
บทที่ ๘
เล่ห์ ลม จันทร์
ย่างเข้าเดือนห้า๑๖ เข้าฤดูลมมรสุมที่เอื้อแก่การเดินเรือสำเภา ชุมชนการค้าแถบคูเมืองพระนครจึงคึกคัก มีเรือกำปั่นต่างแดนทั้งพวกฝรั่ง จีน และแขกแล่นเข้ามาทอดสมออยู่เรียงราย พ่อค้าวาณิชคุมเหล่าทาสแบกหามสินค้าขึ้นฝั่งไปไว้ในห้างร้านที่ตนเช่าไว้ตามกำแพงเมืองกันอย่างขันแข็ง คนพวกนี้ช่างพูดช่างเจรจา และส่วนใหญ่หัวไวพอที่จะแยกแยะชนชั้นต่างๆ ในสยามได้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีใครทันสังเกตบุรุษสองคนที่เดินสำรวจไปทั่วบริเวณมาตั้งแต่เช้าว่าไม่ใช่บ่าวไพร่ธรรมดา
“พบแล้วขอรับ ท่านขุน”
ชายฉกรรจ์ไม่สวมเสื้อ ตามตัวมีคราบไคลทะเลเหมือนชาวเรือ เดินเข้ามาส่งผ้าดิบผืนหนึ่งให้เจ้านายตน ซึ่งรับมาดมกลิ่นจำเพาะตัวบนผ้าแล้วก็ถามสั้นๆ
“มีมากแค่ไหน”
“เท่าที่เห็น มากกว่าร้อยหีบขอรับ”
ขุนสุริยนหัสดีพยักหน้ารับครั้งหนึ่ง “เอ็งอยู่ที่นี่ตามคำสั่งเดิม ส่วนพี่ยงมากับข้า”
ทั้งนายยงและนายทหารผู้นั้นผงกศีรษะรับแล้วแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากพันแสงเดินนำไปได้ไม่เท่าไรก็เห็นร่างปราดเปรียวของนายมิ่งโผล่ออกมาจากลังสินค้าข้างทาง น่าจะรอจังหวะเจ้านายเดินผ่านที่ลับตาคนเพื่อรายงานภารกิจอยู่แล้ว พอพบหน้ากันก็ไหว้ท่วมหัวทีหนึ่ง
ออกขุนหนุ่มส่งสายตาให้มันเข้ามาพูดกันใกล้ๆ ซึ่งนายมิ่งก็เหมือนจะเข้าใจ พุ่งเข้ามาทำท่ากระซิบข้างหู
“วันนี้แม่นายไปเรือนหมื่นวรไชยกับแม่ละออขอรับ”
แต่ด้วยเสียงอันดัง ได้ยินไปทั่วสามบ้านแปดบ้าน
นายยงซึ่งยืนอยู่ด้านหลังห่างเป็นวายังหลุดหัวเราะ ต้องกลั้นจนไอโขลก ทีนี้ได้รู้กันหมดว่าภารกิจลับที่ท่านขุนอุตส่าห์สละลูกน้องคนสำคัญไปทำอยู่ทุกวี่ทุกวันคืออะไร ทีแรกก็นึกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเช่นทุกครั้ง ที่ไหนได้ เป็นงาน ‘เฝ้าเมีย’ เจ้านายนี่เอง
นายมิ่งรายงานเสร็จ เห็นสีหน้าคนฟังนิ่งขึงไปก็รีบเสริมว่า “ตอนไปส่งกระผมนี่เทียบเรือกับท่าน้ำเสียเอี้ยมเฟี้ยม แม่นายถึงที่หมายปลอดภัยแน่ขอรับ ท่านขุนได้โปรดวางใจ”
พันแสงสูดลมหายใจเข้าลึกสะกดอารมณ์ งานอะไรมันก็ทำได้ไม่ดีเท่ากวนโทสะเขาจริงๆ
“แล้ววันนี้จักให้ไปรอรับเหมือนทุกครั้งไหมขอรับ” ลูกน้องยังกระตือรือร้นจนน่ากระทืบ
“มิต้อง” น้ำเสียงตอบกลับนั้นห้วนจัด “หลังจากนี้ให้อ้ายพวกบ่าวที่เรือนมันทำไป บอกท่านหญิงว่าจักไปที่ใดก็ให้พวกมันไปรับไปส่ง”
“ฮ้า...” นายมิ่งร้องอย่างเสียดายไม่ปิดบัง เพราะงานนี้แสนสบาย ซ้ำแม่นายชวาลาก็ใจดี อยู่ด้วยแล้วไม่ต้องกลัวถูกดุด่า ส่วนแม่ละออแก้มแดง นับวันมองไปมองมายิ่งน่ารัก คุยก็สนุก กระเซ้ากันเล่นไปตามประสา
