ตอนที่ 4

ตอนที่ 4

รวมรุ่น

10 ปีก่อน ที่ร้านเหล้าแถวทองหล่อ อันเป็นสถานที่นัดหมายของสี่สาวแก๊งนารีงูพิษ

พราวตะวันในชุดเกาะอกสีแดง สวมทับด้วยสูทสีขาว กางเกงเข้ารูปสีเดียวกันเดินเข้ามาในร้านด้วยความมั่นใจ เธอไม่เคยเขินอายสักนิดยามมีสายตาของคนมากมายคอยจับจ้อง

หลังจากเรียนจบมัธยมปลายหญิงสาวก็รักสวยรักงามเพิ่มเป็นทวีคูณ เธอครบกำหนดถอดเหล็กจัดฟันออกจึงยิ้มฟันสวย ผมชี้ฟูก็ทำการยืดไดร์ แถมผิวหน้าและผิวกายก็หมั่นเข้าคลินิกเสริมความงาม ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสวยขึ้น เพื่อจะได้มีความมั่นใจในการไปสู้รบปรบมือกับไอ้พวกผู้ชายหน้าหม้อทั้งหลาย

มีเสียงผิวปากดังไกลๆ เธอไม่หันไปมองหรอก ก็แค่พวกหมาเห่าใบตองแห้ง ไม่แลตาแบะปากใส่ก็บุญเท่าไหร่แล้ว แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นไปพวกนั้นก็อาจจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอเล่นด้วย

หน้าสวย หุ่นดี แถมแต่งตัวด้วยแบรนด์ดัง แค่นี้ก็ทำให้ผู้ชายมองแล้วกลืนน้ำลาย ผู้หญิงมองด้วยความอิจฉา แต่แล้วไง...ใครสน

บริกรรีบเข้ามาทักทายด้วยความคุ้นเคย

“มาแล้วเหรอคะน้องพราว เชิญเลยค่ะ เพื่อนๆ รออยู่”

คนมาใหม่ขอบคุณก่อนจะเดินไปที่โต๊ะประจำ ที่นั่นเพื่อนรักทั้งสามนั่งรออยู่และส่งเสียงทักทาย พราวตะวันแอบขัดใจหน่อยๆ ที่ไม่ว่าจะนัดเจอกันกี่ครั้ง อิงฟ้า ปลาดาว เจ้าจันทร์ ก็มักจะแต่งตัวธรรมดา ไม่ยอมจัดหนักจัดเต็มเหมือนเธอ

“ครบรอบสี่ปีของแก๊งนารีงูพิษทั้งที ทำไมพวกแกถึงแต่งตัวธรรมดากันอย่างงี้เนี่ย” พราวตะวันมองเพื่อนๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ อิงฟ้าสวมเสื้อยืดกางเกงยีน เจ้าจันทร์สวมชุดเดรสลายลูกไม้ ปลาดาวยิ่งแล้วใหญ่ใส่เอี๊ยมหมีขาสั้นจนจะเหมือนทอมบอย

“เราไม่มั่นใจแบบแกหรอก” เจ้าจันทร์กระซิบ เข้าใจดีว่าหลังจากเกิดเรื่องทำให้เสียหน้าตอน ม. ปลาย พราวตะวันก็ไม่ยอมที่จะกลายเป็นสาวเฉิ่มคนเดิม ยอมเปลี่ยนตัวเองใหม่ทั้งตัวและหัวใจ

ยิ่งอยู่ในวัยมหาวิทยาลัย อิสระในการใช้ชีวิตมีมาก พราวตะวันสนุกที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ ทั้งกัดสีผม เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว สนใจในเรื่องเทรนด์แฟชั่น มักเปรยกับเพื่อนๆ ในกลุ่มว่าอยากจะเรียนต่อทางด้านแฟชั่น มากกว่าคณะที่เรียนอยู่ตอนนี้

ปัจจุบัน พราวตะวันเป็นสาวสวยคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดัง อิงฟ้าเรียนคณะบัญชีที่มหาวิทยาลัยย่านบางเขน ปลาดาวเรียนนิเทศที่มหาลัยเอกชน ส่วนเจ้าจันทร์สนใจเรื่องรัฐศาสตร์จึงตัดสินใจเรียนที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้านที่ชลบุรี แม้จะเจอกันนานๆ ที แต่สี่สาวก็มีเรื่องเมาท์มอยกันอยู่เสมอ ที่สำคัญยังคงอุดมการณ์ความโสดไว้เหมือนเดิม

“ถ้างั้นก็สั่งเครื่องดื่มกันเลยสิ” สาวแต่งตัวดีกระดี๊กระด๊า เลือกค็อกเทลที่อยากลอง 

เจ้าจันทร์และปลาดาวสนใจเมนูอาหาร ผิดกับอิงฟ้าที่ตั้งหน้าตั้งตาเล่นแต่โทรศัพท์ในมือ

“อิงฟ้า แกจะเอาอะไรไหม” พราวตะวันถาม

“ตามสบายเลย ฉันกินได้หมดแหละ” อีกฝ่ายตอบทั้งที่สายตายังจ้องอยู่กับจอ

ไม่นานอาหารและเครื่องดื่มก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะ บรรยากาศในวงสนทนาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน 

“นี่รู้ไหม ฉันมีเด็ก ม. หก มาตามจีบด้วยละ หน้าตาใช้ได้ทีเดียว” ปลาดาวเอ่ยพร้อมกับยื่นรูปในโทรศัพท์ให้เพื่อนๆ ดู

“อี๋ เด็กเหรอ ขี้งอน เอาแต่ใจ ปวดหัวตายถ้าได้เป็นแฟน” พราวตะวันจมูกย่น แล้วยกแก้วเครื่องดื่มมาจิบ

“แต่เพื่อนที่คณะของฉันบอกว่าน่าจะลองดูนะ บอกว่ากินเด็กแล้วเป็นอมตะ” คนเล่าอมยิ้ม

“วันก่อนแม่ฉันแนะนำลูกชายของเพื่อนให้รู้จักด้วย เห็นว่าเพิ่งกลับจากต่างประเทศมา โสดด้วยว่ะ” เจ้าจันทร์คุยบ้าง

“จริงเหรอ หล่อเปล่าวะ” ปลาดาวตื่นเต้นแทน

“ก็โอนะ หน้าเหมือนพี่ติ๊ก เจษฎาพร”

“ว้าย อันนี้ห้ามปล่อยเลยนะ” ปลาดาวสนับสนุน

“จบเมืองนอกแล้วยังโสด ถ้าไม่ตอแหลก็เป็นเกย์แหละ นี่ถ้าใครได้เป็นแฟน ท้าให้เลยอกแตกตายแน่ ดีนะที่พวกเราไม่ได้คิดจะมีแฟน”

ทุกคนพยักหน้า พราวตะวันจึงยกแก้วขึ้นมาชนก่อนจะเอ่ยแววตาเป็นประกาย

“นี่ อาทิตย์หน้ามีหนังเข้าใหม่ อยากดูว่ะ ไปดูกันมั้ย” พราวตะวันชวน

“เอาสิ ฉันว่างๆ” ปลาดาวยกมือสนับสนุน เจ้าจันทร์ก็ไม่เกี่ยงเพราะตรงกับเสาร์อาทิตย์อยู่แล้ว

