9

ผ้าขาว

บทที่ ๙

ผ้าขาว

 

ชวาลาถูกพามานั่งบนเตียงในห้องของพันแสง ทีแรกเธอคิดว่าเขาคงแค่พามาถึงเรือนแล้วก็แยกย้ายกันไป คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เข้ามาในห้องนี้ได้อีกครั้ง จึงนั่งตัวแข็งทื่อ รู้สึกแปลกพิกล

แต่เมื่อคิดดูดีๆ ก็พบว่าถูกต้องแล้ว เพราะคนอย่างขุนสุริยนหัสดีเป็นบุรุษที่ต่อให้ทำตัวหมางเมินอย่างไร ทุกการกระทำของเขาก็ยังให้เกียรติสตรีเสมอ ครั้งนี้คงเพราะไม่อยากเข้าห้องนอนของเธอกับละออ จึงพามาที่ห้องของตัวเองแทน

เด็กสาวพอไม่ได้เดินเองก็เจ็บข้อเท้าน้อยลงจนมีกะจิตกะใจมองตามร่างสูงที่เดินไปเปิดตู้เลือกดูอะไรบางอย่างในนั้นเงียบๆ เผลอไปแวบเดียวก็ถูกท่วงท่าสง่างามเป็นธรรมชาติของเขาดึงดูดจนเผลอจ้องจริงจัง แม้ใจจะร่ำร้องให้หยุดทำกิริยาน่าเกลียด

เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นออกขุนหนุ่มปล่อยให้ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า

ชวาลายังจำเสื้อขาดวิ่นพวกนั้นได้แม่น ก็ได้แต่สงสัยว่าไฉนเขาจึงไม่มีแผลเป็นใหญ่โตน่าเกลียดให้เห็นสักนิด จะมีก็แต่รอยขีดข่วนเล็กน้อยประปรายเท่านั้น

เธอนึกว่าเขาใส่เสื้อผ้ามิดชิดตลอดเวลาเพื่อปกปิดร่องรอยจากสงครามเสียอีก

ทว่าคืนนี้หลังจากได้เห็นเรือนร่างสมส่วนเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระชับที่แน่นชัดไปทุกการเคลื่อนไหวเต็มตา เด็กสาวก็ชักใจหวิวไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขอถอนคำพูดที่ว่าอยากให้เขาใช้ผ้าน้อยชิ้นไปเสีย มิเช่นนั้นหากต้องเผชิญหน้ากับแผ่นหลังกำยำล่ำสัน อวดผิวสีแทนแลแข็งกร้าวแฝงความดิบเถื่อนทุกวัน เธอคงทนขัดเขินไม่ไหว

พอชายหนุ่มเอียงกายขณะหยิบสิ่งของในตู้ก็ไม่วายเผยแผ่นอกกว้างขวางที่มีรอยสักอักขระโบราณด้วยหมึกดำอยู่ตรงกลางให้เห็นได้ถนัด เป็นรูปคล้ายดาวแปดแฉกวิจิตรตระการตายิ่ง

นัยน์ตากลมโตของคนแอบดูยิ่งสั่นระริกขณะจ้องตามหยดน้ำใสแจ๋วหยดหนึ่ง ตั้งแต่มันหยดจากปอยผมดำขลับลงบนบ่าหนา ไหลเรี่ยลงมาตามผิวกายเรียบลื่น ผ่านกล้ามท้องเป็นลอนนูน จนกระทั่งซึมหายไปในผ้านุ่งที่คาดเกาะสันกระดูกตรงสะโพกไว้หลวมๆ พอไม่มีเสื้อทับก็ดูหมิ่นเหม่น่าหวาดเสียวให้ใจดวงน้อยอีกดวงในห้องยิ่งสะท้านวูบขึ้นวูบลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

ทันใดนั้นเองหยดน้ำเย็นเฉียบก็ร่วงเผาะลงบนเปลือกตาร้อนผ่าวของเด็กสาวราวกับรู้ทัน ทำให้ชวาลาสะดุ้งโหยง ได้สติว่ากำลังคิดเหลวไหลน่าละอายอยู่จนต้องก้มหน้างุด หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกตอนที่ขุนสุริยนหัสดีเดินเข้ามายื่นกระปุกเล็กๆ ทำจากแก้วเจียระไนบรรจุของเหลวข้นเหนียวกลิ่นฉุนจมูกให้