ออกขุนหนุ่มเห็นอาการกระเง้ากระงอดอ้อนตีนของลูกน้องแล้วก็ให้ปวดหัวตุบๆ ตระหนักได้ว่าตนกำลังทำเรื่องไร้สาระอย่างยิ่ง ต้องเสียกำลังคนที่ต่อให้มันพูดจาไม่ได้ความอย่างไรก็ยังพอทำงานเป็นมือเท้าได้ไปเพื่อเรื่องไม่เข้าท่าเช่นนี้ ยิ่งมีงานใหญ่รอให้คิดให้ทำอยู่ตรงหน้า เขาก็ตัดสินใจได้ว่าเรื่องแม่หญิงชวาลาควรตัดทิ้งไปเสีย
เพราะต่อให้สองพี่น้องร่วมมือกัน ก็อย่าหวังว่าจะทำอะไรเขาได้
“แต่อ้ายบ่าวชายบ้านหมื่นวรไชยมันทะลึ่งตึงตังนักนะขอรับ” นายมิ่งยังวอแว “กระผมมิอยู่ด้วย ท่านขุนมิกลัวมันทำรุ่มร่ามกับแม่นายหรือ”
“อ้ายมิ่ง! ลามปามอีกแล้วนะมึง” นายยงเห็นสายตาขุนแสงผลาญแล้วก็รีบด่ารุ่นน้องก่อนจะได้เจอกันอีกทีในชาติภพหน้า “ต่อให้พวกบ่าวมันเป็นบ้าเยี่ยงไร นั่นก็บ้านเก่าแม่นายท่าน พวกมันย่อมรู้ว่ากระไรควรมิควรอยู่ ก็มีแต่มึงนี่ละที่มิรู้!”
พูดไปก็ลอบสังเกตแววตาพันแสงไป เห็นว่าอ่อนลงนิดก็โล่งอก
“อีกอย่างเมียท่าน ท่านก็ดูแลเองได้ มิต้องพึ่งทหารเลวอย่างมึงดอก อย่าสะเออะพูดถึงแม่นายเช่นนี้อีก มึงยังมิรีบไหว้ขอโทษท่านขุน เร็ว!”
เป็นอันว่าจบที่นายมิ่งเจ้าเก่าเจ้าเดิมหมอบกราบแล้วก็เผ่นแน่บไปตามเคย นายยงกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก ตั้งแต่มีแม่หญิงชวาลา กลุ่มลูกน้องของขุนสุริยนหัสดีก็มีเรื่องให้หวาดเสียวได้ทุกครั้งที่มีคนเอ่ยพาดพิงถึง ‘ท่านหญิง’ ขึ้นมา เดาไม่เคยถูกว่าเจ้านายอยู่ในอารมณ์ไหน
บางครั้งยกยอให้ความเคารพชวาลาชายหนุ่มก็ดูรำคาญใจ พอกลับลำไปตั้งข้อสงสัยเรื่องเป็นน้องสาวหมื่นวรไชยคู่อริก็ถูกมองด้วยสายตาเย็นยะเยือกจนขนหัวลุก สุดท้ายเลยได้ข้อสรุปในใจกันไปเองว่าทุกอย่างของท่านหญิงนั้น ห้ามแตะต้อง
ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ปฏิกิริยาตอบสนองของออกขุนหนุ่มช่างเหนือความคาดหมาย
ใครฟังก็รู้ว่านายมิ่งเอาเรื่องบ่าวผู้ชายมาพูดเพราะมันอยากสบาย แต่เหตุไฉนคนฉลาดอย่างขุนแสงผลาญฟังแล้วถึงได้มีสีหน้าไตร่ตรองอย่างกับใจคิดตามมันไปด้วยเช่นนั้นเล่า
ขณะเดียวกันที่เรือนหมื่นวรไชย ชวาลากำลังให้อาหารนางโคแก่คู่ทุกข์คู่ยากอยู่ โดยมีละออนั่งเท้าคางมองอย่างเบื่อหน่าย ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหมู่นี้ผู้เป็นพี่ถึงได้ขยันมาเยี่ยมเรือนเก่านัก ตอนยังอยู่ก็ใช่ว่าจะมีเรื่องดีๆ ให้จดจำ มาถึงก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษนอกจากพูดคุยกับสายหยุดบ้าง ชวนกันเดินไปตลาดใกล้ๆ บ้าง
