกนะแก เลยปล่อยให้ยายมิเชลงาบคุณฐากูรไปเสียได้ เห็นข่าวแล้วใช่ปะ”

“อือ” ฉันตอบ แต่สายป่านคงไม่เห็นสีหน้าของฉันตอนนี้ว่ากำลังเหวอรับประทาน

“เมื่อคืนพวกเราสนุกกันมาก แก๊งคนหล่อที่นั่งแถวเคาน์เตอร์มาชนแก้วด้วย มีทั้งคุณนพคุณ คุณปราน แต่ละคนหล่อและสุภาพมากๆ ยังแอบเสียดายที่เพื่อนเขาอีกคนหายไปไหนไม่รู้ ข่าวว่าหล่อกว่าคุณฐากูรอีก”

“หมายถึงเพื่อนคุณนพคุณน่ะเหรอ”

“ใช่ เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำธุรกิจด้วยกัน เป็นลูกชายคนดังทางอีสาน เจ้าของฟาร์มผ้าไหม ชื่อนิลๆ อะไรสักอย่างเนี่ยแหละ”

“อย่าบอกว่าคนที่ตัวสูงๆ ผมสั้นๆ!” ฉันโพล่งถามเสียงดัง

“ฉันก็ไม่ทันเห็น ทำไมเหรอ...เอ๊ะ หรือว่าแกหายไปกับเขา”

“บ้า ฉันคือพราวตะวันนะยะ จะออกไปกับหนุ่มบ้านทุ่งได้ยังไง” ฉันปาดเหงื่อ

“ค่า แม่คนช่างเลือก คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่เอา เชิญโพสท่าอยู่บนคานทองไปเลยย่ะ”

“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า” ฉันถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด “ว่าแต่ แกต้องหาทางช่วยฉันให้เจอกับคุณฐากูรอีกครั้งนะ”

“อ้าว ยังจะสนใจเขาอยู่เหรอ”

“สนสิ ฉันต้องเอาชนะยายมิเชลให้ได้ คอยดู” ถ้านี่เป็นฉากในละครสายป่านก็คงจะเห็นฉันเชิดหน้าแววตาวาวโรจน์

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตลอดทั้งวันฉันกลายเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บางครั้งก็เป็นสุขที่ได้นึกถึงบทรักกับชายแปลกหน้า บางครั้งก็หัวเสียที่เขาเป็นแค่หนุ่มต่างจังหวัด ไม่มีอะไรคู่ควรกับผู้หญิงสมัยใหม่เช่นฉัน

ไม่สิ...ฉันต้องไม่มีความคิดเหยียดใคร สายป่านก็บอกอยู่แล้วว่าเขาก็เป็นคนมีฐานะดี จะคิดมากให้เปลืองหัวทำไม ความสัมพันธ์แบบชั่วคราวฉันจะใส่ใจอะไรนักหนา พอตั้งสติได้ก็สั่งงานเลขาฯ หน้าห้องให้ประกาศรับสมัครผู้จัดการแทนชินทัศ เรียกประชุมทีมงานที่เกี่ยวข้องในการออกแบบเสื้อผ้าคอลเล็กชันใหม่ รวมถึงความคืบหน้าของงานแฟชั่นสปริงซัมเมอร์ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือน

เสร็จทุกอย่างก็นัดสายป่านไปกินข้าวเย็นที่ร้านโปรด พวกเรานั่งดื่มแฮงเอาต์ที่ผับเดิม ซึ่งหัวข้อในการเมาท์มอยดันเป็นเรื่องผีที่แอ๊ดดี้เพิ่งไปเจอมา

เธอเล่าว่าเมื่อคืนก่อนไปร่วมงานศพเอกชัย เด็กหนุ่มที่เลี้ยงดูปูเสื่อกันมา ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ชนเสาไฟฟ้า แอ๊ดดี้อยู่ฟังพระสวดจนเสร็จ อยู่กินข้าวต้มที่เจ้าภาพเลี้ยงหลังเลิกงาน ตอนขับรถกลับก็เจอดี!

“ฉันรู้สึกเหมือนว่ามีคนตามอยู่ตลอดเวลาว่ะแก” เพื่อนเกย์เล่าสีหน้าตระหนก ทำเอาวงสนทนาเงียบกริบ “เหมือนว่าหางตาจะเห็นอะไรแวบๆ อยู่ตลอดเวลา เป็นสีสว่าง บางทีก็เป็นสีขาว”

“แกตาฝาดหรือเปล่า” สายป่านทักท้วง แต่คนเล่ากลับส่ายหัว

“ไม่แน่นอน เพราะตั้งแต่ออกจากวัดจนถึงถนนใหญ่ระยะทางเกือบสิบกิโลเมตร ฉันรู้สึกว่าสีขาวๆ นั้นตามฉันอยู่ตลอด”

“อย่าบอกนะว่าเป็นวิญญาณน้องเอก...” สายป่านลูบขนแขนที่ลุกเกรียว

แอ๊ดดี้หน้าเสีย “ฉันพยายามดูกระจกมองหลังอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอะไร ไอ้สีขาวๆ ก็ไม่หายซะที ในที่สุดก็ลองตัดสินใจโทร. ถามพ่อแม่ของเอกว่าตอนที่เอกเสียเขาใส่เสื้อสีอะไร”

“สีขาวใช่ไหม” ฉันเดาอย่างตื่นเต้น

แอ๊ดดี้พยักหน้า ทุกคนวี้ดว้ายตกใจ

“น้องเอกอาจจะยังห่วงหลายๆ เรื่องเลยอยากให้แกช่วย” สายป่านวิเคราะห์ต่อ

“ฉันก็คิดอย่างนั้น จึงยกมือไหว้บอกกล่าวกับวิญญาณของน้องเอกว่า อย่ามาหลอกกันเลย แล้วพี่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ยังแอบคิดไปไกลว่าหรือเป็นเพราะเอกอาจจะหวงกูมากเลยตามมาดูแล” แอ๊ดดี้ก้มหน้าเศร้า

“แต่ได้ข่าวว่าเขาตายเพราะรีบไปรับเมียที่ทำงานเป็นพริตตี้ไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง ตอนที่ยังอยู่ก็ไม่เคยมาหาแกสักครั้ง นอกจากว่าเงินหมด” สายป่านแบะปาก “บิ๊กไบค์ที่ขับไปชนแกก็เป็นคนดาวน์ให้นี่”

“โอ๊ย! อีนี่ จะพูดขัดทำไม คนเราพอตายแล้วก็อาจจะรู้ว่าใครรักจริง” แอ๊ดดี้ค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนจะเล่าต่อ “ฉันบอกแล้วแต่มันก็ไม่หาย ฉันก็ยังเห็นแสงสีขาวนั้นตามมาอยู่เนืองๆ จนรู้สึกว่าบางที...มันอาจอยู่ที่เบาะหลัง”

“ว้าย” ฉันเผลอร้องออกมา

“ฉันกลัวมาก ถึงบ้านปุ๊บก็รีบวิ่งลงจากรถ ปิดประตูและเปิดไฟทั่วบ้าน สิ่งนั้นมันก็ยังตามมาอีก ฉันเหลียวมองรอบๆ ห้องก็ไม่พบอะไร จนเมื่อเดินเข้ามาที่โต๊ะเครื่องแป้ง เงาสะท้อนของกระจกก็ทำให้ฉันเห็น...”

