ตอนที่ 5

ตอนที่ 5

อารมณ์ชั่ววูบ

ฉันวางแก้วไวน์แล้วเอื้อมมือไปโอบไหล่กว้าง รสจูบที่นุ่มนวลเริ่มร้อนแรง ชิวหาเราสองตวัดไปมาราวกับจะกลืนกินกัน 

อนิลโน้มตัวมา แรงที่มีมากกว่าของเขาทำให้ฉันต้องนอนราบบนโซฟา พอถอนริมฝีปากออกเขาก็สบตา ก่อนจะหอมแก้มนวลอย่างแผ่วเบา ไซ้ขึ้นไปที่ใบหู ไล่เลื้อยลงมาที่ซอกคอ เหมือนว่ากลิ่นน้ำหอมของฉันจะพึงใจเขาไม่น้อย 

มือไม้ของเขาคลึงเคล้าหน้าอกอวบอั๋น สะโพกงอนงาม และราวกับเขามีเวทมนตร์ที่แตะผ่านเสื้อผ้าของฉันตรงไหน มันก็หลุดลุ่ยเปลื้องออกอย่างง่ายดายจนเหลือเพียงชุดชั้นในตัวจิ๋ว 

ภายใต้ไฟในห้องที่ปรับแสงให้เป็นสีส้มอ่อน อนิลมองฉันเหมือนจะกลืนกินไปทั้งตัว

“ขี้โกง ทำไมคุณไม่ถอดด้วยล่ะ” ฉันมองค้อน

เขาไม่ตอบ แต่จับมือฉันขึ้นมาจุมพิต ก่อนจะจับไปวางที่กลางอกแกร่ง ภายใต้เสื้อยืดนั้นฉันรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นแรง

“รู้ใช้ไหมว่าคุณทำให้ผมตื่นเต้นได้ตลอด”

“ฉันไม่เชื่อ” ฉันเอียงคอยั่ว เขาจับมือของฉันลูบและเลื่อนลงไปที่หน้าท้อง ต่ำลงไปถึงเป้ากางเกงยีนที่มีบางอย่างด้านในแข็งเป็นลำ

“เชื่อหรือยังล่ะ”

ใจฉันเต้นโครมคราม ยิ่งเขาไม่ยอมถอดเสื้อผ้าก็ยิ่งท้าทายให้ฉันอยาก...สัมผัสความแข็งแกร่งภายใต้กางเกง ที่ตั้งตรงไม่ต่ำกว่าเจ็ดนิ้ว! 

“ไม่เชื่อถ้าไม่เห็นกับตา” ฉันกัดริมฝีปาก รูดซิปกางเกงยีนและล้วงเข้าไปดึงกางเกงในของเขาลง 

ทันใดนั้นท่อนสวรรค์ของเขาก็โผล่พรวดออกมา มันแข็งแกร่ง เห็นเส้นเลือดชัดเจน ตรงปลายบานใหญ่และเหมือนว่ามีน้ำไหลเยิ้ม ฉันสัมผัสรับรู้ได้ถึงความอุ่นลื่น

“บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้โกหก” เขากระซิบ ก่อนจะสูดปากเมื่อฉันใช้หัวแม่มือบดขยี้ปลายยอดที่ฉ่ำน้ำ 

ร่างเขากระตุก ฉันได้ทีจึงก้มจุมพิตไปที่แก่นกายอันนั้น ก่อนจะบรรจงครอบปากลงไป อนิลสะดุ้ง เกร็งมือสางผมฉัน และเมื่ออมมันเข้าไปจนสุดคอหอยเขาก็ครางออกมาเสียงดัง

“อา...”

ฉันได้กลิ่นหอมจากสบู่ ชายหนุ่มคงดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี มือเขายังวนเวียนอยู่กับการลูบผมของฉัน และเริ่มเด้งเอวรับ

มังกรของเขาคับแน่นปาก ยิ่งยามเขาสวนกระแทก ส่วนหัวของมันที่ชนเข้ากับคอหอยทำฉันแทบขย้อน จนต้องคายออกเพื่อสูดหายใจลึกๆ ท่อนสวาทฉ่ำไปด้วยน้ำ สั่นหงึกๆ คล้ายจะทนไม่ไหวเหมือนกับเจ้านายของมัน

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รีบถอดเสื้อผ้าจนเหลือร่างที่เปลือยเปล่า กระโจนเข้าตะครุบหน้าอกข้างขวาของฉัน แล้วดูดกินอย่างคนหิวกระหาย ส่วนมืออีกข้างก็คลึงเคล้าอกข้างซ้าย บดขยี้ที่ยอดปลายจนมันชูชัน ฉันแอ่นตัวรับและกระซิบที่หูของเขา

“คุณใจร้ายที่สุด...”

และยังใจร้ายขึ้นอีกเมื่อบางจังหวะเขาเปลี่ยนจากการดูดเป็นขบเม้มเบาๆ สลับกับเลียวนรอบฐานปทุม

ความรู้สึกเหมือนกับจมน้ำ แต่บางเวลาก็เหมือนลอยขึ้นเหนือผิวธารา สุข แสบ เสียว เขาใช้เวลาเพลิดเพลินกับหน้าอกไม่นานก็ลากลิ้นสากต่ำลงมาที่เอว ระดมจูบไปทั่วหน้าท้อง ก่อนจะเลื่อนลงมาที่จุดกลางของกายสตรี แล้วค่อยๆ ถอดกางเกงในของฉัน

ฉันได้ยินเสียงพึมพำเมื่อน้องสาวฉันปรากฏสู่สายตาเขาอีกครั้ง ก่อนจะมุดหน้าใช้ชิวหาตวัดตรงร่องจนฉันร้องเสียงหลง

“โอ้ มาย ก๊อด!”

เขาขบติ่ง ใช้ลิ้นดุน บางเวลาก็งับเข้าที่กลีบดอกไม้หมือนจะกลืนกิน ทำให้น้ำของฉันเจิ่งนองออกมาอีก ลิ้นของเขาช่างมีอานุภาพยกตัวของฉันให้ลอยขึ้นจนต้องจิกหัวของเขาไว้แน่น ลิ้นและลมหายใจอุ่นๆ ปาดเข้าที่ถ้ำสวาท มันเป็นความเสียวที่อยากให้ถึงตอนจบ แต่ก็อยากให้มันเป็นเช่นนี้ไปนานๆ...