“ไหนพี่วาว่าจักไปขายของ มิไปแล้วหรือ” เด็กหญิงถาม
ชวาลายิ้มน้อยๆ พลางป้อนหญ้าแห้งให้แม่แก่ของเธออีกกำ “ไปซี แต่ตอนนี้ต้องมาที่นี่ก่อน”
หลายวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เด็กสาวออกไปข้างนอกจะมีคนของพันแสงคอยอำนวยความสะดวกให้ เขาชื่อนายมิ่ง เป็นนายทหารหนุ่มอายุมากกว่าเธอแค่สองสามปี อัธยาศัยดี รู้จักหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาชวนคุยได้ตลอดเวลาต่างจากเจ้านายลิบลับ แต่ภายใต้ความขี้เล่นเป็นเด็กๆ นั้น ชวาลามองว่าเขาเป็นคนช่างสงสัย ช่างจดช่างจำ และรู้เสมอเมื่อมีบางอย่างผิดสังเกต
ดังนั้นถ้าเธอออกไปเป็นแม่ค้าตามตลาด เขาต้องรายงานพันแสงได้ทันทีแน่ ชวาลาไม่อยากเสี่ยงโดนจับได้ เพราะโอกาสถูกห้ามมีมากกว่าได้รับการสนับสนุน บัดนี้เธอเป็น ‘ท่านหญิง’ อยากได้อะไรควรให้บ่าวรับใช้ออกไปซื้อหามาให้อย่างที่นางวาดบอก ไม่ต้องพูดถึงการออกไปเร่ขายของ ไม่ควรอย่างยิ่ง
แต่จะทำเช่นไรได้ ในเมื่อเด็กสาวหาเงินเลี้ยงตัวเองกับน้องๆ ด้วยวิธีนี้มาตลอด และในความคิดของเธอนั้น อาชีพแม่ค้าตลาดไม่ได้น่ารังเกียจหรือต้อยต่ำแต่อย่างใดเลย กลับเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี น่าภาคภูมิใจในตัวเองทุกประการตราบใดที่ตั้งอยู่บนความสุจริต ไม่เดือดร้อนผู้อื่น ใช่ว่าเพราะเป็นสิ่งที่ชาวบ้านสามัญเขาทำกันแล้วชนชั้นปกครองจะไม่ควรลดตัวลงไปทำด้วยเสียเมื่อไร
เด็กสาวไม่รู้ว่าคนอย่างขุนสุริยนหัสดีคิดเรื่องนี้อย่างไร เธอจึงจะแวะกลับบ้านเก่าไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะวางใจยอมให้นายมิ่งเลิกตาม รอชายหนุ่มชะล่าใจให้เธอเข้านอกออกในเรือนไม้หลังงามนั่นได้ตามลำพังก่อน ชวาลาก็จะกลับไปเป็นแม่ค้าตลาดเหมือนเดิมเสียที
ละออไม่รู้แผนการนี้ด้วยจึงฉงนหนัก นั่งเกาแขน ปัดแมลงหวี่ข้างเล้าวัวได้อีกพักเดียวก็หมดความอดทน
“พี่วา งั้นข้าขอไปหากระไรกินในครัวก่อนนะ”
“เอาสิ เจ้าลองไปถามพี่สายหยุดเขาดูก่อนก็ได้ว่ามีขนมกระไรให้กินฤๅไม่ มิฉะนั้นจักเข้าครัวไปเสียเที่ยวเอาหนา” ชวาลาพูดพลางลูบหัวนางโคแก่ ดูดวงตากลมโตดำสนิทของมันแล้วก็อดเทียบกับนัยน์ตาของใครอีกคนที่สีเหมือนกันไม่ได้ เพียงแต่ของเขาผู้นั้นเธอไม่อาจมองสบได้นาน ไม่รู้ทำไม
“จ้าพี่” เด็กหญิงรับคำแล้วกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดออกมาจากตรงนั้น เพราะอยู่ท้ายเรือนเป็นที่ลับสายตาคนเลยไม่ต้องระวังกิริยามากนัก ใจลอยไปถึงขนมในครัว พอเลี้ยวหัวมุมทางเดินจึงชนเข้ากับคนที่มาดักรออยู่แล้วอย่างจัง
“โอ๊ย! อุ๊บ!”
