ตอนที่ 6

ตอนที่ 6

เกาะสวาท หาดสวรรค์

 

เช้าวันใหม่ฉันมาทำงานด้วยความสดชื่น ยิ่งได้ดื่มกาแฟแก้วโปรดที่ปาลิดาเตรียมไว้ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ดี เคยได้ยินว่าสารคาเฟอีนก็เหมือนกับเซ็กซ์ ไม่มีก็ไม่ตาย แต่หากมีก็ทำให้ชีวิตคึกคัก

“คุณพราวคะ” เสียงเรียกชื่อทำให้ฉันหลุดจากอารมณ์สุนทรีย์

“มีอะไร” แม่เลขาฯ หน้าห้องนั่นเอง

“คุณพราวแน่ใจเหรอคะว่าจะรับพนักงานใหม่ที่ชื่อครัวซองต์มาทำงานกับเรา”

ฉันวางแก้วกาแฟ และกอดอกตั้งใจฟังปาลิดาพูดต่อ

“คือฉันว่าเขาเป็นคนแปลกๆ”

“แปลกยังไง” ฉันทวนคำถาม

“คือ...แบบ มั่นใจแปลกๆ พูดจาก็ดูโอเวอร์แอกติง ชอบมองเหยียดๆ แถมบอกกับพวกเราทุกคนว่า ไร้รสนิยม”

คราวนี้ฉันหลุดหัวเราะ “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แบบนี้สิเป็นสีสันให้ออฟฟิศ และอีกอย่างพวกเราทำงานด้านแฟชั่นนะ มีคนอย่างครัวซองต์มาก็เหมือนเสริมไฟด้านนี้ให้พวกเธอไง” 

คนอย่างครัวซองต์ไม่ได้แปลกหรอก มีให้เห็นเยอะแยะ เดาได้เลยว่าที่ปาลิดาไม่ชอบหน้าพนักงานใหม่คงเพราะยังอาลัยอาวรณ์ชินทัศผู้จัดการคนเก่ามากกว่า

“แต่ฉันก็ยังคิดว่าเขาแปลกๆ อยู่ดี ดูสิ ป่านนี้ก็ยังไม่เข้ามาทำงานเลย” สายตาของเลขาฯ จ้องไปที่นาฬิกาที่ผนังซึ่งบอกเวลาว่าจะสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว

“อ๋อ ไม่มีอะไร ฉันใช้ให้ครัวซองต์ไปทำงานบางอย่างน่ะ”

“งานอะไรคะ”

ยังไม่ทันตอบก็มีเสียงเคาะประตู ปาลิดาจึงรีบเดินไปเปิด คนที่กำลังนินทายืนโพสท่าเก๋ไก๋

“ครัวซองต์” เลขาฯ สาวทัก

“Hi Everybody!” ร่างสูงจือปากเหมือนนางแบบปกนิตยสาร ก่อนจะถอดแว่นกันแดดและเดินเข้ามาอย่างนางแบบแคตวอล์ก ทำเอาปาลิดาแอบกลอกตามองบน

“สวัสดีค่ะบอส” กูรูแฟชั่นยักไหล่ทักทาย

ฉันยิ้มให้ ก่อนจะบอกให้เลขาฯ ออกจากห้องไปก่อน

“ว่าไง งานที่ฉันสั่งให้ไปทำ ได้เรื่องมะ”

“Oop!” ครัวซองต์ยกมือขึ้นจุปาก หลิ่วตาชวนหมั่นไส้“งานแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยค่ะบอส มีหรือที่ครัวซองต์จะทำไม่ได้” 

“ผู้หญิงที่ชื่ออิงฟ้า” ครัวซองต์หยิบเอกสารออกมาวางบนโต๊ะให้ฉันเปิดดู “เธอเพิ่งถูกแฟนขอหย่าค่ะ จนทำให้ช็อก ถึงขั้นฆ่าตัวตาย”

“เรื่องนี้เธอไม่คิดเหรอว่าฉันจะรู้แล้ว”

ครัวซองต์ยิ้มมุมปาก “รู้สิคะ ครัวซองต์จึงต้องหาอะไรที่มัน เอ็กซ์คลูซีฟกว่านั้น บอสรู้หรือเปล่าคะว่า คืนนั้นอิงฟ้าเธอกินยาพาราไปแค่ห้าเม็ด และไม่ได้ถูกล้างท้องแต่อย่างใด”

ฉันเงยหน้ามองคนพูดด้วยความตกใจ “ว่าไงนะ”

“เป็นเรื่องจริงค่ะ ที่โรงพยาบาลวันนั้นอิงฟ้าแค่ร้องไห้โวยวาย คุมสติไม่อยู่ และที่ได้แอดมิตเพราะขอกับคุณหมอว่าอยากจะนอนที่โรงพยาบาลสักคืนสองคืน โรงพยาบาลเอกชนนี่คะ ยังไงก็ได้”

ฉันพยายามทบทวนเรื่องทั้งหมด ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เห็นเป็นชื่อเจ้าจันทร์ก็รีบกดรับ

“สวัสดีเจ้าจันทร์”

“ยายพราว เป็นไงบ้าง”

“ก็โอเค มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ฉันรีบถามไม่อ้อมค้อม เพราะกำลังคุยเรื่องสำคัญกับครัวซองต์อยู่

“คือฉันกับปลาดาวกำลังคิดว่าวันศุกร์นี้จะพายายอิงฟ้าไปพักผ่อนแก้เครียดที่ทะเล เลยโทร. มาชวนแกไปด้วย”

ขณะที่ฟังเจ้าจันทร์พูด ครัวซองต์ก็หยิบรูปถ่ายซึ่งเป็นพวกเอกสารของทางโรงพยาบาลที่หามาได้ส่งให้

“เป็นรีสอร์ตของญาติปลาดาวน่ะ และพวกเราคิดว่าจะจัดปาร์ตีรำลึกความหลังกัน แกมาได้มั้ย นะๆ” ปลายสายเสียงออดอ้อน

ฉันคิดไม่นานก็ตอบตกลง “ได้สิ ศุกร์นี้ใช่ไหม”

“ใช่ๆ แกจะชวนใครมาด้วยก็ได้นะ” เสียงของเจ้าจันทร์ฟังดูเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่

“ได้ แล้วเจอกัน” ฉันยิ้มตาเป็นประกาย ก่อนจะหยิบรูปถ่ายที่ครัวซองต์ยื่นให้มาเพ่งมองดูใกล้ๆ

ชักสนุกแล้วสิ...

ฉันบอกให้ครัวซองต์กลับไปทำงานตามปกติ ปาลิดาเคาะประตูห้องเข้ามาอีกครั้ง

“คุณพราวคะ งานเย็นนี้อย่าลืมนะคะ”

“งานอะไรนะ” บ้าจริงฉันลืมอีกแล้วเหรอ...

ปาลิดาอมยิ้มก่อนจะนำการ์ดวางบนโต๊ะ ฉันหยิบขึ้นมาดู เป็นภาพวาดโบราณสีน้ำมันของปราสาทพระราชวังของยุโรป

“นิทรรศการเครื่องประดับราชวงศ์ที่จัดโดยสถานทูตอังกฤษไงคะ”

จำได้แล้ว ทางสถานทูตเคยประสานฉันว่าอยากจะจัดกิจกรรมการกุศลอะไรดี ฉันเลยเสนอว่าอยากให้มีนิทรรศการเครื่องเพชร เครื่องประดับของราชสำนักยุโรป เอามาโชว์ให้คนไทยได้ดู สถานทูตชอบความคิดนี้ ไม่กี่เดือนก็ส่งการ์ดมาให้ชวนให้ไปร่วมเป็นเกียรติเปิดงานด้วย

ธีมงานคืนนี้จัดรูปแบบเป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย ซึ่งฉันก็ได้หาชุดไว้นานแล้ว และบังคับให้ปาลิดาและสายป่านไปด้วย ไม่มีเลขาฯ ต้องแย่แน่ๆ เกิดไปเจอแขกคนสำคัญฉันจำชื่อไม่ได้ก็เสียหน้า ส่วนสายป่านเอาไว้เป็นขาลุย ขาแอ๊วผู้ชายมาให้ สนุกจะตาย
 

