10

กิจใด งานใด

บทที่ ๑๐

กิจใด งานใด

 

อาคารไม้ชั้นเดียวซึ่งใช้เป็นที่เก็บสินค้าทั้งส่งออกและนำเข้าบริเวณท่าเรือริมชายฝั่งซึ่งตั้งเรียงรายติดกันนั้น พอกลางคืนดึกสงัดก็เห็นเหมือนเงาดำทะมึน ไม่เหลือเค้าความคึกคักจอแจในเวลากลางวัน ทันทีที่ตะวันลับขอบฟ้า เรือสำเภาน้อยใหญ่ก็พากันทอดสมอ ลูกเรือนับร้อยเข้าสู่ห้วงนิทรา ทิ้งไว้เพียงเสียงคลื่นลมกระทบฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอดุจลมหายใจของท้องทะเลที่กำลังหลับใหลไปด้วยกัน

ในธรรมชาติมีสัตว์ไม่กี่จำพวกที่ต้องออกมาทำกิจกรรมในเวลานี้ หนึ่งคือพวกที่ต้องใช้ความมืดอำพรางกาย อีกพวกหนึ่งคือนักล่า

มนุษย์เราก็เช่นกัน

ชายวัยกลางคนที่เพิ่งลงจากเกวียนและผลุบหายเข้าไปในอาคารหลังใหญ่ที่สุดของ ‘พระคลังสินค้า’ นั้นสวมเสื้อผ้ารัดกุมสีเข้ม นัยน์ตาสอดส่ายระแวดระวังขณะส่งสัญญาณมือชี้ให้ลูกน้องอีกนับสิบคนซึ่งมารออยู่ก่อนแล้วขนลังไม้ที่ต้องการขึ้นไปไว้บนเกวียนอย่างพร้อมเพรียง

ขนขึ้นไปได้ไม่ถึงครึ่งเกวียน ก็มีเกวียนอีกสองหลังแล่นตามมาอย่างเงียบเชียบ ลังไม้พวกนี้ค่อนข้างหนัก ต่อให้ใช้ถึงสี่คนยกพวกมันก็ยังทำได้เชื่องช้าไม่ทันใจเจ้านาย แม้เวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน สีหน้าของชายผู้นั้นก็เห็นได้ชัดว่าเครียดจัด

“เร็ว! อ้ายควายเอ๊ย พวกมึงเร็ว!”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารับหน้าที่ขนย้าย ‘ของ’ แต่ไม่ว่าจะทำสักกี่ครั้งก็ยังร้อนรนเหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะเดิมพันอันสูงลิ่ว ถ้าคืนนี้รอดไปได้ สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าแน่นอนว่าคือขุมทรัพย์มหาศาล ข้าทาสบริวารมากมาย

ทว่าหากถูกจับได้ โทษนั้นไม่ใช่แค่ตาย

“ขุนภักดีดำรง”

เสียงทุ้มนุ่มหูทักขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยท่ามกลางความรีบร้อนกดดัน

เจ้าของชื่อพลันตัวแข็งทื่อหน้าซีดขาว แทบเข่าอ่อนทรุดลงไปตรงนั้นเมื่อเห็นว่าใครกำลังย่างเท้าเข้ามาใกล้

“ขุนสุริยนหัสดี”

นามนั้นเป็นที่รู้จักดีและส่งผลให้ทุกชีวิตในแห่งนั้นหยุดชะงัก ระหว่างทางที่ออกขุนหนุ่มก้าวผ่าน พวกมันก็ตะลีตะลานถอยกรูดไปรวมกันตัวสั่นเทาราวเห็นผี ทั้งๆ ที่ผู้มาใหม่มีเพียงสองคนพร้อมดาบคาดอกคนละหนึ่งเล่ม ท่าทางใจเย็นเหมือนแค่ออกมาเดินเล่นรับลมยามค่ำคืน

“ขุนแสงผลาญ”

“ท่านขุนแสงผลาญ!”

