7

ใจพาล

บทที่ ๗

ใจพาล

 

ทว่าก่อนที่ชวาลาจะได้ทำการใหญ่ปรับปรุงเรือน เธอก็พบว่าชีวิตความเป็นอยู่ของขุนสุริยนหัสดียังมีอะไรที่ท่านหญิงของเขาสมควรยื่นมือเข้าไปปรับปรุงอีกมากมายนัก

เรื่องข้าวปลาอาหารถ้าชายหนุ่มจะไม่กินที่เธอทำก็ให้มันแล้วไปเถิด เขาโตมาตัวสูงใหญ่ออกปานนั้น ผู้หญิงผอมบางอย่างเธอจะพูดอะไรได้ ทว่าหากเป็นเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ชวาลาถือว่าตนรู้ดีกว่าแน่ และย่อมมีหน้าที่ดูแลเสื้อผ้าของเขาเฉกเช่นแม่เรือนทั่วไปโดยไม่ต้องไถ่ถาม

ปกติแล้วชาวสยามที่มีฐานะปานกลางนิยมซักผ้ากันแค่สัปดาห์ละครั้ง เพราะทุกคนใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นและไม่อนาทรเรื่องความสะอาดนัก แต่พันแสงเป็นชายเพียงคนเดียวที่เธอเคยพบซึ่งสวมเสื้อตลอดเวลาแม้ยามเข้านอน ซ้ำยังเปลี่ยนชุดบ่อยจนเผลอแวบเดียวผ้าใช้แล้วก็สุมเต็มตะกร้าใบเขื่อง ทำให้จากที่เด็กสาวว่าจะขอเวลาสองสามวันจัดการปัดกวาดเรือนให้เรียบร้อยก่อนเห็นแล้วรำคาญตา ไม่อาจปล่อยไว้ได้อีกต่อไป

คนกระไรช่างผลัดผ้าได้สิ้นเปลืองยิ่ง! (เอียง) ผิดกับบุรุษอื่นที่บางครั้งออกนอกบ้านยังใช้ผ้ายาวคล้องไหล่ผืนเดียว ใช้ซ้ำเสียด้วย

ดังนั้นวันนี้หลังจากเด็กสาวจัดสำรับอาหารเช้าเสร็จ จึงร้องเรียกละออกับเทียนให้ช่วยขนผ้าไปซักที่ท่าน้ำหลังบ้านกัน

อาณาเขตเรือนพระราชทานของขุนสุริยนหัสดีกว้างขวางกินพื้นที่หลายไร่ ด้านหน้าติดคลองวัดปราสาทซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็มสองฝั่งสงบร่มรื่น มีท่าน้ำหลักพร้อมเรือบดหลายลำจอดเรียงราย ในเวลากลางวันพวกบ่าวชายจะขึ้นลงท่ากันคึกคัก ขนของบ้าง ไปมาหาสู่กันบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทำงานง่วนอยู่รอบนอกเรือน คอยเก็บกวาดดูแลเคหสถานของขุนแสงผลาญให้สวยงามเรียบร้อย

จะมีเพียงที่หลับที่นอนของออกขุนหนุ่มเท่านั้นที่ไม่อนุญาตให้ใครยุ่งเกี่ยว ตัวเรือนเองก็อยู่ลึกเข้าไปห่างจากบ้านพักของบ่าวรับใช้ไกลโข ชวาลาต้องเดินจนหอบกว่าจะเห็นเงามนุษย์สักคน เพิ่งรู้สึกว่าเมื่อคืนเข้าหอเธอคงตื่นเต้นมากจริงๆ ถึงไม่ทันสังเกตว่าเรือนเจ้าบ่าวซับซ้อนมโหฬารเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้สภาพเรือนใหญ่จึงอเนจอนาถน่าอดสู ผิดกับบริเวณโดยรอบทั้งสวนตาล สวนผลไม้ และลานดินที่สะอาด เป็นระเบียบ บ่งบอกนิสัยเจ้าของเรือนได้ดีว่าเข้มงวดมิใช่น้อย

หรือบ่าวพวกนี้อาจตั้งใจทำงานเกินเหตุเพราะกลัวก็เป็นได้

ชวาลาหมายเหตุไว้ในใจ เธอเองเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบหก ไม่ได้มีอำนาจบารมีอะไรเลย แต่พอได้ชื่อว่าเป็นท่านหญิงของขุนสุริยนหัสดีแล้ว จะเดินไปที่ใดก็พลอยได้รับความเคารพอย่างสูงไปด้วย ดังเช่นในวันนี้เป็นต้น ขณะชวาลาพาน้องๆ เดินผ่านกลุ่มชายฉกรรจ์ซึ่งกำลังขุดดินถมตลิ่งใหม่อยู่ริมคลอง ทันทีที่ใครสักคนเห็นเธอเข้าเขาก็ตะโกนลั่น

“แม่นายมา!”