ทุกคนอ้าปากค้างด้วยใจระทึก...

“เขาอยู่ในกระจกใช่ไหม” สายป่านเดา

แอ๊ดดี้หน้าซีด สบตากับทุกคนก่อนจะชี้ที่หางตาข้างซ้ายของตัวเอง “ที่หางตาของฉัน มีเศษข้าวต้มติดอยู่”

ทุกคนเงียบไปเป็นเวลาสิบวินาที

ฉันได้สติก่อนใครรีบถาม “ดะ...เดี๋ยวนะ ที่เห็นว่าเป็นขาวๆ นั่นก็คือ...” 

“ใช่ ข้าวต้ม ตอนอยู่งานศพฉันคงเผลอกินเยอะไปหน่อย มันเลยกระเด็นติดหางตาจนเห็นว่าเป็นอะไรแวบๆ” แอ๊ดดี้ยิ้มเจื่อน สายป่านเหมือนทนไม่ไหวรีบเอื้อมมือไปตบที่หัวแอ๊ดดี้หนึ่งที

“อีบ้า กูก็ตกใจหมด”

ฉันหัวเราะคิกคัก แม้จะกลายเป็นเรื่องขำขัน แต่ตอนต้นเรื่องก็ชวนขนลุกไม่น้อย

เวลาเกือบห้าทุ่มฉันก็ขอตัวกลับ ระหว่างทางก็ยังเผลอนึกว่าหากเจอผีจริงๆ จะสติแตกหรือเปล่า เมื่อขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของคอนโดฉันก็ดันเห็นเงาใครคนหนึ่งหลบมุมอยู่ในเงามืด

เอาแล้วไง...คงจะฟังเรื่องผีแล้วเก็บเอามาหลอน ฉันดึงสติ แต่ก็ยังไม่วายส่องกระจกดูว่ามีอะไรติดอยู่ที่หางตาหรือเปล่า เมื่อทุกอย่างปกติก็รีบลงจากรถ เดินไปที่ลิฟต์ หูก็ดันแว่วได้ยินเสียงร้องไห้…

“ฮือๆ”

ขนเจ้ากรรมลุกทั้งตัว เรื่องเล่าเมื่อครู่มันอาจจะขำๆ แต่ฉันกำลังเจอของจริง เสียงมาจากข้างหลังฉันจึงค่อยๆ หันไปมองต้นเสียงด้วยตัวที่สั่นเทา 

ในมุมมืดยังมีเสียงสะอื้น สายป่านบอกว่าผีมาปรากฏตัวให้เราเห็นเพราะพวกเขาอยากมาขอส่วนบุญ

จะเอาอะไรล่ะ สเต็ก แซมอน ไข่ปลาคาเวียร์ หรือจะเป็นเสื้อผ้าคอลเล็กชันล่าสุดก็จะทำบุญไปให้ ฉันนึกในใจ จนในที่สุดร่างของผู้หญิงชุดขาวก็โผล่ออกมาจากเงามืด 

“โอ มาย ก๊อด!” ฉันสะดุ้งตัวโยน

ผี! 

แต่ดูจากหุ่นของสัมภเวสีตัวนี้คงไม่ใช่ผีที่อดอยาก เพราะส่วนสูงประมาณร้อยหกสิบ รูปร่างตุ้ยนุ้ย กะด้วยสายตาน้ำหนักน่าจะถึงแปดสิบแน่ๆ หุ่นแบบนี้หาไซซ์ใส่ยากด้วยสิ จะหาที่ไหนทำบุญไปให้

แต่ก็ไม่แน่ นางอาจจะขอให้ฉันช่วยเรื่องอื่น อย่างเช่นทำบุญเครื่องออกกำลังกาย หรือไม่ก็คอร์สลดน้ำหนักแบบด่วนๆ เพราะยมทูตจำหุ่นเดิมไม่ได้เลยไม่ได้ไปผุดไปเกิด และพอร่างนั้นเดินออกมาเจอไฟสว่าง ฉันจึงค่อยโล่งใจที่พบว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ผี แต่เป็นคนจริงๆ

ผู้หญิงคนนั้นมีสีหน้าเศร้าและมองฉันอยู่ตลอดเวลา

“ขอทานหรือเปล่า เข้ามาได้ไง ฉันจะเรียกยามนะ” ตั้งใจขู่ แม้ว่าเมื่อครู่จะแอบเห็นว่า รปภ. นั่งหลับอยู่ในป้อม คอนโดนี่ราคาเกือบสิบล้าน แต่ระบบรักษาความปลอดภัยไม่ได้เรื่อง ถ้าฉันบ่นลงเฟซบุ๊กคงได้เป็นเรื่องใหญ่แน่ 

“พราว เธอจำฉันไม่ได้เหรอ” คนตรงเสาถามเสียงสั่น

ฉันพยายามเพ่งมองใบหน้ากลมๆ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ เอ...หรือจะเป็นแฟนคลับหว่า

สาวอ้วนยิ้มทั้งน้ำตา

“ฉันอิงฟ้าไง”

บนโต๊ะกินข้าว แม้จะร้องไห้ไม่หยุดแต่เพื่อนเก่าก็ยังซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ฉันต้มให้จนหมดเกลี้ยง แถมยังบอกว่าปกติเธอมักจะต้มทีละสองซอง ใส่ลูกชิ้นลงไปสิบลูกถึงจะอิ่ม ฉันจึงบอกแค่ว่าถ้าอยากกินอะไรที่อยู่ในครัวก็หยิบกินได้ตามสบาย

อิงฟ้าส่ายหน้าและบอกว่าเธอคงกินอะไรไม่ลงแล้ว ก่อนจะเบ้หน้าน้ำตาพรั่งพรูเป็นเขื่อนแตกอีกรอบ

“ใจเย็นๆ ยายฟ้า มันเกิดอะไรขึ้น” ฉันถามพร้อมกับยื่นกระดาษทิชชูให้

เพื่อนเก่ารับมันไปเช็ดและสั่งน้ำมูกเสียงดัง ก่อนจะเอ่ยเสียงขึ้นจมูกว่าเพิ่งโดนสามีที่อยู่กินกันมาเกือบสิบปีบอกเลิก

“เดี๋ยวนะ สามีของแก ใช่พี่ปฐพีที่เป็นแฟนแกตอนปีหนึ่งใช่ไหม”

หลังจากจบมัธยมปลายแก๊งนารีงูพิษแยกย้ายกันไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยคนละที่ แต่ก็มักนัดพบกันเป็นประจำและไม่เคยลืมสโลแกนประจำกลุ่มที่จะโสดแบบเชิดๆ และไม่สนใจผู้ชายคนใดที่เข้ามาจีบ

แต่เพราะพี่ปฐพีนี่แหละทำให้อิงฟ้าหวั่นไหว ยอมตกลงคบกันเป็นแฟน

ต้องยอมรับว่าตอนนั้นฉันโกรธมาก…คัดค้านหัวชนฝา ไม่ยอมให้เพื่อนคนสวยไปมีแฟน แต่อิงฟ้าก็ไม่ยอม ยืนยันว่ารุ่นพี่คนนี้ช่วยเติมเต็มให้ชีวิตเธอให้มีความสุข ส่วนคำสัญญาในกลุ่มที่เคยตั้งมั่นอิงฟ้าก็บอกว่ามันเป็นแค่คำพูดที่ไร้สาระของเด็กสาวขี้แพ้