ร่างเล็กถูกตะครุบปากดึงเข้าไปหลบหลังโอ่งน้ำทันที พอดิ้นเข้าก็ถูกชายหนุ่มบีบแขนแรงๆ ถลึงตาข่มขู่ ละออเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ก็ยอมเงียบทั้งที่ตัวสั่นงก
หมื่นวรไชยฉีกยิ้มจอมปลอมให้
“อีละออ ไปอยู่เรือนอ้ายพันแสงนานเข้าก็มิอยากทักกูแล้วหรือ ไหนมึงเล่ามาซิว่ายาปลุกกำหนัดที่กูให้ไปใช้ได้ผลฤๅไม่”
“มิรู้!” ละออกระชากเสียงตอบ “ข้าจักไปรู้ได้เยี่ยงไรเล่า!”
“มึงจักมิรู้ได้อย่างไร มีกระไรที่พี่วามึงมิเล่าให้มึงฟังบ้าง” ริมฝีปากเขาเริ่มบิดเบี้ยวจนกลายเป็นแสยะยิ้มชิงชัง “แต่เอาเถิด กูก็พอรู้อยู่ว่าของพวกนี้ทำกระไรอ้ายพันแสงมันมิได้ หากได้ผลจริงป่านนี้นังวามันมิได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันดอก ต้องโดนขังอยู่ในห้องหอโน่นแน่ะ”
ละออถึงยังเด็ก แต่เพราะสังคมที่อยู่ทำให้รู้เดียงสามากพอจะเข้าใจความนัยในประโยคนั้น ก็ให้ขยะแขยงเกินทน แสดงออกมาทั้งสีหน้าและแววตา หมื่นวรไชยเห็นก็หัวเราะหึ
“มึงมิต้องมองกูเช่นนั้นดอก อีเด็กรู้มาก หากอ้ายพันแสงมิสนใจแม่วา คนตกที่นั่งลำบากล้วนคือพวกมึง! มึงควรขอบคุณกูเสียมากกว่าที่ช่วยคิดแก้ปัญหาให้ แล้วนี่อย่าบอกหนาว่าเจ้านายมึงทั้งคู่ต่างคนต่างอยู่ เพิ่งแต่งงานกันไปก็รักขมเสียแล้วรึวะ”
เด็กหญิงฟังแล้วก็สับสนนัก เพราะถ้าขุนสุริยนหัสดีไม่รักชวาลา คนที่เดือดร้อนก็คงเป็นพวกเธอจริงๆ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่หมื่นวรไชยพยายามทำก็น่าจะเป็นเรื่องดีต่อคนทั้งสอง แต่ไฉนวิธีการถึงได้แปลกประหลาดขัดศีลธรรมขนาดนี้ ละออคิดไม่ตกจึงพยายามพูดปกป้องพี่ตนไปก่อน
“ท่านขุนมิใช่มิสนใจ แค่ยังมิสนิทกัน เพลานี้พี่วาเขาก็เป็นแม่เรือนที่ดีทำกับข้าวให้กินอยู่”
หลังจากเธอพูดจบชายหนุ่มกลับระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น
“อีละออ อีโง่!” หมื่นวรไชยเขกศีรษะเล็กๆ ไปหนึ่งที “หากผู้หญิงมัดใจชายได้ด้วยเสน่ห์ปลายจวัก ป่านนี้ทั้งซ่องมิเต็มไปด้วยแม่ครัวแล้วรึ มึงมันโง่!”
ทั้งความเจ็บปวดและคำด่าทอทำให้ละออน้ำตาคลอเบ้า ได้แต่จ้องนายไชยเขม็งด้วยความโกรธเคือง ทว่าอย่างไรในสายตาเขาเธอก็ไม่ต่างอะไรกับลูกหนูไร้พิษสง ไม่ว่าจะข่มเหงรังแกอย่างไรก็ย่อมได้
“มึงหยุดสำออยร้องไห้แล้วทำตามที่กูบอก มิเช่นนั้นพี่วามึงได้รู้แน่ว่าใครเป็นคนเอายาปลุกกำหนัดใส่ในน้ำชามงคล กูจักพูดให้หมด รวมทั้งเรื่องที่มึงหักหลังมันนั่นด้วย”
“ก็ท่านหมื่นบังคับให้ข้าใส่!” ละออขึ้นเสียง ตื่นตระหนก “จักมาโทษข้าได้รึ”
“ก็เขาเห็นกันหมดว่ามึงเป็นคนยกเข้าไป กูมิได้อยู่ตรงนั้นด้วยนี่” ชายหนุ่มเกาคางไม่ยี่หระ “แล้วมึงพูดกับกูพูด ดูซิว่าคนเขาจักเชื่อใคร”