“พอเถอะคุณ ฉันจะขาดใจตายอยู่แล้ว” ฉันขอร้อง

เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปากเหมือนสาแก่ใจ ฉันจึงพลิกตัวเขาให้นอนหงาย ขึ้นคร่อมเขาและโน้มตัวไปจูบอย่างดูดดื่มอีกครั้ง

“ขอบคุณนะที่ช่วยให้ฉันไม่เหงา” ฉันพูดพร้อมกับร่อนเอวยั่ว 

“ผมไม่ได้อยากให้คุณแค่หายเหงานะ ผมอยากดูแลคุณไปตลอด...” เขาจะพูดต่อแต่ฉันก็ยื่นนิ้วชี้ไปแตะปากและส่ายหน้า

ชายหนุ่มยอมศิโรราบ เอื้อมมือหยาบลูบไล้ผิวเนียน แท่งชายเป็นลำ เสียดสีสะโพกกลมมนของฉันอยู่อย่างนั้น และเมื่อได้ยินเสียงฉีกถุงยางอนามัย จึงคิดว่าเขาคงพร้อม

จึงจับเจ้ามังกรยักษ์ยัดเข้าไปร่องสวรรค์ของฉัน ฉันยังแช่มันไว้อยู่อย่างนั้นเพราะยังรู้สึกจุก ร่องของฉันตอดรับสิ่งแปลกปลอมจนเขากระตุก พอมันเข้าอยู่ในร่างกายจนมิด ฉันก็เริ่มขย่มอย่างช้าๆ เขาเอื้อมมือมาคลึงเคล้าแตงโมแฝดของฉันที่กำลังกระเพื่อม

เงาของเราเคลื่อนไหวราวกับอยู่ในทำนองเพลงรัก เสียงร้องครางดังลั่นห้อง ฉันดึงมือเขาออกจากหน้าอกเพื่อมาประสานไว้

ฉันรู้สึกตัวเองเป็นดั่งนารีออกศึก โดยที่เขาเป็นขุนศึกที่ถือหอกแทง เราทั้งคู่ประลองเชิงยุทธในท่านี้อยู่นาน ก่อนที่ขุนศึกจะผลักให้ฉันนอนคว่ำแล้วจับฉันแอ่นสะโพก จากนั้นก็สาวอาวุธถูไถที่ปากถ้ำแล้วแทงพรวดมิดลำ ตอนนี้เราทั้งคู่ต่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ 

อนิลเร่งจังหวะ ก่อนโน้มตัวลงมาเล้าโลมที่คอระหง เอวของเขาเด้งถี่ ได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันลั่นห้อง ฟังแล้วรู้สึกเสียวซ่านจนที่สุดฉันก็เห็นทางสวรรค์อยู่รำไร 

“นิล ฉัน มะ...ไม่ไหวแล้ว” ฉันเงยหน้า แอ่นตัว จิกเล็บเข้าไปที่โซฟา เมื่อฉันถึงฝั่งชายหนุ่มก็เร่งกระบวนเชิงหอกแทงมิดลำจนร่างของเราทั้งคู่กระตุก 

“คะ...คุณ พราว”

เสียงของเขาแหบพร่า มือหยาบบีบเอวฉันไว้แน่น ก่อนจะล้มทับร่างฉันด้วยเหงื่อที่ท่วมกายเราสองยังกอดก่ายกันอยู่อย่างนั้น อนิลใช้หลังมือลูบไล้ไหล่เนียนของฉันราวกับหลงใหล ฉันมองหน้าเขาอย่างเป็นสุข ก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเพลีย

ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ งัวเงียค้นหามันในกระเป๋า หยิบมาดูก็เห็นหน้าจอโชว์ว่าเป็นเบอร์แปลก

ไม่อยากจะรับสาย แต่เวลาดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องด่วนจึงกดรับ

“ยายพราว นี่ฉันปลาดาวนะ”

เบอร์ของเพื่อนเก่านั่นเอง 

“ว่าไง มีอะไรหรือเปล่า” ฉันเหลือบมองนาฬิกาที่ผนัง บอกเวลาว่าตีสามครึ่งแล้ว 

“ยายอิงฟ้า” ปลายสายเสียงสั่น รู้เลยว่าเกิดเรื่องไม่ดี

“อิงฟ้ามีอะไร” 

“ยายอิงฟ้าเสียใจเรื่องพี่ปฐพีหนักมาก เลยกินยาพาราไปเกือบหมดกระปุก ฉันเพิ่งพามาส่งโรงพยาบาล”

ฉันตกใจตาตื่น “บ้าชะมัด แล้วตอนนี้อาการเป็นไงบ้าง”

“เพิ่งออกจากห้องฉุกเฉิน กำลังทำเรื่องแอดมิต”

“แล้วเจ้าจันทร์ล่ะ” 

“ก็อยู่ด้วยกันนี่แหละ” ปลาดาวเอ่ย “พราวแกพอจะมาหาพวกเราได้ไหม หวังว่าแกคงไม่โกรธอิงฟ้านะ”

“พอเถอะ” ฉันรีบตัดบทแล้วถามต่อ “อยู่ที่โรงพยาบาลไหน จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

เมื่อรู้ข้อมูลทุกอย่างฉันก็รีบวางหู ลุกไปสวมเสื้อผ้า กลับออกมาที่กลางห้องก็พบว่าอนิลตื่นและแต่งตัวเรียบร้อยเช่นกัน

“ขอโทษนะ พอดีฉันมีธุระด่วนเรื่องอิงฟ้าน่ะ เธอกินยาเกินขนาด ฉันต้องไปดูเสียหน่อย”

“ให้ผมไปด้วยนะ” เขาเอ่ย

 “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเองได้ คุณกลับไปพักผ่อนดีกว่า” ลึกๆ ก็ดีใจนะ แต่กลับเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ควรจะมาลำบากกับฉัน

อนิลยังหน้านิ่งเหมือนไม่อยากจะกลับ ฉันจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนที่จะจูบหน้าผากเด็กดื้อ 

“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันโอเคดี”