เสียงละล่ำละลักพูดสมญานามของชายหนุ่มอื้ออึงไปรอบด้าน

พันแสงมาหยุดยืนมองหน้าขุนภักดีดำรงด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ข้าขอเรียนถามว่าท่านมาทำกระไรที่นี่ เพลานี้ ขุนภักดี”

“ท้องพระคลังให้ข้ามาขนของให้เสร็จก่อนรุ่งสาง” ขุนนางสยามตอบโดยไม่ยอมสบตา “ช่วงนี้งานราชการยุ่งนัก ตอนเช้ามิค่อยมีเวลาดอก ต้องขยันมากันกลางคืนนี่ละ”

“อ้อ” ขุนนางหนุ่มรุ่นลูกส่งเสียงในคอรับเหมือนเข้าใจ ก่อนพยักหน้าให้นายยงกระแทกลังไม้ข้างตัวเปิดออกและหยิบสิ่งที่อยู่ในนั้นขึ้นมาส่งให้

มันคือเหล็กกล้า ยังดิบเป็นก้อนแข็ง มีกลิ่นโลหะเข้มข้น

แต่ถ้านำไปถลุงถูกวิธีก็สามารถใช้ประกอบมีดดาบคุณภาพดีได้ไม่ยาก

“ท่านขุนรับราชการ เรียนกฎหมาย คงรู้กระมังว่าราชสำนักอโยธยาเป็นผู้ผูกขาดการค้าสินแร่ทั้งหมดโดยเฉพาะแร่เหล็ก เมื่อของถูกนำขึ้นจากเรือมาเก็บรักษาไว้ในตึกแล้ว ก็มิอนุญาตให้ผู้ใดขนย้ายแร่แม้แต่ก้อนเดียวออกไปอีก”

ว่าแล้วผู้พูดก็เลิกคิ้ว “เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจักมีใบสารตราสั่งราชการให้ขนย้ายสินค้าต้องห้ามได้ มิทราบว่าท่านขุนได้นำติดตัวมาฤๅไม่เล่าขอรับ”

“ฮ่า!” ขุนภักดีดำรงสีหน้าพลันยินดีคล้ายปลาติดเบ็ดที่เผอิญสะบัดตัวกลับสู่ผืนน้ำได้เสียที “ย่อมต้องมี! ที่แท้ท่านขุนแสงเพียงอยากตรวจสารตราเท่านั้น ข้าก็ลืมไปสนิท”

ชายวัยกลางคนพยายามยับยั้งอาการลุกลี้ลุกลนขณะล้วงหยิบม้วนกระดาษในย่ามสะพายที่ลูกน้องส่งให้ออกมาให้พันแสงดู ออกขุนหนุ่มรับกระดาษชื้นเหงื่อมาพินิจตราบัวแก้วสีแดงชาดของเสนาบดีกรมพระคลังอึดใจหนึ่ง แล้วกลับยื่นให้นายยงเก็บไว้หน้าตาเฉย

“หวะ...เหวย?”

ขุนนางมากอาวุโสกว่าชักสับสน แต่หันไปทางใดก็เจอแต่สายตาตื่นกลัวของลูกน้องตนที่มองมาอย่างคาดหวัง ทำให้ไม่อาจแสดงความขลาดเขลาออกมาได้ ต้องตั้งท่าขึงขังร้องไปก่อนว่า

“ชะ! ท่านขุนแสงนี่กระไร มาขัดขวางงานคนอื่นแล้วยังเก็บสารตราของข้าไปหน้าด้านๆ หากเรื่องนี้ถึงหูท่านเจ้ากรมละก็ คอยดูเถิด หัวมันจักหลุดจากบ่า!”

“ท่านขุนอยากให้ท่านเจ้ากรมรู้จริงหรือ” ออกขุนหนุ่มย้อนถาม แม้น้ำเสียงเรียบสนิท แต่ในตาฉายแววดุดันจนคู่กรณีอ้าปากค้าง ไม่กล้าขัดสักคำขณะเขาพูดเสียงเฉียบขาด

“สารตรานี้เป็นของจริง แต่มีเพื่อใช้เคลื่อนย้ายเหล็กกล้า ‘ทั้งหมด’ ไปท้องพระคลังหลวงพรุ่งนี้เช้า มิได้มีไว้เพื่อให้ขุนนางชั่วลักลอบขโมยสินแร่บางส่วนไปหาประโยชน์ใส่ตัว ท่านมีกระไรจักแย้งที่ข้าพูดรึไม่”