ฉันโมโห ไม่นึกว่าอิงฟ้าเพื่อนสาวตัวเล็กหน้าตาใสซื่อจะทำร้ายจิตใจฉันได้เพียงนั้น จำได้ว่าฉันยกมือชี้หน้าด่ากลับว่า อิงฟ้าบ้าผู้ชาย ทำเอาทั้งปลาดาวและเจ้าจันทร์ต้องรีบเข้ามาห้าม

‘แกจะบังคับให้พวกเราโสดไปตลอดไม่ได้นะ’

ฉันกำมือแน่น ดวงตาสั่นระริก ‘แล้วแกจำไม่ได้หรือไง ว่าไอ้พวกผู้ชาย มันทำอะไรกับเราไว้’ 

ฉันย้ำให้อิงฟ้านึกถึงวีรกรรมที่ถูกพี่มาร์คและเพื่อนฉีกหน้าในงานโรงเรียน

‘จำได้สิ แต่ครั้งนั้นมีแกคนเดียวนะที่ดันไปบอกรักผู้ชายก่อน’

เจอสวนแบบนี้ฉันรู้สึกเหมือนถูกลากไปตบบนเวทีงานคริสมาสต์อีกซ้ำๆ 

‘พอเถอะพราว เลิกยุ่งกับชีวิตของพวกเราซะที’ อิงฟ้าถอนหายใจ

‘แกพูดว่าพวกเรางั้นเหรอ มีแต่แกคนเดียวแหละมั้งที่คิดจะมีแฟน’ ฉันขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าปลาดาว และเจ้าจันทร์ แต่สองคนนั้นกลับหลบหน้า

อิงฟ้าจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ

‘พราว แกจะเป็นสาวโสด สาวมั่น มันก็เรื่องของแก แต่อย่าเหมารวมว่าทุกคนจะต้องเป็นเหมือนแกด้วย พวกเราอยากมีแฟนว่ะ’

ปลาดาวและเจ้าจันทร์พยักหน้าพร้อมกัน

เส้นเลือดที่ขมับของฉันกระตุกถี่ เสียใจ แต่ก็ไม่ยอมออกอาการให้พวกนั้นเห็น ได้แต่พยักหน้าประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคน ‘ได้ ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปก็ไม่ต้องมงต้องมีแล้วแก๊งนารีงูพิษ พวกแกสามคนก็ไปตั้งแก๊งใหม่กันเองเหอะ!’

แม้ปลาดาวและเจ้าจันทร์จะตะโกนตามหลัง แต่ฉันก็ไม่หันหลังกลับ

หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนทั้งสามอีก และเป็นช่วงประจวบเหมาะที่ฉันตัดสินใจไปเรียนต่อที่อังกฤษเพื่อนทั้งสามจึงหายไปจากวงจรชีวิต

“ก็ตั้งแต่เข้ามหา’ลัย ฉันกับพี่ปฐพีก็คบกันมาตลอด” อิงฟ้าทำหน้าเศร้าและจับมือฉัน ท่าทางเหมือนคนรู้สึกผิด

“ฉันขอโทษนะพราว ถ้ารู้ว่ามันจะจบแบบนี้ฉันยอมเป็นโสดเหมือนแกดีกว่า”

“ก็ตอนนั้นแกบอกเองนี่ ว่ายังไงก็จะขอเลือกพี่ปฐพี” ฉันสบตาอิงฟ้าที่ยังร้องไห้ไม่หยุด แม้ในใจจะแอบแบะปากและสมน้ำหน้าอยู่หน่อยๆ

“ฉันมันโง่เอง แก๊งนารีงูพิษของเราต้องล่มเพราะฉันแท้ๆ” อิงฟ้าเงยหน้ามองเพดาน คงหวังให้น้ำตาหยุดไหล 

“ตอนคบกันใหม่ๆ ทุกอย่างมันก็ดีหมด พี่ปฐพีเรียนจบก็ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ แม้จะมีผู้หญิงมาวุ่นวาย แต่เขาก็ยังซื่อสัตย์ พอฉันเรียนจบเราก็แต่งงานกัน พี่ปฐพีให้ฉันเป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียว ฉันทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่เกือบสิบปี...อยู่ๆ เขาก็มาบอกเลิก ฮือๆ” 

อิงฟ้าเป่าปี่อีกครั้ง ฉันยกมือลูบที่ไหล่เพื่อนเพื่อเป็นการปลอบใจ

“ถ้าตอนนั้นฉันเชื่อแก ก็คงไม่เจ็บปวดอย่างนี้”

“ไม่หรอก อะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วมันย่อมดีเสมอ” ฉันเอ่ยคำคม คุ้นๆ ว่าเคยเห็นติดอยู่ที่วัดตอนถูกแม่บังคับให้ไปทำบุญด้วย

“แกก็น่าจะรู้ พอฉันเลือกเขาทุกอย่างรอบตัวมันก็หายไป แกคิดดูสิ เพื่อนร่วมงานสักคนฉันก็ไม่มี พอโดนเท คนแรกที่ฉันนึกถึงก็คือแก เพราะแกเคยเตือนฉัน แต่ฉันก็ไม่ฟัง”

“ฉันเป็นเพื่อนแกเสมอ” ฉันบอกด้วยโทนเสียงอบอุ่นราวกับพี่อ้อยพี่ฉอดตอนให้คำปรึกษาเรื่องความรัก

อิงฟ้ามองฉันด้วยแววตาเหมือนชื่นชม 

“แล้วดูแกตอนนี้สิ พราวตะวัน ดีไซเนอร์สาวสวยสุดฮอต มีชีวิตที่แสนเพอร์เฟกต์ ได้ทำอะไรตามใจทุกอย่าง ส่วนฉันนะเหรอ” อิงฟ้าผายมือให้ดูตัวเอง “ผู้หญิงที่ทุ่มเท จมปลักอยู่กับความรัก จนตอนนี้ทุกอย่างมันพังทลายจนไม่เหลืออะไร แม้กระทั่งหุ่นของตัวเอง”

“ที่แกพูดมามันก็จริงนะ” ฉันพยักหน้าและมองสำรวจเพื่อนเก่าที่รูปร่างเปลี่ยนไปอยู่มากโข จากสาวตัวเล็กเอวบาง กลายเป็นสาวเจ้าเนื้อแต่งตัวเชย

“เมื่อก่อนแกเป็นผู้หญิงตัวเล็กน่ารักเหมือนลูกแมว แต่ตอนนี้หุ่นแกเหมือนหมูแม่พันธุ์ที่ตกลูกมาแล้วหกครอก...”