หนึ่งทุ่ม เราสามคนก็มาถึงหน้าพิพิธภัณฑ์ในเกาะรัตนโกสินทร์ อันเป็นสถานที่จัดงาน ฉันปรากฏตัวในชุดราตรีสไตล์ Rococo แบบพระนาง Marie Antoinette กระโปรงมีความโป่งป่องแหวกช่วงกลางเล็กน้อยเพื่ออวดลวดลาย เป็นแฟชั่นยุคพระราชินีนาถอลิซาเบธ สวมเครื่องประดับช่วงเพื่อให้ช่วงคอและหน้าอกแสดงสัดส่วนความสวยงามของผู้หญิง ระดับพราวตะวันต้องเล่นใหญ่ สายป่านก็ใส่สูทสีเลือดนกสไตล์เดียวกันกับฉัน ส่วนปาลิดากลับใส่ชุดสูทสากลสีดำเรียบๆ ให้เหตุผลว่าไม่อยากเด่นเกินไป เพราะเธอมาทำงาน ไม่ใช่มาร่วมงาน

อืม...ก็ถูกของหล่อน

เราสามคนเดินเข้างานท่ามกลางความสนใจของผู้ร่วมงาน นักข่าวยกกล้องถ่ายรูป พร้อมกับสัมภาษณ์ฉันเล็กๆ น้อยๆ ถึงตอนเรียนที่อังกฤษ

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเข้าไปในงาน ซึ่งส่วนจัดแสดงมีรูปปั้นแต่งตัวด้วยแฟชั่นของคนชั้นสูงในยุคต่างๆ ของยุโรป พร้อมเครื่องประดับราคาแพง ภายใต้การป้องกันความปลอดภัยอย่างแน่นหนาด้วยกล่องกระจกครอบกั้นไว้ทุกโซน

“หรูหรามากเลยแก” สายป่านออกอาการตื่นเต้นที่ได้เห็นของมีค่าหายาก โดยเฉพาะเทียราประดับเพชรและไข่มุก งดงามเหนือคำบรรยาย มีรูปไดอาน่าเจ้าหญิงแห่งเวลส์เป็นผู้สวมใส่ติดอยู่ข้างๆ 

“Lover’s Knot อันนี้ถือว่าเป็นเทียราองค์โปรดของเจ้าหญิงไดอานาเลยนะ พระองค์ทรงใส่บ่อยที่สุดตอนยังมีพระชนม์ชีพ แต่ภายหลังจากสิ้นพระชนม์ก็ไม่มีใครได้ใส่อีก จนในปี 2015 ดัชเชสเคท แห่งเคมบริดจ์ ได้นำมาใส่อีกครั้ง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานมาก เวลามีพระกรณียกิจสำคัญต่างๆ พระองค์จะเลือกสวมเทียราองค์นี้เสมอ” 

ฉันเล่า เรื่องวงการแฟชั่นฉันต้องเรียนรู้เสมอ

“ส่วนอันนี้ก็คือ The Japanese Pearl Choker สร้อยพระศอประดับไข่มุกเรียงสี่เส้น พร้อมกับจี้เพชร เป็นของขวัญที่รัฐบาลประเทศญี่ปุ่นได้ถวายแด่สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ช่วงต้นของยุค 1980 ที่ควีนเองยังเคยสวมใส่ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1983” สายป่านเอ่ยอย่างภาคภูมิ ทำเอาฉันแปลกใจ

“หล่อนก็มีความรู้เรื่องเครื่องประดับเหมือนกันเหรอ”

“ก็อ่านเอาที่ป้ายบอกประวัตินี้ไง” เพื่อนตุ้งติ้งชี้นิ้วไปที่ป้ายกำกับ

“อ๋อค่ะ” ฉันเอ่ยประชด ก่อนจะรีบเดินไปทางอื่น

ระหว่างนั้นก็มีคนมาทักทายฉันมากมายทั้งคนไทยและต่างประเทศ โชคดีที่ปาลิดาอยู่ข้างๆ คอยบอกว่าใครเป็นใคร สำคัญระดับไหน

“คืนนี้จะมีแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรที่ออกแบบโดยคนไทยด้วยนี่นา” สายป่านเอ่ยระหว่างเดินชมนิทรรศการ

“ใช่ค่ะ มีนางแบบชื่อดังมาเดิน ทั้งยู่ยี่ และเอ่อ...มิเชล” ปาลิดาเสียงเบา รู้ดีว่าฉันไม่ลงรอยกับชื่อหลัง

“อีกแล้ว ได้อยู่ในงานเริ่ดๆ หรูๆ เมื่อไหร่ ก็มียายนี่แจมด้วยทุกครั้ง อยากรู้จังถ้าแกไปอยู่เวทีหมอลำจะตามมาด้วยหรือเปล่า” สายป่านถอนหายใจ

“งานของฉันกับมิเชลมันสายเดียวกัน มันเลี่ยงกันไม่ได้หรอก” ฉันไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ฉันหยิบขึ้นมาดู

เบอร์ของนายอนิล

“ใครยะ”

“คนที่จะพาเธอไปหน้าเวทีหมอลำได้ไงล่ะ” ฉันตอบกลับ ทำเอาสายป่านตาโต

“คุณอ้ายอนิลเหรอ รับเลยๆ”

ฉันถอนหายใจ ก่อนจะขอตัวไปที่เงียบๆ ซึ่งเป็นระเบียงชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ 

“โทร. มาทำไมเนี่ย”

“ผมคิดถึงไง”

ฉันถอนหายใจแรง “คุณนี่ตื๊อจริงๆ นะ”

“ก็แค่อยากบอกว่า นอกจากคิดถึงแล้วยังเป็นห่วง อยากให้มีความสุข” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

“ฉันสบายดีย่ะ คุณนั่นแหละ กำลังทำให้ฉันปวดหัว”

“ผมกวนคุณหรือเปล่าเนี่ย” เสียงเขาร้อนรน

“ไม่ค่ะ ไม่กวนเลย ฉันแค่กำลังมาร่วมงานของสถานทูตอังกฤษ ที่มีทั้งคนดังและลูกค้าที่ต้องติดต่อธุรกิจด้วย...” ฉันตอบ

“ดีจัง งั้นผมก็คุยได้ต่อสินะ” เขาตอบเหมือนไม่รู้ว่าฉันประชด 

“นี่คุณ...” เอ๊ะ...หรือว่าเขาแกล้งโง่

“ผมล้อเล่น รู้แล้วว่ายุ่ง ขอโทษทีนะครับ แต่รู้แล้วใช่ไหมว่าคิดถึง”

“เออ รู้แล้วย่ะ”

“ผมจะวางหู แต่ขออนุญาตส่งข้อความหานะ”

“ตามสบาย” แล้วทำไมต้องทำตามใจเขาด้วยเนี่ย

“แต่...คุณห้ามบล็อกเบอร์ผมนะ ถ้าคุณบล็อกผมจะบุกไปหาจริงๆ ด้วย”

“ค่ะ คุณอนิล แค่นี้นะคะ” ฉันส่ายหัว บางทีก็รำคาญ แต่บางทีเขาก็ทำให้ไม่เหงา แปลกใจตัวเองเหมือนกัน

ฉันวางหูแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก เพิ่งรู้ว่าระเบียงที่ตัวเองอยู่ปลอดคน ไม่ทันไรเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าจากมือถือก็ดังอีก

“คิดถึงอีกแล้ว อย่าลืมมากินข้าวที่ร้านผมอีกนะ”

ฉันเม้มริมฝีปาก แต่ก็ยังแอบยิ้ม หมอนี่ หน้าตาดูนิ่งๆ แต่พอรุกก็บ้าดีเดือดแท้

“ขอโทษนะครับ พอจะมีไฟแช็กไหมครับ” 

เสียงหนึ่งทัก ทำให้ฉันเงยหน้าจากจอมือถือ ชายหนุ่มตรงหน้าอายุน่าจะสามสิบปลายๆ รูปร่างท้วม แต่ก็ยังมีเค้าความหล่อ แววตาคมเข้มทำให้ฉันคุ้นอย่างบอกไม่ถูก