แล้วทุกคนก็ทิ้งจอบเสียมมายกมือไหว้เธอกันอย่างพร้อมเพรียง มิหนำซ้ำยังลงไปคุกเข่าก้มหน้ารอรับคำสั่ง ชวาลาเจอเป็นหนที่สามแล้วก็ยังสะดุ้ง ทั้งอายทั้งเกรงใจ รีบพนมมือไหว้ตอบ

บ่าวชายนับสิบคนตกใจ ลนลานร้องเสียงหลง

“มิต้องไหว้ขอรับ! มิต้องไหว้!”

“มิได้จ้ะ! ฉันไหว้นะจ๊ะ พี่ๆ ทำงานกันต่อเถิด”

“มิต้องขอรับ! มิต้อง!”

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด พอมีคนหนึ่งตาดีเห็นว่าเธอหิ้วตะกร้าใบใหญ่กว่าตัวมาด้วย พวกเขาก็พากันชี้มือชี้ไม้ส่งเสียงเอะอะ

“แม่นายถือของมา ให้แม่นายวางไว้ตรงนั้น?”

“แต่ถ้าเกิดเป็นของท่านขุน?”

“แต่แม่นายถือมา!”

“ใช่ๆ แม่นายถือมา!”

“ให้วาง ให้แม่นายวางก่อน!”

“ถือมิได้ ให้วางก่อน!”

ไม่ว่าอะไรเกี่ยวกับท่านหญิงชวาลาล้วนเป็นเรื่องแตกตื่นเอิกเกริกสำหรับผู้คนในเรือนนี้ทั้งสิ้น เด็กสาวยืนอยู่กลางถนน หันรีหันขวางหาทางออก จนกระทั่งบ่าวรับใช้ส่งตัวแทนไปล้างมือเตรียมพุ่งมาชิงตะกร้า เธอถึงได้สติรีบจูงมือน้องโกยแน่บ

เรียกได้ว่าเผชิญหน้ากันแบบอิหลักอิเหลื่อเช่นนี้มาหลายวันแล้ว ไม่ชินเสียที!

“ห้ามทะเลาะกันตอนต้มน้ำนะ”

พอมาถึงท่าน้ำชวาลาก็กำชับเด็กทั้งสอง เห็นอ้ายเทียนน้อยหน้าตาเหลอหลาก็ยิ้มซุกซน 

“เทียนมิเคยต้มผ้าใช่ไหม ประเดี๋ยวพี่จักทำให้ดู”

ละออได้ทีจุปาก “ที่ผ่านมาท่านขุนต้องใส่เสื้อที่เอ็งซักมิคันแย่หรือ ว่าแต่รู้รึเปล่าเถิดว่าไหนเสื้อไหนกางเกง”

หยามกันเกินไปแล้ว ยังไม่ทันตั้งเตาก็ดูท่าจะเละ ชวาลาต้องขอให้ละออไปแยกผ้าก่อน ส่วนเธอนั้นลากเทียนที่ฮึดฮัดร่ำร่ำจะต่อยคนไปก่อไฟอีกทาง

ท่าน้ำหลังเรือนแห่งนี้เล็กและเป็นส่วนตัวกว่าท่าหลัก เป็นที่ที่พวกผู้ชายใช้อาบน้ำกันยามโพล้เพล้ ความจริงชวาลาถูกสั่งห้ามไม่ให้เดินมาแถวนี้โดยไม่จำเป็น แต่เธอเองมั่นใจว่าการซักผ้านั้นนับว่าสำคัญมาก

เดิมทีอ้ายเทียนน้อยซักเสื้อให้เจ้านายด้วยการเอาลงไปแกว่งๆ ขยุ้มๆ ในคลองให้เปียกพอเป็นพิธี แล้วเอาขึ้นมาพาดราวไม้ไผ่ ตากไปตามมีตามเกิด ผ้าจึงเหม็นอับ ยับยู่ ไม่ว่าจะเป็นของดีแค่ไหนก็เสื่อมสภาพ กลายเป็นผ้าขี้ริ้วไปหมด วันก่อนชวาลาให้เด็กชายชี้ที่ทางเก็บผ้าสะอาดในห้องออกขุนหนุ่ม เธอก็แทบแยกไม่ออกว่าผืนไหนซักแล้วหรือยังไม่ได้ซัก

ส่วนเครื่องแต่งกายที่ใช้สำหรับเข้าเฝ้าฯ หรือว่าราชการในวัง สามีเธอก็แก้ปัญหาด้วยการใส่แค่ครั้งเดียว ในสายตาคนนอกเขาจึงดูสง่าผ่าเผยสวมชุดใหม่ตลอดเวลา ซึ่งชวาลาได้ล่วงรู้ความจริงข้อนี้เข้าก็ทั้งทึ่งทั้งหมั่นไส้

ทั่วพระนครจะมีใครทำนิสัยร่ำรวยได้เช่นขุนแสงผลาญผู้นี้อีก

ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพันแสงจึงไม่ให้บ่าวมีฝีมือสักคนทำกิจเหล่านี้ กลับเลือกใช้ชีวิตสันโดษอยู่กับเด็กชายตัวจ้อยที่หาได้ถนัดงานบ้านงานเรือนไม่ ราวกับไม่ใส่ใจว่าวันๆ จะอยู่อย่างไร กินอย่างไรเลยสักนิด