“ฉันขอตัวนะ พอดีมีนัดติวหนังสือน่ะ” อิงฟ้าเงยหน้าบอก ก่อนจะอมยิ้มให้จอมือถือต่อ

“ไปไม่ครบทีมมันจะสนุกอะไร ไปด้วยกันสิอิงฟ้า” พราวตะวันคะยั้นคะยอ

“ติดธุระจริงๆ เอาไว้วันอื่น ฉันไปได้แน่ๆ” คนไม่ว่างบอกเสียงอ้อน

พราวตะวันจึงยอมใจอ่อน ก่อนจะปิ๊งไอเดียใหม่ “เออ นี่ฉันมีไอเดียเรื่องแก๊งนารีงูพิษของเรา” 

“ยังไง” ปลาดาวถาม

“เราเก็บเงินเป็นกองทุนของสาวโสดดีมะ” พราวตะวันหยิบธนบัตรมาวางบนโต๊ะ

“เก็บเป็นค่าเหล้า แบบโต๊ะแชร์งี้เหรอ” เจ้าจันทร์ถาม

“ไม่ใช่ อันนี้จะเก็บไปเรื่อยๆ เพื่อมอบให้แก่ผู้โชคดี”

“ผู้โชคดี?” ปลาดาวขมวดคิ้ว

“ใช่ กติกาก็คือ เราจะเก็บเงินกันทุกๆ เดือน เดือนละหนึ่งพันบาท จนกว่าจะมีผู้โชคดีคนสุดท้ายที่ยังครองตัวเป็นคนโสดได้ ก็จะได้เงินก้อนนี้ไป”

“งั้นแสดงว่าเรามีแฟนได้สินะ” อิงฟ้าเงยหน้าจากโทรศัพท์

คนต้นคิดพยักหน้า “ก็ได้ แต่ใครล่ะจะกล้าทำลายคำสาบานต่อหน้าเมดูซ่า ฉันคิดเอาไว้ว่าถ้าอายุถึง 30 แล้วพวกเรายังโสดกันครบ เราก็เอาเงินจำนวนนี้ไปเที่ยวเมืองนอกกัน ดีมะๆ” พราวตะวันถามความเห็นเพื่อนๆ

“ระ...เราจะโสดถึงอายุสามสิบเลยเหรอ” ปลาดาวยิ้มแห้งๆ

“ก็ใช่สิ หรือแกจะมีแอบมีแฟนก่อน เอาสิ แต่ต้องจ่ายรายเดือนเหมือนเดิมนะ และหมดสิทธิ์ที่จะได้เงินด้วย” คนต้นคิดหัวเราะคิกคัก

“ก็ได้นะ ฉันยอม” อิงฟ้ายิ้มให้ ก่อนจะยกมือเรียกบริกร “พี่คะ ขอแก้วอีกใบค่ะ”

 พราวตะวันชะงัก ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสาวตัวเล็ก “ขอให้ใครเหรอ”

“อ๋อ พี่ปฐพี” อิงฟ้าตอบสีหน้าเรียบเฉย

“ใครวะ พี่ปฐพี”

“รุ่นพี่ที่คณะ ฉันชวนมาเอง เขาอยากจะเจอพวกเราด้วย”

ได้ยินดังนั้นทั้งปลาดาวและเจ้าจันทร์ก็ตาเป็นประกายเพราะจะมีผู้ชายมาร่วมวงด้วย ผิดกับพราวตะวันที่ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น

“เดี๋ยวนะ วันนี้เรานัดกันสี่คนเพราะครบรอบแก๊งนารีงูพิษนะ แกจะชวนคนอื่นมาด้วยทำไม” วันพิเศษของแก๊งทั้งที เธอไม่พอใจที่จะมี ‘คนอื่น’ มาร่วมวงด้วย

อิงฟ้าถอนหายใจก่อนจะหันมามองหน้า “ถ้างั้น พี่ปฐพีก็ไม่ใช่คนอื่นหรอก แต่เป็นแฟนฉันเอง”

ในวงสนทนาเงียบกริบจนได้ยินเสียงเพลงจากในร้าน

พราวตะวันแทบไม่เชื่อหูตัวเองจึงถามย้ำ “อะไรนะ แฟน?”

“ใช่ แฟน ฉันโอเคนะที่จะต้องจ่ายรายเดือนเพื่อสาวโสดคนสุดท้าย โดยจะขอสละสิทธิ์คนแรก”

“เฮ้ย อิงฟ้า ทำไมพูดอย่างนี้ แกจำไม่ได้หรือไงว่าผู้ชายทำอะไรกับเราไว้”

ภาพงานคริสต์มาสที่โรงเรียนยังไม่เคยจางหายจากความทรงจำของพราวตะวัน และมันน่าจะเป็นแผลในใจของเพื่อนๆ เธอด้วย

“จำได้สิ แต่ยายพราว เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะ เราควรเริ่มต้นใหม่เปล่าวะ”

ฉันเงียบ อิงฟ้าจึงพูดต่อ

“พี่ปฐพีเป็นคนดีนะ ฉันอยากให้พวกเราได้รู้จักกันไว้” อิงฟ้ายิ้ม

ปลาดาวและเจ้าจันทร์พยักหน้า

“ไม่ได้!” พราวตะวันเสียงดังจนโต๊ะรอบข้างเริ่มหันมามอง “เราสาบานกันแล้วว่าจะโสด แกจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้”

“ฉันไม่ได้ทิ้ง” อิงฟ้าเสียงต่ำ “ฉันก็ยังอยู่กับพวกแก แต่เอาตรงๆ นะ ถ้ามีคนดีๆ เข้ามา เราก็ไม่ควรปิดโอกาสในชีวิตหรือเปล่าวะ”

“แล้วคำสาบานล่ะ”

“หึ” อีกฝ่ายพ่นลมหายใจ “ฉันว่ามันเป็นคำสาบานของเด็กโง่ๆ เท่านั้นแหละ”

พราวตะวันหน้าร้อนผ่าว โกรธจนตัวสั่น “คำสาบานโง่ๆ เหรอ”

“ใช่ และแกไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้ยายพราว ชีวิตเราเพิ่งเริ่มต้น จะมาจมปลักกับแค่ผู้ชายไม่กี่คนทำไม แกจะบังคับให้พวกเราโสดไปตลอดไม่ได้นะ”

พราวตะวันกำมือแน่น ดวงตาสั่นระริก 

“แล้วแกจำไม่ได้หรือไงว่าไอ้พวกผู้ชายมันทำอะไรกับเราไว้” เธอย้ำให้อิงฟ้านึกถึงวีรกรรมที่ถูกสหรัฐและเพื่อนฉีกหน้าในงานโรงเรียน

“จำได้สิ แต่ครั้งนั้นมีแกคนเดียวนะที่ดันไปบอกรักผู้ชายก่อน”