เมื่อพราวตะวันยืนยัน ใครก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว

ที่โรงพยาบาล ฉันผลักประตูห้องพิเศษเข้าไป ปลาดาวและเจ้าจันทร์มีสีหน้าดีใจ ฉันรีบไปที่เตียงของคนป่วย อิงฟ้าสภาพดูไม่ได้ ผมกระเซิง ใบหน้าเปื้อนเลอะไปด้วยเครื่องสำอางและคราบน้ำตา 

“พวกเรานอนที่โรงแรมเดียวกัน อิงฟ้าเอาแต่ร้องไห้และยังนั่งดื่มเบียร์ต่อ พยายามโทรศัพท์หาแต่พี่ปฐพี สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนแก้วแตก พอออกมาก็เห็นอิงฟ้านอนสลบอยู่คาเก้าอี้ ข้างๆ มีกระปุกยาพาราเซตามอลที่ไม่เหลือยาสักเม็ด ฉันเลยรีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล” ปลาดาวเล่าเรื่องราวทั้งหมด

“เบื้องต้นแพทย์ล้างท้องให้ เพราะว่าจำนวนยาที่กินเข้าไปเกินมาตรฐานที่ร่างกายคนเราจะรับได้ บวกกับแอลกอฮอล์ที่ดื่มมา ทำให้เสริมฤทธิ์จนอาจจะทำอันตรายต่อตับ ล้างท้องเสร็จแพทย์จึงให้พักฟื้นดูอาการก่อน” เจ้าจันทร์บอกต่อ

ฉันเห็นสภาพก็อดสังเวชใจไม่ได้ อิงฟ้านะอิงฟ้า เพราะคำว่ารักคำเดียวแท้ๆ ทำให้ยอมทำร้ายตัวเองได้ถึงขนาดนี้ ฉันเอื้อมมือไปลูบผมที่กระเซิงของเพื่อน

และแล้วคนบนเตียงก็ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหน้าฉันอิงฟ้าก็ร้องไห้ออกมาอีก

“พอแล้ว ไม่ต้องร้อง เธอปลอดภัยแล้ว” ฉันเลื่อนมือไปประคองแก้มตุ้ยนุ้ย

“ฉันขอโทษนะพราวที่ไม่เก่งเหมือนแก”

“หยุดพูดได้แล้วน่า” ฉันส่ายหัว

น้ำตาของอิงฟ้าไหลริน ทำเอาทั้งปลาดาวและเจ้าจันทร์ก็ร้องไห้ตามไปด้วย 

“พักผ่อนเถอะ ฉันไม่โกรธอะไรแกหรอก ขอโทษด้วยนะที่พูดแรงแบบนั้น”

ฉันพูดไปแบบนั้นคนอกหักจึงหลับตาลงพร้อมรอยน้ำตา...

“ฉันก็ต้องขอโทษแกสองคนด้วยนะ ที่อารมณ์วู่วามไปหน่อย” ฉันหันไปบอกปลาดาวและเจ้าจันทร์

“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจแก” ปลาดาวเข้ามาตบไหล่ฉันเบาๆ

“แล้วตอนนี้แกโทร. บอกใครบ้างล่ะ” ฉันหมายถึงญาติหรือคนรู้จักของอิงฟ้า

“ฉันโทร. ไปหาพี่ปฐพี แต่เขาไม่สะดวกที่จะมาหา” เจ้าจันทร์เอ่ย 

“คนอะไรใจดำชะมัด” ปลาดาวพูดท่าทางหัวเสีย

“แต่ฉันว่าพี่ปฐพีคงไม่อยากให้อิงฟ้ามีความหวังต่อไป หากเขามาหา อิงฟ้าอาจจะคิดว่าเขาจะเห็นใจ อิงฟ้าก็อาจจะทำต่อไปเรื่อยๆ” ฉันเสียงเบาเพราะเกรงว่าคนป่วยจะได้ยิน “บางทีความรักก็ต้องการความเด็ดขาด ไม่ต้องการความรอมชอม”

“ฉันโทร. บอกแม่ของอิงฟ้าแล้วนะ คุณแม่เองก็ตกใจน่าดูที่รู้ว่าลูกสาวมีปัญหาครอบครัว...” 

ปลาดาวพูดยังไม่ทันจบประตูห้องพักก็เปิดออก หญิงชราที่เข้ามาร้องไห้เสียงดังเมื่อเห็นอิงฟ้านอนอยู่บนเตียง

“อิงฟ้าลูกแม่”

ชายผมสีขาวโพลนเดินเข้ามาสมทบ ทั้งคู่เดินเข้าไปที่เตียงคนป่วย พร่ำเพ้อว่าลูกสาวไม่น่าคิดทำร้ายตัวเอง

คงจะมีแค่รักของพ่อแม่ที่เป็นรักจริงและสัมผัสได้

เช้าแล้ว ฉันเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย แวะสั่งกาแฟที่ร้านกาแฟในโรงพยาบาล ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวและเข้าไปสั่งงานที่ออฟฟิศ

ขณะกำลังยืนสั่งกาแฟกับพนักงาน สายตาก็สะดุดกับชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามายืนข้างๆ เมื่อฉันหันหน้าไปมอง เขาก็มีท่าทางตกใจ

พี่ปฐพี...

พนักงานนำกาแฟร้อนมาเสิร์ฟถึงที่โต๊ะ แก้วหนึ่งคือเอสเพรสโซสำหรับฉัน อีกแก้วคือคาปูชิโนสำหรับชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันโดยบังเอิญ

พี่ปฐพีมีท่าทีอ่อนลง รีบถามไถ่อาการของอิงฟ้าว่าเป็นยังไงบ้าง ฉันตอบไปตามที่เห็น และก็เหมือนอย่างที่ฉันเดานั่นแหละ เขาเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากให้อิงฟ้ารู้ เพราะเกรงว่าทำให้ภรรยาเก่ามีความหวังและทำร้ายตัวเองอีก

“คุณใจร้ายมากนะ” ฉันตำหนิตรงๆ “บอกเลิกยังไม่พอยังพาคนใหม่มาเย้ยกันอีก”

“ผมไม่ได้มีคนใหม่ ที่มาด้วยกันก็คือลูกค้าจริงๆ” เขาอธิบาย “แต่อิงฟ้าขี้หึงและคิดมากเกินไป ทำให้ระแวงไปหมด”

ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามจะมองเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง เพราะฉันเองก็ไม่ได้เป็นกูรูในเรื่องความรัก

“คุณต้องเข้าใจนะ ผู้หญิงถ้าได้ตกลงปลงใจแต่งงานด้วยแล้ว เขาไม่ได้ฝากแค่หัวใจ แต่ฝากชีวิตให้คุณดูแลด้วย และยิ่งอิงฟ้าที่คุณไม่ให้เธอทำงาน ให้เป็นแม่บ้าน นั่นเท่ากับว่าเธอไม่มีเขี้ยวเล็บจะไปทำมาหากินอะไรได้แล้ว”

“ผมรู้ ที่ผ่านมาผมจึงพยายามประคับประคองให้ดีที่สุด แต่เมื่อความรักไม่ช่วยทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นผมก็ยอมรับผิด”

“ด้วยการตัดช่องน้อยแต่พอตัว ปล่อยให้เธอเป็นหญิงม่ายร่างอ้วนและไม่มีรายได้?”

“ผมยินดียกสินสมรสทุกอย่างให้อิงฟ้าหมด แต่เธอก็ไม่ยอม” พี่ปฐพียกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ “ความรักน่ะ หากมันมาสุดทางแล้วเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กันและกัน ดีกว่าที่จะจับมือพากันจมน้ำ ถ้าไม่ปล่อยมือกัน ก็ต้องตายทั้งคู่”

เขาเปรียบเทียบได้น่าสนใจ

“ชีวิตคู่มันไม่ได้ง่ายเหมือนในนิยาย หากมีปัญหาที่ทำให้ทั้งคู่ไม่โอเค นั่นแสดงว่า หากเขาไม่ได้สร้างปัญหา ก็แสดงว่าอาจจะเป็นเราเองนั่นแหละ ที่กำลังสร้างปัญหา”

“คุณหมายความว่าไง” ฉันรู้ว่าเขาเองก็คงมีอะไรอยากจะเล่า

“จะกลับไปเหมือนเดิม ก็คงต้องรีเซ็ตทั้งระบบ...” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนจะถอนหายใจ

หนึ่งสัปดาห์หลังจากเกิดเรื่องอิงฟ้าทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ เพื่อนตุ้ยนุ้ยกลับไปพักฟื้นอยู่บ้านโดยมีพ่อแม่คอยดูแล ขณะที่ทั้งปลาดาวและเจ้าจันทร์ก็คอยรายงานข่าวให้ฉันรู้อยู่เสมอ ฉันรับปากว่าหากว่างเว้นภารกิจก็จะไปเยี่ยม

ไม่ได้แกล้งบอกปัดแต่อย่างใด ทว่าช่วงนี้ที่ออฟฟิศค่อนข้างยุ่ง เพราะฉันกำลังเตรียมตัวเพื่อออกแบบเสื้อผ้าคอลเล็กชันในฤดูกาลหน้า รวมถึงงานสปริงซัมเมอร์ในอีกไม่กี่เดือน

อ้อ อีกอย่าง เพราะชินทัศผู้จัดการคนเก่าถูกเชิญออกไปด้วย ทำให้งานทุกอย่างต้องให้ฉันตัดสินใจเพียงคนเดียว

ปาลิดาพาคนมาสัมภาษณ์งานวันนี้ห้าคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กจบใหม่ มีผลงานที่พอเข้าตา โดยเฉพาะ ครัวซองต์ เกย์หนุ่มสุดเนี้ยบที่สวมแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจดเท้า พกความมั่นใจเต็มร้อย แถมตอนสัมภาษณ์ยังบอกว่าตัวเองนั้นมีบุคลิกที่น่าจดจำมากกว่า ออลลี่ อเล็กซานเดอร์ นักร้อง LGBTQ คนดัง ฉันชอบในความมั่นหน้า ที่สำคัญชื่อครัวซองต์ก็ดูตอแหลดี และเขาน่าจะมีความจี๊ดจ๊าดแบบกูรูแฟชั่น กล้าแสดงออกอย่างคนรุ่นใหม่ ถ้าปั้นดีๆ อาจจะทำงานแทนชินทัศได้ดีแน่ๆ

และที่ทำให้ฉันตัดสินใจเลือกเขา เพราะคำตอบสุดท้ายที่บอกว่า มิเชล หว่อง ไม่ได้เป็นนางแบบที่ดีที่สุดในเมืองไทย

แบบนี้จะไม่รับเข้ามาร่วมงานกันได้ยังไงคะคุณ...

“ขอบคุณมากนะคะบอส ที่ไว้ใจให้ครัวซองต์มาอยู่ในวงการแฟชั่น กับ P-Tawan กรุ๊ปด้วย” ขนาดขอบคุณฉัน คุณเธอก็ยังเชิดหน้าสี่สิบห้าองศา โพสท่าอย่างเก๋ไก๋

“ก่อนอื่น ก่อนจะเริ่มงานจริง ฉันอยากจะให้เธอลองทำงานเล็กน้อยๆ ให้ฉันดูก่อน เพื่อพิสูจน์ว่าเธอพร้อมจะลุยงานด้านแฟชั่นได้เริ่ดแค่ไหน” ฉันหรี่ตา พูดดัดลิ้นเลียนแบบ 

“ได้ค่ะ บอสสั่งมาได้เลย ครัวซองต์พร้อมลุย” ครัวซองต์จือปากเหมือนนางแบบหน้ากล้อง

ฉันจึงสั่งงานบางอย่างให้พนักงานใหม่ได้ลองฝีมือ จากนั้นก็รับโทรศัพท์เสียงใสจากสายป่านที่ชวนมากินมื้อเที่ยงด้วยกัน

ฉันตอบตกลง ปกติแล้วฉันถนัดนั่งกินข้าวในโรงแรมหรูๆ หรือไม่ก็ร้านอาหารราคาแพง แต่วันนี้อะไรไม่รู้ดลใจให้สายป่านนัดฉันมากินข้าวที่ร้านอาหารคาเฟ่สไตล์อีสานใจกลางเมือง ที่ฉันไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