เมื่อต้องทำเตาไฟนอกสถานที่ ชวาลาจึงช่วยน้องนำก้อนเส้าหรือหินขนาดประมาณผลมะม่วงสามก้อนมาเรียงกันสามมุมเป็นขาตั้ง เลือกเอาใบไผ่เฉพาะที่ละเอียดเป็นขุยแถวนั้นมาสุมไว้ตรงกลาง และขณะที่เทียนใช้หินเหล็กไฟสองอันเคาะกัน ผู้เป็นพี่ก็หยิบกระบอกเล็กๆ ทำจากเขาสัตว์ออกมาจากชายพกโจงกระเบน

เขามองอย่างสนใจ เห็นชวาลาดึงปลายส่วนบนของมันจนสุดก้าน จากนั้นก็ตบกลับเข้าที่เดิมแรงๆ ครั้งหนึ่ง แล้วรีบกระชากแกนออกมาเพื่อใช้เป่าลมเข้าไปใส่ขุยไผ่กองนั้น พริบตาเดียวก็มีเปลวไฟลุกวาบขึ้นดุจร่ายมนตร์

ทีนี้อ้ายเทียนน้อยได้เบิกตาถลน “อ้ายนี่กระไรน่ะ!”

“เขาเรียกตะบันไฟจ้ะ” ชวาลาเฉลย อมยิ้มกริ่ม ใจหนึ่งก็อยากแกล้ง อีกใจก็สงสาร ที่ผ่านมาเด็กชายคงหุงหาอาหารลำบากเอาการ เธอจึงสอนวิธีใช้และยอมให้น้องเล่นอุปกรณ์จุดไฟอยู่ครู่ใหญ่ จนพอใจแล้วค่อยเอาหม้อดินไปตักน้ำมาวางไว้ด้านบน

“ต้มน้ำไปไย”

เทียนอุตส่าห์เงียบได้ตั้งนาน สุดท้ายก็ทนสงสัยไม่ไหว ชวาลาหัวเราะ

“ก็ประเดี๋ยวเราจักเอาผ้าลงไปต้มกัน ผ้าจักได้สะอาด แต่ก่อนอื่นเจ้ารู้จักสิ่งนี้ฤๅไม่” เธอหยิบผลไม้เปลือกแข็งสีน้ำตาลดำลูกเท่านิ้วหัวแม่มือออกมาจากถุงผ้า เด็กชายมองแวบเดียวก็ส่ายหน้าดิก

“นี่เรียกผลประคำดีควายนะ เราต้องเอาไปแช่น้ำก่อนแบบนี้…แล้วมันจักมีฟองออกมาใช้ขยี้ผ้าได้ เห็นไหม”

พอทำตามที่ชวาลาบอกแล้วผ้าแห้งเนื้อหยาบในอ่างกลับนุ่มลื่นขึ้นมา เทียนก็ตื่นเต้นชอบใจ นั่งซักผ้ายกใหญ่ แม้ละออหิ้วตะกร้ามาทิ้งใส่ดังโครมก็ไม่ถือสา

“วันหน้าหากไม่มีผลนี้ก็ใช้ขี้เถ้าผสมน้ำแทนได้ นี่ละออ ทุบผ้าเบาๆ หน่อย เสื้อท่านขุนมิได้สกปรกขนาดนั้นดอก”

พูดไม่ทันขาดคำเด็กหญิงก็วางหินทุบผ้าลง ชี้ให้ดูรอยเปื้อนสีคล้ำเป็นปื้นตรงอกเสื้อ ชวาลารับมาลองขยี้ดูก็ไม่ออก เธอจึงรอจนน้ำในหม้อเดือดแล้วหย่อนเสื้อลงไปต้ม ใช้ไม้เขี่ยกลับไปกลับมาอยู่นานสองนาน พอนำขึ้นมาก็พบว่าคราบสกปรกยังติดแน่นอยู่ดี

แม่เรือนมุ่นหัวคิ้ว |รอยกระไรกันนะ (เอียง)

“แม่นายทิ้งไปเลย มันเป็นเลือด” เทียนชะโงกหน้ามาบอก

“เลือด?”

เมื่อพลิกดูก็พบว่าเสื้อเกือบทุกตัวของออกขุนหนุ่มมีรอยสีน้ำตาลคล้ายของเหลวกระเด็นใส่ลักษณะเดียวกันอยู่ ด้านหน้าบ้างด้านหลังบ้าง ชวาลาก็ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เลือดเขา

ขุนสุริยนหัสดีผ่านสนามรบมาโชกโชนเหลือเกิน เธอไม่อยากคิดถึงตอนร่องรอยพวกนี้ยังสดใหม่ว่ามันจะเหม็นคาวแค่ไหน บาดแผลของศัตรูจะสยดสยองเพียงใด

“เอ๊ะ”