ละออเงียบ ใจหนึ่งอยากเถียงว่าชวาลาต้องเชื่อตน อีกใจหนึ่งก็ชักไม่มั่นใจ
หมื่นวรไชยเห็นดังนั้นก็อยากหัวเราะงอหงาย เด็กอย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ
“โถ มิเป็นกระไรหนา กูมิพูดให้พี่วามึงเสียใจในวันนี้วันพรุ่งดอก” น้ำเสียงเขาปลอบประโลมขณะโน้มตัวลงมากระซิบ “ขอแค่มึงว่าง่ายทำตามที่กูบอก เชื่อเถิดว่าได้ผลมากกว่ากับข้าวหลายขุมแน่”
ขุนสุริยนหัสดีเป็นผู้ที่มีเหตุให้ออกจากเรือนทุกวัน บางวันเข้ามาได้ครู่เดียวก็กลับออกไปอีก ชายหนุ่มไปอยู่แห่งใดไม่ทราบได้ทั้งคืน และทุกคนจะรู้ว่าเขากลับมาอีกครั้งเมื่อเปิดกระบะไม้ดูพบว่าอาหารที่เทียนทำให้หมดไปแล้ว ส่วนของชวาลาเขาจะทิ้งไว้แบบนั้น
วันนี้เป็นอีกวันที่กว่าพันแสงจะกลับเรือนก็พลบค่ำ ตั้งแต่ชวาลามาอยู่ด้วย โอ่งใบเล็กใส่น้ำล้างเท้าตีนกระไดก็มีน้ำสะอาดเต็มตลอดเวลา พอก้าวขึ้นมาบนเรือนก็รู้สึกได้ว่าพื้นไม้เรียบสะอาดสะอ้าน ฝุ่นหรือคราบสกปรกที่เคยจับเกรอะกรังอยู่ตามข้างฝาและที่ต่างๆ ทยอยอันตรธานหายไปดุจร่ายมนตร์ บางวันยังมีกลิ่นดอกไม้จากห้องของเด็กสาวกับละออ ความแปลกใหม่ทั้งหมดนี้เริ่มกลายเป็นความเคยชินในชีวิตเขาไปในที่สุดแม้เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
ออกขุนหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกินข้าวที่โถงกลางเรือน เห็นสำรับที่ชวาลาจัดไว้ให้คู่กับปลาย่างแห้งๆ ของอ้ายเทียนน้อยเหมือนทุกวัน ถึงเขาจะแสดงออกชัดว่าไม่กินอะไรก็ตามที่ผ่านมือเธอ ทว่าดูเหมือนภรรยาจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ยังคงเพียรทำอาหารหลากหลายมาใส่กระบะคู่กับปลาของบ่าวรับใช้ตัวจ้อย ซึ่งพันแสงรู้สึกว่าเขาไม่ได้คิดไปเองดอกว่าหลังๆ อ้ายเทียนมันย่างปลาเก่งขึ้น
ค่ำแล้ว แต่ตะเกียงในห้องนอนสองสาวยังไม่จุด ชายหนุ่มจากที่กินข้าวอยู่ดีๆ ก็เริ่มหันไปเหลียวซ้ายแลขวาหาร่องรอยคน คำที่นายมิ่งรายงานไม่น่าพลาดว่าชวาลากลับมานานแล้วและตอนนี้ก็อยู่บนเรือน
เช่นนั้นไยจึงยังมิมาให้เห็นหน้าเล่า (เอียง)
“ท่านขุน! ท่านขุน!”
ไวเท่าความคิด ละออก็วิ่งหน้าตื่นขึ้นมาบนเรือนพลางร้องเรียกเขาเสียงหลง พันแสงรู้ตั้งแต่ก่อนอีกฝ่ายหมอบลงไปกราบว่ามีเรื่องไม่ดีแน่ แต่ก็ใจแข็งนั่งเฉย
“มีกระไร”
“พี่วาเขา...แม่นายเขา...”
พอต้องเจอสีหน้าเย็นชาของท่านขุนจริงๆ เข้า ละออกลับพูดไม่ออก
“ท่านหญิงเป็นกระไร” เสียงถามอ่อนลงนิด สวนทางกับใจที่เริ่มร้อนขึ้นหน่อย
ละออก็พูดตะกุกตะกักไม่เป็นคำกลัวเขาโดยไร้เหตุผล ขุนสุริยนหัสดีไม่อาจทนรอได้อีก เห็นเด็กหญิงตัวเปียกชุ่มก็ผุดลุกขึ้นก้าวยาวๆ ไปทางท่าน้ำทันที ละออจึงตั้งสติได้รีบวิ่งตามไป
“ช่วยด้วย...ช่วย...”