ร้าน Poo Bow Café เป็นภาษาอะไรหว่า ฉันวิเคราะห์ว่าอาจจะเป็นการเล่นคำของภาษาละติน 

เมื่อมาถึงที่นัดหมายก็เห็นว่าในร้านเต็มไปด้วยลูกค้า ให้ตายสิ ฉันไม่ชอบร้านที่ต้องมารอกินเพราะตามกระแสในโลกโซเชียล กำลังจะโทร. วีน สายป่านก็โผล่หน้ามาพอดี

“ฉันนึกว่าแกจะกินร้านอะไรที่มันดีกว่านี้” ฉันบ่น

“ฉันก็อยากจะกินอะไรแซ่บๆ บ้าง เนี่ยเค้าบอกว่ายำร้านนี้เด็ด” เพื่อนสาวจีบปากจีบคอ

ร้านนี้มีขนาดประมาณสามคูหา แต่การตกแต่งร้านเป็นสไตล์โมเดิร์นลอฟต์ ที่น่าสะดุดตาก็คือพนักงานในร้านเป็นหนุ่มหล่อกล้ามโตทั้งนั้น

“ฉันรู้สาเหตุแล้ว ว่าทำไมแกถึงเลือกที่นี่” 

สายป่านยักไหล่ ตาเป็นประกาย “ก็แกก็ดูชื่อร้านสิ ผู้บ่าวคาเฟ่ นั่นแสดงว่า ที่นี่ต้องเลื่องชื่อทั้งอาหารและพนักงานที่ต้องแซ่บ”

“อ้าว มันอ่านว่าผู้บ่าวหรอกเหรอ ฉันนึกว่าเป็นภาษาละติน”

เพื่อนรักหัวเราะคิกคัก ก่อนจะรีบดึงแขนฉันเข้าไปด้านใน และก็เป็นจริงอย่างที่ผู้จัดการดาราบอก เพราะทันทีที่พวกเราเข้าไป พนักงานในร้านที่ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มๆ หุ่นดีก็ทักทายพวกเราด้วยรอยยิ้ม

“สดชื่นจริงๆ เลย” สายป่านกระดี๊กระด๊า ไม่นานก็มีหนุ่มน้อยหน้ามนเดินเข้ามาเชื้อเชิญให้ไปยังที่นั่งมุมด้านในสุด

“น่ารักจังเลย เธอชื่ออะไรอะ” สายป่านดัดเสียงสองพูดกับเด็กเสิร์ฟที่กำลังยื่นเมนูอาหารให้

“ชื่อลำแคนครับ”

เพื่อนรักตาโต “ตายแล้ว เป็นลำ...มาเลย”

เด็กเสิร์ฟยิ้มเขินๆ เขาหน้าตาพอดูได้ ตัดผมสั้นเกือบสกินเฮด จมูกโด่ง ยิ้มง่ายอารมณ์ดี มีเสน่ห์ไม่น้อย

“พี่อยากจะเป่าลำแคนจังเลย” สายป่านยังไม่หยุดแซวจนฉันต้องถอนหายใจ

“นี่ ให้เกียรติน้องเขาหน่อย เขากำลังทำงานอยู่นะ แกทำอย่างนี้ไม่ต่างอะไรกับพวกไอ้แก่หัวงูแทะโลมพริตตี้ตามร้านเหล้านะ”

“ก็ผู้ชายทำได้ ชะนีหรือกะเทยก็ต้องทำได้สิ ฉันกำลังเรียกร้องสิทธิให้ทุกคนเท่าเทียมกัน”

“มันไม่ใช่ความเท่าเทียม แต่มันคือการละเมิดคนอื่น มันคือการ Sexual Harassment หรือการคุกคามทางเพศ เป็นการกระทำที่มีเจตนาไม่ดีต่อเพศตรงข้าม หรือเพศเดียวกัน เพื่อผลประโยชน์ในเรื่องเซ็กซ์ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ยินยอม ซึ่งคำพูดหรือสายตาก็คือว่าใช่นะ อย่าเอาสิ่งที่ผู้ชายทำได้มาเป็นบรรทัดฐานว่าเป็นสิ่งดี แล้วเราจะทำตามสิ” 

ฉันเอ่ยจริงจัง ลำแคนคงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบตัดบท

“เอ่อ บ่เป๋นหยังดอกครับ ผมก็เจอแบบนี้บ่อยๆ อยู่แล้ว ว่าแต่จะสั่งอาหารกันหรือยังครับ”

“เห็นมะ แกอ่ะ ซีเรียส ทำตัวเป็นพวกเฟมทวิตบางคน ที่ชอบโวยวายไปทุกเรื่องไปได้”

ฉันส่ายหัว ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด หันไปคุยกับพนักงานต่อ “ลำแคน มีที่นั่งที่อื่นหรือเปล่า ฉันว่าตรงนี้มันติดกับห้องครัวที่มีพนักงานเดินเข้าออก วุ่นวายไปน่ะ” 

ลำแคนรับคำ เดินสำรวจก่อนจะเดินมาบอกว่าห้องวีไอพีกำลังว่างพอดี

“เอานั่นแหละ เท่าไหร่เราไม่เกี่ยง” ฉันเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้น

สายป่านทำแววตาซึ้งให้พนักงาน “ขอโทษนะ พอดีเพื่อนพี่ก็เยอะอย่างงี้แหละ นางเข้าใจว่าตัวเองเป็นเชื้อพระวงศ์ทางยุโรป”

เราสองคนเดินตามพนักงานรูปหล่อเข้าไป ค่อยยังชั่วที่ห้องนี้เป็นส่วนตัว เราสองจึงได้ฤกษ์สั่งอาหารและพูดคุยกันเป็นจริงเป็นจังเสียที  

“ว่าไงยะ พอฉันไม่อยู่ด้วยได้ข่าวว่าไปตบตีผู้ชายแก้แค้นให้เพื่อนเลยเหรอ” สายป่านคงรู้ข่าวของฉันในช่วงอาทิตย์ก่อนจนหมดแล้ว 

“ก็อย่างที่ได้ยินมานั่นแหละ” ฉันขี้เกียจแก้ตัว ปล่อยให้สายป่านพูดต่อพร้อมกับสั่งอาหาร