อิงฟ้าอ้าปากค้าง ไม่นานก็ร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม

“ฮือๆ”

ตายแล้ว...ฉันเผลอเอานิสัยปากเสียในที่ทำงานเวลาวิจารณ์งานลูกน้องมาใช้กับเพื่อน

“เอ่อ ฉันขอโทษ ฉันหมายถึงหมูแม่พันธุ์ตัวเล็กๆ น่ารักๆ น่ะ ไม่ได้อ้วนมากมาย อาจจะเพิ่งเกิดลูกประมาณหนึ่งหรือสองคลอกเท่านั้น ไม่ถึงหกหรอก” 

ยิ่งปลอบคนอกหักก็ยิ่งร้องไห้ ฉันส่งกระดาษทิชชูให้ไม่ไหวเลยยื่นกล่องไปวางใกล้ๆ บรรยากาศแบบนี้ถ้าอยู่ในที่ทำงานฉันคงได้กระซิบบอกเลขาฯ ว่าให้ใช้รหัส ‘ปูปลาร้ารสแซ่บ’ อันหมายถึงเหตุการณ์ที่เจ้าแม่แฟชั่นอย่างฉันควบคุมไม่ได้ ต้องขอกำลังช่วยเหลือ

“เอางี้ คืนนี้เธอค้างที่นี่แหละ และร้องไห้เต็มที่ไปเลย แล้วพรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปใช้ชีวิตแบบคนโสด รับรองว่างานนี้ต้องเริ่ดแน่”

เสียงร้องไห้ของเพื่อนเก่าจึงเริ่มเบาลงและยิ้มออกมาได้

นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีเพื่อนผู้หญิงมานอนค้างคืนด้วย อย่างว่าแหละคนโสดวัยสามสิบ เพื่อนส่วนใหญ่ก็เป็นเก้งกวาง ถ้าเป็นเพื่อนผู้หญิงก็แต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว

อิงฟ้าอาบน้ำและใส่เสื้อผ้าที่เอาติดกระเป๋ามาด้วยจำนวนหนึ่ง พอโดนสามีบอกเลิกเธอก็เก็บข้าวของออกจากบ้าน ตอนแรกกะจะไปนอนบ้านแม่ แต่ก็กลัวแม่จะเสียใจเลยเดินไปเรื่อยเปื่อยจนนึกถึงฉันขึ้นมา 

“ให้ฉันนอนข้างล่างก็ได้นะ” อิงฟ้าว่า คงจะเกรงใจที่ต้องนอนเตียงเดียวกับฉัน

“ไม่เป็นไรหรอก นอนด้วยกันเนี่ยแหละ” เตียงฉันกว้าง สั่งทำเป็นพิเศษเผื่อไว้สำหรับกิจกรรม เพราะเป็นคนชอบใช้พื้นที่เยอะ

อิงฟ้าขึ้นมานอนบนเตียง พลิกตัวนอนตะแคงแล้วจ้องหน้าฉันจนต้องหันไปถาม

“มีอะไรหรือเปล่า”

คนถูกถามตาแดงเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก “เป็นคนโสดนี่มันดีจริงๆ เหรอแก”

ฉันทำหน้านึก “ก็...ดีนะ อยากทำอะไรก็ได้ทำ ไม่ต้องเอาตัวและหัวใจไปฝากไว้กับใคร”

สาวร่างท้วมพยักหน้าก่อนจะพลิกตัวกลับไปนอนหงาย “นึกถึงวันเก่าๆ ตอนที่เราเรียนด้วยกันเนาะ ถ้ารู้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเหนื่อยขนาดนี้ฉันขอเป็นเด็กไปตลอดดีกว่า”

“มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก” ฉันยิ้ม “แล้วคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง” 

ฉันหมายถึงปลาดาวและเจ้าจันทร์

“ก็สบายดี นานๆ ถึงจะโทรศัพท์มาทักทายกันที เจ้าจันทร์แต่งงานกับลูกนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนปลาดาวก็เป็นเจ้าของโรงงานปลากระป๋องแทนพ่อ เห็นว่าคบกับแฟนอยู่ ก็เลยไม่กล้ากวนสองคนนี้ด้วย”

“ทุกคนมีแฟนกันหมด ก็มีแต่ฉันคนเดียวจริงๆ ที่ยังโสด” ถึงปากจะบอกว่าโสด แต่ฉันก็ไม่เคยเหี่ยวเฉา เวลาไปเที่ยวหรือปิ๊งใครฉันก็มักสานสัมพันธ์ต่อแบบชั่วคราว ไม่ผูกมัด ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก

“แกนี่สุดยอดจริงๆ ที่ยังโสดเหมือนที่เคยบอกไว้” 

ได้ยินเพื่อนพูดเช่นนี้ฉันก็นึกอะไรออก จึงลงจากเตียงเพื่อไปหยิบบางอย่างออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน แล้วเอามาอวด

“ที่โสดอาจจะเป็นเพราะสิ่งนี้ก็ได้”

อิงฟ้ามีสีหน้าประหลาดใจตอนมองเครื่องประดับในมือของฉัน มันคือแหวนสีเงินรูปงู มีพลอยแดงประดับแทนดวงตา ดูสวยงามและลึกลับ

“แหวนงูพิษ!” เพื่อนเก่าเอ่ยเสียงดัง

“ใช่ แหวนร่วมสาบานของแก๊งนารีงูพิษ ฉันยังเก็บมันไว้และเอามาใส่บ่อยๆ คงเพราะอำนาจของแหวนวงนี้แหละเลยทำให้ฉันโสดมาตลอด” 

ยังจำได้ว่าตอนนั้นที่เลือกงูมาแทนสัญลักษณ์ประจำกลุ่มเพราะพวกเราอยากร้ายกาจเช่นอสรพิษ   ถึงขั้นพากันไปสาบานต่อหน้ารูปปั้นเมดูซ่าที่ห้องชมรมศิลปะ

มาจนถึงวันนี้ก็ตลกตัวเอง คนอื่นใส่แหวนเพราะมีคู่ครอง แต่พราวตะวันใส่แหวนเพื่อให้ตัวเองโสด

“ไม่น่าเชื่อว่าแกจะเก็บมันไว้” อิงฟ้ายิ้ม ดูดีใจที่ได้เห็นแหวนวงนี้อีกครั้ง

ฉันสวมแหวนและพลิกมือไปมา “ก็มันสวยดี และมันเป็นผลงานชิ้นแรกที่ฉันออกแบบ” 

ทั้งออกแบบและสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อแจกเพื่อนทุกคน ถือว่าเป็นผลงานศิลปะชิ้นแรกๆ ของฉันก่อนจะเข้าสู่วงการดีไซเนอร์

“แล้วแกเก็บไว้หรือเปล่า” ฉันหันไปถามอิงฟ้า

“ฉันทำหายไปตอนไหนไม่รู้” เพื่อนร่างท้วมเสียงอ่อย

“ตอนนี้แกก็โสดแล้วนี่ อยากได้ไหมล่ะ” ฉันคิดอยากจะทำให้อิงฟ้าใหม่อีกวง เพราะตอนนี้อิงฟ้าคงสวมแหวนวงเก่าไม่ได้แล้ว

“ไม่ดีกว่า ฉันว่าหากจะโสดจริงๆ ไม่ต้องพึ่งแหวนก็ได้ พึ่งตัวเองนั่นแหละดีที่สุด” อิงฟ้าตอบอย่างนั้น แต่ฉันก็ยังเห็นว่าเพื่อนแอบมองแหวนของฉันอยู่เนืองๆ

จากนี้ ฉันจะสวมแหวนวงนี้ไปตลอดดีกว่า...