บัดนั้น ชวาลากำลังตะเกียกตะกายลอยคออยู่ในคลองท้ายเรือนห่างจากฝั่งหลายวา ตรงกลางลำคลองน้ำลึกเกินหยั่ง กระแสน้ำยามค่ำโหมแรง ที่ร่างบางไม่ลอยตามน้ำไปก็เพราะข้อเท้าข้างหนึ่งเข้าไปพันติดกับพืชน้ำใต้คลองจนแน่น เป็นทั้งโชคดีและโชคร้ายในเวลาเดียวกัน
แต่ต่อให้ไม่ลอยไปไหนไกลเธอก็กำลังจะตายในไม่ช้า ชวาลาว่ายน้ำไม่แข็ง เพราะหลังจากถูกพี่ชายแกล้งดึงขาให้สำลักน้ำตอนเด็กเธอก็ไม่กล้าหัดว่ายน้ำอีกเลย ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องรีบร้อนกระโจนลงมาช่วยละออ ฝืนว่ายเข้าไปหาน้องได้อึดใจเดียวก็ถูกคลื่นน้ำพัดหลุดออกมา
ดีที่รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายผลักน้องเข้าไปได้ ทันเห็นร่างเล็กว่ายขึ้นฝั่งให้หายห่วงแวบหนึ่งก่อนตัวเองถูกน้ำซัดท่วมมิดหัว ดิ้นรนเท่าไรก็พยุงตัวขึ้นเหนือผิวน้ำไม่ได้
เด็กสาวพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่น้ำที่ทะลักเข้ามาทั้งจมูกและปากกลบเสียงไปสิ้น
แขนขาแหวกว่ายสะเปะสะปะอ่อนแรง ต้นพืชเหนียวยิ่งพันแน่นหนา ดึงร่างชวาลาให้จมดิ่งลงใต้ผืนน้ำ ทิ้งไว้เพียงฟองอากาศผุดพรายขึ้นมาก่อนลมหายใจขาดหาย
ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่แม้แต่ความทุรนทุรายที่เพิ่งประสบ ความตายช่างว่างเปล่าเบาหวิว
จนกระทั่งทั้งตัวถูกรั้งเข้าสู่อ้อมแขนของใครบางคนที่ฉุดเธอขึ้นพ้นผิวน้ำอีกครั้ง
ชวาลารีบร้อนหายใจเอาอากาศเข้าปอด มือปัดป่ายโอบแขนกอดรัดหาที่พึ่งตามสัญชาตญาณ สองตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำจนไม่เห็นว่าคนผู้นี้เป็นใครหรือกำลังทำอะไร รู้เพียงร่างกายหนาหนักของเขาทรงตัวอยู่ในน้ำได้มั่นคงยิ่ง และเมื่อมือกร้านเลื่อนไปจับที่ขาแค่สัมผัสเดียว พืชน้ำที่พันอยู่ก็ขาดสะบั้น
เมื่อพ้นพันธนาการ เธอได้แต่เกาะบ่ากว้างไว้แน่น ปล่อยให้เขาประคองว่ายไปจนตัวถูกยกขึ้นมา ใจยังเต้นระรัวแรงกระแทกกระทั้นในอกจนหายใจไม่ทัน ไอออกมาเป็นน้ำ แสบไปหมดทั้งตาจมูก หูก็อื้อ ในหัวหมุนคว้างทรมาน ไม่อาจดูแลตัวเองได้
ห้วงน้ำลึกมืดมิดเย็นจัด ความน่าสะพรึงกลัวของมันยังตราตรึง ทำให้เด็กสาวเหนี่ยวรั้งต้นคอคนอุ้มไว้ไม่ยอมปล่อย โน้มใบหน้าเขาลงมาจนสันจมูกโด่งกดลึกบนแก้ม ขณะเดียวกันก็ฝังใบหน้าตัวเองเข้ากับผิวร้อนระอุตรงแนวกราม หอบหายใจเสียงผะแผ่วสะท้านขาดห้วงอยู่ริมใบหูอีกฝ่าย พลางซุกตัวเข้าหาอ้อมอกกว้าง เกี่ยวกระหวัดรัดรึงร่างกายแข็งขืนของชายหนุ่มจนแทบกลืนกันเป็นเนื้อเดียว
โดยไม่รู้ตัว และไม่รู้เลยว่าบัดนี้ไม่มีอาภรณ์สักชิ้นห่อคลุมกายสาว อะไรต่อมิอะไรก็ปรากฏสู่สายตาเขาหมดไม่มีเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาตัวเข้าไปแนบชิดบดเบียดไร้ช่องว่าง จนแม้แต่เธอเองก็ค่อยๆ สัมผัสได้ถึงมัดกล้ามตึงเรียบแข็งไปทุกส่วนของลำตัวช่วงบนที่มีเพียงเสื้อบางๆ กั้นกลาง ตามด้วยสิ่งที่ทำให้ชวาลารู้สติ คือเมื่อทรวงอกเย็นเฉียบของตนเริ่มอุ่นขึ้นจากผิวกายของเขาที่ร้อนราวกับไฟ
“ทะ...ท่าน!”