“มะ...มิจริง!” ขุนภักดีดำรงเค้นเสียงออกมาจนได้ ชี้หน้าพันแสงด้วยนิ้วสั่นระริก “ท่านมาเห็นแค่นี้ก็บังอาจใส่ความขุนนางเก่าแก่อย่างข้ารึ ข้าทำงานนี้มาตั้งแต่ท่านตีนเท่าฝาหอย เฮอะ! มันจักมิมากไปหน่อยรึขุนแสง”

“เหล็กกล้าที่ลงจากกำปั่นของพลโทฌองปิแอร์มาเมื่อคืนเดือนหงายมีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยเจ็ดสิบลัง แต่เมื่อผ่านไปสองคืนกลับเหลือแค่หนึ่งร้อยห้าสิบลังโดยไม่มีรายงานการเคลื่อนย้าย” ชายหนุ่มสวนกลับชัดถ้อยชัดคำยิ่ง “จนกระทั่งในคืนนี้ซึ่งเป็นคืนที่ห้า สินแร่พวกนี้ก็เหลือแค่หนึ่งร้อยลัง หากพรุ่งนี้เจ้ากรมคลังส่งคนมานับ ท่านจักอธิบายว่าอย่างไร”

“แต่...แต่ว่า อ้าย...” คำผรุสวาทติดอยู่ที่ปลายลิ้น เห็นพันแสงขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ก็คอแห้งผาก

“ท่านขุนอย่าแก้ตัวให้มากความ เพราะคนของข้าพบเกวียนขนเหล็กกล้าของกลางที่บ้านตาปีแล้วยี่สิบห้าลัง ที่ชุมทางท่าฆ้องอีกสามสิบลัง ส่วนอีกสิบห้าลังพรุ่งนี้ข้าจักนำคนไปค้นที่เรือนท่าน ถึงตอนนี้มีกระไรจักสารภาพอีกไหม”

ขุนภักดีดำรงได้ฟังก็รู้แก่ใจว่าครานี้เจอคนจริง แต่ต่อให้กลัวแค่ไหน หากเงียบไม่สู้ก็เท่ากับปิดโอกาสรอดเสียเปล่า

“เลวระยำชาติหมา!” มันตะเบ็งเสียง หน้าแดงจัด “มึงปรักปรำกู อ้ายพันแสง! กูเองก็ชายชาตรี มึงพูดเช่นนี้ต้องได้เห็นดีกันละ มึงมาแล้วอย่าคิดว่าจักได้กลับ อ้ายเวร!”

นายยงได้ยินเสียงเจ้านายถอนหายใจเฮือก คงรำคาญมากกว่าอย่างอื่น เพราะคนพวกนี้เข้าตาจนด้วยหลักฐานทีไรก็หาเรื่องฆ่าชายหนุ่มทิ้งทุกครั้งไป

แต่พวกมันจะทำสำเร็จไหมนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“พวกมึงยืนดูทำห่ากระไรอยู่เล่า! ฆ่ามันสิวะ!”

เมื่อถูกเร่งเร้าหนักซ้ำยังไร้ทางเลือกเหมือนหมาจนตรอก เหล่าชายฉกรรจ์นับสิบคนก็ขยับตัวคว้าของใกล้มือ ตีวงล้อมเข้ามากันให้แน่นขนัด พร้อมกันนั้นพวกที่พอมีฝีมือดาบอยู่บ้างก็ชักอาวุธทั้งมีดสั้น ดาบยาว ออกมาพุ่งเข้าหาพันแสงเป็นจุดเดียว

“มึงอาจรู้มากก็จริง แต่อย่างไรเสียตัวเลขที่ลงในบาญชีส่งทางการกูก็เป็นคนเขียน หากกูให้อัฐอ้ายพวกฝรั่งได้มากกว่าพระคลังสองสามเท่ามันก็มิว่ากระไรดอก แล้วมึงจักเอากระไรไปฟ้อง อ้ายจังไร!”