“ใช้ยานี้ทาข้อเท้าข้างที่เจ็บเสีย”

เขาบอกเรียบๆ เห็นชวาลาขอบคุณพลางรับมันไปด้วยมือสั่นเทาก็คิดว่าเธอคงหนาว จึงขออนุญาตใช้อาคมช่วยไล่น้ำให้ตัวแห้งให้

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

เธอบอกจากใจจริง เมื่อพันแสงวางมือบนศีรษะแล้วรอยเปียกชื้นทั่วตัวระเหยกลายเป็นไอน้ำไปสิ้น ทั้งยังเหลือความอุ่นสบายเอาไว้ด้วย ก็ให้รู้สึกว่าคนมีเวทมนตร์คาถานี้ช่างดีไม่น้อยเลย

“ท่านขุนจักใช้อาคมกับผู้อื่น จำต้องขออนุญาตก่อนด้วยฤๅเจ้าคะ”

คำถามนั้นชวนให้คนฟังอดคิดไม่ได้ว่าเธอมองเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ ดูท่าคงเข้าใจผิดว่ามีวิชาติดตัวแล้วเหนือกว่าใคร สามารถทำตามใจเช่นไรก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีพวกเหิมเกริมลุแก่อำนาจแบบนั้นจริงๆ

“ราชสำนักตรากฎหมายหลายข้อไว้ ห้ามมิให้คนเล่นคุณไสยใช้คาถากับผู้อื่นโดยพลการ เจ้าควรรู้ไว้” เขาสบตาใสๆ แล้วก็ให้หงุดหงิดใจนัก “เพราะมิใช่เวททุกบทจักทำแต่เรื่องดี ฉะนั้นต่อให้คนผู้นั้นรู้จักกันคิดช่วยเหลือ ก็อย่าได้ให้ใครนอกจากข้าใช้อาคมกับเจ้าเด็ดขาด เข้าใจฤๅไม่”

“เจ้าค่ะ” ชวาลารับคำอย่างว่าง่าย ยิ้มเจื่อนๆ

แล้วชายหนุ่มก็ออกไปนอกห้องโดยไม่พูดอะไรอีก ทิ้งให้ชวาลานั่งทายาที่ข้อเท้าได้ครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามา เนื้อตัวแห้งสนิท ที่ไม่ยอมใช้อาคมตั้งแต่แรกคงเพราะไม่อยากให้คนธรรมดาอย่างเธอตกใจ

เมื่อเขาเข้ามาใกล้เด็กสาวก็ส่งกระปุกยาคืนให้ ไม่คาดคิดว่าพอพันแสงเห็นยาที่เธอทาไว้บางๆ รอบเดียวด้วยความเกรงใจ ร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งตรงปลายเท้า ยกขาข้างนั้นขึ้นวางบนตักและเริ่มพอกยาให้ใหม่ทันที

“ท่านขุน ท่านขุน! อย่าเลยเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวฉันทำเองดีกว่า”

ชวาลาลนลานชักขาหลบมือออกขุนหนุ่มพัลวัน ตามคติแล้วเท้าเป็นของต่ำ จะให้สามีมาหยิบจับในสภาพที่เธอนั่งอยู่สูงกว่าเขาเช่นนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะสามีซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงออกขุน ทว่าเขากลับไม่แยแสอาการตื่นตระหนกของภรรยาสักนิด ยังคงยึดข้อเท้าน้อยๆ ข้างนั้นไว้ในมือพลางบรรจงเกลี่ยยาด้วยปลายนิ้วอย่างนุ่มนวลยิ่งจนเด็กสาวแทบสะอื้น ตรงที่เขาจับไม่รู้สึก กลับเป็นในใจที่สะเทือนสะท้านดั่งค้อนทุบ

“นั่งนิ่งๆ อยากเจ็บมากกว่าเดิมหรือ”

“มิใช่หนาเจ้าคะ แต่ฉันทำเองได้จริงๆ เจ้าค่ะ ท่านขุนได้โปรดปล่อยมือก่อน” ชวาลายืนกราน

เท่านั้นเองขุนสุริยนหัสดีก็ส่งสายตานิ่งแต่ดุขึ้นมามอง เป็นสัญญาณว่าเริ่มหมดความอดทน ชวาลาเห็นก็ปิดปากเงียบกริบ ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี

ชายหนุ่มต้องยกข้อเท้าข้างนั้นสูงขึ้นอีกนิดเพื่อพันผ้า เขาจึงหยิบผ้าแพรเพลาะ๑๗บนเตียงส่งให้เด็กสาวคลุมต้นขาให้เรียบร้อยก่อน ชวาลาทำตามงงๆ ก่อนจะตระหนักได้ว่าตำแหน่งที่เขากับเธอนั่งอยู่เมื่อผนวกกับสภาพที่มีแค่ผ้านุ่งสั้นนิดเดียวนั้นน่ากระดากอายแค่ไหน ก็ให้อยากยกสองมือปิดหน้า ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

ต่อให้เขาเห็นหมดไปแล้วทั้งตัว กับท่านี้เธอก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี

ครั้นแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายก็เห็นว่าพันแสงยังพันผ้าให้เธอด้วยอาการสงบเป็นปกติ มือกร้านที่ข้อนิ้วเรียวยาวหากรวมฝ่ามือแล้วอาจใหญ่กว่าใบหน้าของชวาลาเสียอีกกลับทำงานได้คล่องแคล่วแผ่วเบาผิดรูปร่าง ขณะค่อยๆ ทาบผ้าทบลงไปทีละชั้น ออกขุนหนุ่มก็ถามขึ้นว่า

“แม่หญิงแต่งงานกับข้าด้วยเหตุอันใด”

“เจ้าคะ?”

นั่นเป็นคำถามที่ตรงไปตรงมายิ่ง ชวาลาไม่ได้เตรียมใจมาก่อนก็ไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดออกไปได้

“ข้าถามว่า...แม่หญิงแต่งงานกับข้า เพราะมีเป้าหมายใดในใจฤๅไม่”

เป้าหมายอย่างนั้นหรือ

เด็กสาวสับสนเพราะไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนด้วยซ้ำ แต่ก็ตอบไปตามใจคิดทั้งอย่างนั้น “ไม่มีนะเจ้าคะ นอกจากคิดว่าหากวันหน้าท่านขุนเห็นว่าฉันดูแลเรือนได้ แล้วอนุญาตให้พาน้องๆ มาอยู่ด้วยก็คงจักดีนักเจ้าค่ะ”

“เท่านั้นฤๅ”

“เพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ” ชวาลาตอบได้ชัดเจนอย่างคนไม่มีลับลมคมใน “หรือว่าท่านขุนสงสัยว่าฉันกำลังเป็นสายให้พี่ชาย เข้ามาที่เรือนนี้ก็เพราะหวังทำเรื่องมิดีกับท่านฤๅเจ้าคะ”

เด็กสาวไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นจึงมองออกว่าสถานะของตนซึ่งเป็นน้องสาวของหมื่นวรไชยนั้นย่อมสร้างความลำบากใจให้ทั้งสองฝ่ายแน่นอน เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าทำไมพี่ชายจึงอยากให้ตนแต่งกับอริของเขานักหนา ในเมื่อต่อให้ถูกสั่งให้ทำร้ายพันแสง เธอก็ไม่มีทางเชื่อฟังอยู่แล้ว ไม่มีทางทำได้ด้วย

“ถ้าเช่นนั้นฉันก็คงต้องบอกว่า ฉันมิได้ชื่นชอบในสิ่งที่พี่ไชยทำแม้แต่น้อย แลฉันก็มิรู้ว่าท่านขุนกับพี่ชายมีปัญหากระไรกันมาก่อน ตั้งแต่มาอยู่เรือนนี้ถึงกลับไปเยี่ยมบ้านเก่า ฉันก็มิได้ติดต่อกับเขาอีกเพราะไม่มีความจำเป็น ฉะนั้นหากท่านขุนถามว่ามีเป้าหมายกระไร ฉันก็ต้องตอบว่าไม่มีจริงๆ เจ้าค่ะ”

ขุนสุริยนหัสดีฟังเงียบๆ พลางผูกปมผ้าพันข้อเท้าให้เธอจนเสร็จ จึงลุกขึ้นมานั่งข้างๆ เด็กสาวบนเตียง

ชวาลากระถดตัวออกห่างเล็กน้อยทันทีทั้งที่เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ถึงเพียงนั้น

“ถ้าเช่นนั้น ทุกครั้งที่ข้าพบเจ้าทั้งที่ถนนมหารัถยา แลที่อยู่ในเกวียนพ่อค้า ทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญฤๅ”

“ถนนมหารัถยา?” ชวาลาทวนคำ พอคิดออกก็เบิกตากว้าง “ท่านขุนเป็นคนที่...เป็นท่านผู้นั้น?”