ขณะมือเด็กสาวคลำไปบนผ้า จู่ๆ ก็เจอรอยขาดตรงต้นแขนเข้า

โธ่ นึกว่าจักพลิ้ว (เอียง) เธออดขำสามีไม่ได้ |ก็โดนเหมือนกันนี่นา (เอียง)

ถ้าไม่นับเสื้อคอปกแขนยาวทำจากผ้าไหมที่ชายหนุ่มใส่เข้าวังแล้ว ชุดที่เหลือล้วนทำจากผ้าทอพื้นบ้าน ตัดเย็บเป็นเสื้อคอกลมแขนสั้นบ้าง คอแหลมผ่าอกบ้าง และดูท่าเจ้าตัวจะใส่รวมกันทั้งหมดไม่ว่าออกรบหรือพักผ่อน เมื่อโดนกิ่งไม้เกี่ยวหรือถูกคมดาบเฉือนเข้าก็ขาดได้ง่ายดาย

ชวาลาไล่พลิกดูเสื้อผ้าของเขาทุกตัว เป็นไปตามคาดที่ต่างมีรอยขาดจากคมอาวุธอยู่เพียบ มีเสื้อตัวหนึ่งขาดเป็นทางยาวกลางหลังชนิดที่ดูแล้วคนใส่ไม่น่ารอดด้วยซ้ำ |แต่เขาก็ยังอยู่ดีใช่รึไม่ (เอียง)

และน่าแปลกที่รอบรอยพวกนี้กลับไม่มีคราบโลหิตให้เห็นสักนิดเดียว

“หูย” เสียงละอออุทานดังมาจากริมน้ำ “รวยก็รวย เสื้อแสงเปื่อยอย่างกับยาจก!”

“เอ็งว่าท่านขุนรึ!” อ้ายเทียนน้อยลุกพรวด

“พี่วา!” ละออจงใจเมินเด็กชายแล้ววิ่งมาหาชวาลาแทน รีบชี้แจงพัลวัน “อ้ายนี่ข้ามิได้ทำขาดนะ มันขาดอยู่แล้ว นี่...นี่ นี่ก็ด้วย!”

“จ้ะ พี่เห็นอยู่เหมือนกัน”

เสื้อในมือละออเป็นอีกตัวที่ขาดยับเยิน ชวาลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนใจ ส่ายหน้ายิ้มๆ

“ถ้าเช่นนั้นเรารีบซักรีบตากกันดีกว่า ท่าทางจักมีกระไรให้ทำอีกเยอะเทียว”

 

ในตอนบ่ายของสองวันถัดมา ขุนสุริยนหัสดีเปิดประตูห้องนอนแล้วก็ชะงัก

แต่แค่ชั่วอึดใจเท่านั้นก่อนชายหนุ่มจะรื้อหาต้นตอของกลิ่นพิศวงที่ลอยมาเตะจมูกทันที เขาไม่ชินกลิ่นนี้ และหากมีอะไรแปลกใหม่ ก็เป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากแม่หญิงมากเล่ห์ผู้นั้น

นั่นปะไร (เอียง) เสื้อผ้าพับเรียบวางเรียงเป็นระเบียบอยู่ในหีบคือคำตอบ อ้ายเทียนน้อยสู่รู้เกินไปแล้วที่พาแม่นายมันมาสอดส่องห้องนอนเขาเสียทั่ว

ถึงพันแสงไม่ได้ห้ามก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะพอใจที่มีคนมายุ่มย่ามในพื้นที่ส่วนตัวของตน ใบหน้าคมคายจึงเคร่งขรึมไปถนัดยามยืนมองผ้าหอมสะอาดประหนึ่งจะส่งสายตาดุถึงภรรยาจอมจุ้นจ้าน

หลังจากคืนเข้าหอที่ตัดสินใจอยู่ห่างจากเด็กสาวให้ไกล ออกขุนหนุ่มตรองดูแล้วก็แน่ใจว่าชวาลาไม่มีทางทำอันตรายกันได้ด้วยวิธีอื่น จึงไม่สนใจกำหนดกฎเกณฑ์ให้วุ่นวาย คิดเสียว่าต่อให้เธอวางกับดักไว้ทั่วบ้านเขาก็ไม่ระคายดอก ดังนั้นพอโดนคุกคามโดยกิจวัตรสามัญ ทำเป็นเอาใจใส่ เวลานี้จึงรู้สึกพิกล รับมือไม่ถูกอยู่บ้าง

อ้ายเทียนน้อยคงไม่รู้อีกตามเคยว่าทำเจ้านายมันไม่มีเสื้อใส่นอนเสียแล้ว

ขุนสุริยนหัสดีระบายลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ครั้งหนึ่ง เตรียมกระแทกฝาหีบปิด แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็อดไม่ได้ ต้องหยิบเสื้อขึ้นมาดูใกล้ๆ บอกตัวเองให้ทำไปเพื่อทดสอบว่ากลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของแม่หญิงชวาลาจะมีพิษสงสักแค่ไหนก็เท่านั้น