“ไม่มีค่ะ ฉันแค่มาโทรศัพท์” เขาคงเข้าใจว่าฉันมาสูบบุหรี่

“งั้นเหรอ ขอโทษทีนะครับ” เขาเอ่ยก่อนจะหมุนตัวกลับ แต่ก็ชะงักและหันกลับมาอีก “น้องพราวใช่ไหมเอ่ย”

“ค่ะ ใช่ค่ะ” ฉันเอียงหน้าสงสัย

“ผม...มาร์คไง”

ใจฉันเต้นตูมตาม พยายามเพ่งมองคนตรงหน้าให้ชัดๆ “ไอ้พี่มาร์ค สหรัฐ เหรอคะ”

อีกฝ่ายยิ้ม “ใช่ น่ารักเหมือนเดิมนะ”

ฉันเดินเข้าใกล้ชายหนุ่ม อยากเห็นเขาชัดๆ “พี่มาร์คจริงๆ ด้วย เราไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้วเนี่ย”

“ก็...สิบกว่าปีได้มั้ง”

“แล้วพี่มาร์คมางานนี้ได้ไง”

“พอดีมาส่งแฟนน่ะ แฟนพี่เป็นพิธีกรงานนี้”

ฉันหันไปมองพิธีกรที่จับไมค์พูดภาษาอังกฤษคล่องปร๋อ 

“ดีจัง” ฉันเอ่ยออกมา

“แล้วน้องพราวสบายดีนะครับ พี่แอบติดตามน้องพราวผ่านไอจีอยู่นะ”

“สบายดีค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”

“มากับแฟนรึเปล่า”

“แหม...ถ้าตามไอจีกันจริง ก็น่าจะรู้นะคะว่าพราวยังโสด” ฉันพยายามมอง ‘รักแรก’ ให้เต็มตา แตกต่างจากวันวานที่ต้องเป็นฝ่ายหลบเขามาตลอด

“นั่นสินะ”

“ที่พราวโสดก็เพราะพี่มาร์คนั่นแหละ” ฉันเอ่ยตรงจนอีกฝ่ายสะดุ้ง

“พี่...ขอโทษ” เขาก้มหน้าเช่นคนรู้สึกผิด เหตุการณ์หลังจากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็กลายร่างจากเจ้าชายเป็นซาตาน ที่มักจะส่งยิ้มเยาะ วาจาถากถางแก๊งของพวกฉันเสมอ และใช่ พวกเราสี่สาวกลายเป็นตัวตลกของโรงเรียนไปโดยอัตโนมัติ

“แต่มันก็มีข้อดีอย่างหนึ่งนะคะ คือมันทำให้พราวเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวอะไรอีก โดยเฉพาะเรื่องเซ็กซ์”

สหรัฐอ้าปากค้าง

“และพี่มาร์คก็ยังเป็นสิ่งที่พราวค้างคาใจอยู่” ฉันหลิ่วตาให้ ก่อนจะยกมือไปดันคางให้เขางับปาก “ขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวเพื่อนจะรอ” 

ฉันปัดที่ปกเสื้อของเขา ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ

 

“คุณนิลว่าไงมั้ง” สายป่านรีบถาม

“ก็เพ้อเจ้อไปตามประสานั่นแหละ” ฉันตอบ แต่ยังคิดถึงหนุ่มที่เพิ่งคุยกันมากกว่า บ้าจริง ทำไมฉันถึงตื่นเต้นที่ได้เจอเขา 

รักครั้งแรกที่ทำหัวใจแตกสลาย...

เมื่อแขกในงานมาครบ อาหารและเครื่องดื่มก็เริ่มทยอยเสิร์ฟ มีการกล่าวเปิดงานโดยคนสำคัญของทั้งฝั่งประเทศไทยและอังกฤษ จากนั้นก็มีการเดินแบบชุดเครื่องเพชรที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์รุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ

ฉันนั่งชมอย่างใจจดใจจ่อ ได้สนทนากับเพื่อนในวงการออกแบบเครื่องประดับและเสื้อผ้าในงานนี้ด้วย

“ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ฉันบอกกับเพื่อน ปาลิดาขยับตัวจะไปด้วยแต่ฉันยกมือปัดเป็นเชิงว่าไม่ต้อง ก่อนจะออกจากโต๊ะ ก็แลตาไปยังโต๊ะที่ข้างเวที เพราะรู้ดี มีชายคนหนึ่งที่จ้องมองฉันอยู่ตลอดเวลาที่ฉันอยู่ในงาน

ฉันเดินเข้าห้องน้ำและทำธุระส่วนตัว เมื่อเดินออกมาก็เจอเขายืนรออยู่ 

“อ้าว พี่มาร์ค รอแฟนหรือเปล่า”

“จะว่าไป ก็ยังเรียกว่าแฟนไม่ได้เต็มปาก เพราะพี่ยังตามจีบเขาอยู่”

ฉันพยักหน้าเข้าใจ “สู้ๆ นะคะ”

กำลังจะเดินจาก แต่เขาก็เอ่ยชวนเสียก่อน “ดื่มด้วยกันหน่อยไหม” 

ฉันยิ้มแทนคำตอบ สหรัฐจึงไปหยิบเครื่องดื่มจากบริกรมายื่นให้ ก่อนจะชวนฉันไปคุยกันยังระเบียงที่ปลอดคน

“เรื่องในอดีต พี่ต้องขอโทษอีกครั้งนะ ที่สร้างรอยแผลในชีวิตให้น้องพราวและเพื่อน คือตอนนั้นมันเป็นวัยรุ่น ท้ากันไปมาก็เลยอย่างที่เห็น”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่างว่าตอนนั้นพราวมันเป็นเด็กขี้เหร่ จัดฟัน ไม่คู่ควรกับพี่มาร์คสักนิด”

“แต่ตอนนี้พี่เป็นฝ่ายที่ไม่คู่ควรกับน้องพราวมากกว่า” ชายหนุ่มก้มหน้าเศร้า

ฉันหยิบเอาปอยผมที่หลุดมาทัดที่หู “ไม่หรอก พี่มาร์คยังเป็นความทรงจำที่ดีของพราวเสมอ”

“เพราะพี่หรือเปล่า เลยทำให้น้องพราวยังโสด”

“ไม่ถึงขนาดนั้น พราวแค่ไม่อยากจะมีใครให้ปวดหัว แต่เรื่องคู่เดต เรื่องเซ็กซ์ พราวก็ไม่ขาดอยู่แล้ว” ฉันเอ่ยตรงไปตรงมา เห็นว่าเขากลืนน้ำลายฝืด

“ละ...แล้ว มีทางไหนที่พี่พอจะลบล้างความผิดที่ผ่านมาได้บ้าง ให้พี่ช่วยทำอะไรก็บอกได้นะ”

ฉันยิ้มมุมปาก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “พี่มาร์คกล้าเหรอคะ”

แววตาเขาวาวโรจน์ “กล้าสิ”

ฉันดื่มเครื่องดื่มในมือ ก่อนจะเดินนำไปตรงทางเดินซึ่งเป็นบันไดเชื่อมขึ้นไปยังดาดฟ้า ฉันแอบถามเจ้าหน้าที่ที่จัดงานแล้วได้ความว่า ตรงนั้นเป็นชั้นว่างที่ใช้เก็บโต๊ะเก้าอี้เสริม ที่สำคัญไม่มีกล้องวงจรปิด สหรัฐดูจะรู้ทันทีว่าฉันต้องการอะไร เขาวางแก้วและเดินตามมา

พอเข้ามายังที่มืดเขาก็เรียกหาฉัน

“น้องพราว”

“พราวอยู่นี่ค่ะ” ฉันพิงราวบันได วางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะกลมและทิ้งตัวนั่งไขว่ห้างโชว์เรียวขา พอเขาเข้ามาใกล้ฉันก็ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหู “พี่เคยสร้างปมให้ฉัน วันนี้ฉันจะสร้างปมให้พี่บ้าง จะได้รู้ว่าฉันก็ใจร้าย”

จากที่เคยเป็นสุภาพบุรุษ ตอนนี้สหรัฐแปลงกายเป็นหมาป่าหื่นกระหาย ประคองแก้มฉันไปจูบอย่างเร่าร้อน ฉันผลักตัวเขาออกก่อนจะยกมือจุปาก