พันแสงขมวดคิ้ว “เจ้ามิรู้?”

“ก็ตอนนั้นท่านมีหนวด... ตอนนี้ไม่มีนี่เจ้าคะ”

เสียงตอบอ้อมแอ้มเหมือนไม่อยากยอมรับ ชวาลาเคยภูมิใจมากว่าตัวเองจำหน้าคนเก่ง ไม่นึกว่าพอตกใจขึ้นมาอะไรก็ไม่เข้าหัวทั้งสิ้น

“ส่วนเรื่องเกวียน ฉันแค่จักแอบติดขบวนพ่อค้าไปจนถึงชุมทางเพื่อแวะหาสหายเท่านั้นเจ้าค่ะ มิรู้ว่าเขาขนดินปืนกัน มิใช่แป้งหอม”

“สหาย?” ออกขุนหนุ่มทวงถามประเด็นที่เด็กสาวไม่คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร

“เขาชื่อแม่เขียวเจ้าค่ะ เดิมเป็นแม่ค้าเที่ยวขายของไปตามหัวเมืองต่างๆ อยู่แล้ว ฉันเลยจักรบกวนขอไปกับเขาด้วยถึงเมืองพิษณุโลกสองแควเจ้าค่ะ”

เขาพยักหน้าน้อยๆ |อ้อ ผู้หญิง (เอียง)

“ท่านขุนถามแบบนี้ คิดว่าฉันดักพบท่านหรือเจ้าคะ” ชวาลาถามกลับบ้าง

สีหน้าของเด็กสาวช่างน่าดูชมจริงๆ ราวกับตะโกนคำว่า ‘หลงตัวเอง’ ออกมาต่อว่าชายหนุ่มได้โดยไม่ออกเสียง ยิ่งพันแสงไม่ปฏิเสธ ชวาลาก็แอบนิ่วหน้าด้วยความหมั่นไส้

ถึงเขาจะเป็นถึงขุนแสงผลาญผู้เก่งกาจ รูปงามเป็นที่เลื่องลือ ทำให้สาวๆ ทั้งในและนอกพระนครทุกชนชั้นเฝ้าฝันถึงได้ ถึงตอนนี้เธอเองก็รู้สึกเขินอายขนานหนักยามถูกอุ้ม แต่นั่นก็ไม่ควรทำให้เขาตัดสินว่าผู้หญิงทุกคนต้องอยากอยู่ใกล้เขาใช่หรือไม่ อีกอย่างเธอควรเป็นผู้เสียหาย ความคิดนี้จึงทำให้ชวาลานึกโมโห

ฝ่ายขุนสุริยนหัสดีซึ่งรู้ตื้นลึกหนาบางมากกว่าแค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวเพียงเงียบไปอย่างครุ่นคิด คร้านจะเล่าให้เธอฟังว่าเคยมีคนพยายามหว่านเสน่ห์ใส่สามีตัวเองมากแค่ไหน สตรีที่หวังครอบครองเขาจนถึงขั้นใช้วิธีสกปรกส่วนมากไม่คิดหยุดแค่ความรักหรือร่างกายแต่แรกอยู่แล้ว

มันมีอะไรมากกว่านั้นมากมายนัก

เขายังไม่ปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ อย่างที่พูด แต่ไม่ซักถามต่อ เพราะอย่างไรชวาลาก็คงบอกว่าไม่รู้เรื่อง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ตอบคำถามในใจเขาได้

เพราะถึงแม้หมื่นวรไชยจะเป็นคนวางแผนทั้งหมดคนเดียว การพบเจอกันทั้งสองครั้งนั้นก็จงใจเกินไป ยาปลุกกำหนัดในคืนเข้าหอคนของชวาลาก็เป็นผู้นำเข้ามา พอสบโอกาสตัวเด็กสาวเองก็หาเหตุเข้ามาใกล้เขาอยู่เรื่อย ทั้งทำเป็นละเมอ ทั้งจมน้ำไม่ใส่เสื้อผ้า แล้วจะให้เขาคิดว่าเป็น ‘เรื่องบังเอิญ’ ไปหมดจริงๆ หรือ