เจอสวนแบบนี้พราวตะวันรู้สึกเหมือนถูกลากไปตบบนเวทีงานคริสมาสต์อีกซ้ำๆ 

“พอเถอะพราว เลิกยุ่งกับชีวิตของพวกเราซะที” อิงฟ้าถอนหายใจ

“แกพูดว่าพวกเรางั้นเหรอ มีแต่แกคนเดียวแหละมั้งที่คิดจะมีแฟน” พราวตะวันสงสัย หันไปมองหน้าปลาดาวและเจ้าจันทร์ แต่สองคนนั้นกลับหลบหน้า

อิงฟ้าจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ “พราว แกจะเป็นสาวโสด สาวมั่น มันก็เรื่องของแก แต่อย่าเหมารวมว่าทุกคนจะต้องเป็นเหมือนแกด้วย พวกเราอยากมีแฟนว่ะ”

ปลาดาวและเจ้าจันทร์พยักหน้าพร้อมกัน

เส้นเลือดที่ขมับของคนแต่งตัวดีกระตุกถี่ เสียใจ แต่ก็ไม่ยอมออกอาการให้พวกนั้นเห็น ได้แต่พยักหน้าประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคน

 “ได้ ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปก็ไม่ต้องมงต้องมีแล้วแก๊งนารีงูพิษ พวกแกสามคนก็ไปตั้งแก๊งใหม่กันเองเหอะ! และจำเอาไว้นะ ฉันนี่แหละจะโสดเป็นคนสุดท้าย จะคอยดูพวกแกต้องช้ำรักจากพวกผู้ชาย” พราวตะวันประกาศกร้าวก่อนจะเดินออกจากร้าน

แม้ปลาดาวและเจ้าจันทร์จะตะโกนตามหลัง แต่พราวตะวันก็ไม่หันหลังกลับ และที่ประตูร้านเธอยังเดินชนไหล่กับผู้ชายร่างสูงที่เดินสวนเข้ามาพอดี

หญิงสาวยกนิ้วกลางให้เขา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือปฐพี

ทิวทัศน์ยามเช้าของมหานครจากคอนโดชั้นสามสิบ แสงทองของสุริยาฉาบทาแผ่นดินเบื้องล่าง เป็นสัญญาณให้ผู้คนดิ้นรนต่อสู้กันไปอีกวัน ฉันอมยิ้ม จิบกาแฟ ปล่อยใจให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่แก๊งนารีงูพิษต้องล่มเพราะอิงฟ้าที่ตอนนั้นเป็นสาวสะพรั่ง มีแต่หนุ่มๆ มาจีบจนยอมตกลงปลงใจกับผู้ชายรุ่นพี่ที่ชื่อปฐพี

พลันประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก อิงฟ้าในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันวาน สภาพดั่งชาวบ้านบางระจันที่เพิ่งกลับจากการออกรบ

“ว่าไง แฮงหรือเปล่า” ถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบดี อิงฟ้ายังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม เพิ่มเติมคือผมยังไม่ได้สระ ที่แก้มมีรอยมาสคาราเลอะเป็นทางยาว แถมยังบ่นว่าเนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำ ถ้าเจ้าตัวได้เห็นตอนที่ฉันและสายป่านลากร่างใหญ่ๆ ลงจากรถขึ้นคอนโดอิงฟ้าคงรู้ที่มาของรอยทั้งหมด

“ฉันจำได้แค่ว่าเจอ มิเชล หว่อง และพอดื่มไวน์ไปอีกสองแก้วภาพก็ตัด” เพื่อนเก่าพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน “ฉันทำอะไรน่าเกลียดรึเปล่า”

ฉันอมยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนท่ามานั่งไขว่ห้าง “ไม่เลย ก็แค่ล้มทับโต๊ะจนลุกไม่ได้ แล้วก็ร้องไห้หาต้าวหมูอ้วนตั้งแต่บนรถจนมาถึงในห้อง อ้วกใส่หลังยายป่าน อ้อ และยังฉี่ใส่อ่างอาบน้ำ...”

“พอเถอะๆ” เพื่อนเก่ารีบยกมือขอร้อง คงจะทนฟังวีรกรรมตัวเองไม่ไหว “ฉันขอโทษ”

“ไม่เป็นไร คนเมาก็งี้แหละ” เรื่องแบบนี้ฉันเจอมาบ่อย ไปปาร์ตีเมื่อไหร่ก็มักจะมีเพื่อนๆ ที่หลุดอาการแบบนี้ แม้แต่สายป่านเองก็ใช่ย่อย ตอนไปนอนโรงแรมที่ฝรั่งเศส ขานั้นพอเมาแล้วดันละเมอไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วก็ฉี่ใส่ เพราะเข้าใจว่าเป็นห้องน้ำ! น่าอายชะมัด

“ฉันไม่ได้ดื่มมานานมาก” อิงฟ้าสารภาพ

“ฉันรู้ เธอไปอาบน้ำเถอะ ส่วนเรื่องห้องเดี๋ยวแม่บ้านก็มาทำความสะอาดเอง”

สาวอ้วนพยักหน้าก่อนจะลุกจากที่นั่ง แต่ก็ไม่วายหันมามองหน้าฉันจนต้องถามว่ามีอะไรอีกหรือเปล่า

“คือ ถึงแม้ฉันจะรั่ว จะพัง แต่ก็ยอมรับนะว่าเมื่อคืนมันสนุกมาก”

ฉันยิ้ม พร้อมกับยกแก้วกาแฟมาจิบ “ดีใจนะที่แกโอเค”

“ชีวิตโสดมันดีแบบนี้นี่เอง จะเมาปลิ้น รุงรังแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า”

ฉันพยักหน้าให้ “ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวไว้เลย เย็นนี้ฉันนัดคนสำคัญไว้”

“ใครวะ” 

“ถึงเวลาก็รู้เองแหละ”

เมื่ออิงฟ้าจากไปฉันก็ได้ยินเสียงข้อความเข้าทางมือถือ เลขาฯ ของฉันรายงานว่าจองสถานที่และนัดคนสำหรับงานเลี้ยงเย็นนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หนึ่งทุ่มไม่ขาดไม่เกิน ฉันโทรศัพท์เรียกให้คนขับรถมารับที่คอนโด อิงฟ้าดูสดใส พร้อมจะตะลุยปาร์ตีอีกครั้ง แต่คืนนี้สายป่านไม่ได้ไปด้วย เพราะต้องพาดาราในสังกัดไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัด ซึ่งฉันก็เห็นว่าเป็นโอกาสดีเหมือนกันที่จะได้เที่ยวกับเพื่อนเก่าโดยที่ไม่มีสายป่านคอยขวางไปเสียทุกเรื่อง