เสื้อตัวเก่าในมือทั้งนุ่มทั้งหอม แต่เขาตรวจดูอย่างไรก็หาอาคมที่ลงไว้ไม่พบ

เพราะนอกจากจะต้มผ้าเพื่อชะล้างคราบสกปรกแล้ว ชวาลายังใส่ไม้ชะลูดฝานบางๆ ลงไปให้กลิ่นละมุนจากเนื้อไม้ซึมลงในผ้าอีกด้วย หลังตากให้แห้งกลิ่นนั้นก็ผสานกับกลิ่นสดชื่นของไอแดด กระตุ้นให้คนดอมดมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าแจ่มใสนัก มือออกขุนหนุ่มข้างที่ถือผ้ายกสูงขึ้นทีละน้อย จนจรดปลายจมูกนิ่งนานไม่รู้ตัว

กระทั่งกรุ่นกลิ่นจรุงใจกำซาบไปทั้งอกแล้วถึงได้สติ 

ออกขุนหนุ่มสั่นศีรษะ ไม่เข้าใจว่าตนเป็นอะไรถึงได้มายืนดมผ้าเหมือนคนโง่เง่า

ทว่าวินาทีที่วางเสื้อลงหีบเขาก็สัมผัสได้ถึงรอยนูนเป็นแนวยาว เมื่อสังเกตดูก็พบว่าบริเวณที่เคยขาดถูกเย็บซ่อมอย่างประณีต ฝีเข็มละเอียดแนบเนียนแทบกลืนเป็นเนื้อเดียวกับผืนผ้า แล้วไม่ใช่แค่รอยเดียวแต่ขยันปะแก้ให้ทั้งตัว หากมองผ่านๆ คงนึกว่าเสื้อใหม่ แวบหนึ่งเขาอยากจะโกรธ อยากจะโทษเด็กสาวที่เจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าเรื่อง

เหตุไฉนใจถึงได้แช่มชื่นนัก

ความรู้สึกนั้นส่งให้ชายหนุ่มเกลียดตัวเองเข้าไส้เลยทีเดียว

 

ขณะเดียวกัน แม่เรือนร่างน้อยก็กำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ในครัว มองบรรดาถ้วยชามที่ถูกขัดจนเอี่ยมอ่องวางเรียงรายเต็มตั่งไม้อย่างภาคภูมิใจ

ข้าวของเครื่องใช้พระราชทานเหล่านี้ชั้นดีทั้งนั้น เรือนของขุนแสงผลาญความจริงแล้วไม่ต่างจากขุมทรัพย์ จะหยิบจับไปแห่งใดก็พบแต่สมบัติล้ำค่ารอให้ใช้สอย ชวาลาฉวยโอกาสที่เจ้าของเรือนอนุญาตแล้วสำรวจเห็นอะไรพอใช้ได้ก็รื้อออกมาปัดฝุ่น หาที่ทางจัดวางให้โดดเด่นทุกชิ้นไม่น้อยหน้ากัน

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพันแสงจะสังเกตบ้างหรือไม่ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้แอบย้ายที่ทีละเล็กละน้อยอยู่ทุกวัน ในเมื่อเขากลับเรือนมาทีไรก็ก้าวยาวๆ เข้าห้องไปปิดประตูแน่นหนา หลายครั้งหลายคราก็เมินเธอที่ยืนรอต้อนรับอยู่ไปเสียเฉยๆ นึกถึงพ่อพระอิฐพระปูนเดินได้แล้วเด็กสาวก็หัวเราะหึ เธอนั่งเย็บเสื้อให้เขามาหลายคืน เพิ่งสำเร็จไปไม่ถึงครึ่ง ถึงตอนนี้ก็ปวดตาปวดตัวไปหมดจนต้องรามือมายืดเส้นยืดสายหาอะไรทำ แล้วก็ทำเพลินจนเผลอล้างเกลี้ยงไปทั้งครัว

เอาละ ไหนๆ จักต้องอาบน้ำแล้ว ขอโกยขี้เถ้าทิ้งก่อนแล้วกัน (เอียง)

“พี่วา! พี่วา! ท่านขุนกลับมาแล้ว!”

ละออผลุนผลันวิ่งเข้ามาในครัว พอเห็นร่างบางมุดหัวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ใต้เตาวง ความปีติยินดีในแวบแรกก็แปรเป็นผิดหวังสุดขีด

“พี่วาทำกระไร ไยมิอาบน้ำตัวหอมๆ ไว้รอท่านขุน!”