มิหนำซ้ำทั้งหมดนี้มุ่งทำลายอวิชชาต้องห้ามได้ตรงจุดราวจับวาง เขาเสียสมาธิเองก็ส่วนหนึ่ง แต่หากบอกว่าเด็กสาวสามารถยั่วยวนกันได้ขนาดนี้โดยไม่ตั้งใจเลยก็นับว่าร้ายลึกเกินไปแล้ว

ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจหนักๆ เจ้าตัวดียังกล้ามองด้วยหางตา

“แม่ละอออยู่ที่ใด”

จู่ๆ ออกขุนหนุ่มก็ถามขึ้น ชวาลาเองก็เพิ่งนึกได้ว่าน้องหายไปตั้งแต่วิ่งไปเรียกคนมาช่วย

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องเรียกของเทียน

“เข้ามา” ผู้เป็นนายอนุญาต

“พี่มิ่งไปแจ้งพ่อหมอทองพินให้แล้ว พ่อหมอจักมาเยี่ยมพรุ่งนี้เช้า คืนนี้ท่านว่าให้เอายานี่ทาไปก่อน”

อ้ายเทียนน้อยรายงานแข็งขันทั้งที่หน้าตางัวเงียเต็มทน ง่วงจนเห็นเจ้านายสองคนแต่งตัวไม่เรียบร้อยนั่งข้างกันบนเตียงยังไม่ประสีประสา พันแสงรับห่อยาจากเด็กชายแล้วก็บอกให้มันไปนอนได้ เทียนจึงฟ้องว่า

“นังละออมันอยู่ที่ห้อง ไล่มิยอมไป เอาแต่ร้องไห้ นอนมิได้เลย”

ชวาลาดีใจที่น้องไม่ได้ไปไหนไกลหรือตกอยู่ในอันตรายก็ยิ้มโล่งอก มองไปทางขุนสุริยนหัสดี หมายจะขอตัวไปหาเด็กหญิง แต่กลับพบว่าชายหนุ่มแววตาเย็นชา บอกเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่เธอฟังแล้วไม่สบายใจ

“ให้มันอยู่ที่นั่น เฝ้าไว้จนกว่าข้าจักไปหา”

 

‘มึงมิต้องกลัว อ้ายพันแสงมิปล่อยให้เมียมันตายง่ายๆ ดอก’

ประโยคของหมื่นวรไชยยังก้องอยู่ในหัว ทว่าบัดนี้เด็กหญิงกลัวจนหยุดร้องไห้ไม่ได้ กลัวชวาลาจะตาย กลัวขุนแสงผลาญจะรู้ กลัวตัวเองลำบาก กลัวโดนลงโทษ กลัวถูกข่มขู่ กลัวไปสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

เห็นออกขุนหนุ่มลงน้ำไปช่วยพี่ได้แล้วกลับยิ่งหวาดผวาหนักกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครก็วิ่งเข้าห้องอ้ายเทียนน้อยมานอนคลุมโปงสะอึกสะอื้น เด็กชายสะดุ้งตื่นขึ้นมาไล่เท่าไรก็ไม่เป็นผล จึงเป็นฝ่ายหุนหันออกจากห้องไปแทน จนตอนนี้ยังไม่กลับ

“ละออ”

เสียงเรียกอันคุ้นเคยนำมาก่อน ตามด้วยสัมผัสของมืออุ่นที่วางลงบนบ่า ชวาลานั่งลงข้างเด็กหญิงบนฟูก เห็นน้องร้องไห้ซ้ำยังสะดุ้งหนีก็ประหลาดใจ

พันแสงเดินตามเข้ามา สีหน้าว่างเปล่าไร้ความรู้สึกขณะสั่งให้เทียนดึงผ้าห่มออก บังคับละออให้ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าทั้งน้ำตา ร่างเล็กอ่อนปวกเปียกก้มหน้าตัวคุดคู้เหมือนจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ

“หมื่นวรไชยเป็นคนบอกให้เจ้าทำใช่ฤๅไม่”

แค่คำถามแรกก็ทำเด็กหญิงลมหายใจสะดุด ดวงหน้าซีดเผือด

ชวาลาโอบบ่าเล็กๆ ของละออไว้มั่น แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงรวบรัดตัดสินความได้ทันทีโดยไม่สอบสวนสักคำ เธอก็ไม่อยากขัด ตอนนี้ถ้าจะขออะไรได้สักอย่างก็อยากให้เขาช่วยพูดด้วยเสียงอ่อนลงสักนิด เพราะลำพังเขามองนิ่งๆ สายตาแข็งกร้าวนั่นก็แทบเอาชีวิตคนได้อยู่แล้ว