อิงฟ้ามาพักอยู่กับฉันตลอดทั้งสัปดาห์ การได้กลับมาสนิทกันเหมือนได้กลับไปย้อนรำลึกความหลัง จนเราสองมีความคิดว่าจะลองนัดเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันนานมามีตติ้งกันสักครั้ง

อ้อ และอีกอย่าง ฉันยังสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างผู้หญิงโสดกับคนมีคู่ด้วยนะ

เริ่มจากตู้เสื้อผ้า ถ้าหากคุณเปิดตู้เสื้อผ้าของฉันที่มีเป็นยี่สิบกว่าใบ ในนั้นจะคลาคล่ำไปด้วยเสื้อผ้าหลากหลายที่บ่งบอกรสนิยมในตัว แต่สำหรับอิงฟ้า นอกจากแต่งหน้าไม่เป็น ยังมีแต่เสื้อยืดตัวโคร่งๆ พรางหุ่นที่เป็นเสื้อคู่กับสามี ซึ่งเธอเอาไว้ใส่เวลาไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาวเพื่อถ่ายรูปและอัปโหลดลงเฟซบุ๊กด้วยแคปชั่นว่า 

ไปเที่ยวกับ...ต้าวหมูอ้วน

โดยส่วนตัวฉันว่าสะเหล่อสิ้นดี...

ฉันทำอาหารไม่เป็น แต่ชอบกินอาหารคลีนเพื่อรักษาหุ่น ส่วนเพื่อนเก่าราวกับแดจังกึมแบ่งภาคมาเกิด ทำอาหารเก่ง กินเก่ง อิงฟ้าบอกว่าเวลากินข้าวกับสามีเขามักจะคะยั้นคะยอให้เธอกินเยอะๆ แถมยังบอกว่าถึงจะอ้วนจะยังไงก็รัก ฉันได้แต่ยิ้มมุมปาก 

จ้า พอคำว่ารักหาย แล้วเป็นยังไงล่ะ...

และอย่างตอนที่เดินห้างด้วยกัน ฉันต้องยกมือกุมหน้าผากเมื่ออิงฟ้าลองสวมชุดเดรสลายงูสุดเซ็กซี่ แต่ดันออกมาไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้ ฉันทำได้เพียงแต่ยิ้มและบอกว่า ‘ได้อยู่’ ทั้งๆ ที่ความหมายนี้ลูกน้องในที่ทำงานจะรู้ดีว่ามันคือ ไม่ได้ ห่วยแตก! 

คนโสดอย่างฉันมักจะเดินเร็ว ไม่ต้องรอใครเวลาไปไหนมาไหน เพราะฉะนั้นอิงฟ้ามักจะบ่นเสมอว่าเดินตามฉันไม่ทัน แต่ที่ทำให้ฉันขัดใจที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่เพื่อนเก่าเจออะไรก็จะเชื่อมโยงไปถึงพี่ปฐพีทุกครั้ง

เช่นเห็นผ้าเช็ดมือที่อ่างล้างมือก็ร้องไห้ บอกว่าเป็นสีเดียวกับที่บ้านที่พี่ปฐพีซื้อให้ ฉันนั่งดูไททานิคในเนตฟลิกซ์ อิงฟ้าก็ทำเสียงฟุดฟิด และสารภาพว่าคิดถึงความหลังตอนที่เธอกับเขาดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน 

และที่เลวร้ายที่สุดก็คือตอนเปิดแอปฯ TikTok แล้วเจอเด็กๆ เต้นเพลง “เบบี้ชาร์ก” เพื่อนเก่าก็ทรุดตัวร้องไห้ขี้มูกโป่งและให้เหตุผลว่า

‘พี่ปฐพีเคยบอกว่าหากเรามีลูกด้วยกัน เขาจะเป็นคนสอนให้ลูกเต้นเพลงนี้’

ฉันเห็นใจ แต่ก็แอบรำคาญนิดๆ จึงพยายามพาเธอออกมาใช้ชีวิตข้างนอกให้มากที่สุด

“เลิกเศร้าได้แล้วน่า” ฉันสังเกตเห็นเพื่อนเก่านั่งเหม่อขณะเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้

“แกดูนั่นสิ” อิงฟ้าสะกิดให้ฉันมองไปที่หนุ่มสาวตรงหน้าที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน ทั้งสองยิ้มอย่างเปี่ยมสุข เดาได้เลยว่าคือคู่รักข้าวใหม่ปลามัน “ฉันเห็นก็นึกถึงพี่ปฐพีอีกแล้ว เราเคยจับมือกันเดินห้างแบบนี้แหละ”

ฉันถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย ก่อนจะจับแขนเพื่อนตัวอ้วนให้เดินตาม

“ไปไหน”

“ฉันมีอะไรจะให้แกดู”

อิงฟ้าสีหน้าเลิ่กลั่ก เมื่อถูกฉันพาเดินไปยังคู่รักกระหนุงกระหนิง สองคนนั้นมีท่าทีแปลกใจที่พวกเราเดินไปหา ฉันก้มหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองฝ่ายชายด้วยแววตาสั่นระริก แล้วถามเขาด้วยเสียงสั่นเครือ

“ไหนว่าจะไปทานข้าวกับแม่ไง”

หนุ่มคนนั้นตาโต หันไปมองแฟนสาวที่อาการไม่ต่างกัน

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” 

ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ฉันสะอื้นออกมาก่อนจะทำเป็นฝืนยิ้มและหันไปบอกกับผู้หญิงคนนั้น

“ใช่ค่ะ ขอโทษที เราไม่ได้รู้จักกัน” ฉันบอกก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก คว้าแขนอิงฟ้าให้รีบเดินจากมา ได้ยินเสียงตบหน้าฉาดใหญ่ตามหลัง

ฉันหัวเราะจนท้องแข็งเมื่อลงบันไดเลื่อนมาอีกชั้น 

“แกนี่มัน ร้ายกาจที่สุด” อิงฟ้ายิ้มออกมาได้

“ก็ช่วยไม่ได้ ดันมาสวีตหวานต่อหน้าเพื่อนฉันที่กำลังอกหักได้ ฉันมันพวกโสดแล้วพาลย่ะ”

อิงฟ้าส่ายหัว “ขอบใจนะที่พยายามจะช่วยคนงี่เง่าอย่างฉัน”

“เลิกเศร้าได้แล้ว ชีวิตมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะ เดี๋ยวคืนนี้เราไปเที่ยวด้วยกันต่อ รับรองแกจะลืมผู้ชายเฮงซวยได้แน่นอน” 

ฉันใช้เวลาทั้งวันแปลงโฉมอิงฟ้า ผู้หญิงอ้วนก็ต้องสวมเสื้อผ้าสีทึมๆ เพื่อช่วยทำให้หุ่นดูปราดเปรียว แต่งหน้าทำผมให้ทันสมัย แค่นี้อิงฟ้าก็เดินกับฉันได้อย่างไม่น่าเกลียดอะไร

ถึงแม้สายป่านจะมีผับที่เป็นหุ้นส่วนอยู่ แต่บ่อยครั้ง พวกเราก็อยากจะลองไปนั่งดื่มร้านอื่นๆ บ้างเพื่อไม่ให้เบื่อ อย่างเช่นคืนนี้ ที่สายป่านเป็นตัวตั้งตัวดีนัดกันในผับที่ค่อนข้างหรูหรา เหมาะกับคนอย่างพวกเราไม่น้อย

ผับนี้ตั้งอยู่บนชั้นยี่สิบสี่ของโรงแรมดัง ซึ่งพอขึ้นลิฟต์มาถึงและเปิดประตูออกไปพนักงานก็ยิ้มหวานรีบออกมาต้อนรับ 

อิงฟ้าดูประหม่ากับการที่ต้องสวมชุดที่ไม่เคยใส่ ยิ่งพอได้มาเห็นผู้คนและสถานที่แปลกใหม่ในสังคมของฉัน เพื่อนเก่าก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตื่นเต้น