“บอกแล้วไงว่าแม่อิงฟ้าเนี่ย จริตชะนีอ้อร้อ ขืนแกไปยุ่งมากไปก็มีแต่เสียกับเสีย” สำเนียงติดทองแดงของสายป่านเน้นย้ำคำว่าอ้อร้อได้อย่างถึงใจ

“อ้อร้อแปลว่าอะไรยะ” ฉันไม่เข้าใจ

“ภาษาใต้ย่ะ แปลว่า แรด ขี้อ้อน มีมารยา เรียกร้องความสนใจ นั่นแหละ”

ฉันพยักหน้าเข้าใจและเล่าเรื่องต่อ แต่ก็ไม่ได้บอกสายป่านว่าจริงๆ แล้วอิงฟ้าคิดหนักถึงขั้นฆ่าตัวตาย

“ยังไงก็ให้เวลากับอิงฟ้าหน่อยละกัน สามเดือนแรกฉันว่านางอาจจะคืนดีกับผัวเก่าได้อยู่ แต่บุคคลที่สาม ไม่ควรไปแส่เรื่องของคนสองคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอน” สายป่านชี้แนะ

“ก็หวังให้เป็นอย่างนั้นนะ คนที่เคยมีแฟนแล้วจะให้มาโสดอีกครั้ง ฉันว่าน่าจะยาก” ฉันตัดสินตามเนื้อผ้า หลังจากพาเที่ยวแบบสาวโสด อิงฟ้าก็ไม่ได้มีท่าทีที่ดีขึ้นเหมือนที่ตั้งใจไว้

“ก็คงเหมือนพวกเรานั่นแหละ พอโสดไปนานๆ ให้กลับไปมีแฟนก็ยากเหมือนกัน” สายป่านหัวเราะคิกคัก 

ไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็ยกมาถึงโต๊ะ ประกอบด้วยยำรวมมิตร ไก่ทอด คอหมูย่าง สายป่านจีบปากจีบคอบอกว่าร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่ที่อร่อยถูกปาก ปากพูดแต่สายตากลับมองไปทั่วเหมือนจะรอใครสักคน

“มีอะไรหรือเปล่ายะ ท่าทางมีพิรุธ” ฉันรีบถามดักทำให้สายป่านสะดุ้ง 

“ก็รอน้องลำแคนไง อยากเห็นหน้าบ่อยๆ” เพื่อนสาวยิ้มแห้ง ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องด้วยการคะยั้นคะยอให้ฉันลองชิมยำ “เป็นไงอร่อยไหม”

ฉันพยักหน้า “ก็อร่อยดี”  

ถึงฉันจะเป็นดีไซเนอร์มีชื่อ แต่ก็ไม่ได้กระแดะทำตัวหรูตลอดเวลา บางเวลาก็กินข้าวแกง บางเวลาก็กินอาหารถิ่นได้ โดยเฉพาะอาหารอีสานก็ถูกปากฉันไม่น้อย

“รสไม่หวานจนเกินไป ถ้าให้เดา ร้านนี้ต้องเป็นเพื่อนกะเทยของแกใช่ปะ ฉันเคยสงสัยเหมือนกันนะว่าทำไมกะเทยต้องเปิดแต่ร้านยำ เหมือนเป็นอาชีพสงวน” 

ฉันอมยิ้ม แต่แล้วอยู่ๆ สายป่านที่มองไปที่ครัวก็เบิกตาโพลงและยิ้มร่า

“มีอะไร” ฉันถามแต่สายป่านก็ไม่ตอบ ฉันจึงรีบหันไปมองตาม ก็พบว่ามีหนุ่มหล่อคนหนึ่งกำลังเดินมาหาเราทั้งคู่

‘นายอนิล’ ฉันเรียกชื่อเขาในใจและรีบหลบทันที

เขามาอยู่ที่นี่ได้ไง ทั้งๆ ที่เขาพักอยู่โรงแรม ใช่ และช่วงนี้เห็นว่ากำลังมาทำธุรกิจร้านอาหาร...

เดี๋ยวนะ อย่าบอกว่า...

“คุณอนิล สวัสดีค่า พอดีวันนี้ป่านกับเพื่อนอยากกินอาหารอีสานรสแซ่บ เลยชวนกันมาชิมที่ร้านผู้บ่าวคาเฟ่ของคุณ อร่อยทุกอย่างเลยนะคะ” สายป่านระริกระรี้ ขณะที่ฉันนั่งตัวเกร็ง

เขาทักทายอย่างสุภาพแถมยังนั่งร่วมโต๊ะ จำเป็นแล้วสิที่ต้องเอ่ยทัก

“สะ...สวัสดีคะ เอ่อ อาหารแซ่บมาก” ฉันยิ้ม

“คนก็แซ่บนะคะ” สายป่านเสริม

“ไม่นึกเลยว่าคุณจะมา” 

พออนิลพูดเช่นนั้นสายป่านก็หุบยิ้ม สมองของผู้จัดการดาราคงเริ่มประมวลผลก่อนจะมองเราทั้งคู่อย่างสงสัย

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นร้านของคุณ ยายป่านนัดฉันไว้ที่นี่” ฉันพูดต่อ

“เดี๋ยวนะ นี่พวกแกรู้จักกันเหรอ” สายป่านกระซิบถาม ฉันได้แต่พยักหน้า “ไหนว่าไม่รู้จักไง” 

เพื่อนกะเทยยังจำได้อีกว่าฉันเคยบอกว่าไม่รู้จักเขา ทั้งๆ ที่ลืมไปบ้างก็ได้ ฉันได้แต่บอกว่าเรื่องมันยาว แล้วจะเล่าให้ฟังวันหลัง

“พอฉันรู้ว่าเจ้าของร้านนี้เป็นเพื่อนกับคุณนพคุณ ก็รู้เลยทันทีว่าหนุ่มหล่อที่เราเจอวันนั้นเป็นคุณอนิล ไฮโซจากขอนแก่น ก็เลยอยากมาชิม” 

เขายิ้ม ฉันเห็นว่าเขายังแอบมองฉันอยู่เป็นระยะ

“อ้อ แล้วคุณป่านรู้หรือยังครับว่าผมกำลังพยายามจีบคุณพราวอยู่”