รถพาเรามาที่โรงแรมห้าดาวย่านใจกลางกรุง ฉันยังไม่บอกอิงฟ้าว่าจะพาไปพบใคร

“หรือว่าแกจะเซอร์ไพรส์ฉัน” เพื่อนตุ้ยนุ้ยเอียงหน้าถาม 

“ฉันไม่ได้เป็นคนชอบเซอร์ไพรส์นะยะ” ฉันค้อนปะหลับปะเหลือก อิงฟ้าหัวเราะลั่น 

ใช่ เรื่องเซอร์ไพรส์กับแก๊งนารีงูพิษถือว่าเป็นของแสลง

ฉันกดลิฟต์ไปยังชั้นสามสิบสอง เมื่อประตูเปิดออกก็พบกับร้านอาหารสไตล์วินเทจ ผนังกรุกระจกโดยรอบ เห็นวิวมหานครยามอัสดงได้ชัดเจน

บริกรสาวที่มาต้อนรับพาพวกเราไปยังที่นั่งมุมด้านในค่อนข้างเป็นส่วนตัว ซึ่งมีแต่ลูกค้าวีไอพีหรือไม่ก็คนดังเท่านั้นถึงจะจองที่ตรงนี้ได้

ฉันยิ้มกริ่มเมื่อเห็นคนที่นัดไว้นั่งรออยู่แล้ว และเมื่ออิงฟ้าเห็นก็ทำตาโต ร้องเสียงดังด้วยความดีใจ

“ปลาดาว เจ้าจันทร์!”

สองสาวรีบลุกจากที่นั่งเข้ามาโอบกอดทักทาย

“ไม่นึกเลยว่าพวกแกจะมา” อิงฟ้าน้ำตาไหลเปรมปรีดิ์

“ยายพราวให้เลขาฯ ติดต่อพวกเราไป บอกว่าจะขอนัดทานข้าวเย็นด้วย” ปลาดาวเอ่ย 

“ดีจัง ในที่สุดพวกเราได้เจอกันแบบครบทีม” เจ้าจันทร์ยิ้ม เธอเป็นคนเดียวที่สวมชุดสูทที่ค่อนข้างเป็นทางการ น่าจะเพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ของภรรยานักการเมืองท้องถิ่น

“ก็อยากรำลึกความหลังกับเพื่อนๆ ทุกคนไง ไปๆ นั่งกันเถอะ สั่งอะไรหรือยัง” ฉันรีบชวนทุกคนไปนั่งที่โต๊ะ

บรรยากาศแห่งความสนุกสนานจึงเริ่มต้น เมื่อลิ้นชักแห่งความทรงจำถูกเปิดออก พวกเรายังได้แลกเปลี่ยนความเป็นไปของแต่ละคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันเกือบสิบปี

เจ้าจันทร์ นอกจากจะเป็นภรรยานักการเมือง แว่วๆ ว่า สมัยหน้าก็จะลงสมัครเลือกตั้งด้วย เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับสามีเธอก็อุทิศตนทำงานเพื่อส่วนรวม ทำให้มีฐานเสียงสนับสนุนพอสมควร

ส่วนปลาดาว แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจนไม่เหลือมาดสาวห้าว หูตาแพรวพราวใส่ผู้ชายเป็นว่าเล่น เธอบอกว่ากำลังคบแฟนหนุ่มที่อายุเด็กกว่า ดีกรีเป็นถึงเดือนมหา’ลัย

 “ไม่น่าเชื่อเลยว่าแกยังโสด ถามจริงๆ ไม่คิดจะรักใครบ้างเหรอ” ปลาดาวถามแทนทุกคนเมื่อได้รู้ว่าฉันยังรักษาความโสดไว้ดุจเกลือรักษาความเค็ม

“ฉันรักใครไม่ได้” ฉันทำหน้าเศร้า ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาเพื่อโชว์แหวนที่ใส่ “เพราะฉันต้องคำสาปแหวนวงนี้อยู่”

เพื่อนในวงกรี๊ดลั่นเมื่อฉันโชว์แหวนงูพิษ ต่างแย่งกันพูดถึงวีรกรรมสมัยวัยรุ่นอีกครั้ง โดยเฉพาะตอนปฏิญาณต่อหน้ารูปปั้นเมดูซ่าในห้องชมรมศิลปะ 

“เพราะพี่มาร์คคนเดียวแท้ๆ ที่ทำให้แกครองตัวโสด” ปลาดาวเอ่ย

“มันก็ไม่เชิงหรอก ฉันมีความสุขที่จะไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า ยังไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับใคร” ฉันย้ำจุดยืนว่าที่โสดเพราะอยากโสด ไม่ได้โสดเพราะไม่มีใครเอา

“ไม่ต้องห่วง ชีวิตยายพราวน่าอิจฉาจะตาย ฉันมาอยู่ด้วยแค่ไม่กี่วันยังรู้สึกได้” อิงฟ้าสนับสนุน “อยู่คนเดียวในคอนโดหรู มีคนคอยดูแลปรนนิบัติทุกอย่าง จะทำงานกี่โมงก็ได้ ที่สำคัญแม้จะไม่มีแฟน แต่เรื่องอย่างว่า...ก็ไม่เคยขาด” 

คนเล่าเบาเสียงจนทุกคนต้องเงี่ยหูมาใกล้ๆ

“หมายถึงเรื่องเซ็กซ์เหรอ” เจ้าจันทร์ถาม

ฉันอมยิ้ม “ฉันก็ถือคติว่า แม้ไม่มีแฟนแล้วเกิดใจเหงา ก็เปิดเงินในกระเป๋าแล้วซื้อกินเอาน่ะสิ”

เพื่อนๆ ในกลุ่มกรี๊ดรอบสอง 

“คนอย่างพราวตะวันไม่ต้องซื้อหรอกมั้ง บอกมาเลยนะว่าคนล่าสุดที่กินมาเป็นใคร” ปลาดาวคะยั้นคะยอ

“ก็...นายแบบแหละ” ฉันแกล้งปด ทั้งๆ ที่ใบหน้าของอนิลตอนเคลียคลอยังจำติดตา “ผู้ชายหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พ่อของลูกต้องคิดนานๆ หน่อยสิ”

ทุกคนต่างชื่นชมในชีวิตที่ดี๊ดีของฉัน

“ฉันอยากมีอารมณ์นี้บ้างจัง ไอ้แก่ที่บ้านมันก็ไม่ค่อยยอมทำการบ้านเลย เฮ้อ!” ว่าที่นักการเมืองท้องถิ่นบ่นอุบ

“ก็ถ้าพวกแกสนใจ ไว้วันหลังเราไปเที่ยวบาร์โฮสต์กันมั้ย รับรองว่าพวกแกจะมีความรู้สึกเหมือนได้เป็นเจ้าหญิง” ฉันคิดไอเดียในปาร์ตีครั้งต่อไปได้ เพื่อนสาวกรี๊ดกร๊าดกันน่าดู

“ดี ต่อไปนี้คอยดูนะ ฉันจะแรดให้โลกจำ ถ้าได้ผัวใหม่ก็จะเอาให้หล่อ ให้รวยกว่าไอ้พี่ปฐพีเป็นสิบเท่าเลย คอยดู” อิงฟ้าประกาศก้องก่อนจะยกแก้วดื่มจนพวกเรารีบปรบมือให้

เข็มนาฬิกาหมุนไปเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศและเสียงเพลง คนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นวัยรุ่นกะโหลกกะลา แต่เป็นระดับไฮโซ คนดัง มีหนุ่มๆ ส่งสายตาบัตรเชิญมาให้ฉันพร้อมที่จะเข้ามาชนแก้ว

“ชีวิตแกดีขนาดนี้ คงมีแต่คนอยากจะได้เป็นแฟน” ปลาดาวพูดตรง

“ใช่ เพราะฉะนั้นแกต้องเลือกดีๆ นะ หาคนที่จริงใจกับแกที่สุด สนใจใครรึเปล่า เดี๋ยวฉันจะหาให้” เจ้าจันทร์สนับสนุน

“โอ๊ย ก็บอกแล้วว่าฉันยังไม่อยากมีแฟนเป็นตัวเป็นตน” ฉันบอกปัด แต่ก็ยังชูแก้วทักทายไปทั่ว 

ด้านซ้ายมือจำได้ว่าเป็นหนุ่มเจ้าของแอปพลิเคชันชื่อดัง แต่ผู้หญิงนั่งด้วยเต็มโต๊ะ ยังคิดจะมาหลีฉันอีก ส่วนด้านขวาก็เป็นแก๊งชายรูปหล่อหุ่นดี ติดนิดเดียวคือทารองพื้นหนาจนหน้าเทา กลัวใจว่าอยากจะได้เพื่อนชายกลายเป็นเพื่อนสาว

“มีคนมาให้เลือกเป็นร้อย เพื่อนเราก็ไม่สนใจใครสักคน ฉันนับถือในอุดมการณ์จริงๆ เอ้า! พวกเราชนแก้วกันหน่อย ดื่มให้สาวโสดที่ยังเหลือคนสุดท้ายของแก๊งนารีงูพิษ” ปลาดาวยกแก้ว ทุกคนรีบทำตามอย่างว่าง่าย

ระหว่างนั้นฉันก็ยังเป็นเหมือนซุป’ตาร์ ของผับ มีหนุ่มๆ คอยแวะเวียนมาหา เป้าหมายก็คงอยากจะสานสัมพันธ์ด้วย เพื่อนในกลุ่มก็พยายามจะเชียร์ให้เลือกคนนั้นคนนี้ แต่คนอย่างฉัน ถ้าไม่ถูกใจหรือไม่มีแรงกระตุ้นก็ไม่ยอมอะไรง่ายๆ หรอก

“นี่ยายพราว ฉันว่าคนนั้นก็หล่อดีนะ” อิงฟ้าสะกิดให้มองไปที่มุมหน้าเคาน์เตอร์และเมื่อฉันหันไปมอง หัวใจก็ตกไปที่ตาตุ่ม

สายตาของชายหนุ่มผมสั้นมองมายังฉันคนเดียว แววตาของเขาเหมือนกับหมาป่าจ้องเหยื่อ 

“เธอรู้จักเขาหรือเปล่า” สาวอ้วนถาม

ฉันรีบหันหน้ากลับมายกแก้วเพื่อเก็บอาการพิรุธ “มะ...ไม่รู้จัก”

แต่เหมือนจะสายไป หนุ่มคนนั้นกำลังปรี่มายังโต๊ะของพวกเรา

“สวัสดีค่ะ” ปลาดาวยิ้มให้แก่เขา ส่วนฉันต้องหลบหน้าทำเป็นว่าไม่ได้รู้จัก

“สวัสดีครับ ผมอนิล พอดีรู้จักกับคุณพราว...”

“ใช่ๆ เพื่อนฉันเอง” ฉันรีบตัดบท พยายามขยิบตาเพื่อบอกใบ้ให้เขา ‘หุบปาก’ และอย่าพูดอะไรอีก

“ผมกับคุณพราวเราเคยเจอกันมาก่อน และผมกำลังพยายามจีบเธออยู่”

ทุกคนเงียบกริบ ฉันจ้องหน้าเพื่อไม่ให้เขาพูดต่อ

“บอกไว้เลยนะครับ ยังไงคุณพราวก็เหมาะที่จะเป็นแฟนของผมคนเดียว” อนิลพูดสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ

ฉันยกมือมากุมขมับ จะบ้าตาย สารจากแววตาไม่ได้ผล ฉันรีบทำเป็นโวยวายเสียงดังบอกว่าอยากเข้าห้องน้ำ ก่อนจะดึงแขนเขาออกจากโต๊ะพาไปยังทางเดินที่มุ่งไปห้องน้ำ พอเจอมุมลับตาคนก็ผลักเขาเข้าไปเพื่อต้องการคุยให้รู้เรื่อง

“คุณมาได้ไง” ฉันกอดอกถาม 

“ก็...ผมพักคอนโดแถวนี้ มาเที่ยวที่นี่ก็บ่อยอยู่”

ฉันสูดลมหายใจลึก ก่อนจะจ้องไปยังแววตาซื่อๆ “ฉันพูดตรงๆ เลยละกัน คุณช่วยลืมเรื่องคืนนั้นทีนะ ให้ทำเหมือนว่าเราไม่รู้จักกัน”

เขากลับขยับตัวเดินเขาหาจนฉันต้องถอยหลังชิดติดกำแพง

“ก็ตอนแรกคุณเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่ารู้จักผม” เขาแย้ง

“ก็...ฉันเข้าใจผิด ขอโทษนะ ฉันนึกว่าคุณเป็นผู้ชายอีกคน แต่ไม่ใช่ สรุปฉันไม่ได้รู้จักคุณเลย ส่วนเรื่องที่เรามีอะไรกันคืนนั้นก็ถือว่าขำๆ ไปละกัน”

เขาเบือนหน้าหนีด้วย อาการดูเซ็งๆ ก่อนจะเป่าลมออกปากแล้วจ้องหน้าฉันอีกครั้ง

“ถ้างั้นก็ขออนุญาตแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผม อนิล แสนนาคะบุตร เป็นคนขอนแก่น เพิ่งจะมาทำธุรกิจที่กรุงเทพฯ ถือว่าเรารู้จักกันแล้วนะ”

ฉันยิ้มเจื่อน “ค่ะ ฉันพราวตะวัน...”

“ไม่ต้องแนะนำแล้ว รู้จักกันแบบนี้แล้วคุณจะเอายังไงต่อ หมายถึงความสัมพันธ์ของเรา”

“ก็ไม่ต้องทำอะไร มันก็แค่เซ็กซ์ เราสนุกด้วยกันทั้งคู่”

เขาคิ้วขมวด ยกมือทั้งสองข้างมายันผนังเพื่อขังตัวฉันไว้ในอ้อมแขน แถมยังยื่นหน้ามาในระยะประชิด แม้จะเป็นสาวมั่น แต่เจอแบบนี้ฉันก็แอบใจสั่น

“ทำไมถึงพูดว่าเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมดา ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิง” น้ำเสียงเขาฟังดูตำหนิ

ฉันยิ้มสู้ “โธ่คุณ นี่มันศตวรรษที่ยี่สิบสองแล้วนะ คุณจะให้ฉันเรียบร้อยเหมือนนางเอกในนิยาย ที่ต้องเอียงอายเวลาพระเอกตามจีบ ไม่กล้าเรียกร้องเวลาที่มีเซ็กซ์ ทั้งๆ ที่ในโลกแห่งความเป็นจริงเด็กในประเทศเรามีเซ็กซ์กันตั้งแต่สิบสามสิบสี่ สถิติของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือท้องก่อนแต่งพุ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย เด็กบ้านเรารู้จักวิธีเข้าเว็บโป๊ แต่ดันไม่รู้จักที่จะใช้ถุงยางอนามัย...” 