“ทั้งเรื่องยาปลุกกำหนัดในน้ำชา ทั้งเรื่องที่ท่านหญิงตกน้ำ ล้วนเป็นฝีมือเจ้า”

พันแสงถือว่าอาการตื่นตระหนกของเด็กหญิงเป็นเครื่องยืนยันความผิดได้โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสารภาพจากปาก ละออยิ่งผวา เขายิ่งมั่นใจ

“ทั้งๆ ที่เจ้ารับใช้ท่านหญิงชวาลามานาน เหตุใดจึงรับคำสั่งจากหมื่นวรไชย”

ชวาลาเองตกใจไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนั้น ไม่รู้ว่าขุนสุริยนหัสดีเอาหลักฐานที่ไหนมาพูดว่าน้องสาวตั้งใจทำร้ายเธอ ยิ่งไปกว่านั้นคือเกี่ยวข้องอะไรกับหมื่นวรไชยซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ ทั้งคู่อาจเป็นศัตรูกันมาก่อนก็จริง แต่ใช่ว่าทุกเรื่องเลวร้ายจำต้องเกิดจากต้นตอเดียวกันทั้งหมดเสียเมื่อไร

ที่สำคัญคือ แล้วไยหมื่นวรไชยต้องพยายามจัดฉากให้เธอลงเอยกับเขาด้วย ไม่มีเหตุผลเลย

“คือข้า...ข้า...”

ความผิดที่ถูกตีแผ่ออกมาจนสิ้นนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป รุนแรงเกินกว่าจิตใจอ่อนเยาว์ของเด็กหญิงจะรับไหว ต่อหน้าคนสำคัญอย่างชวาลา ละออไม่อาจทนให้ผู้เป็นพี่มองเธอด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ แค่คิดหยาดน้ำตาร้อนลวกก็ไหลพราก กลั้นสะอื้นให้ตายก็เปล่งเสียงเป็นถ้อยคำใดไม่ได้

ขุนสุริยนหัสดีขมวดคิ้ว

“ตอบ!”

เด็กหญิงสะดุ้งสุดตัว หลุดกรีดร้องออกมาคำหนึ่ง

“ท่านขุน ได้โปรดฟังก่อนเจ้าค่ะ”

ชวาลาพูดขึ้นในที่สุด ค่อยๆ คลานเข่าเข้ามานั่งพับเพียบระหว่างออกขุนหนุ่มกับละออ

“เรื่องน้ำชา ฉันไม่รู้เลยว่ามียา...อยู่ในนั้น จึงจักมิขอออกความเห็น แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้เป็นความผิดของฉันจริงๆ เจ้าค่ะ เพราะละออทำกำไลเชือกที่ใส่มาตั้งแต่เล็กหล่นแถวท่าน้ำจึงได้ไปช่วยกันหา แต่ตรงนั้นมืดมาก น้องเลยพลัดตกลงไปในน้ำ แล้วก็เป็นฉันเองที่กระโดดลงไปทั้งที่ว่ายน้ำมิแข็งจนเกิดเรื่องเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นว่าพันแสงยอมรับฟัง ชวาลาจึงกล้าพูดต่อ 

“ฉันผิดเองที่ประมาท หากรู้ตัวว่าช่วยน้องมิได้ก็ควรรีบไปตามผู้อื่นมา มิใช่กระโดดลงไปแบบนั้น คราวหน้าคราวหลังจักคิดให้ดีก่อนเจ้าค่ะ”

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขาซึ่งไม่มีทั้งความคลางแคลงใจหรือความเชื่อถืออยู่บนใบหน้าเฉยชา

“กำไลวงนั้นสำคัญมากหรือ ถึงได้จำเป็นต้องไปหาทันทีตอนมืดค่ำ”

ชวาลาเงียบ เป็นความจริงที่เธอถูกละออรบเร้าให้ไปด้วยจนใจอ่อน ถึงตอนนี้ได้คิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เธอได้ตอบเขาไปว่า “สำคัญมากเจ้าค่ะ”