เด็กสาวเปล่งเสียงแทบไม่เป็นคำ สบตาออกขุนหนุ่มได้แวบเดียวก็รีบหดมือหดเท้า สะบัดตัวให้หลุดจากวงแขนอีกฝ่ายที่ปล่อยเธอทันทีเช่นกัน ส่งผลให้ร่างบางหล่นลงไปกองกับพื้น ทรุดฮวบมือไม้อ่อน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสู้สายตาเขา ได้แต่นั่งกอดตัวเองสั่นเทาเหมือนดินเหลวก้อนหนึ่ง
ถึงนัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นจะไร้ความคิดหยาบโลนแทะโลมดั่งที่ควรเป็น แต่ก็วาวโรจน์โชนแสงเหมือนมีกองเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ภายใน น่าประหวั่นพรั่นพรึงไม่แพ้กัน ไม่อาจตีความได้ว่าเจ้าของแท้จริงแล้วรู้สึกเช่นไร
ชวาลาอับอายจนอยากจมน้ำตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด นึกโทษตัวเองที่ไม่ระวังว่าผ้านุ่งอาจหลุดไประหว่างกำลังยื้อยุดช่วยละอออยู่ก็ได้ ต่อให้คนตรงหน้าได้ชื่อว่าเป็นสามีที่เธอเตรียมใจไว้ว่าคงต้องยอมทอดกายให้เขาสักวัน แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับรู้สึกสูญเสียดุจของสำคัญถูกพรากไปโดยไม่ทันตั้งตัว
หยดน้ำจากปอยผมร่วงเปาะแปะลงบนพื้นดิน ยากที่จะแยกว่านั่นคือสายธารหรือน้ำตา
เนิ่นนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าเด็กสาวจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มีเสื้อตัวใหญ่เปียกชื้นสวมลงบนศีรษะ
เมื่อดวงหน้าเล็กแดงก่ำไปทั้งขอบตาและจมูกโผล่ออกมาจากคอเสื้อ เธอก็เห็นร่างสูงย่อตัวลงจนอยู่ในระดับเดียวกัน กำลังช่วยดึงแขนเรียวให้สวมเสื้อทีละข้าง ใบหน้าเรียบเฉยเบือนไปทางอื่นยามพยุงชวาลาให้ลุกขึ้นยืน
เสื้อของเขาบนตัวเธอใหญ่มากเสียจนไหล่ลู่ลงแขนยาวเกือบถึงศอก ถึงกระนั้นก็ยังยาวไม่พอปกปิดสะโพกกลมกลึงนวลเนียนโค้งรับกับต้นขาบอบบางคู่นั้นได้อยู่ดี
พันแสงก้มลงไปหยิบผ้าพาดบ่าบนพื้น แล้วจึงมองหน้าเธอเป็นครั้งแรกขณะคลี่ผ้าผืนนั้นกางออกรอบเอวบางและจับมัดเข้าด้วยกันทางด้านหน้าเป็นผ้านุ่ง แรงดึงแม้เพียงเล็กน้อยกลับทำให้ชวาลาเซเข้าไปใกล้เขาโดยไม่ตั้งใจ มึนงงใจสั่นไปหมดราวถูกสะกดด้วยประกายตาแรงกล้าและการกระทำอันวาบหวามทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาจ้องตอบเธออยู่อึดใจหนึ่งก็ผละออก ราวกับได้ข้อสรุปบางอย่างในใจที่เขาไม่สบอารมณ์จนยากที่จะควบคุมตัวเอง จึงเลือกหันหลังให้แล้วทิ้งเด็กสาวไว้ที่ท่าน้ำอย่างไม่ไยดี
ไม่ว่าความตื่นกลัวครั้งนี้ของชวาลาจะเป็นความจริงหรือเสแสร้ง ขุนสุริยนหัสดีก็เลือกสงสัยเอาไว้ก่อนว่าเหตุใดเธอจึงต้องลงไปในน้ำเวลานี้โดยลำพัง รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายก็ยังจะทำ