ฉันบ่นยาวสีหน้าจริงจัง ให้เขารู้ว่าเรื่องอย่างว่ามันคือธรรมชาติที่ต้องเรียนรู้มากกว่า จนสังเกตว่าเขาเริ่มมีทีท่าอ่อนลง

“ผมรู้สึก...เหมือนถูกฟันแล้วทิ้ง” เขาก้มหน้าซบที่ซอกคอของฉันจนฉันต้องเอียงหน้าหลบ

“ฉันไม่ได้ทิ้งเสียหน่อย เราก็ยังทักทายกันได้”

เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนจมูกโด่งของเขาคลอเคลียที่แก้ม ลมหายใจของเขาพัดผ่านสัมผัสผิวจนรู้สึกร้อนผ่าว

“แล้ว ผมยังสามารถจูบคุณได้อีกหรือเปล่า” 

พอเขาพูดฉันก็มองปากรูปกระจับของเขาทันที “คุณก็พยายามสิ” 

แม้จะไม่ได้อยากสานสัมพันธ์ต่อ แต่ก็อดห้ามนิสัยช่างยั่วของตัวเองไม่ได้ ซึ่งมันก็ทำให้ชายหนุ่มยื่นหน้ามาประกบปากฉันทันที

น่าแปลกที่ฉันก็ไม่ขัดขืน...

ริมฝีปากอุ่นๆ และกลิ่นน้ำหอมบุรุษจากตัวเขาทำสติฉันกระเจิง ลิ้นของเรากำลังพัวพันจนกระทั่งฉันรู้สึกเคลิ้ม ก่อนจะดูเสียท่าไปมากกว่านี้ ฉันก็รีบผลักร่างเขาออก 

“วันนี้แค่นี้ก่อนดีกว่า” 

ว่าจบฉันก็หมุนตัวออกมายังทางเดิน ซึ่งจังหวะนั้นดันไปเจอหนุ่มร่างสูงอีกคนกำลังออกมาจากห้องน้ำชายพอดี สีหน้าเขาดูมีหลากหลายอารมณ์เมื่อได้พบฉัน

“สวัสดีครับบอส ไม่สิ อดีตบอส”

“ชินทัศ” ฉันพยักหน้าทักทาย

ลูกน้องเก่ายิ้มมุมปาก มองฉันตั้งแต่หัวจดเท้า และเหมือนจะยิ่งแปลกใจเมื่ออนิลเดินตามออกมาด้วย

“เป็นไงบ้างล่ะ” ฉันถามไปส่งๆ เพราะไม่อยากให้เขาโฟกัสกับคนที่อยู่ข้างหลัง

“ก็ดีครับ มีแต่คนเห็นใจ เฮ้อ! เกิดมาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกไล่ออกเพราะจัดปาร์ตีสารภาพรักแฟนในที่ทำงาน” ชินทัศถอนหายใจ

“ดีแล้ว”

เขาดูประหลาดใจกับคำตอบฉัน อันที่จริงฉันไม่รู้จะตอบยังไงมากกว่าเพราะเกรงว่าชินทัศจะตามสืบว่าอนิลเป็นใคร

“ครับดี ตอนนี้ผมได้งานใหม่แล้ว เป็นบริษัทออกแบบคอนโดในเครือของคุณอลัน ทำงานกับผู้ชายก็ใจกว้างดี”

แน่ะ ยังประชดประชันฉันอีก กำลังจะหาเรื่องออกจากวงสนทนาแต่แล้วปลาดาวก็วิ่งหน้าตาตื่นมาตามทางเดิน ฉันรีบเดินเข้าไปหา

“มีอะไรเจ้าจันทร์”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วแก” ว่าที่นักการเมืองสีหน้าตื่นตระหนก

“มีอะไร”

“อิงฟ้า ดันไปเจอพี่ปฐพีมากับแฟนใหม่ เลยบุกไปอาละวาดถึงโต๊ะ ฉันกับปลาดาวห้ามยังไงก็ไม่อยู่”

“แย่แล้ว” ฉันรีบเดินตามเจ้าจันทร์ไปทันที 

ระหว่างที่เดินไปก็เริ่มได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อไปถึงทุกคนในร้านก้ต่างกำลังมองมายังเพื่อนตัวอ้วนที่ร้องไห้เสียงดัง โดยมีปลาดาวและพนักงานหญิงอีกสามคนกำลังช่วยกันฉุดรั้งไม่ให้เธอพุ่งตัวเข้าไปหาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง

“ไหนว่าจะไม่มีใคร แล้วนี่อะไร” อิงฟ้าชี้หน้าอีกฝ่ายน้ำหูน้ำตาไหล

“คุณเป็นอะไร...อิงฟ้า” หนุ่มที่คาดว่าจะเป็นอดีตสามีเอ่ย ฉันดูหน้าก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีเท่าไหร่

“ตอแหล คนนี้ใช่มั้ยที่บอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน หึ...นังแพศยา” ร่างใหญ่พุ่งเข้าหาแต่ทุกคนก็รีบดึงกลับ ไม่ทันได้ระวังว่าอิงฟ้าหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะสาดเข้าใส่

“ว้าย!” 

ผู้หญิงของเขาร้องเสียงหลง ปฐพีรีบเอาตัวเข้าบังและบอกให้คนอื่นๆ ออกไปรอที่ด้านนอก อิงฟ้ายังไม่ยอม ก่นด่าตามหลังเป็นชุด

“คุณมันงี่เง่าจริงๆ อิงฟ้า สมแล้วที่ผมจะต้องเลิกกับคุณ” สามีเก่าส่ายหน้า

“ใช่ เค้ามันงี่เง่า ไม่ได้สวยเหมือนเดิมแล้วนี่ ต้าวหมูอ้วนถึงไม่สนใจ”

ชายหนุ่มไม่โต้ตอบ แต่หันไปขอโทษพนักงานและขอยกเลิกมื้อค่ำที่จะกินที่นี่ อิงฟ้าหน้าเบ้ก่อนจะสะบัดแขนวิ่งเข้าไปจับมือเขา

“หมูอ้วน...ต้าวหมูอ้วน ไม่สงสารเค้าจริงๆ เหรอ”

ชายหนุ่มสะบัด อิงฟ้าก็คว้าแขนอีก แต่เขาก็กระชากแขนกลับจนอิงฟ้าเซ ฉันทนดูไม่ไหว รีบเข้าไปห้ามด้วยการผลักอกปฐพีจนเซไปอีกคน

“ให้เกียรติภรรยาคุณหน่อยสิ”  ฉันเอ่ยอย่างไม่พอใจ

“คุณเป็นใคร” เขาชักสีหน้า

“เพื่อนอิงฟ้า จะผิดจะถูกอะไรก็ค่อยๆ พูดจากัน ไม่ใช่ทะเลาะกันอย่าง...” 