สายป่านเลือกจองที่นั่งตรงริมกระจก ให้เหตุผลว่านั่งให้ห่างเวทีจะได้พูดคุยกันได้ ที่สำคัญตรงนี้เห็นวิวกลางคืนชัดเจน

“เมื่อกี้คนที่เดินมาทักแกใช่คุณแต๋ม ผู้กำกับหนังพันล้านหรือเปล่า” อิงฟ้าถาม ขณะที่ฉันกำลังคิดว่าจะเลือกดื่มค็อกเทลหรือไวน์ดี

“คนไหนเหรอ” ฉันเงยหน้ามองรอบๆ จนเจอโต๊ะของชายที่มาทักกันตรงทางเข้าเมื่อครู่ “อ้อ ใช่ๆ คุณแต๋ม” 

หนุ่มวัยกลางคนแต่งตัวสไตล์มินิมัลยิ้มและโบกมือให้ฉันอีกครั้ง ฉันพยักหน้าตอบ

“ดูที่โต๊ะของเขาสิ มีแต่ดาราดังทั้งนั้นเลย” อิงฟ้าตาเป็นประกาย

“คงมาเลี้ยงปิดกล้องหนังเรื่องใหม่” สายป่านเอ่ยขึ้นมาตามประสาคนในวงการบันเทิง

“แสดงว่า คืนนี้ต้องมีดารามาอีกใช่มั้ย” สาวร่างท้วมหันไปมองโต๊ะนั้นอีกเป็นระยะด้วยท่าทางตื่นเต้น 

สายป่านรีบเขยิบเข้ามาข้างๆ ฉันแล้วกระซิบถาม “ยายพราว เพื่อนแกคนนี้กรี๊ดกร๊าดบ้าดาราแบบเกินเบอร์มาก” 

“เออ เห็นใจนางหน่อย พอมีสามีก็ติดอยู่ในถ้ำ เลยไม่เห็นโลกภายนอก” 

สายป่านหัวเราะคิกคัก ระหว่างนั้นบริกรก็นำไวน์มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ สายป่านตาเป็นประกายขณะกำลังยกแก้วขึ้นมาจิบ เหมือนคิดไอเดียบางอย่างขึ้นมาได้

“เรามาเล่นเกมกันไหม”

“เกมไรยะ” ฉันถาม

“เกมชื่อว่า ฉันไม่เคย...ก็ไม่ยากหรอก สมมุติว่าใครคนหนึ่งพูดว่าไม่เคยทำอะไรสักอย่างขึ้นมา หากใครเคย ก็ต้องหมดแก้ว”

อิงฟ้าทำหน้าสงสัย “ยกตัวอย่างหน่อยได้ไหม”

“ได้ๆ เช่นฉันพูดขึ้นมาว่า ฉันไม่เคยมีเซ็กซ์กับผู้หญิง พวกแกเคยปะล่ะ”

ฉันกับอิงฟ้าส่ายหน้าพร้อมกัน 

“ก็หมายความว่าพวกแกไม่ต้องดื่ม แต่ถ้าหากพวกแกเคยทำตรงกันข้ามกับคนพูด นั่นคือต้องหมดแก้วจ้า”

ฉันยิ้มตาเป็นประกาย “เออว่ะ น่าสนุก”

“แต่คนอย่างฉัน ไม่น่าจะมีอะไรที่เคยนะ” อิงฟ้าคงคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ไม่มาก ฉันได้แต่บอกว่าเล่นๆ ไปเถอะอย่าคิดมาก

“งั้นฉันเริ่มนะ” สายป่านทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมา “ฉันไม่เคยมีเซ็กซ์บนรถ”

“แสดงว่าคนที่เคยต้องหมดแก้วสินะ” อิงฟ้าหันมาถามฉันที่กำลังยกแก้วดื่มจนหมด เพื่อนเก่าทำหน้าตกใจ

“อะไรกัน มีเซ็กซ์บนรถมันแปลกตรงไหนยะ” 

ฉันเสียงดังจนสายป่านหัวเราะลั่น อิงฟ้ามองหน้าฉันเหมือนไม่เชื่อ

“ตื่นเต้นจะตาย บางทีโรงแรมมันก็ไกลเกิน” ฉันตอบแบบไม่แอ๊บใส ก่อนจะเชิดหน้าและบอกว่าต่อไปเป็นตาฉัน

“ฉันไม่เคยมีเซ็กซ์ที่สวนหน้าบ้าน” เอ่ยพร้อมกับจับตาดูว่าเพื่อนคนไหนมีเรื่องเด็ดๆ แบบนี้

“งานเอาต์ดอร์แบบนี้ ฉันทำบ่อย” สายป่านพูดพร้อมกระดกไวน์อย่างอร่อย

“อีบ้า ทีบนรถไม่เคย แต่เคยที่สวนหน้าบ้าน” ฉันมองค้อน

“แต่ฉันไม่เคย...” อิงฟ้าเสียงเบา

“อะไรกัน เธอก็มีสามี ไม่เคยมีอะไรกันนอกสถานที่สร้างบรรยากาศบ้างเหรอ”

คำพูดของสายป่านทำให้อิงฟ้าหน้าเสีย จนต้องถามว่าโอเคหรือเปล่า

“พอเลยนะยายป่าน แกมันจิตวิปริต คิดแต่โจทย์สองแง่สองง่าม”

“ก็มุกเกมในวงเหล้า มันก็ต้องทะลึ่งบ้างสิ ใครเค้าจะจริงจังกันยะ”

สาวปุ้มปุ้ยยังยิ้มได้ “คือ...หลังๆ เรื่องบนเตียง พี่ปฐพีก็ไม่สนใจเท่าไหร่ บอกว่าเหนื่อยจากการทำงาน”

สายป่านพยักหน้าเห็นใจ ก่อนจะเติมไวน์ให้ใหม่ “งั้นอีกสักข้อละกัน เอาเป็นว่า ฉัน...ไม่เคยเก็บของอะไรของแฟนเก่า”

ฉันสะดุ้งโหยง หันไปมองเพื่อนเก่าที่ตอนนี้ยกแก้วมาดื่มจนหมดแบบไม่เหลือสักหยด

“ข้อนี้ฉันน่าจะได้ เพราะขนาดกระเป๋าเสื้อผ้าฉันยังเผลอเก็บเอาผ้าขนหนูของพี่ปฐพีมาด้วยเลย” อิงฟ้าพูด แววตาสั่นระริก

ฉันยิ้มเจื่อนๆ และตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะหันไปด่าสายป่านว่าคิดคำถามเพื่อมาฆ่าคนอกหักหรือไง อีกฝ่ายยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ระหว่างนั้นอิงฟ้าก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ฉันจึงแนะนำไปว่าให้เติมแป้งเติมลิปสติกเพิ่มอีกนิดเพราะหน้าเริ่มซีดแล้ว

“ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังพาสมาชิกสมาคมแม่บ้านมาเสียคน” สายป่านเอ่ย

“ก็ให้เวลานางหน่อย คนกำลังอกหัก” ฉันเปรย

“แน่ใจนะว่าเลิกกัน เห็นมาเยอะ เลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว แต่ไม่ถึงอาทิตย์ก็กลับไปคืนดี ไอ้เพื่อนอย่างพวกเราก็โดนคาถา แฮร์รี่ พอตเตอร์ เสกให้กลายเป็นหมาไปเลยจ้า”

“ฉันก็แค่หวังว่าอิงฟ้าจะเห็นด้านดีของคนโสด ไม่คิดกลับไปหานรกแบบนั้นอีก” ฉันเอ่ยก่อนจะยกเครื่องดื่มมาจิบ

“ระวังแม่นั่นจะเป็นแค่โสดโกรธผัวนะ”

...