“ถอดเสื้อสิ”

“ตรงนี้เลยเหรอ” เขายิ้ม

“ก็พี่นั่นแหละ ทำให้ฉันกลายเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ชอบความตื่นเต้น ถ้าพี่ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ” 

ฉันลุกขึ้น หมุนตัวจะเก็บของกลับ แต่เขากลับเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลังและซุกไซ้ที่ซอกคอ ฉันเบี่ยงตัวหลบ ก่อนหันหน้ามาชี้ไปที่กระดุมของเขา

สหรัฐรีบแกะเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ ชุดสูทของเจ้าชายที่เขาสวมถูกกองไว้กับพื้นโดยไม่สนความสกปรก

ฉันเลียริมฝีปาก แสงไฟสลัวเผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่ท้วมไปตามวัย หุ่นแบบพ่อหมี

“กางเกงด้วยสิ” ฉันเอ่ยและถลกกระโปรงให้เห็นเรียวขาขาวสวย 

ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ที่สุดเขาก็เหลือเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว “พี่พร้อมแล้ว” 

เขาอ้าแขนรอ ฉันเดินเข้าไปใกล้ และใช้มือลูบลำคอไล่ลงมาที่ยอดอก ก่อนจะก้มลงไปหยิบเสื้อเชิ้ตของเขาขึ้นมา

“น้องพราวทำอะไร”

“พราวพูดตามตรงนะคะพี่มาร์ค พราวชอบอะไรที่มันตื่นเต้น พี่ตามใจพราวหน่อยได้ไหม” ฉันยื่นหน้าเข้าไปเพื่อจูบกับเขา พร้อมกับเอาเสื้อมามัดแขนของเขาที่ละข้าง สหรัฐอยู่ในท่าที่หันหลังให้ราวบันได โดยที่มือทั้งสองถูกตรึงแยกไว้

“พี่ต้องเป็นทาสของพราว ทำตามที่พราวสั่งทุกอย่าง” ฉันเอ่ยพร้อมกับบีบก้นจนพี่มาร์คสะดุ้ง ฉันบรรจงซุกไซ้ที่ช่วงคอ ลงมาที่แผงหน้าอก เหลือบมองก็เห็นชายหนุ่มหลับตาพริ้มและสูดปาก

“พราวจ๋า”

ฉันกัดริมฝีปาก เคลื่อนมือมาลูบไล้ที่จุดศูนย์กลางของร่างกายเขา มันแข็งเป็นลำพร้อมรบ!

“บอกสิ ว่าจะยอมพราวทุกอย่าง”

“ครับ พี่ยอมทุกอย่าง ลงโทษพี่ได้เลย”

ฉันลูบไล้ที่ถุงแฝดของเขา ก่อนจะผละมาหยิบลิปสติกจากกระเป๋าและเปิดฝาออก

“เรียกพราวว่าจอยนะ”

“หือ ทำไมอะ” 

“มันคือนามแฝงของพราว ยามที่ได้สนุกกับเซ็กซ์กับคนที่ชอบ คืนนี้พี่มาร์คอยากจะมีอะไรกับจอยไหมคะ”

“อยาก พี่อยากจะเอากับจอย”

ฉันทาลิปสติกจนปากแดงและเข้าไปจุมพิตที่กล้ามอก เขาร้องระงม “พี่รักจอยไหม”

“พี่รักจอยๆ”

ฉันหยิบลิปสติกมาเขียนที่ตัวของสหรัฐว่า ผัวอีจอย

“เสร็จแล้ว เราจะอาบน้ำด้วยกันนะคะ” ฉันกระซิบและลูบที่เป้าของเขา มันแข็งจนแทบจะทะลุออกมากจากกางเกง  

“พราวมีอุปกรณ์ด้วยนะ พี่มาร์ครอแป๊บ” ฉันบอกก่อนจะเก็บกระเป๋า และเดินไปทางบันได

เขาเหลียวซ้ายแลขวา “ดะ...เดี๋ยวพราว เอ้ย จอย ไปไหน”

“เดี๋ยวมาค่ะ รับรอง อุปกรณ์อันนี้เสียวถึงใจ”

เมื่อลงบันไดแล้วฉันก็เลี้ยวเข้าห้องน้ำ บ้วนปากและแต่งหน้าอีกรอบอย่างสบายใจ เป็นการลงทุนที่เปลืองตัวและน่าขยะแขยง แต่ก็ต้องทำ

ตื่นเต้นที่ได้เจอเขาไหม แน่นอน แต่ไม่ใช่ในฐานะเจอความรักหวานแหวนหรอก แต่มันคือความท้าทายที่จะได้ทวงคืนความยุติธรรมของนางเมดูซา ผู้ชาย พอผู้หญิงให้ท่าหน่อยก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม คนอะไรใช้ไอ้จ้อนคิดแทนสมอง ยอมแก้เสื้อ ยอมถูกมัด ยอมทุกอย่างเพื่อเซ็กซ์ สมควรแล้วที่เขาถูกแก้แค้น

ฉันยิ้มให้แก่คนในกระจก ก่อนจะเชิดหน้า เก็บของและเดินออกจากห้องน้ำเพื่อกลับเข้าไปในงาน มุ่งไปที่ข้างเวที เห็นพิธีกรสาวกำลังเก็บของ

“คุณคะ เมื่อกี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อจอย บอกว่าอยากเจอคุณที่ชั้นบนค่ะ”

“จอยเหรอ” พิธีกรสาวมีสีหน้างงๆ 

“ใช่ เห็นว่าอยู่กับแฟนคุณ ชื่อพี่มงพี่มาร์คอะไรสักอย่างนี่แหละ”

“เหรอคะ ขอบคุณค่ะ” สาวสวยเอ่ย 

ฉันยักไหล่ก่อนจะหมุนตัวเดินไปอีกทาง

“หายไปไหนมาเสียนานยะ” สายป่านสงสัยหลังจากฉันกลับมาที่โต๊ะ

“กลับเหอะ งานไม่เห็นสนุกเลย” พูดจบก็เดินออกมาอย่างโล่งใจ

ลาก่อนพี่มาร์ค...

ระหว่างที่เดินออกมาจากงานฉันเห็นนักข่าววิ่งกันวุ่น บอกว่าที่ชั้นสามพิธีกรสาวเมื่อครู่กำลังทะเลาะกับแฟนที่ไปมีเซ็กซ์กับคนอื่นบนระเบียง

อีกเดี๋ยวก็คงแพร่เต็มโลกโซเชียล ฉันไปรออ่านในรถดีกว่า...

 

สายป่านบ่นอุบที่รู้ว่าฉันกำลังจะเดินทางไปพักผ่อนที่ทะเล แต่ไม่ชวนนางไปด้วยสักคำ เพราะนางเป็นคนชอบไปทะเลอยู่เป็นทุนเดิม

“ก็บอกแล้วไงยะว่าเป็นทริปปลอบใจเพื่อนสาว ให้ทะเลรักษาหัวใจ” ฉันเล่าถึงโครงการครั้งนี้ว่าเจ้าจันทร์เป็นคนต้นคิด โดยสถานที่เป็นรีสอร์ตหรูบนเกาะในจังหวัดตราด

“ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ ยายอิงฟ้ายิ่งอ้อร้ออยู่ด้วย” สายป่านยังเป็นคนขี้ระแวง 

“จ้า...ไม่ต้องห่วงหรอก ขานั้นอ้อร้อมาฉันก็จะอ้อร้อกลับ แกเคยเห็นคนอย่างฉันจนมุมด้วยเหรอยะ”

“เออ ลืมไป ว่ากำลังสอนจระเข้ว่ายน้ำ” 

ก่อนจะวางหู สายป่านยังทิ้งท้ายให้ฉันระวังตัวเรื่องคลิปหลุดต่างๆ ฉันรับปากไปส่งๆ เพราะตอนนี้คนขับรถพามาถึงท่าเรือที่นัดหมายแล้ว

เมื่อประตูรถเปิดออก ฉันเห็นเพื่อนทั้งสามโบกมือต้อนรับและพากันวิ่งเข้ามากอด อิงฟ้าหน้าตาสดใสขึ้น เธอขอบคุณฉันที่ยอมมาทริปนี้ด้วย

“คืนนี้บนเกาะจะมีปาร์ตีธีมสาวชาวเกาะนะ ฉันว่าต้องสนุกแน่ๆ” ปลาดาวแววตาลิงโลด

“ชาวเกาะไหนจ๊ะ เกาะฮาวาย เกาะแถวแคริบเบียน บาหลี หรือจะเป็นทางฝั่งออสเตรเรีย” ฉันถามจริงจังเพราะจะได้แต่งตัวให้ถูก 

เพื่อนทั้งสามเงียบกริบ...