ฉันพูดไม่ทันจบอิงฟ้าก็ถลาเข้าไปกอดชายหนุ่ม

“อะไรกันอิงฟ้า” ฉันขมวดคิ้ว

ยังไม่ได้ทันได้ทำอะไร เพื่อนตัวอ้วนก็หันมามองหน้าเอาเรื่อง “แกทำอะไรยายพราว”

“ทำอะไร”

“แกผลักพี่ปฐพีทำไม” น้ำเสียงตำหนิ แถมยังหันไปถามต้าวหมูอ้วนของหล่อนว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาแกะแขนของเมียเก่าและเดินหนี อิงฟ้าจะเดินตามไป แต่ปลาดาวกับเจ้าจันทร์ก็รีบเข้าไปห้าม

“อิงฟ้า ฉันมาช่วยแกนะ” ฉันโวยวายบ้าง

“แกทำร้ายพี่ปฐพี” เสียงอิงฟ้าสั่น

ยิ่งเพื่อนปุ้มปุ้ยเอ่ย ฉันก็ยิ่งโมโห “ตกลงแกต้องการอะไรจากสังคม ก็เห็นๆ อยู่ว่าไอ้เจ้าหมูอ้วน...”

“ต้าวหมู ไม่ใช่เจ้าหมู” อิงฟ้ายังเถียง

“เออ! จะต้าวหมู หรือไอ้ต้าวเชี่ย มันก็มีคนใหม่ไปแล้ว ยังจะอาลัยอาวรณ์มันทำไม” 

ฉันเสียงดังจนทุกคนในร้านหันมามอง ส่วนอิงฟ้ายังร้องไห้เสียงดังลั่น

“พราว ให้เวลาอิงฟ้ามันหน่อย” ปลาดาวพยายามอธิบาย

“ยังต้องการเวลาอะไรอีก เห็นตำตาขนาดนี้” ฉันเถียง 

 “อิงฟ้าอยู่กับเขามานาน อาจจะทำใจไม่ได้” เจ้าจันทร์พูดเหมือนเข้าใจ

เสียงร้องไห้ของคนโดนเทดังไม่หยุด ดูทรงแล้วคนทั้งร้านคงจะเริ่มเสียบรรยากาศในการรับประทานอาหาร

“ฮือๆ ฉันอยู่กินกับเขามาสิบกว่าปี ไม่เคยต้องอยู่คนเดียวแบบแกนี่ ยายพราว แกมันคนไร้หัวใจไง ถึงมองว่าทุกคนจะต้องแข็งแกร่ง อดทนได้เหมือนแก” อิงฟ้าเถียงสู้

เส้นเลือดที่ขมับของฉันเต้นตุบๆ “งั้นแกจะทำยังไงล่ะ วิ่งตามไปง้อสิ แต่ดูสภาพ แค่วิ่งตามก็เหนื่อย ฉันว่าไอ้พี่ปฐพีมันเห็นก็คงสังเวชใจมากกว่า”

“แกไม่รู้หรอก ว่าการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีหัวใจ ก็เหมือนคนตายไปแล้ว!” อิงฟ้าตะโกนลั่น

“เออ งั้นก็เชิญตายไปพร้อมกับหัวใจและร่างเน่าๆ ของแกเถอะ”

อิงฟ้าร้องไห้ดังขึ้นอีก ฉันสังเกตว่ามีคนในร้านยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป

เจ้าจันทร์เข้ามาดึงแขนฉันให้ถอยห่างออกมา “พราวแกพูดแรงไปแล้วนะ”

“คุณครับ ผมว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า” อนิลที่อยู่ข้างหลังเอ่ย แต่ฉันที่ได้เห็นอิงฟ้าเอาแต่ฟูมฟายก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ

“เอาเลย ร้องไปเลย ให้ผู้ชายกับนังแฟนใหม่มันหัวเราะเยาะ เพราะคนอย่างเธอที่สุดแล้วก็ขี้แพ้ ไม่เคยมีคำว่าชนะผ่านเข้ามาในชีวิต”

“พอได้แล้วน่า ยายพราว” ปลาดาวเหมือนจะทนไม่ไหว รีบบอกให้อนิลพาฉันแยกออกไปที่อื่น

ปลาดาวและเจ้าจันทร์คอยปลอบอิงฟ้า ส่วนฉันถูกอนิลทั้งฉุดทั้งลากให้ลงมาจากลิฟต์และขึ้นรถแท็กซี่กลับ รู้ตัวอีกทีเขาก็ยืนส่งฉันอยู่ที่หน้าประตูห้อง

“คุณโอเคมั้ย” เขาถาม เห็นแววตาก็รู้แหละว่าเป็นห่วง 

ฉันพยักหน้าก่อนจะกดรหัสเพื่อเปิดประตู เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทฉันจึงต้องหันไปถามเขา “คุณจะเข้าไปดื่มอะไรข้างในไหม”

เขานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ย “ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณอยากอยู่คนเดียวผมกลับก่อนก็ได้”

ขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวกลับ หัวใจก็สั่งให้ฉันตะโกนตามหลัง “เดี๋ยว”

เขาหันหน้าซื่อๆ มาหา

“ถ้าฉันไม่อยากอยู่คนเดียวล่ะ”

อนิลไม่ตอบ แต่กลับเดินเข้าห้องมาอย่างรวดเร็ว 

เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่เป็นการอ่อยหรือให้ท่าแต่อย่างใด แต่ฉันกำลังรู้สึกแย่และยังอยากดื่มแก้เซ็งต่อ...

ไฟในห้องเปิดอัตโนมัติ เขาถอดเสื้อแจ็กเกตแขวนไว้ที่เสาแขวนเสื้อก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟากลางห้อง ฉันเดินไปหยิบไวน์และแก้วมาวางให้เขาเป็นคนรินให้

“แล้ววันนี้เพื่อนคุณที่ชื่อสายป่านไปไหนเหรอครับ” เขาถาม คงเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป

“สายป่านมีธุระ วันนี้ฉันมาเที่ยวกับเพื่อนที่เคยเรียนมัธยมด้วยกัน” ฉันบอก ก่อนจะนั่งลงและรับแก้วไวน์จากมือของเขา

แสงไฟในห้องส่องให้เห็นว่าอนิลเป็นหนุ่มผิวเข้มแบบชายไทย หุ่นกำยำสมส่วน ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผมรองทรงที่ธรรมดาแต่กลับมีเสน่ห์

“งานเลี้ยงรุ่นนี่เอง ผมจำได้ว่าเพื่อนคนที่ทะเลาะกับคุณคือคนที่เมาจนเดินไม่ได้เมื่อวันก่อน”