ขุนสุริยนหัสดีฟังคำอวดอ้างชั่วช้านั้นอย่างสงบ

คมดาบฟาดลงมา ออกขุนหนุ่มไม่เพียงเหลือบมองด้วยนัยน์ตาเยือกเย็น ยังยืนเอามือไพล่หลังไม่จับอาวุธ แม้คนติดตามอย่างนายยงก็ไม่มีวี่แววว่าจะขยับตัว พวกมันไม่ทันได้สงสัยก็เกิดเสียงหวีดแหลมเสียดแทงโสตประสาทขึ้น พริบตาถัดมาความปวดร้าวบีบรัดก็จู่โจมแก้วหูทั้งสองข้างอย่างรุนแรงจนพากันกรีดร้องตัวงอ

อาวุธนับสิบร่วงกราวลงพื้น ร่างคนดิ้นพราดกระจัดกระจาย

นี่หรือคืออาคมร้ายกาจของขุนแสงผลาญ!

พันแสงก้าวข้ามคนเหล่านั้นไปหาขุนภักดีดำรง ที่แม้เขาจะละเว้นอาคมไว้ให้ แต่สภาพตอนนี้ย่ำแย่ชนิดอยู่ไม่สู้ตาย ชายหนุ่มย่อตัวลงชูป้ายตราไม้แกะสลักขนาดครึ่งฝ่ามือให้อีกฝ่ายดู

“ผู้ใดมีตรานี้ติดตัวแล้วพบเห็นการกระทำความผิดทุกสถาน ให้เทียบเท่ากับปลัดกรมธรรมาธิกรณ์เป็นผู้ประจักษ์แก่สายตาด้วยตนเอง”

เป็นตราเทพยดาทรงพระนนทิการแห่งกรมวัง!

“ทะ...ท่านขุน ข้า…”

ไม่ว่าใครต่างรู้ว่าขุนแสงผลาญไม่ใช่คนธรรมดา ทว่าการที่คนผู้นี้มีอำนาจถึงขั้นได้ถือครอง ‘ดวงตรา’ สำคัญของศาลกรมวังทั้งที่ไม่มีตำแหน่งในกระบวนการยุติธรรมนั้นเหนือชั้นเกินไปเสียแล้ว

“ข้ายังรู้อีกว่า...” นัยน์ตาดำสนิทยิ่งแข็งกระด้างยามพูด “ท่านกับพวกของท่านอยากได้แร่เหล็กไปเพื่อกระไร”

“ท่านขุน! ได้โปรด...ได้โปรดละเว้นข้าด้วย ได้โปรดเถิดท่านขุน!”

“ขุนนางก่อกบฏหรือเป็นไส้ศึก มันแลครอบครัวต้องถูกประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร หลังประหารก็ต้องให้ทรมานอยู่เจ็ดวันจนกว่าจักสิ้นใจ เมื่อตายแล้วโลหิตของมันยังมิอาจตกสู่แผ่นดิน ท่านเลือกที่จักมีชีวิตเช่นนี้ฤๅ!”

ขุนภักดีดำรงร้องไห้ครวญครางปานจะขาดใจ เกลือกกลิ้งร่างไร้เรี่ยวแรงลงแทบเท้าขุนนางสยามรุ่นลูก พลางใช้มือค่อยๆ ลูบคลำเท้าทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ปากก็อ้อนวอนให้ไว้ชีวิตมันและลูกเมียของมันด้วย

พันแสงมองภาพนั้น ไร้ร่องรอยอาฆาตแค้นหรือยินดีบนใบหน้า แล้วก็หันหน้าไปทางอื่นขณะเอ่ยเสียงเรียบว่า

“แต่คืนนี้ ข้ามาก็เพราะอยากให้ท่านขุนไตร่ตรองดูอีกครั้ง”

“หะ...หา?”

“เดียรัจฉานเยี่ยงมนุษย์ทำผิดครั้งหนึ่ง เสียใจชั่วชีวิต ทำดีครั้งเดียว ก็มิอาจแก้ไขกระไรได้” ออกขุนหนุ่มกล่าว “แต่หากครานี้ท่านกลับตัวกลับใจ ยอมทำงานให้ข้าไปจนกว่าจักจับกุมพวกขุนนางเลวได้ทั้งหมด แน่นอนว่าโทษทัณฑ์สาหัสย่อมเบาลง ท่านจักว่าเยี่ยงไร”