“เกาะฮาวายละกัน ฉันก็นึกได้แค่นี้” คนคิดปาร์ตีเอ่ย คงงงๆ กับความเยอะของฉัน 

เอ๊า! ก็ฉันทำงานด้านแฟชั่น จะให้แต่งตัวแบบโจทย์ที่ยังคลุมเครือไม่ได้นะ

“นี่ จะบอกว่ารีสอร์ตนี้สวยมาก ช่วงหยุดยาวคนเต็มตลอด แต่เราไปวันธรรมดาก็เลยพอมีห้องว่าง ฉันเคยเห็นแก๊งดาราไปเที่ยวมาด้วย” เจ้าจันทร์เอ่ยตามประสาคนชอบดูรีวิวมาก่อน

 “แสดงว่าต้องมีหนุ่มๆ โพรไฟล์ดีมาพักด้วยแน่ๆ ดี ฉันจะได้สนุกให้เต็มที่ เผื่อจะได้ลืมผัวเก่าจอมเฮงซวย” อิงฟ้าประกาศกร้าว เพื่อนสองคนปรบมือ แต่ฉันกลับสะดุด รู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน

คงไม่เดจาวูหรอกมั้ง...

เรือสปีดโบตของรีสอร์ตมารับพวกเราไปยังเกาะตรงเวลาเป๊ะ พนักงานช่วยกันขนสัมภาระ ส่วนพวกเราทั้งสี่ก็เดินนวยนาดขึ้นเรือ ความจริงฉันเสนอให้เพื่อนๆ นั่งเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวมา แต่ปลาดาวบอกว่าอยากนั่งเรือกับเพื่อนๆ มากกว่า ก็เลยพับโครงการนี้ไป

ยามเช้าแดดยังไม่แรง แสงทองทาผืนน้ำให้เป็นสีน้ำเงินยาวไกลไปสุดลูกหูลูกตา ตัดกับท้องนภาสีฟ้าอ่อน งดงามสบายใจ ฉันแหงนหน้ารับลมเย็น เห็นนกนางนวลบินโฉบไปมา ก่อนจะถลาลงจับปลากลางทะเล

ครึ่งชั่วโมงพวกเราก็มาถึงเกาะ เดินขึ้นเกาะก็เจอรีสอร์ต ปลาดาวบอกว่าเจ้าของเป็นญาติห่างๆ เนื้อที่กว้างขวางกว่าห้าสิบไร่ มีบ้านพักเพียงสี่สิบห้องเพราะเน้นความเป็นสถานที่ส่วนตัวและกิจกรรมแนวครอบครัวมากกว่า

ที่พักของเราเป็นเรือนปั้นหยาหลังใหญ่ สี่ห้องนอน สี่ห้องน้ำ ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุด แค่เปิดประตูห้อง เดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงชายหาด

จะว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันนะที่ไม่ได้มาเที่ยวทะเล ล่าสุดก็คงตอนที่ไปมัลดีฟส์กับสายป่านเมื่อปีก่อนละมั้ง

“เราทุกคนนอนด้วยกันเลยมั้ย จะได้คุยกันทั้งคืนไปเลย” ปลาดาวเสนอ

“ได้สิ แต่ฉันขอเก็บกระเป๋าเอาไว้อีกห้องได้มั้ย ของมันเยอะ” ฉันขอ ซึ่งทุกคนก็ไม่ขัด 

“เอาละ ใครอยากจะเล่นน้ำบ้าง” ฉันถามต่อ

“เอาสิๆ” ปลาดาวเห็นด้วย 

พวกเราจึงแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ่านไปสักพัก ทั้งสามก็วิ่งออกมาด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสั้น จูงมือกันลงไปเล่นน้ำที่หาดด้วยความสดใส ฉันส่ายหน้า ก่อนจะถอดชุดเดรสผ้าลินินที่ใส่มา เผยให้เห็นบิกินี่สีส้มตัวจิ๋วซ่อนอยู่ ฉันสวมแว่นกันแดด หยิบหมวกสานใบเก๋มาสวม ทัดดอกกล้วยไม้ที่แนบกับมาแก้วน้ำส้มเวลคัมดริงก์ที่หู ก่อนจะเดินตามหลังเพื่อนๆ ไป

ทะเลสีฟ้าสดใส ตัดกับสตรีผิวสีน้ำผึ้งในชุดว่ายน้ำสีส้ม ร้อนแรงราวกับจะทำให้ทะเลเดือด แน่นอนเมื่อสามสาวเห็นฉันก็ต้องอ้าปากค้าง

อ๊ะ...ไม่ได้สิ คนอย่างพราวตะวัน เพราะทุกวันคือรันเวย์ ต้องสวยทุกช่วงเวลานะจ๊ะ...

“มองอะไรยะ ไม่เคยเห็นคนใส่ชุดว่ายน้ำหรือไง” ฉันถามเพราะทุกคนเอาแต่จ้องอยู่อย่างนั้น 

“ก็...แกสวยอะ ชุดทูพีชพวกเรายังไม่กล้าใส่เลย” ปลาดาวเอ่ย 

จริงๆ ตอนนี้ปลาดาวสวยขึ้นกว่าตอนเป็นวัยรุ่นมาก แต่ติดที่ว่าเป็นคนตัวสูงมาตั้งแต่เด็ก เลยติดนิสัยงอหลังตอนยืนเดินนั่ง ทำให้หลังโก่งๆ ดูไม่มั่นใจในตัวเอง

“มาว่ายน้ำก็ต้องใส่ชุดว่ายน้ำสิ อย่าบอกนะว่าพวกแกเตรียมแต่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นมา” ใต้แว่นตากันแดด ฉันมองอย่างไม่เข้าใจนักที่เห็นเพื่อนทั้งสามแต่งตัวลงน้ำเหมือนเด็กนักเรียนมัธยมผมเปียมาทัศนศึกษา

“พูดมากน่า จะลงก็ลงมาเลย” 

อิงฟ้าคงรำคาญที่ฉันเอาแต่เดินสวยๆ จึงสาดน้ำใส่ทำฉันสะดุ้งโหยง เจ้าจันทร์เหมือนนึกสนุกรีบสาดใส่บ้าง ปลาดาวก็เช่นกัน กลับกลายเป็นฉันคนเดียวที่ถูกรุมจนเปียกโชก จึงต้องรีบวิ่งลงน้ำเพื่อเอาคืน

เสียงหัวเราะคิกคักดังลั่น พวกเราสนุกสนานเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

รีสอร์ตวันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะนอกจากพวกเราแล้วยังมีแขกคนอื่นๆ ออกมาเล่นน้ำทะเลและทำกิจกรรมที่หาดทรายอีกด้วย โดยเฉพาะบ้านพักหลังขวามือ มีหนุ่มๆ กำลังตั้งทีมเล่นฟุตบอล ปลาดาวรีบโบกไม้โบกมือทักทายอย่างก๋ากั่น

“ยายปลา ทำแบบนั้นเดี๋ยวเขาก็ว่าเราแรดหรอก” อิงฟ้าตำหนิ แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่ให้

ฉันเลื่อนแว่นกันแดดลงมาที่จมูกเพื่อสำรวจเป้าหมาย เห็นเป็นหนุ่มหล่อสามคนกำลังเล่นกีฬาท้าแสงแดด ที่สะดุดตาที่สุดคงจะเป็นหนึ่งในนั้น เขาแก้เสื้อโชว์หุ่นแน่น สวมกางเกงชายหาดสีน้ำเงิน และจังหวะที่เขาหันมามองที่พวกเราก็ทำฉันก็ชะงัก

นายอนิล...

นี่คนหรือเจ้ากรรมนายเวร ไปที่ไหนก็เจอ!