ผ่านไปสักพักอิงฟ้าก็กลับมาด้วยสีหน้าสดชื่น แต่ดวงตาแดงก่ำ

“ไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำมาหรือเปล่า” ฉันถาม

อิงฟ้าส่ายหน้าก่อนจะยิ้มกว้าง ฉันกับสายป่านสะดุ้งโหยง เพราะรอยยิ้มนั้นเลอะไปด้วยลิปสติกจนฟันแดงเถือก กำลังจะเตือนใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาที่โต๊ะ อิงฟ้าตาเบิกโพลงและลุกขึ้นเหมือนต้อนรับคนมาใหม่ทันที

“มิเชล มิเชลจริงๆ ด้วย” สาวอวบลุกลี้ลุกลนเมื่อนางแบบระดับประเทศเดินเข้ามาหาถึงโต๊ะ

ซึ่งต่างจากฉันที่ต้องรีบวางฟอร์มเอียงหน้าทักทายผู้มาเยือน

“มีอะไรหรือเปล่า”

มิเชลยิ้มมุมปาก...ให้ตายสิ มองยังไงยายมิเชลก็ไม่ใช่คนดี

“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากจะบอกว่าช่วงนี้เราเจอกันบ่อยนะ” นางแบบยักไหล่

“เธอมางานเลี้ยงปิดกล้องหนังใช่ปะ” สายป่านถามบ้าง 

อีกฝ่ายพยักหน้า “เป็นนักแสดงรับเชิญน่ะ อีกอย่าง วันนี้คุณฐาเขาจะมาเที่ยวที่นี่ด้วยน่ะ เลยนัดเจอกัน” 

“คุณฐา นี่ใช่คุณฐากูรหรือเปล่า” สายป่านถาม

“ใช่” น้ำเสียงนั้นราวกับประกาศชัยชนะ การได้เรียกชื่อเล่นแบบสนิทสนมคงเหมือนได้แสดงความเป็นเจ้าของไปในตัว

“มิเชล เธอจำฉันได้หรือเปล่า” อิงฟ้าถามแทรกน้ำเสียงตื่นเต้น

มิเชลแลตามอง และเมื่อสาวอวบยิ้มฟันแดงก็ส่งสายตามองเหยียด “นี่เธอ...ไปกินสีเทียนมาหรือไง”

อิงฟ้ายังไม่รู้ตัว สายป่านจึงรีบกระซิบว่าเธอมีลิปสติกติดฟันเหมือนคนกินหมาก

“ฉันอิงฟ้าไง เพื่อนเก่าตอนเรียนเซนต์บีเวอร์” อิงฟ้ายังพยายามจะพูด แต่ไม่ยอมอ้าปาก

“ขอโทษที ฉันจำได้แต่พวกเห่ยๆ ที่ทำเรื่องขายหน้าอย่างพราวตะวันมากกว่า” มิเชลได้จังหวะทับถม

“ใช่ๆ ฉันก็อยู่กลุ่มเห่ยๆ ของยายพราวด้วยไง ที่เคยเต้น ‘Jingle bell Rock’ ในงานคริสต์มาส” 

ไม่พูดเปล่าอิงฟ้ายังฮัมเพลงพร้อมเต้นประกอบไปด้วยจนฉันอยากจะกระโดดหยุมหัวบีบคอและบอกให้หยุดซะเดี๋ยวนั้น มิเชลหลุดหัวเราะ ก่อนจะหันมาคุยกับฉัน 

“ไม่นึกเลยนะ ว่าดีไซเนอร์ระดับประเทศจะมีเพื่อนปุ้มปุ้ยน่ารัก ดูไร้สมองดี ฉันชอบ” พูดจบก็ยักไหล่และเดินหันหลังกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง

สายป่านดึงแขนอิงฟ้าให้นั่ง บอกให้เช็ดลิปสติกที่ฟันออก อีกฝ่ายจึงขอตัวไปห้องน้ำอีกครั้ง

“เฮ้อ ฉันถึงบอกไงว่าแกเข้ากับอิงฟ้าไม่ได้หรอก หากคนในวงการเห็นความโก๊ะกังของแม่นั่นจะทำให้แกมีแต่เสียกับเสีย

ฉันกัดริมฝีปาก จังหวะนั้นเผอิญหันไปสบตากับหนุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในผับ ฐากูร...

หันไปมองมิเชล ขานั้นทำหน้าระรื่นโบกไม้โบกมือให้หนุ่มหล่อทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นฉันจึงส่งซิกให้สายป่านรู้ เพื่อนตุ้งติ้งรีบรับลูกเดินเข้าไปขวางหน้าไฮโซ ทำเหมือนให้เป็นเรื่องบังเอิญ ก่อนจะจีบปากจีบคอแนะนำตัวเองและดึงแขนเขามาที่โต๊ะของเรา

ต้องชื่นชมสายป่าน สมแล้วที่เป็นผู้จัดการดาราอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีความตอแหลชนิดหาตัวจับยาก

“คุณฐากูรคะ ขอแนะนำให้รู้จัก พราวตะวัน ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ P-Tawan เพื่อนสนิ้ด...สนิทของป่านเอง และยายพราว นี่คือคุณฐากูร ทายาทธุรกิจน้ำมันพันล้านจากโมร็อกโก”

ชายหนุ่มยิ้มยกมือทักทาย “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณพราว เรียกผมฐาก็ได้ครับ ผมเคยได้ยินชื่อคุณอยู่เหมือนกันว่าที่เมืองไทยมีดีไซเนอร์ที่เก่ง” 

ฉันยิ้มรับก่อนจะรีบส่งสายตาพิศวาสให้ เขาดูสุภาพ ยิ้มเก่ง และตัดทรงผมสั้นเหมือนนายอนิล ผิดแต่ไฮโซหนุ่มออกจะขาวและดูเจ้าสำอางกว่า บ้าจริง อยู่ต่อหน้าหนุ่มโสดในฝัน แต่ตัวฉันดันไปนึกถึงนายลูกทุ่งคนนั้นได้ยังไง

“สายป่านก็เล่าให้ฉันฟังเหมือนกันค่ะว่า คุณฐา...” เชอะ ในที่สุดฉันก็เรียกชื่อเล่นของเขาได้ “เป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ดูสิ ผู้หญิงทั้งร้านต่างมองคุณคนเดียว”

ชายหนุ่มตาเป็นประกาย “ชมเกินไปแล้ว คุณพราวเองก็ใช่ย่อย ได้ยินมาว่าคุณก็เป็นสาวโสด ไม่ยอมเปิดใจกับใครสักที”

นั่นไง ฉันก็ธรรมดาซะที่ไหน เขาต้องรู้จักฉันบ้างแหละว้า...