พันแสงรู้คำตอบของคำถามนั้นอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้เร่งรัดขุนภักดีดำรงอีก เมื่อได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ในคืนนี้จนเสร็จสิ้นก็เดินกลับออกมาพร้อมนายยงที่ยังคงเดินตามหลังเจ้านายอย่างผ่อนคลาย ราวกับทั้งคู่ไม่ได้เพิ่งเจอสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายมาหมาดๆ และไม่ได้ทิ้งร่างคนเจ็บกว่าสิบคนที่น่าจะนอนกุมแก้วหูแตกๆ ของมันไปจนเช้าไว้เบื้องหลัง

“ท่านขุน พี่ยง”

นายทหารลูกน้องของพันแสงอีกคนปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดมานั่งคุกเข่าข้างกายเจ้านายได้เหมือนภูตผี เขาคือคนที่ได้รับมอบหมายให้แฝงตัวเป็นชาวเรือเข้าไปสืบเรื่องราวต่างๆ นานร่วมเดือนแล้วนั่นเอง

“ข้าต้องขอบน้ำใจเอ็งมาก อ้ายสัก”

“หามิได้ขอรับ ท่านขุน” นายสักยกมือไหว้ท่วมหัว ยิ้มกว้างเห็นฟันดำวาว จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปด้วยกัน งานสำเร็จไปอีกครั้งนับว่าดีไม่น้อยเลย

“ท่านขุนขอรับ ตอนกระผมดูลาดเลาอยู่ต้นทาง เห็นขุนด่านกับอ้ายพวกไพร่หลวงลูกน้องมันรีดไถหัวเบี้ยจากพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องเดินทางผ่านด่านขนอนไปสวรรคโลก ท่านขุนจักให้กระผมไปดูหน่อยไหมขอรับ”

วิถีชีวิตของพวกเขาตั้งแต่ได้รับใช้ขุนสุริยนหัสดีก็เป็นเช่นนี้ เหตุร้ายเหตุหนึ่งคลี่คลายลงได้ไม่ทันไร เงยหน้าขึ้นมาต่อให้ไม่มีเรื่องใหญ่ก็ต้องมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ ‘กวนใจ’ เจ้านายอยู่เสมอ

ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายปี นายสักก็รู้ว่าขุนแสงผลาญยินดีรับรู้เรื่องที่ผู้อื่นอาจมองว่าหยุมหยิมไม่เกี่ยวกับตนเหล่านี้มากกว่าปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ

“มันเป็นคนของใคร” เจ้านายถามน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“กระผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันรับใช้หลวงบวรทัตขอรับ”

พันแสงฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง

เหมาะเจาะทีเดียว (เอียง)

“ดี เช่นนั้นให้เอ็งกับพี่ยงไปจัดการให้เรียบร้อยเสีย”

สองนายทหารผู้ติดตามค้อมศีรษะรับคำสั่ง เป็นอันรู้กันว่า ‘จัดการ’ ในความหมายของเจ้านายคือการทำให้แน่ใจว่าคนพาลหน้าไหนก็ไม่กล้ากลับมาทำชั่วได้อีก ทั้งสองคุ้นเคยกับคำสั่งนี้ดีจนไม่ต้องถามเพิ่มเติม

แต่ครั้งนี้นายยงมีเรื่องที่คิดว่าต้องทักท้วงออกขุนหนุ่มอยู่เรื่องหนึ่ง

“ท่านขุนขอรับ กระผมจักระวัง แต่อย่างไรก็เสี่ยงที่พวกมันจักรู้ว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อพบขุนภักดีดำรง...”

“มันต้องรู้อยู่แล้ว” พันแสงตอบ “ก็ให้มันรู้เร็วหน่อย”

เพียงเท่านั้นนายยงก็เข้าใจ จึงขานรับคำสั่งแล้วให้นายทหารรุ่นน้องนำไปยังด่านขนอนที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมประโยคสุดท้ายที่ว่า

“จงเหลือปากไว้ให้มันฟ้องเจ้านาย แลบอกมันจำให้ขึ้นใจว่าเอ็งเป็นคนของขุนสุริยนหัสดี”

 

“นี่ก็ปาเข้าไปเดือนกว่าแล้วหนาแม่วา ยังขัดเขินกันอยู่อีกรึ”