“นั่นมัน คุณอนิลไม่ใช่เหรอ มาที่นี่ได้ไงคะ” 

ปลาดาวโบกมือทักทายเสียงดังเมื่อเห็นว่าเป็นคนรู้จัก อนิลก็วิ่งเข้ามาหาเพื่อทักทายทุกคน ทว่าสายตานั้น กลับจ้องฉันแบบไม่หวั่นเกรงใคร

“ไม่นึกว่าจะเจอกัน ผมกับเพื่อนตั้งใจมาพักผ่อน”

“เพื่อนหล่อๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ” เจ้าจันทร์ยิ้มกริ่ม “แล้วโสดกันรึเปล่าเอ่ย”

“น้อยๆ หน่อย พวกเธอเองก็มีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอยะ” ฉันรีบสกัดดาวรุ่ง จนสองสาวมองค้อน

“เพื่อนผมมันมากับแฟน มีแต่ผมคนเดียวแหละฮะที่ยังโสด” เขาตอบ 

“แหม คุณกับยายพราวช่างเหมาะสมกันจริงๆ หนุ่มโสด กับสาวแซ่บ” ปลาดาวแซว

“ดูหุ่นของคุณอนิลสิ หุ่นยังกับนายแบบ ขอโทษนะคะ ขอจับกล้ามท้องหน่อยได้ไหม” 

ไม่รอให้เขาอนุญาต ปลาดาวก็เอื้อมมือไปแตะหน้าท้องแข็งๆ ของเขา แถมยังกรี๊ดกร๊าดเสียงดัง เจ้าจันทร์และอิงฟ้าไม่ยอมแพ้ ต่างร่วมมือกันแต๊ะอั๋งเขาต่อหน้าฉัน ซึ่งทำได้เพียงแต่เชิดหน้าวางฟอร์ม

“ยายพราว แกลองจับสิ กล้ามท้อง กล้ามแขนของคุณอนิลแข็งโป๊กเลย” ปลาดาวหัวเราะคิกคัก 

เชอะ เรื่องนี้ฉันรู้อยู่แล้วย่ะ อยากจะเถียงว่าอย่างอื่นของเขาก็แข็งเหมือนกัน เอิ่ม...ฉันหมายถึงกล้ามเนื้อมัดอื่นนะ 

ทว่าวันนี้เขาก็ดูเซ็กซี่เร้าใจจริงๆ ผิวสีแทนเช่นคนสุขภาพดี ผมสั้นสะอาดตา และแว่นกันแดดที่ใส่ก็ทำให้เขาดูเท่ คูล แบบบีชบอย

“มาสิๆ มาจับดู” ปลาดาวดึงแขนฉันไปใกล้ แต่ฉันยังนิ่งจนชายหนุ่มต้องออกแรงจับแขนฉันไปวางแหมะที่หน้าอกข้างซ้าย ก่อนจะเลื่อนลงมาช้าๆ ที่หน้าท้องแกร่ง

เหมือนคืนนั้นไม่ผิด...

ฉันหน้าแดงระเรื่อ ใจเต้นตึ้กตั้ก ฉันตั้งสติเงยหน้ามองเขา 

หน็อย คิดจะทำให้ฉันกลัว และกลายเป็นลูกแมวเหรอ...ได้! 

ฉันใช้เล็บเขี่ยหน้าท้องของเขาเบาๆ ก่อนจะเลื่อนไปลูบแผงอกกว้าง ทำเอาเพื่อนทั้งสามตาโต ก่อนจะบิดไปที่หัวนมของเขาเต็มแรง

“โอ๊ย!” เขาสะดุ้งตกใจรีบยกมือมาปิดหน้าอก “ทำอะไรน่ะคุณ” 

“ก็ชอบโชว์นักไม่ใช่เหรอ” ฉันยิ้มยั่ว

“ยายพราวทำอะไรแบบนั้น หัวนมนะไม่ใช่ลูกบิดประตู” ปลาดาวดูสงสารเขา

“คุณพราวคงหึงผมน่ะ ที่ยืนให้พวกคุณแต๊ะอั๋ง”

“นี่คุณ...” 

ฉันอ้าปากจะเถียง แต่เจ้าจันทร์ก็รีบยกมือห้ามทัพ ก่อนจะบอกกับเขาว่าคืนนี้พวกเราจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ ที่ริมหาดหน้าห้องพัก

“ถ้าคุณอนิลพอมีเวลาก็มาร่วมแจมได้นะคะ” เจ้าจันทร์เสนอ

“น่าสนใจ แล้วผมจะมานะครับ”

“เดี๋ยว คุณมากับเพื่อนก็ต้องอยู่กับเพื่อนสิ” ฉันรีบย้อน

 “ไม่เป็นไรหรอก เขามาเป็นคู่ๆ มีแต่ผมคนเดียวที่ยังไม่มีใคร ไปไหนก็สะดวก” เขายักไหล่

“นั่นสิ ดีออกแก ปาร์ตีของเรามีหนุ่มๆ มาร่วมแจมเป็นสีสัน... มานะคะคุณอนิล พวกเราจะรอค่ะ อ้อ ธีมปาร์ตีคือชาวเกาะ เอ่อ...เกาะฮาวายนะคะ” เจ้าจันทร์ย้ำ

เขารับปาก และหันมามองหน้าฉันอย่างยั่วๆ ก่อนจะเดินกลับไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ ต่อ

“ฉันว่าเขาน่ารักดีนะแก นี่ถ้าฉันไม่ติดว่ามีลูกผัว ฉันเอาจริงๆ นะ” เจ้าจันทร์เอ่ย

“ใช่ๆ ไม่ลองเปิดใจบ้างล่ะ ฉันว่าเขาก็ดูสนใจแกอยู่นา” อิงฟ้าสนับสนุน

“พวกแกก็เชียร์เหลือเกินนะยะ” ฉันมองค้อนก่อนจะเดินไปนอนที่เปล ยังเห็นว่าสามสาวแอบนินทาฉันอยู่ จึงทำเป็นกระแอมเสียงดัง พวกนั้นถึงจะหยุด

 

เพราะมัวแต่อาบน้ำแต่งตัวเสียจนเพลิน พอลงจากห้องมาก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว ที่ชายหาดหน้าห้องพักตอนนี้เพื่อนๆ ทั้งสามต่างกำลังสนุกสนานกับการปิ้งย่างบาร์บีคิวส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย และเมื่อฉันปรากฏตัวด้วยเดรสยาวผ้าลายดอกชบาสีแดงสด ปลิวไสวตามแรงลม เพื่อนทั้งสามต่างชมฉันเป็นการใหญ่ว่าสวมชุดสวย ขณะที่พวกเธอดันสวมเพียงเสื้อเชิ้ตลายสับปะรดที่ขายกันเกลื่อนบนร้านขายของที่ระลึกกับกางเกงยีนขาสั้นเชยๆ ฉันก็ได้แต่แอบถอนหายใจ 

เฮ้อ...นี่น่ะเหรอธีมสาวชาวเกาะ เหมือนแก๊งสก๊อยชานเมืองชวนกันเล่นสงกรานต์มากกว่า

“แกยังสวยได้เสมอเลยนะยายพราว พวกเรานี่พอได้แต่งงานแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยได้ใส่ใจตัวเองเลย” เจ้าจันทร์เอ่ยกับอิงฟ้าเพื่อหาพวก

“มันไม่เกี่ยวกับแต่งงานหรือไม่แต่งหรอก ผู้หญิงกับความสวยเป็นของคู่กัน อย่าให้ชีวิตคู่มาเป็นเงื่อนไขว่าไม่มีเวลาดูแลตัวเองสิ” ฉันยักไหล่

“เธอพูดถูก มาๆ พวกเราดื่ม เพื่อแก๊งนารีงูพิษของเรา” อิงฟ้ารีบยกแก้วเบียร์ส่งให้เพื่อน ฉันรับมาและชนแก้วกับทุกคน ก่อนจะซดน้ำสีอำพันลงคอเพื่อกระตุ้นความสนุก

“นี่ยายพราว จะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะขอแหวนงูพิษ...” อยู่ๆ เพื่อนปุ้มปุ้ยก็เอ่ยขึ้นมา