ฉันสะดุ้งโหยง หันไปมองสายป่านที่มีอาการไม่ต่างกันนัก

“คุณแถลงการณ์จีบฉันในร้านอาหารเนี่ยนะ” ฉันพูดเสียงเบาใส่เขา

“ผมบอกได้ทุกที่ครับ หรือจะไปบอกที่กลางงานเดินแบบเสื้อผ้าของคุณ ผมก็ทำได้”

“เอ่อ...ไม่เคยรู้เลย แล้วไปรักกันปิ๊งกันตอนไหนคะ” สายป่านรีบตามน้ำเพราะรู้ว่าฉันไม่ยอมบอกความจริงแน่

“เอ้อ คุณนิลคะ ร้านคุณขายส้มตำหรือเปล่า ฉันอยากกิน” เมื่อไม่รู้จะเบรกยังไงก็ขอให้เขาตำส้มตำให้ดูละกัน

อนิลทำหน้าแปลกใจ แต่ก็รับปาก ก่อนจะรีบลุกจะเดินไปทางห้องครัว

“คุณต้องตำเองนะ อย่าขี้โกงให้แม่ครัวตำให้” ฉันบอกตามหลังเพื่อถ่วงเวลาให้เขาหายไปนานๆ พลันเมื่อเขาพ้นประตู สายป่านก็หยิกเข้าที่สะเอวฉันจนต้องร้องเสียงหลง

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

เฮ้อ...ดูท่าจะต้องบอกความจริงซะแล้ว “ก็ ฉันเจอคุณอนิลหลายครั้งแล้ว และเขาก็มีท่าทีจะจีบฉันแบบตรงๆ ซื่อๆ อย่างนี้แหละ”

“ก็อย่างว่า แม้จะเป็นนักเรียนนอก แต่ก็เป็นหนุ่มต่างจังหวัด คุณพ่อทำธุรกิจท่องเที่ยว ส่วนคุณแม่ก็เป็นประธานกลุ่มรัฐวิสหกิจชุมชนในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อทำผ้าไหมที่ขอนแก่น”

“อือ” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

“แต่ถ้าจะเป็นแฟนแก ฉันเชียร์นะ ดูแล้วเขาไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร” สายป่านดีดนิ้วดังเป๊าะ

“อ้าว แล้วคุณฐากูร เศรษฐีน้ำมันฉันล่ะ ขานั้นเค้าเหมาะกับฉันอีกนะ ทั้งคุณสมบัติ หน้าตา”

“นี่ยายพราว หล่อนสามสิบแล้วนะ ลองเปิดใจดูหน่อยก็ไม่เสียหาย ถึงเขาอาจจะไม่ได้คะแนนตามสเปกแต่ละข้อ แต่คะแนนรวมอาจจะใช่ที่สุดก็ได้ ความรักมันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก”

กำลังจะอ้าปากเถียง อนิลกับลำแคนก็เดินออกมาจากโรงครัว พร้อมเครื่องมือในการทำส้มตำ

“จะทำอะไรคะ” ฉันถามเสียงสั่น อย่าบอกนะว่าเขาจะทำส้มตำให้ดู

“ก็คุณจะได้เชื่อไง ว่าผมตำเอง” เขาเอ่ย พร้อมกับหันไปใส่ผ้ากันเปื้อน 

“ใช่ๆ โชว์ฝีมือไปเลยค่า ยายพราวเป็นคนขี้สงสัย” สายป่านสมทบ “นี่ฉันก็อยากเห็นเวลาเขาถือสากนะ ว่าจังหวะกระแทกมันรัวถี่แค่ไหน” เพื่อนสาวแอบสูดปากจนฉันต้องบอกว่าทะลึ่ง แต่ก็แอบคิดว่ามันจะตรงกับความจริงหรือเปล่า

สายป่านลุกขึ้น ขออนุญาตเขาถ่ายคลิปพ่อครัวจำเป็น อนิลถือสาก และหยิบพริกกับกระเทียมลงไป ก่อนจะตำครกด้วยความชำนาญ พอได้ยินเสียงรัวถี่ สายป่านก็กลืนน้ำลายเอื๊อก

“ส้มตำเนี่ย หลายๆ คนอาจคิดว่ามีมานาน แต่จริงๆ ประวัติกลับไม่แน่ชัด และมีอายุมาไม่ถึงร้อยปี น่าจะหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่เอง”

“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะวัตถุดิบอย่างมะละกอกับพริกก็นำเข้าจากต่างประเทศทั้งนั้น” ฉันปรายตาหมั่นไส้ที่เขาทำตัวเป็นพวกยูทูเบอร์ทำอธิบายในการทำอาหารเยอะแยะ

“รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารอีสาน ส่วนใหญ่ก็คือความเค็มจากน้ำปลาร้า รสเผ็ดจากพริกสดและพริกแห้ง อาหารอีสานส่วนใหญ่จะมีลักษณะแห้ง เข้มข้น มีน้ำแบบขลุกขลิก ไม่นิยมใส่กะทิ แต่จะมีปลาร้าเป็นส่วนผสมหลักในเกือบทุกเมนู” 

“แสดงว่าปลาร้านี่มีมานานใช่มั้ยคะ อีชั้นเนี่ยช้อบชอบกลิ่นของมัน รวมทั้งผู้บ่าวอีสานด้วยค่ะ” สายป่านยิงมุกแทะโลม แต่เขาก็ยังนิ่ง และอธิบายต่ออีก

“เพราะภาคอีสานแห้งแล้ง คนอีสานในอดีตจะมีการถนอมอาหารเก็บไว้กิน เช่น การถนอมอาหารจากปลาอย่างปลาร้า และปลาร้านี่ก็ถือเป็นหนึ่งในห้าจิตวิญญาณของความเป็นอีสาน”

“ห้าอย่างนี่มีอะไรบ้างคะ” เพื่อนตุ้งติ้งยังถามต่อ

“ก็...ข้าวเหนียว ลาบ ส้มตำ หมอลำ และปลาร้า”

“จ้า...รีบๆ ตำเถอะค่ะ” ฉันแลตาอย่างหมั่นไส้ เกรงว่าต่อไปจะได้เห็นเขาร้องหมอลำและตำส้มตำไปด้วย