สุ้มเสียงออกฉุนเฉียวอยู่บ้างนั้นเป็นของนางวาด ซึ่งวันนี้รวมกลุ่มเหล่าภรรยานายทหารครบทั้งนางอ่อนและนางบัวมาเยี่ยมเยียนท่านหญิงชวาลาถึงเรือนของเจ้านายสามี

มาถึงสามสาวต่างวัยก็ต้อนละออไปเล่นกับชบา ลูกสาวคนเล็กวัยสิบขวบของนางอ่อนกับนายยงเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ลากชวาลามานั่งกลางวง ประเดิมซักถามความเป็นไปภายในเรือน โดยเฉพาะเรื่องในห้องนอนของเด็กสาวกับออกขุนหนุ่มกันอย่างสนอกสนใจ ลงรายละเอียดถี่ยิบ

ก็แหม ในอโยธยาใครเล่าจักมิอยากรู้ ‘ยุทธวิธี’ ของขุนแสงผลาญ (เอียง)

ชวาลาไม่มีทางหลบเลี่ยง ต้องบอกไปตามตรงว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็หน้าแดงแล้วหน้าแดงอีกอยู่อย่างนั้นจนไม่มีใครยอมเชื่อ คิดว่าเธอบ่ายเบี่ยงเพราะเขินอายเสียมากกว่า

หญิงออกเรือนแล้วสามคนผลัดกันเค้นเท่าไรก็ไม่ได้ความจนท้อ เลิกไปเอง นางวาดกับนางอ่อนได้แต่คาดโทษว่าอุตส่าห์สอนกระบวนท่าให้มากมาย ลูกศิษย์ได้ดีแล้วกลับเนรคุณ ไม่เล่าสู่กันฟังบ้าง ชวาลาก็หน้าเหลอ จนนางบัว สาวชาววังที่เรียบร้อยอยู่เป็นนิตย์หัวเราะขันไม่หยุด

บ่ายวันนั้น เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วที่มีเสียงหัวเราะร่าเริงแทรกขึ้นมาเป็นระยะดังต่อเนื่อง พาให้ศาลาริมน้ำของเรือนขุนสุริยนหัสดีมีชีวิตชีวาขึ้นมา ชาวบ้านสัญจรทางน้ำผ่านไปก็จะเห็นสตรีสี่คนยิ้มแย้มแจ่มใสล้อมวงกันร้อยมาลัยจากดอกมะลิไปพลาง กินส้มจี๊ดไปพลาง พักๆ ก็ลุกไปตักขนมครกจากเต้าที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลขึ้นมาให้เด็กหญิงอีกสองคนซึ่งวิ่งเล่นกันอยู่แถวนั้นกิน

ชวาลาตั้งแต่โตเป็นสาวก็ไม่เคยได้อยู่ท่ามกลางวงพูดคุยของผู้ใหญ่มาก่อน ยิ่งเป็นวงบอกเล่าเก้าสิบประสาผู้หญิงยิ่งไม่คุ้นเคย แต่กลับรู้สึกสนุกสนานมากกับสารพัดเรื่องลับบ้างไม่ลับบ้างในพระนครที่สามสาวเอามาถกให้ฟัง ด้วยนิสัยนอบน้อมของเด็กสาวจึงเป็นที่เอ็นดูให้ทุกคนยินดีต้อนรับเข้ากลุ่ม ถึงอายุจะห่างกันมากโขก็ไม่เป็นปัญหา

ส่วนใหญ่นางวาดที่โผงผางช่างคุยจะเป็นผู้พูด แล้วก็พูดได้ไม่หยุดจริงๆ มีนางอ่อนที่อายุมากแล้วแต่ยังกระฉับกระเฉงคอยเป็นลูกคู่ให้ทุกประโยค มีประโยคนิ่มๆ เนิบๆ จากนางบัวสนับสนุน ในขณะที่ชวาลาได้แต่นั่งฟัง พอตื่นเต้นก็ทำตาโตเป็นไข่ห่าน พอตลกก็หัวเราะไปกับเขาด้วยจนหัวสั่นหัวคลอน

อากัปกิริยาเหล่านั้นช่างติดดินเป็นธรรมชาติ จนทุกคนลืมไปแล้วว่าเด็กสาวมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงและเป็นท่านหญิงของเจ้านายสามี