ชวาลาถึงกับสำลักไอค็อกแค็ก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขม่าถ่าน

“ประเดี๋ยวเถิดละออ ทำไมพี่ต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า”

“อ้าว! ก็พี่สอนข้าเองมิใช่ฤๅว่าเกิดเป็นหญิงจักทำกระไรมา ลงท้ายต้องขัดสีฉวีวรรณให้งามตา ยิ่งมาอยู่บ้านท่านเรือนท่านยิ่งต้องรักษาความสะอาด แล้วพี่กลับทำนู่นทำนี่ตัวเลอะทั้งวัน ท่านขุนเขาจักชอบได้เยี่ยงไร”

คนเป็นน้องเทศนายาวเหยียด สรุปคือร้อนใจที่พี่เขยถึงเรือนแล้วพี่ตนยังสาละวนทำงานบ้านไม่นำพา ฝ่ายชวาลาพยายามตีหน้าเฉยเมยสุดฤทธิ์ก็ไม่วายแก้มร้อน เพราะรู้สึกประโยคมันแปลกๆ เผลอคิดไปแล้วว่าทีคืนเข้าหอเธอพรมน้ำอบไปห้าหกรอบเขายังไม่แล นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ท่านหญิงชวาลาถอดรูปนางฟ้ากลายเป็นแม่ค้าตลาด แต่จะว่าไปละออก็เข้าใจถูกแล้ว คงเป็นเธอที่คิดลึกไปเอง

ดังนั้นชวาลาจึงยอมลุกไปล้างมือโดยดี ไม่กังขาว่าอันที่จริงเด็กหญิงไม่ได้ใสซื่อถึงเพียงนั้น

ละออก็หมายความตามที่พี่วาคิดนั่นแล (เอียง)

“เร็วเข้าสิจ๊ะพี่ เดี๋ยวท่านขุนหายไปอีกนะ!”

“จ้ะ ไปแล้วๆ”

จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบวิ่งวุ่น เกิดความโกลาหลเล็กน้อยก่อนสองสาวจะดักเจอพันแสงทันตรงชานเรือนพอดี ดูเหมือนเขาเตรียมออกไปข้างนอกอีกแล้วด้วยธุระใดไม่ทราบได้ แต่ครานี้เขากลับสวมเสื้อคลุมผ้าอัตลัตหรูหราตัวเดียว ไม่สวมเสื้อทับด้านใน

พอพบภรรยาเข้าชายหนุ่มก็ยกมือกลัดกระดุมสองเม็ดบนที่เหลือจนชิดคอ ไม่พูดไม่จา

“เอ่อ…” ชวาลาคิดหาคำทักทายดีๆ ไม่ออกจึงยิ้มให้แทน “กลับเรือนแล้วหรือเจ้าคะ”

ขุนสุริยนหัสดีไม่ยิ้มตอบ

เขาเพียงมองเธอด้วยสายตาว่างเปล่า หยุดพิจารณารอยฝุ่นสีดำตรงปลายจมูกเล็กๆ นานเป็นพิเศษ ก่อนจะละสายตาเบือนหน้าไปอีกทาง ถามออกมาประโยคหนึ่ง

“ข้าได้อนุญาตให้แม่หญิงแตะต้องเสื้อผ้าของข้าด้วยฤๅ”

“เจ้าคะ?”

“จักทำกระไรกับของของผู้อื่น อย่างน้อยก็ควรถามความเห็นชอบเจ้าของก่อน”

ถ้อยคำห้วน เสียงเย็น ไม่เหมือนคนโกรธ ไม่คล้ายคนเกลียด ซึ่งสุดท้ายชวาลาก็สรุปเองในใจว่า |อ้อ เขามิชอบ (เอียง)

ไม่ชอบให้ใครหน้าไหนยุ่งกับของของเขาทั้งนั้น หรือว่าเป็นเธอแค่คนเดียวก็ไม่รู้

อย่างไรก็ตามเด็กสาวก็พยักหน้า รับคำเบาหวิว “เจ้าค่ะ”

เขาพูดถูก ทว่าคนโดนดุฟังแล้วมึนงงมากกว่ารู้สึกผิด หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าออกขุนหนุ่มคงนิยมสวมเสื้อผ้าขาดๆ ให้ลมพัดโกรก เธอพลาดไปแล้วที่เหมารวมว่ามนุษย์ทุกคนชอบนุ่งห่มมิดชิด และบางทีเขาอาจไม่หลงใหลได้ปลื้มห้องนอนหอมสะอาด แต่อยากให้เตียงของตนมีกลิ่นเหมือนสนามรบในหน้าฝนตลอดเวลาต่างหาก

‘แม่เรือนที่ดีต้องพยายามศึกษานิสัยใจคอผัว’ ชวาลาทบทวนคำสอนของเถ้าแก่หญิงในใจ บอกตัวเองว่าต้องระวังมากกว่านี้หากอยากอยู่อย่างอิสรเสรีในเรือนเขา กลัวก็แต่เรื่องแอบแต่งเรือนจะถูกจับได้เข้าสักวัน

ฝ่ายพันแสงเริ่มขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นภรรยายืนหน้าเจื่อน จากที่มองข้ามผิวนวลเปรอะเปื้อนกับโจงกระเบนยับย่นไปในตอนแรกก็ชักสงสัย ไม่รู้ว่าบ่ายคล้อยป่านนี้ท่านหญิงชวาลามีกิจใดให้ทำอีก เด็กสาวเองก็คงสำนึกว่ามีพิรุธถึงได้รีบมารายงานตัว กิริยาลุกลี้ลุกลนผิดสังเกต

ไม่มีเลยความแนบเนียน ที่เรียนกับหมื่นวรไชยมามิได้เข้าหัวเลยรึอย่างไร (เอียง)