ขณะกำลังสนทนากันมิเชลดูท่าจะหวง รีบเดินเข้ามาหาและควงแขนฐากูรเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ 

“อ้าว มิเชล มาเมื่อไหร่เหรอ” ฉันรีบทักให้เหมือนว่าเพิ่งเจอ อีกฝ่ายดูเสียหน้าทันที

“คุณรู้จักกันด้วยเหรอ” นางแบบหันมาสนใจชายหนุ่ม

“ใครบ้างที่จะไม่รู้จักคุณพราวตะวันครับ คนที่ เจนนิเฟอร์ โลเปซ ชวนมาดินเนอร์ตอนที่มาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทย” ไฮโซหนุ่มยังสุภาพ

“คุณรู้ได้ไงคะเนี่ย” ฉันทำสีหน้าเหมือนไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่ข่าวนี้ดังไปทั่วโลกเพราะเจนนิเฟอร์ลงรูปของฉันและเธอในอินสตาแกรม

แค่นี้ก็ทำให้ฉันเชิดหน้าได้สูงกว่ามิเชล เมื่อโชคกำลังเข้าข้างฉันคิดจะเปิดเกมรุกต่อ แต่แล้วเพื่อนเก่าที่นั่งข้างๆ กลับร้องเสียงหลง

“ว้าย!”

อิงฟ้าที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำ เผลอทำไวน์หกเลอะเสื้อจนต้องรีบปัด คงตกใจที่เห็นมิเชลอีกรอบแน่

“เอ่อ ลืมแนะนำไป นี่อิงฟ้าเพื่อนฉันเองค่ะ”  

อิงฟ้าตาปรือเหมือนคนเมา แถมยังยื่นมือไปให้ชายหนุ่ม แต่แล้วกลับทรงตัวไม่ได้ ที่สุดก็ล้มทับโต๊ะจนทุกอย่างพังระเนระนาด

โครม!

คนทั้งร้านหันมามองอิงฟ้าที่ล้มฟุบอยู่กลางวง

มิเชลหัวเราะร่วน “ฉันว่าพวกเธอมีคนที่ต้องดูแลแล้วนะ” 

นางแบบเอ่ยก่อนจะรีบดึงแขนฐากูรให้ถอยห่าง ขณะที่โต๊ะของเราเต็มไปด้วยความโกลาหล

ฉันจะก้มไปพยุงเพื่อน แต่ก็โดนสายป่านตีที่แขน เพื่อให้หลีกทาง แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กเสิร์ฟ อิงฟ้าหัวเราะลั่นและบอกว่ายังไม่เมา พยายามสะบัดแขนแต่ก็ล้มลงอีกครา ท่ามกลางเสียงร้องหวาดเสียวของทุกคน

สายป่านถอนหายใจ “เป็นไงล่ะ ยายพราว เธอกับอิงฟ้ามันแตกต่างกันมากนะ ตอนนี้เธอคือเซเลบคนดัง ไปไหนใครก็รู้จัก หากยังยอมให้อิงฟ้าไปไหนมาด้วยก็ไม่ต่างจากตุ๊กตาบาร์บี้แบกลูกหมู”

“เออ รู้แล้วน่า” ฉันรีบบอกปัด ก่อนจะบอกพนักงานให้ช่วยกันพยุงร่างของอิงฟ้าไปที่รถ

ปาร์ตีคืนนี้คงเลิกเร็วก่อนกำหนด สายป่านบ่นอุบที่จะต้องกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่ถึงห้าทุ่ม

“เออ แล้วฉันจะชดเชยให้วันอื่นละกัน” ฉันเองก็แอบเซ็ง ฐากูรกำลังติดเบ็ดแท้ๆ แต่ก็มาพังเพราะเพื่อนปุ้มปุ้ยเมาเสียก่อน

ขณะเดินออกมาที่หน้าร้าน เราก็บังเอิญสวนทางกับหนุ่มร่างสูง ผมรองทรงสั้นนั้นทำให้ฉันสะดุดตาจนต้องหันกลับไปมอง และเขาก็หันกลับมาเช่นกัน จังหวะนั้นราวกับทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว...

อนิล...

เมื่อฉันชะงัก สายป่านก็หันมองตาม และพอเห็นหน้าอนิลชัดเพื่อนสาวก็ตาโต อ้าปากค้าง

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” อนิลหยุดถาม คงเพราะเห็นสภาพพนักงานที่กำลังช่วยกันพยุงร่างอิงฟ้าอย่างทุลักทุเล

“ไม่มีอะไรค่ะ เราดูแลกันได้” ฉันรีบตอบ และหันกลับไปบอกให้พนักงานพาอิงฟ้าไปที่รถเร็วๆ สายป่านยังจะคุยกับเขาต่อ แต่ก็ถูกฉันลากแขนออกมา

เมื่อพาอิงฟ้าขึ้นรถได้ สายป่านก็เขย่าแขนและเซ้าซี้ฉันไม่เลิก

“ใครเหรอแก...หล่อม้ากกก”

“ใครเหรอ” ฉันทำไก๋ 

“ก็ผู้ชายคนที่ทักแกไง” 

ฉันแกล้งทำเป็นนึก “ไม่รู้ดิ คงเป็นแขกของร้านมั้ง”

“แล้วทำไมเขาถึงทักแก”

ฉันเริ่มเลิ่กลั่ก “ก็เขาคงเห็นว่าเรากำลังพยุงอิงฟ้าไง ก็คงถามตามมารยาทของสุภาพบุรุษ”

“หล่อมากเลยนะ เป็นดาราได้เลย ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ฉันกลับไปในร้านได้ไหม” 

สายป่านกำลังจะหมุนตัว ฉันก็รีบคว้าคอเสื้อและผลักให้ขึ้นไปนั่งข้างๆ กับอิงฟ้า

“เอาไว้วันอื่น ตอนนี้ช่วยฉันพาอิงฟ้ากลับไปนอนก่อน” ฉันตัดบทและขึ้นรถฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ บอกให้ลุงเชิด คนขับรถเหยียบคันเร่งจากไปทันที

“แกว่าหล่อเหรอ ผู้ชายคนเมื่อกี้” ฉันถามแต่ก็ทำเป็นสนใจแต่มือถือของตัวเอง

“หล่อสิ ฉันต้องสืบให้ได้ว่าเขาเป็นใคร” สายป่านยืนยัน

“ไม่จริงอะ ฉันว่าคุณฐากูรหล่อกว่าอีก”

“แต่ถ้าให้ฉันเลือก ฉันเลือกผู้ชายคนเมื่อกี้นะ ดูมีเสน่ห์มากกว่า”

ได้ยินอย่างนั้นฉันก็ลอบยิ้มลำพัง แต่ได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นในรถ 

“ฮือๆ ต้าวหมูอ้วน ทำไมถึงทิ้งฉัน...ฮือๆ”

ฉันกับสายป่านมองหน้ากันทันที 

“ใครวะ ต้าวหมูอ้วน” เพื่อนตุ้งติ้งถาม

“เอ่อ...ก็คงเป็นพี่ปฐพีแหละมั้ง เวลาคนเรามีแฟนก็จะมีสรรพนามเรียกกันให้ดูน่ารักไง” ฉันเดาตามเนื้อผ้า 

สายป่านกรอกตามองบน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นแก้เซ็ง พร้อมกับเอ่ยประชด “สรุปคืนนี้ เราสามคนได้ต้าวหมูอ้วนเป็นผัวนะคะ” 

“อะไรนะ ต้าวหมูแอบมีเมียสามคนเลยเหรอ ทำไมหลายใจแบบนี้ ฮือๆ” 

อิงฟ้าคร่ำครวญต่อ ฉันได้แต่ส่ายหัวแต่ก็อดหัวเราะไม่ไหว


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น