“แม่หญิงรู้ใช่ไหมว่าหากข้าไปช่วยมิทันจักเกิดกระไรขึ้น” ชายหนุ่มถามเสียงเย็น

“ทราบเจ้าค่ะ”

ชวาลากล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ที่ขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอ หลบตาเขาไปเสีย นี่คือการให้เธอเลือกชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะให้เธอเชื่อว่าพี่ชายแท้ๆ กับน้องสาวที่รักอย่างบริสุทธิ์ใจรวมหัวกันทำร้ายตนได้ลงคอนั้น เด็กสาวยังทำใจไม่ได้ อีกอย่างที่พันแสงกล่าวหามานั้นไม่มีหลักฐาน

ซึ่งออกขุนหนุ่มก็อธิบายออกมาได้ทันควันราวอ่านใจ

“แม่หญิงอาจยังมิรู้ แต่หมื่นวรไชยเป็นผู้ปล่อยข่าวลือเสียหายทั้งหมดของแม่หญิงเพื่อให้เราต้องแต่งงานกัน แลไม่ว่ามันต้องการกระไรก็ตาม ในน้ำชาที่แม่ละออยกเข้ามาในคืนเข้าหอนั้นอยู่นอกเหนือจากพิธีการ มียาปลุกกำหนัดอยู่จริง ส่วนเรื่องที่ท่าน้ำ หากแม่ละออว่ายน้ำมิแข็งพวกเจ้าย่อมตายทั้งคู่ แล้วบ่าวไพร่ที่เดินอยู่แถวนั้นจักเป็นคนเก็บศพขึ้นมาพรุ่งนี้เช้า มิใช่ข้าซึ่งอยู่บนเรือนใหญ่ห่างออกไปสามสิบวา แลไม่มีทางรู้ว่าแม่หญิงจมน้ำอยู่”

ดวงหน้าอ่อนเยาว์พลันตกตะลึงนิ่งงันไปกับข้อเท็จจริงที่เขาชี้ให้เห็น ไม่กล้ามองไปทางละออที่กำลังสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก เพราะหวั่นใจว่าจะเห็นคำสารภาพปรากฏอยู่เต็มหน้าเด็กหญิงจนเธอต้องร้องไห้ออกมาเสียเอง

“มีเหตุมากมายให้คนผู้หนึ่งกระทำความผิด” พันแสงกล่าว มีความสมเพชเจืออยู่ในน้ำเสียงไร้อารมณ์ “หากจำเป็นต้องรู้ให้หมดก่อนลงโทษ คุกตะรางในอโยธยาก็คงว่างเปล่า”

“แต่นั่น...ก็เป็นเพียงคำคาดการณ์ของท่านขุนใช่ฤๅไม่เจ้าคะ”

ขุนสุริยนหัสดีเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ชวาลารวบรวมความกล้าตอบทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริก

“เราไม่มีหลักฐาน ต่อให้ละออบอกชัดว่าหมื่นวรไชยเป็นคนสั่งให้ทำ อย่างไรก็เป็นเพียงคำพูดปากเปล่าจากเด็กหญิงคนหนึ่ง ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือไว้ให้สืบสาว จึงมิอาจเอาผิดผู้บงการที่แท้จริงอย่างหมื่นวรไชยได้เจ้าค่ะ”

ก็จริง (เอียง) พันแสงเผลอนึกชมในใจว่าเด็กสาวพูดจาเหมือนพวกตระลาการในศาลไม่มีผิด

“แล้วแม่หญิงว่าต้องทำเช่นไรเล่า”

“ฉันถือว่าตัวเองเป็นเจ้าทุกข์คนหนึ่ง ครั้งนี้ฉันขอท่านขุนให้อภัยละออเถิดเจ้าค่ะ แล้วฉันจักดูแลน้องให้ดี มิให้มีใครมาชักจูงไปทำเรื่องผิดบาปได้อีก”

ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วความแน่วแน่วิงวอนในนัยน์ตาแสนเศร้าคู่นั้นก็ทำให้พันแสงต้องเบือนหน้าไปทางอื่น ยอมให้เป็นไปอย่างที่เด็กสาวร้องขอ แม้ว่าสำหรับเขาการให้อภัยจะไม่ต่างอะไรกับการเห็นดีเห็นงามกับคนผิดก็ตาม

“แม่ละออ ฟังให้ดี”