แต่ถ้าเธอไม่บอก เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องถามให้มากความ ไม่ว่าเล่ห์เพทุบายขั้นถัดไปจะเป็นอะไรก็ขอให้ฉลาดกว่าที่เคยทำมาก็แล้วกัน

คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ก้าวหลบไปทางอื่น ชวาลาซึ่งกำลังหนักใจอยู่พลันหน้าตาตื่น รีบถลาเข้าขวาง หวังเอาน้ำเย็นเข้าลูบพูดให้เขาเย็นลงก่อน ประจวบกับละออเอาขันน้ำฝนมายัดใส่มือให้พอดี

“เรื่องผ้าผ่อนฉันผิดเองที่ทำไปโดยพลการ ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”

เด็กสาวยอมลงให้อย่างว่าง่าย ยื่นขันน้ำดื่มส่งไปตรงหน้า แต่ตาไม่เศร้าสักนิดเมื่อออกขุนหนุ่มเพิกเฉยใส่กัน เพราะกำลังลุ้นเรื่องอื่นมากกว่า

“แต่กระไรที่อนุญาตแล้วก็ยังทำได้อยู่ใช่ไหมเจ้าคะ”

“ทุกวันนี้แม่หญิงยังมีเรื่องใดทำมิได้อีกฤๅ” เขาจำได้ว่าอนุญาตอะไรไปบ้าง แค่ไม่เข้าใจว่ามันสำคัญตรงไหน ในเมื่อแผนการน่าละอายทั้งหลายก็ไม่เห็นเคยบอกกล่าวกันก่อน แล้วถ้อยคำแฝงนัยหยามหมิ่นถึงเพียงนี้ |ดูเอาเถิด (เอียง) แม่หญิงชวาลายังมองหน้ากันตาใส คนไม่ถนัดเสวนากับสตรีก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไรนอกจากตัดบทให้จบไป

“หากแม่หญิงหมายถึงการบ้านการเรือนทั่วไป สิ่งใดที่กระทบต่อเจ้าด้วย ข้าให้ตัดสินใจได้ตามสมควร อย่างไรเสียนี่ก็เป็นที่อยู่ของแม่หญิงแล้วมิใช่ฤๅ”

ถึงแม้คนพูดไม่ได้มีไมตรีให้กันนัก แต่ชวาลาเลือกรับรู้เฉพาะเนื้อความของเขาเท่านั้น เพียงเท่านี้เธอก็พอใจนักหนาแล้ว ดวงหน้าอ่อนเยาว์จึงระบายยิ้มหวาน ตาเป็นประกายทันควัน บรรจงไหว้ขอบคุณทั้งขันน้ำในมือ แล้วขอตัวไปทำอย่างอื่นต่อ

กลายเป็นออกขุนหนุ่มเสียเองที่ยืนเก้อ

แต่ก่อนใจจะหวั่นไหวสับสนให้เสียหน้า เสียงวิ่งตึงตังก็ดังมาดึงสติไว้ได้ทัน เป็นอ้ายเทียนน้อยนั่นเอง

“ท่านขุน” เด็กชายทัก หมอบลงไปกราบเร็วๆ ครั้งหนึ่ง ซึ่งขุนสุริยนหัสดีก็พยักหน้าให้พลางถาม

“ทำกระไรอยู่”

“ปั้นดิน” เทียนตอบ “วันนี้มีปลาช่อน ท่านขุนเอาข้าวไหม”

“ข้ากินแล้ว”

“น้ำไหม”

“มิต้อง ข้ามิหิว” ชายหนุ่มส่งสายตาไปที่มีดสั้นตรงเอวมัน “ได้หัดที่สอนรึยัง”

“ฝึกแล้ว ตอนเช้า”

“ดี”

ชวาลากลั้นขำ อ้ายเทียนน้อยก็พูดห้วนๆ สั้นๆ เหมือนคนเลี้ยงนี่เอง

เป็นอันว่าจบบทสนทนาในวันนี้ บ่าวรับใช้ตัวจิ๋วลุกขึ้นมายืนขึงขังเตรียมตามไปส่งเจ้านายที่ท่าน้ำ จัดการปัดมือที่มีดินเหนียวจับเขลอะทั้งสองข้างให้ดินหลุดตรงชานเรือนนั่นเลย ทำเอาละออของขึ้น กระโดดเหยง ส่วนชวาลารีบจับมือห้ามไว้ก่อนพื้นไม้ที่สู้อุตส่าห์ขัดจนขึ้นเงาจะเลอะเทอะ

“หยุด! ทำเช่นนี้มิได้นะจ๊ะ มานี่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ทำให้”

ว่าแล้วเธอก็รุนหลังเด็กชายไปยังโต๊ะเล็กข้างเสา หยิบผ้าสะอาดในถาดทองเหลืองขึ้นมา เทน้ำจากคนโทลงไปพอให้ชื้น แล้วค่อยๆ เช็ดฝ่ามือของเทียนทีละข้าง ระหว่างที่เช็ดไปก็บอกอย่างใจเย็น