“ไหนว่าแกไม่อยากได้” ฉันพลิกมือไปมา

“ก็...ฉันอยากโสดแล้วมีความสุขเหมือนแกไง”

ฉันนิ่งไปสักพัก “ได้สิ แต่ฉันว่ารออีกสักสามเดือนดีกว่า เผื่อยังมีหวังที่พี่ปฐพีจะกลับมา”

“ถ้างั้นฉันขอยืมใส่แหวนหน่อยสิ อยากถ่ายรูปรำลึกความหลัง” ปลาดาวเอ่ย ตาจ้องแหวนประจำกลุ่มที่ฉันใส่ติดนิ้วตลอดเวลา

ฉันพยักหน้า พยายามจะถอด แต่มันกลับถอดไม่ออก

“ไม่ออกอะ” เอางี้ละกัน ฉันหยิบโทรศัพท์มาตั้งกล้องถ่ายด้านหน้า ก่อนจะเรียกทุกคนเข้ามาร่วมเฟรม พร้อมกับยกนิ้วโชว์แหวน และกดถ่ายรูป

“แชะ”

ในที่สุดก็ได้รูปถ่ายล่าสุดของแก๊งนารีงูพิษ

“เดี๋ยวฉันจะลงไอจีและแท็กทุกคนนะ” 

“เป็นเกียรติจริงๆ ที่เราได้ร่วมเฟรมกับดีไซเนอร์ชื่อดัง” อิงฟ้ายิ้ม และคะยั้นคะยอให้ฉันดื่มต่อ

“ฉันว่าเราน่าจะแท็กยายมิเชล หว่อง ไปด้วยนะ” ปลาดาวเอ่ยขึ้นมาจนทุกคนหัวเราะครืน 

เจ้าตัวคงจะฝังใจที่ครั้งหนึ่งมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมโรงเรียนกับมิเชล ขณะที่อาจารย์กำลังแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน โดยบอกว่าปลาดาวเป็นคนที่มีความสามารถสูงเรื่องการคิดคำนวณ ปลาดาวยิ้มให้อย่างมิตรภาพ แต่มิเชลก็ทำหน้านิ่งๆ และมองปลาดาวตั้งแต่หัวจดเท้า ก่อนจะถามอาจารย์สีหน้าเรียบเฉยว่า 

‘อาจารย์คะ ที่ว่าความสามารถสูง นี่หมายถึงเก็บของจากที่สูงหรือเปล่าคะ’

ตอนนั้นพวกเราหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งที่ปลาดาวโดนบูลลี่เรื่องส่วนสูงเกินหญิงไทย

“ตอนนี้คงมีแต่ยายพราวแหละ ที่พอจะแก้แค้นยายมิเชลให้พวกเราได้” อิงฟ้าเสริม กอนจะยกแก้วต่อ

“เบาๆ หน่อยนะอิงฟ้า อย่าเพิ่งรีบเมาเสียก่อนล่ะ” ฉันรีบปรามเพราะรู้วีรกรรมของเพื่อนตัวอ้วนดี

ดวงตะวันลาลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงแสงสีแดงระเรื่อที่ขอบฟ้า หาดทรายขาวเริ่มมืดมิด ไม่นานพระจันทร์เต็มดวงก็ปรากฏ แสงสีขาวนวลบนฟ้าส่องสะท้อนแผ่นน้ำ เสียงคลื่นกระทบหาด พร้อมกับลมพัดเย็น ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนทะเลก็ไม่เคยหลับใหล

ฉันเงยหน้ามองเดือน ก่อนจะใช้มือปัดผมที่คลอเคลียหน้าให้มาคล้องหู สายตายังแอบชำเลืองไปยังห้องพักที่ไม่ไกลกันมาก แอบคิดว่านายอนิลจะมาปาร์ตีกับพวกเราหรือเปล่า

ไม่ทันไรก็สะดุ้งโหยง เมื่อเพื่อนๆ ต่างกรี๊ดกร๊าดเสียงดังเพราะมีหนุ่มล่ำบึกไม่สวมเสื้อสามคนเดินถือกระบองไฟมาควงโชว์ พร้อมกับเสียงดนตรีคึกคัก

เจ้าจันทร์บอกว่านี่เป็นการแสดงเซอร์ไพรส์จากทางรีสอร์ต หนุ่มๆ ควงกระบองไฟ และร่อนเอวอยู่สักพัก ปลาดาวหยิบธนบัตรให้ทิปไปตามมารยาท เธอตั้งใจจะให้พวกเขานั่งดื่มต่อ แต่หนุ่มๆ ก็อ้างว่าต้องเดินไปโชว์ที่หน้าห้องของแขกคนอื่นๆ ด้วย

“บ้านพักหลังนู้นมีบริษัทใหญ่พาผู้บริหารมาอบรม” เขาชี้ไปยังบ้านหลังซ้ายมือ ซึ่งเห็นแสงกองไฟวับแวมคงมีมีตติงหน้าหาดเหมือนเรา

“ถ้างั้นก็ไปเถอะ ยังไงถ้าเสร็จงานแล้วมาดื่มกับพวกพี่ก็ได้นะ เนี่ยเพื่อนพี่คนนี้ยังโสด อยากได้แฟนพอดี” ปลาดาวผายมือมายังฉันที่ทำได้แต่ยิ้ม นี่ใจคอแม่พวกนี้จะให้ฉันจีบเด็กควงกระบองด้วยหรือไง

“ยายพราวแกกินข้าวนิดเดียวเอง เอาอะไรอีกไหม” อิงฟ้าถาม

            ฉันส่ายหน้า “ไม่เอาอะ กินตอนเย็นมากไม่ดี เดี๋ยวอ้วน”

            “ดื่มสิแก ฉันสังเกตว่าแกมัวแต่มองเดือนมองดาวอยู่นั่นแหละ อ้อ บางทีก็แอบมองไปยังบ้านหลังนั้น รอคุณอนิลเหรอจ๊ะ” 

ปลาดาวเอ่ยอย่างรู้ทัน แถมยังตะโกนออกไปเสียงดังลั่น

“คุณนิลเจ้าขา...เมื่อไหร่จะมาคะ เพื่อนพราวคนสวยของฉันรอนานแล้วนะ”

ฉันอดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ตีไปที่ไหล่ของเพื่อน และเหมือนกับฉากละคร พอสิ้นเสียงตะโกนอนิลก็เดินออกมาจากเงามืด ปรากฏตัวด้วยเสื้อเชิ้ตฮาวายสีฟ้า ใบหน้าหล่อเหลาของเขาทำให้เพื่อนทั้งสามกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ฉันเองก็อยากจะทำอย่างนั้น แต่ขืนทำไป เขาก็คิดว่าฉันชอบเขาสิ

“หล่อจังเลยค่ะคุณนิล” เบียร์แค่สามแก้วก็ทำปลาดาวพูดเสียงยานคาง ตาหวานเยิ้ม

“เชิญค่ะคุณนิล นั่งข้างๆ ยายพราวได้เลย คนโสด ต้องเจอกับคนโสดนะคะ” เจ้าจันทร์จัดแจงเรียกพนักงานให้บริการ ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าเป็นการขอบคุณ

“เพื่อนคุณไม่ว่าอะไรเหรอ ออกมาอยู่กับพวกฉันแบบนี้” ฉันถามด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเวลามาเที่ยวของเขา

“ไม่หรอก เห็นหน้ากันจนเบื่อแล้ว ผมอยากเห็นหน้าคุณมากกว่า” เขาพูดตรงจนเพื่อนทั้งวงครางโอดโอยราวกับอิจฉา 

ส่วนฉันก็ต้องทำหน้าไว้ฟอร์มไปก่อนน่ะสิ ดีหน่อยที่ความมืดยามค่ำช่วยพรางให้ไม่เห็นใบหน้าที่ตอนนี้มันน่าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

“ดื่มกันค่ะ” อิงฟ้ายกแก้วอีก ส่วนปลาดาวก็คอยถามว่าฉันต้องการอะไรเพิ่มไหม

“หรือว่าแกอยากสูบบุหรี่” เจ้าจันทร์ถามบ้าง ก่อนจะยื่นซองบุหรี่ให้

“แกสูบบุหรี่ด้วยเหรอ” ฉันแปลกใจ 

เจ้าจันทร์พยักหน้า “นานๆ ทีน่ะ วันนี้โอกาสพิเศษ ได้เจอเพื่อนเก่าทั้งทีก็ต้องมีบ้าง” 