เพียงเรียกชื่อ ร่างเล็กก็ตัวสั่นจนฟันกระทบกัน พันแสงไม่คิดสงสาร แต่ประโยคถัดไปที่ออกจากปากคนฟังล้วนรับรู้ได้ว่ามีความอาทรมากมายอยู่ในนั้น

“มันผู้ใดอยู่เรือนนี้นับว่าเป็นคนของข้า หากตัดสินใจรับมา ข้าย่อมคุ้มครองได้”

สิ้นคำร่างสูงก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง อ้ายเทียนน้อยที่ตื่นเต็มตานั่งหน้าเลิ่กลั่กอยู่ก็รีบวิ่งตามไปส่ง

“อย่าให้เกิดขึ้นอีก”

พอขุนสุริยนหัสดีลับสายตาไป ทั้งชวาลาและละออก็ถอนหายใจออกมาได้พร้อมกัน

ชวาลาเห็นใบหน้าน้องเลอะเปรอะเปื้อนไปหมดก็ให้สะเทือนใจนัก ดึงตัวเด็กหญิงเข้าสู่อ้อมกอดโดยไม่คิดอะไรอีก ส่วนละออไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากสะอื้นไห้กับอกผู้เป็นพี่ราวกับจะแตกสลาย

“พี่วา ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ...”

“มิเป็นไร” ชวาลาลูบศีรษะเล็กๆ กระซิบปลุกปลอบ “เจ้ามิเป็นไรก็พอแล้ว”

เด็กสาวกล้ำกลืนน้ำตาขมปร่าซ่อนไว้ในอก

แม้ในคืนนี้ ก็จักมิร้องไห้

ครั้งเมื่อสิ้นบุพการี เธอก็คิดว่าหัวใจจะรวดร้าวจนด้านชา ไม่รู้สึกรู้สากับความทุกข์ใดในโลกอีกแล้ว ทว่าครานี้ยังเจ็บปวดเหลือแสนได้ ทั้งที่ไม่เคยคาดหวังสิ่งใดจากพี่ชาย และไม่เคยได้รับอะไรเลยแม้แต่สิ่งที่ควรได้รับ เธอก็ยังเสียใจนักหนาเมื่อรู้ว่าเลือดเนื้อเดียวกันคิดร้ายกับตนได้ถึงเพียงนี้

ถึงจะเป็นคนพูดเองว่าไม่มีหลักฐาน แต่ชวาลารู้อยู่เต็มอกว่าคนอย่างหมื่นวรไชยสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ง่ายดายไม่ลังเล และไม่ต้องซักถามให้มากความก็รู้ว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากความไร้เดียงสาของละออได้อย่างไร อันที่จริงเธอไม่คิดให้อภัยเขาด้วยซ้ำ

ตอนนี้แค่อยากรู้ว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่หมื่นวรไชยต้องการ

เขามิใช่หวังให้ขุนแสงผลาญตายมาตลอดหรอกหรือ (เอียง)

ชวาลาไม่เคยกลัวตัวเองเป็นม่าย ไม่หวั่นเกรงหากต้องสู้กับสิ่งเลวร้ายโดยลำพัง แต่เมื่อคิดถึงบุรุษผู้พูดออกมาได้อย่างหนักแน่นจริงจังว่าเขาจะ ‘คุ้มครอง’ ใครก็ตามที่รับมาไว้ข้างกายโดยไร้ข้อกังขาแล้วก็ให้รู้สึกอบอุ่นใจนัก ราวกับเป็นครั้งแรกที่เด็กสาวมีใครสักคนให้มองหาเมื่ออันตรายมาถึง มีแผ่นหลังให้หลบซ่อน มีที่ที่มั่นใจได้ว่าปลอดภัยให้แวะพัก

แต่คนเพ้อฝันก็ต้องถอนหายใจเบา นึกประณามตัวเองว่ารู้จักเขาไม่เท่าไรก็คิดจะพึ่งพาเขาเสียแล้ว เรื่องทั้งหมดพี่ชายของเธอล้วนเป็นผู้ก่อ หากเธอไม่ร่วมรับผิดชอบแล้วจะเป็นใครไปได้

หลังจากนี้หากพี่ไชยยังมิยอมเลิกรา (เอียง) ชวาลาคิดอย่างขมขื่น |ก็ให้เป็นหน้าที่ของพี่เองเถิดละออ (เอียง)

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น