พอเกิดเหตุแล้วยังให้ละออไปตามเขาถึงเรือนใหญ่ ไม่ร้องเรียกให้บ่าวไพร่ซึ่งอยู่ใกล้กว่ามาช่วย เด็กหญิงที่วิ่งตามมาก็หายไปอย่างกับเปิดโอกาสให้ผู้เป็นพี่ ไหนจะสภาพเปลือยเปล่านั่นอีก หากเป็นการจัดฉากจริงก็ไม่รู้ว่าความละอายยังมีอยู่ในใจแม่หญิงผู้นี้บ้างหรือไม่
ภาพร่างบอบบางทรุดลงไปกองกับพื้นผุดวาบในความคิด อีกเสียงหนึ่งในหัวก็เถียงขึ้นว่าคนอย่างเธอที่เขารู้จักจำต้องทำร้ายตัวเองเพียงนั้นเพื่อมัดใจบุรุษสักคนที่ปกติไม่คิดเข้าใกล้ด้วยหรือ
ความเป็นไปได้หลายทางทำให้พันแสงปวดหัว ซ้ำผิวกายที่จดจำสัมผัสจากเรือนร่างอรชรได้ทุกกระเบียดนิ้วยิ่งทำเขาร้อนรุ่มคิดอะไรไม่ออก แค่หายใจให้เป็นระเบียบยังไม่ได้
ดีแล้วที่เป็นเขา ไม่ใช่คนอื่น
ความปีตินี้ไม่ควรเกิดขึ้น ความหวงแหนรุนแรงนี่ก็ด้วย
เขาเดินออกมาถึงชานพักด้านบนแล้วชวาลาก็ยังไม่ยอมตามมา ออกขุนหนุ่มรังเกียจตัวเองนักที่จนแล้วจนรอดก็ปล่อยให้เธอรอดสายตาไปไม่ได้ ต้องหันกลับไปหา จึงเห็นว่าเด็กสาวกำลังพยายามลงน้ำหนักบนข้อเท้าข้างที่บาดเจ็บ เดินกะโผลกกะเผลกอย่างยากลำบาก ขนาดยืนดูจากตรงนี้ยังเห็นชัดว่ามีรอยแดงบวมเป่งอยู่บริเวณนั้นจริงๆ
อีกไม่นานพวกบ่าวไพร่อยู่ยามจะลาดตระเวนมาถึง ชายหนุ่มต้องยอมรับว่าเขาไม่อาจทนให้ใครหน้าไหนพบกับชวาลาในสภาพนี้ได้ทั้งนั้น นอกจากตัวเอง
“โอ๊ย เจ็บๆ...เจ็บ...”
เด็กสาวก้มหน้ากลั้นน้ำตาเดินไปเรื่อยๆ ทีละก้าว หายใจทางปากบ้างร้องบ้าง หวังระบายความเจ็บปวดตรงข้อเท้าให้คลายลง แต่ยิ่งขยับกลับยิ่งแย่ ละออก็ไม่รู้หายไปไหน ในใจตอนนี้ทั้งอยากได้คนช่วย ทั้งภาวนาไม่อยากให้ใครมาเห็นเธอที่สวมเสื้อของบุรุษและมีเพียงผ้าผืนน้อยคาดเอวซึ่งก้าวขาทีก็เลิกขึ้นสูงเสียจนใจหาย
ไม่คาดคิดว่าท้ายที่สุดจะมีคนมาหยุดยืนตรงหน้า และตกใจยิ่งกว่าที่เป็นขุนสุริยนหัสดีเดินย้อนกลับมาด้วยตัวเอง
“ท่านขุน...” ชวาลาตกใจ จ้องใบหน้าหล่อเหลาตาไม่กะพริบ
“มานี่”
ถึงจะบอกเช่นนั้น แต่พันแสงก็รวบตัวเด็กสาวขึ้นมาอุ้มไว้แนบอกเรียบร้อยแล้ว
นัยน์ตาสองคู่สบประสานกันคราหนึ่ง ก่อนที่จะต่างคนต่างมองไปทางอื่น ชวาลาได้แต่ห่อตัวจนเกร็งไปหมด นอนนิ่งดูพระจันทร์กลมโตในคืนเดือนหงายสุกสว่างกลางน่านฟ้าขณะถูกอุ้มเดินไปช้าๆ มองตามแสงและเงาของมันที่สะท้อนลงบนเสี้ยวหน้าคมคาย รัศมีนวลตาช่วยลบความแข็งกระด้างบนนั้นให้ดูอ่อนโยนนัก
แล้ววูบหนึ่งเธอก็เผลอคิดปรารถนาให้เส้นทางนี้ทอดยาวออกไปให้ไกล นับพัน นับหมื่นโยชน์
ความคิดเห็น |
---|