ว่าจบเจ้าตัวก็ยักไหล่ ก่อนจะหยิบมันมาจุดไฟสูบและพ่นควันออกมาเป็นสาย ฉันได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไม่นึกเหมือนกันว่าเพื่อนเก่าที่เคยเฉิ่มเชยจะมีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

“ดูเพื่อนๆ เอาใจคุณเป็นพิเศษนะครับ” อนิลกระซิบ จนฉันต้องหันขวับ

“คุณเองก็รู้สึกเหรอ ฉันว่ามันแปลกๆ ชอบกลนะ”

“นี่แอบกระซิบอะไรกัน แอบนัดกันจะไปไหนหรือเปล่า ตามสบายเลยนะ เต็มที่เลย พวกเราไม่ว่าอะไร ไม่นินทาด้วย เราอยากให้ยายพราวมีแฟนเป็นตัวเป็นตนซะที!” อิงฟ้าตะโกนดัง

“พอเถอะน่าอิงฟ้า” ฉันชักรำคาญที่กระเซ้าเย้าแหย่ไม่เลิกแบบนี้

“หรือว่าแกอยากได้ตัวช่วย ฉันมีนะ” เจ้าจันทร์กระซิบและเปิดกระเป๋าให้ฉันเห็นมวนยาสูบที่รู้ทันทีว่ามันคือ ‘กัญชา’

“ไม่เอาอะ ฉันขอแค่ดื่มอย่างเดียวดีกว่า” จะว่าไปในวงการฉันก็เจอเรื่องยาเสพติดมาเยอะ ทั้งกัญชา ยาเค ยาไอซ์ แต่ฉันก็ไม่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่เพราะไม่อยากเสียสติไปมากกว่านี้ ถึงจะเมาแค่ไหน ฉันจะเก็บสติสัมปชัญญะไว้สิบเปอร์เซ็นเพื่อเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน...

“มาค่ะทุกคน” อิงฟ้าชวนชนแก้ว (อีกแล้ว) พวกเราจึงต้องยกแก้วขึ้นมาชน 

“ว้าย!” ฉันอุทาน อิงฟ้าคงมือหนักไปหน่อยทำให้เบียร์ในแก้วมันกระเด็นเลอะมือและแขนของฉัน

“ยายพราว ฉันขอโทษที” อิงฟ้าหน้าเสีย 

ฉันบอกไม่เป็นไร แต่ก็ต้องขอตัวไปล้างมือในห้องน้ำที่พัก ระหว่างกำลังใช้สบู่ถูมือไปมาแหวนงูก็ดันหลุดออกมาจึงเก็บมันไว้ พอเงยหน้ามองกระจกก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะเห็นอนิลยืนอยู่ในห้องน้ำด้วย

“คุณ...ตามมาทำไม” ฉันถามตรง

 “ไม่รู้สิ เพื่อนคุณบอกให้ผมตามมาดูแลคุณ” ชายหนุ่มก็ยังทำหน้าซื่อๆ

“ยายพวกนี้ก็อะไรกันนักหนา คงอยากจะให้ฉันเป็นแฟนคุณให้ได้”

“ก็เป็นความคิดที่เข้าท่าทีเดียว” เขาตอบ

“แต่ฉันรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้” ฉันกอดอกครุ่นคิด

“ยังไงเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ ช่างเถอะ เราออกไปข้างนอกดีกว่า” ฉันเสยผม ก่อนจะเดินนำเขาออกมานั่งที่ด้านนอกต่อ ซึ่งเพื่อนทั้งสามก็ยังคอยเอาใจฉันสารพัด และชวนชนแก้วอยู่บ่อยๆ 

“ดื่มอีกสิยะ ยายพราว ไหนว่าแกคอแข็งไง” อิงฟ้าเอ่ย

“ตั้งใจจะมอมฉันหรือเปล่าเนี่ย” ยกแก้วบ่อยแบบนี้ฉันก็ไม่ไหวนะ

“สุราเมรัย ถ้าไม่เมาจะดื่มไปทำไมยะ” เจ้าจันทร์เอ่ยคำคมจนทุกคนปรบมือให้

“แต่ฉันว่าไอ้พวกเมรัยเนี่ย ควรดื่มอย่างมีสุนทรียภาพ เพราะการดื่มเพื่อเมาอย่างเดียวคือการเหยียดหยามเมรัย” ฉันย้อน

“มันก็แค่เหล้าเปล่าวะ” ปลาดาวยักไหล่

“ไม่สิ เมรัยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สวรรค์ประทานมาให้ เพราะฉะนั้นมนุษย์อย่างเรา ไม่ควรจะเหยียดหยามด้วยการดื่มแบบไร้รสนิยม”

พอเจอฉันย้อน สามสาวก็แบะปาก ดูท่าจะหมั่นไส้ฉันมาก

“ย่ะ ทำมาเป็นพูดสวยหรู มานี่เลย ดื่มๆ เลยแก” ปลาดาวจับฉันบังคับดื่ม จนคนอื่นๆ หัวเราะลั่นท่าทางสะใจ กว่าจะหมดแก้วก็เล่นเอาเกือบสำลัก

“มาๆ ทุกคน ไหนๆ ก็ครบแก๊งแล้ว เรามาเต้นเพลง jingle bell rock รำลึกความหลังกันดีกว่า” อิงฟ้าลุกดึงแขนเพื่อนออกมา 

“อี๋ ไม่เอาหรอก” ฉันโบกมือปัด จะมาเต้นเห่ยๆ อะไรตอนนี้” 

“หยุด แกนั่นแหละยายพราวที่คิดการแสดงชุดนี้ให้พวกเรา เพราะฉะนั้น อย่าปฏิเสธ” เจ้าจันทร์ลากแขนฉันออกมา ปลาดาวหันไปสั่งให้อนิลช่วยเปิดเพลงที่ต้องการ

ไม่นานสี่สาวนารีงูพิษก็ได้เต้นประกอบเพลงอีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเราไร้ซึ่งความประหม่าเคอะเขิน เราสนุกสนานและเต็มที่กับท่าทางจนแม้แต่อนิลยังหัวเราะชอบใจ

“พอเหอะ พอๆ นี่ถ้าไม่เห็นแก่พวกแกฉันไม่สะบัดตูดขนาดนี้นะ เสียชื่อดีไซเนอร์สุดฮอตหมด” ฉันยกมือยอมแพ้พร้อมเสียงหัวเราะลั่น 

“แล้วแหวนแกอยู่ไหนยายพราว” เจ้าจันทร์ถาม คงสังเกตว่าฉันไม่ได้ใส่แหวนแล้ว

“อ้อ เมื่อกี้ฉันล้างมือแล้วมันหลุดออกน่ะเลยเก็บเอาไว้แล้ว”

“นึกว่าทำหล่นไปเสียแล้ว ไม่ได้นะ แหวนวงสุดท้ายของแก๊งนารีงูพิษจะทำหายไม่ได้” เจ้าจันทร์ยิ้ม

อยู่ๆ ทุกคนก็เงียบ กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะของที่พักหลังซ้ายมือ อิงฟ้าหันขวับ ก่อนจะจับแก้วเบียร์ไว้แน่นแล้วลุกเดินออกจากวง

“อิงฟ้า แกจะไปไหน” ฉันตะโกนตามหลัง แต่เพื่อนตุ้ยนุ้ยก็ไม่หันกลับ พวกเราจึงรีบวิ่งตาม

“จะไปไหน” ปลาดาวจับแขนไว้

“ฉันก็จะไปชนแก้วกับบ้านหลังข้างๆ ไง จะห้ามทำไม”

“ไปชนทำไม แกรู้จักเหรอ” เจ้าจันทร์หน้าเสีย

“รู้จักสิ รู้จักดีด้วย” อิงฟ้าตาขวาง ก่อนจะเดินไปทางนั้นโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่า ลางสังหรณ์ของฉันมักแม่นเสมอ...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น