“เวลามือเปื้อนเราต้องหาผ้ามาเช็ด หรือไปล้างน้ำ ถ้าปัดออกแบบนั้นดินก็จักร่วงลงไปเกาะพื้น ทีนี้เพลาเทียนช่วยพี่ถูเรือนก็จักเหนื่อย พี่ละออก็เหนื่อยด้วย เราจักเหนื่อยทุกคนเลยถึงต้องระวัง เข้าใจไหมจ๊ะ”

อ้ายเทียนน้อยพยักหน้า ตั้งใจฟัง

“อีกอย่างพอท่านขุนเดินผ่านฝุ่นก็จักติดเท้าท่าน…” แล้วก็จะเปื้อนเข้าไปถึงในห้องนอน เช็ดก็ลำบากเพราะไม่กล้าเข้าใกล้ แต่คงไม่เหมาะจะพูดไปเท่าไรนัก “ท่านขุนเองก็คงมิชอบของสกปรก ฉะนั้นถ้าเทียนมีหน้าที่ดูแลเรือนก็ต้องใส่ใจตรงนี้ด้วยนะ”

น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นแม้ไม่ได้เอ่ยกับเขาโดยตรง แต่ก็มีผลให้พันแสงหลงรอฟัง ลืมสิ่งที่หมายจะทำไปสนิท

กอปรกับภาพเด็กสาวร่างบางค้อมกายเช็ดมือให้เด็กชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตรงหน้านั้น ช่างมีรายละเอียดงดงามกินใจเหลือเกินในสายตาคนมอง ทั้งๆ ที่คนหนึ่งก็เนื้อตัวมอมแมมไม่สมเป็นท่านหญิง อีกคนก็แค่บ่าวในบ้านซึ่งเขาไม่เคยเอ็นดูอะไร...

ใช้ความรู้สึกเกินจำเป็นอีกแล้ว (เอียง)

ออกขุนหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก บังคับให้ตัวเองจับผิดอย่างอื่นแทน และพบว่านอกจากผ้าผืนน้อยพับซ้อนกันเป็นตั้ง บนโต๊ะยังมีไม้ขีดไฟ พิมเสน ยานัตถุ์ ซึ่งเป็นของใช้พื้นฐานของบุรุษทั่วไปจัดเรียงใส่กล่องไม้แยกชนิดกันชวนให้หยิบใช้ มีกาน้ำชาดินเผาลายครามเข้าชุดกับถ้วยชาห้าใบอยู่ข้างๆ ทุกอย่างล้วนเป็นของที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเก็บไว้ตรงไหน

แต่ที่เขามั่นใจ คือไม่ใช่ตรงนี้แน่ๆ

“เอ้า เสร็จแล้วจ้ะ”

ชวาลาเหน็บผ้าเปื้อนไว้ตรงเอว เทียนไหว้แม่นายหนหนึ่งก่อนเดินกลับมาหาพันแสง ซึ่งจู่ๆ เขาก็เห็นว่ามีคนถักผมเปียให้มัน ประแป้งสองแก้มเสียหน้าผ่อง และที่มองข้ามไปไม่ได้เลยคือ วันนี้เด็กชายสวมเสื้อคอกลมสีสดรีดเรียบอย่างกับลูกเจ้าขุนมูลนาย

ใจก็พาลหงุดหงิดบอกไม่ถูก

ร่างสูงพลันหมุนตัวเดินลงจากเรือนลับหายไปเร็วดั่งพายุ ไวเสียจนอ้ายเทียนน้อยวิ่งตามแทบไม่ทัน ทิ้งให้ชวาลากับละออสบตากันงุนงง

“พี่วา! ท่านขุนโกรธ!” คนน้องตั้งหลักได้ก่อน โวยวายลั่น

“โกรธกระไร พี่ทำกระไรน่าเคืองฤๅ”

“ปัดโธ่!” มาถึงบัดนี้ยังไม่รู้ ละออขัดใจจนจะร้องไห้ “ก็พี่ขอโทษเสร็จพี่ก็จักไป ต่อให้มิไปก็เอาแต่สนใจอ้ายเทียนมัน น้ำท่านก็มิได้กิน เป็นข้าข้าก็โมโห!”

ชวาลาฟังแล้วเงียบไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด ทันใดนั้นก็เบิกตากว้าง

“จริงสิ!”

เด็กหญิงถอนใจ |กว่าจักรู้ตัว (เอียง)

“พี่ยังมิทันบอกท่านขุนเลยว่าพรุ่งนี้เราจักไปตลาดกัน เจ้าว่าหากเราไปโดยมิได้บอก ท่านจักว่ากระไรไหม”

ก็เขาว่าอยู่ปาวๆ ยังจักถาม! (เอียง) ละออหมดอาลัยตายอยาก สิ้นหนทางจะนำเรื่องขุนแสงผลาญยัดใส่หัวของผู้เป็นพี่ได้ ใบหน้าเล็กๆ จึงงอง้ำยามตอบ

“มิว่าดอกจ้ะพี่ พี่จักทำกระไรก็ทำเถอะ”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น