อนิลใส่จิตวิญญาณที่ห้าของอีสานลงไปในครก พร้อมวัตถุดิบอื่นๆ อย่างชำนาญ กลิ่นของมันยวนยั่วชวนน้ำลายไหล เขาคลุกเคล้าให้ทั่วก่อนจะตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

เมื่อนำมาวางตรงหน้าสายป่านก็ใช้ช้อนตักชิม ก่อนจะทำตาโต ยกมือขึ้นมาทาบอกร้องอุทานเสียงหลง 

“อร่อยที่สุด อร่อยมากเลยค่าคุณนิล”

แม่นี่ก็เล่นใหญ่เหลือเกิน โดยเฉพาะกับผู้ชาย

“เว่อร์ไปปะ” ฉันตักชิมบ้าง พอเส้นมะละกอสัมผัสผิวลิ้นและได้เคี้ยว ความกรอบเย็นของเส้นมะละกอที่สับหยาบๆ ผสานกับรสชาติของเครื่องปรุงและความนัวของปลาร้ารู้เลยว่าสายป่านไม่ได้พูดเกินจริง

แต่จะให้ชมเขา เชอะ ไม่มีทางหรอก

“ก็อร่อยดีนะคะ” ฉันพูดแค่นี้แหละ

ชายหนุ่มยิ้มตาเป็นประกาย “เชื่อหรือยังว่าผมทำเอง”

“เชื่อแล้วค่ะ”

“ที่บ้านของคุณนิลทำธุรกิจผ้าไหมด้วยใช่ไหมคะ ดีเลยค่ะ ยายพราวก็เป็นดีไซเนอร์ นี่แกอยากได้ผ้าไหมไปออกแบบชุดบ้างไหม รณรงค์แบบไทยช่วยไทยไง”

ฉันอยากจะตบปากยายสายป่านที่พูดมาก ผ้าไหมแข็งทื่อขนาดนั้น จะเข้ากับแบรนด์ P-Tawam ได้ยังไง

“ได้สิครับ เอาไว้ถ้ามีโอกาสก็ไปเที่ยวบ้านผมก็ได้” เขาเอ่ย

“แล้วอาหารที่ร้านคุณทำคนเดียวหมดเลยเหรอ” ฉันเปลี่ยนเรื่อง เพื่อไม่ให้ผ้าไหมมายุ่งกับคอลเล็กชันใหม่ของฉัน

“ช่วงเปิดร้านใหม่ก็ทำเองบ้าง มีน้องๆ ที่ขอนแก่นมาช่วยด้วย” เขาตอบ

“เมื่อกี้ยายพราวยังคิดว่าแม่ครัวอาจจะเป็นกะเทย เอ๊ะ หรือว่าคุณนิลก็เป็น...” สาวป่านแซว แต่เขากลับยังนิ่งและหันหน้ามาทางฉัน

“ผมว่าคุณพราวเองก็น่าจะรู้ดีนะครับว่าผมเป็นผู้ชาย”

ใบหน้าฉันร้อนผ่าว และยิ่งสายป่านหันขวับมาอย่างใคร่รู้ยิ่งทำให้ฉันลนลาน จึงรีบหยิบแก้วน้ำมาดื่ม 

“ถ้าให้เดา แกกับเขากินกันแล้วใช่มะ!” เพื่อนสาวกระซิบ ทำฉันสำลักน้ำจนเลอะเต็มอกของชายหนุ่ม

“ตายแล้ว ขอโทษะค่ะคุณนิล” ฉันทำตัวไม่ถูก 

สายป่านหัวเราะลั่น นายลำแคนรีบเข้ามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขา

“ไม่เป็นไรครับ” 

เขายิ้ม คงเอ็นดูฉันแหละที่เผลอทำกิริยาโก๊ะกัง 

“ผมไปล้างตัวที่ห้องน้ำดีกว่า” พูดพร้อมกับลุกขึ้นจากไป 

“หล่อนมีพิรุธ” สายป่านเอ่ยขึ้นมาทันที ฉันส่งยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะหยิบทิชชูมาเช็ดน้ำที่เลอะเทอะ แต่พนักงานในร้านก็รีบเข้ามาทำแทน

“พิรุธอะไร”

“ฉันว่าแกกับเขาต้องมีอะไรกันแล้วแน่ๆ”

“ไม่มี้” ฉันเสียงสูง

เพื่อนสาวหรี่ตามอง เพราะรู้ว่าฉันมันปากแข็ง

แน่ละ คนอย่างฉัน ทำก็อย่าให้รู้ รู้ก็อย่าให้เห็น เห็นก็อย่าให้จับได้ ถึงจับได้ก็อย่าไปรับ หรือถ้าจะรับก็ให้รับครึ่งเดียว!

“จริงๆ จะมีอะไร หรือคบกันฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แกก็โสด เขาก็โสด”

“เขาโสดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” ฉันแกล้งเฉไฉ

สายป่านได้โอกาส จึงกระซิบถามนายลำแคนที่กำลังเช็ดโต๊ะ “นี่ ลำแคนถามหน่อย เจ้านายเธอเนี่ยเค้ามีเมียหรือยัง”

หนุ่มน้อยยิ้มหวาน ตอบอย่างภูมิใจ “ยังเลยครับ อ้ายนิลเพิ่นโสด โสดคั่กๆ”

“โสดแบบนี้ เป็นเกย์รึเปล่า” สายป่านขยี้ต่อ

“บ่แม่นเด้อ อ้ายนิลเคยมีแฟนอยู่ แต่มีเรื่องให้ต้องเลิกกัน” พนักงานหนุ่มก็ช่างจ้อ

สายป่านหัวเราะคิกคัก “ตายแล้ว สงสัยที่โดนแฟนเทเพราะลีลาไม่เด็ดหรือเปล่า” 

“ไม่จริง!” 

กลับเป็นฉันที่โพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง ทั้งสายป่านและลำแคนสะดุ้งโหยง

“เอ่อ ฉันหมายถึงว่า ดูหน้าตา รูปร่าง และลีลาการตำส้มตำแล้ว ก็น่าจะโออยู่นะ” ฉันทำเสียงสองให้เหมือนเป็นการเล่นมุก ทว่าคนฟังกลับมองฉันแปลกๆ

“หล่อนมีพิรุธอีกแล้วนะ” สำเนียงทองแดงของสายป่านรู้เลยว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น