ฉันพยักหน้าในความเป็นคนจำเก่งของเขา

“เธอชื่ออิงฟ้า ฉันกับเพื่อนแก๊งนี้เราไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปีแล้ว และวันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มาเจอกัน หลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทาง”

อนิลยังนั่งฟังตาแป๋ว 

“ที่เราได้เจอกันครั้งนี้ เพราะอิงฟ้าเพิ่งเลิกกับสามี ด้วยความสงสารฉันจึงนัดเพื่อนอีกสามคนให้มาเจอกัน แต่ก็ไม่นึกว่า...” ฉันยักไหล่พร้อมกับผายมือ “ต้องมาทะเลาะกัน อย่างที่คุณเห็นเมื่อครู่นั่นแหละ”

เขาพยักหน้า จากนั้นก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ มองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกแสงไฟยามราตรีช่วยปิดบังความวุ่นวายของเมืองหลวง

“ฉันไม่เข้าใจ...ทำไมอิงฟ้าถึงตำหนิฉัน ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ” สารภาพตามตรงว่าฉันยังโกรธเพื่อนตัวอ้วนที่พูดแบบนั้น

“คุณคิดดูสิ ตอนแต่งงานก็ไม่เห็นจะมาชวนไปร่วมงาน แต่พอเลิกกันดันมาดักรอฉันที่คอนโด ร้องไห้ฟูมฟายบอกว่าไม่เหลือใครแล้ว นึกถึงแต่ฉันคนเดียว ฉันก็ให้ที่พัก พาไปคลายเครียดต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่ไลฟ์สไตล์ของฉันกับอิงฟ้าไม่ได้เหมือนกัน ฉันมันเป็นคนโสดที่ไม่เคยสนใคร สนุกกับชีวิตไปวันๆ แต่แม่นั่นเป็นพวกที่อยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะเคยโดนสามีสปอยมาก่อน” ฉันระบายเป็นชุด

“แต่คุณก็เป็นคนใจดีนะ ในวันที่เพื่อนคุณไม่มีใครคุณก็ยังอยู่ข้างๆ เธอ”

ฉันอมยิ้ม แต่ในใจก็ยังรู้สึกเศร้า...

“ตอนแรก สารภาพเลยนะว่าฉันก็รู้สึกสมน้ำหน้า เพราะเพื่อนคนนี้แหละที่ทิ้งฉันไปมีแฟนก่อนใคร อยากจะอวดเหมือนกันว่าเป็นคนโสดมีความสุขจะตาย แต่พอเห็นคนที่ถูกความรักทำร้ายแล้วก็เริ่มรู้สึกสงสาร อยากให้อิงฟ้าเข้มแข็งให้ได้ อีกอย่างฉันเริ่มรู้สึกดีที่ได้เพื่อนเก่าคืนกลับมา”

อนิลเป็นผู้ฟังที่ดี เขานิ่งเงียบจนได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ

“ฉันเหมือนได้กลับไปเป็นวัยรุ่นอีก ยังคิดเลยว่าทุกคนในแก๊งอาจจะกลับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันอีกครั้ง แต่สถานการณ์เมื่อครู่ทำให้เห็นแล้วว่าอิงฟ้ายังเป็นคนเดิม คนบ้าผู้ชาย”

“อารมณ์ของคนเรามันไม่เข้าใครออกใครหรอกครับ”

ฉันเงยหน้ามองแววตาสีน้ำตาลของเขา

“จริงๆ ความรักมันก็อยู่เฉยๆ ของมัน แต่คนเรามักจะให้อารมณ์พามันมาเป็นข้ออ้างในการทำอะไรตามใจตัวเอง เรื่องของคุณอิงฟ้า ผมว่าปล่อยให้เธอได้เรียนรู้ด้วยตัวเองดีกว่า สิ่งที่ช่วยได้ดีที่สุดก็คือเวลาเท่านั้น”

ฉันนั่งคิดอยู่นาน อนิลคงสังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม “สบายใจขึ้นหรือยัง”

“ก็นิดหน่อย” ฉันตอบ

แต่แล้วอยู่ๆ ชายหนุ่มก็ขยับตัวเข้ามานั่งข้างๆ 

“ขออนุญาตนะครับ” เขาเอ่ยสุภาพ ก่อนจะอ้าวงแขนกว้างเข้ามากอดฉันไว้แน่น “แล้วถ้าผมกอดคุณไว้อย่างนี้ สบายใจขึ้นไหม”

หน้าแดง หัวใจอุ่นแผ่ไปทั่วร่างจนทำให้ฉันอมยิ้ม ก่อนจะอิงซบที่อกกว้างราวกับได้อยู่ภายใต้ปีกของความปลอดภัย

“คุณไม่เห็นตอบ” เขาเสียงเบา 

ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ 

นานแล้วนะที่ฉันไม่ได้แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น ฉันอยู่บนพื้นฐานที่เลิศ เชิด เพอร์เฟกต์มาตลอด ไม่เคยรู้สึกถึงการพ่ายแพ้หรือไม่มีค่า ไม่เคยสนคำครหาใดๆ เพราะเชื่อว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันหัวใจที่แข็งแรงพอ

หรือว่าที่ผ่านมาฉันเข้าใจผิด...ฉันเพียงแค่ใช้บุคลิกที่แข็งแกร่งปิดบังไว้ เพราะไม่มีใครให้ฉันได้แสดงมุมที่อ่อนแอหรือเปล่า...

ฉันเงียบไป กระทั่งอนิลเอียงหน้ามองฉันในอ้อมแขน

“คุณจะร้องไห้ก็ได้นะ”

“ไม่มีทางหรอกย่ะ เรื่องแค่นี้มันขี้ประติ๋ว” เห็นมั้ย ฉันเศร้าแป๊บเดียว ไม่ยอมให้ใครมาสงสารหรอก

พอพูดไปแบบนั้นอนิลก็เก็บอ้อมแขนคืน ฉันนึกเสียดายอยู่เหมือนกัน

“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงยังตามตื๊อฉันอีก...ทั้งๆ ที่ฉันก็ปฏิเสธคุณอยู่บ่อยๆ” ฉันหันมาถามเรื่องเขา

“ผมแค่อยากทำตามใจผมเท่านั้นเอง”

“หมายความว่าไง” ฉันขมวดคิ้ว

“ผมคิดว่า รักใคร ชอบใคร เมื่อมีโอกาสก็ทำเต็มที่ ไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องเก็บไว้ให้เสียเวลา”

ฉันยิ้มให้แก่คำพูดของเขา แล้วหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแกว่ง “แสดงว่า ฉันเป็นคนที่คุณยอมเสียเวลาด้วยงั้นเหรอ” 

“ก็...ทุกวินาทีนะ”

คำพูดเชยๆ แต่กลับทำให้หัวใจพองโต ที่สุดก็อดไม่ได้ ฉันยื่นหน้าไปจุมพิตเขา อนิลตอบรับ ประกบริมฝีปากอุ่น และคงเป็นอีกครั้งที่ไฟในทรวงของเราถูกจุดให้คุกรุ่น

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น