“พูดก็พูดเถิด นี่เพราะเพลานี้ท่านขุนได้กลับมาประจำการในพระนคร ผัวๆ พวกเราก็เลยพลอยได้กลับบ้านไปด้วย”

นางวาดว่า ใบหน้ากรำแดดแบบหญิงชาวบ้านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “แม่วาน่ะมิรู้ดอกว่าแต่ก่อนข้ารอผัวกลับมาหาทีนะ ฮู้ยยย หกเจ็ดเดือนเห็นจักได้ ใช่ไหมจ๊ะพี่อ่อน พี่บัว”

“นั่นมันเพิ่งปีหลังๆ มานี่เองดอกที่หกเจ็ดเดือน เมื่อห้าหกปีก่อนบางทีปีสองปีถึงได้เจอกันครั้งหนึ่ง จนข้าคิดว่าอ้ายยงมันต้องมีเมียน้อยซ่อนไว้แน่ๆ พอเขาโผล่มาให้เห็นหน้าก็เลยคว้าปังตอเขวี้ยงเข้าให้ ดีนะหลบทัน”

นางอ่อนระลึกความหลัง พาให้ขำคิกๆ กันทั้งวงเมื่อนึกว่านายยงผู้แสนใจดีถูกเข้าใจผิดเอาเช่นนั้น

“อ้ายยงเขารับราชการเป็นทหารมาตั้งแต่หนุ่มๆ เปลี่ยนเจ้านายมาหลายคนก็ยังได้กลับมาอยู่เรือนครั้งละหลายเดือนไม่ขาด จะมีก็ตั้งแต่ติดตามรับใช้ท่านขุนแสงนี่แลที่หายไปทีเป็นปี ไม่มีข่าวคราวจนข้าใจหาย บอกให้เขาลาออกมาทำนาก็มิยอมออก” เล่าไปมือก็ทำงานไปด้วยอย่างคล่องแคล่ว พักเดียวก็ได้มาลัยกลมสวย “ต้องรอให้ชื่อเสียงท่านขุนดังมาถึงพระนคร ข้าถึงได้เชื่อที่เขาเล่าว่าเป็นเรื่องจริง”

“แต่ของพี่อ่อนกับข้าน่ะยังโชคดีดอก” นางวาดพยักพเยิดไปทางนางบัวที่กำลังบรรจงเสียบก้านมะลิเข้ากับเข็มร้อย ช้ากว่าคนอื่นหน่อย แต่มาลัยที่ได้เกลี้ยงขาวสะอาดงามสะดุดตา

“พี่บัวแต่งกับพี่หาญได้เดือนเดียว ผัวก็เข้าสังกัดท่านขุน ทีนี้ละหายยย...ไปเป็นปีๆ ลูกเต้ามิต้องมีกันละ มิเหมือนพี่ยงที่ลูกสามแล้ว ส่วนข้ากับพี่สักก็ยังไว ได้ลูกมาสองคน ไหมเล่าพี่บัว พี่หาญกลับมาครานี้ต้องมีอ้ายจุกอ้ายแกละมาเล่นกับลูกข้าแล้วหนา”

“อายุอานามข้าปีนี้ก็ปาเข้าไปยี่สิบห้าแล้ว” นางบัวบอกยิ้มๆ “พี่หาญเขาก็มิได้เร่งรัดกระไร เขาว่ามีก็ดี ไม่มีก็ดี”

“ไฮ้! ไม่มีจักดีได้อย่างไรเล่า เอ็งอย่าเพิ่งหมดหวังไป” นางอ่อนตบต้นขาหญิงสาวเป็นเชิงปลอบ “อ้ายยงเขาว่ากลับมาครานี้อยู่พระนครนาน นี่ท่านขุนก็มีแม่วาแล้วด้วย อยู่ยาวแน่ๆ เอ็งเชื่อข้า”

คนถูกพาดพิงถึงยิ้มแหยๆ รับอย่างไม่มั่นใจเมื่อทั้งสามคนหันมามองเธอเป็นตาเดียวขอคำยืนยัน อยากบอกนักว่าขุนสุริยนหัสดีจะอยู่ที่ไหน ไม่เกี่ยวกับเธอสักนิด!

“ดีละ ท่านขุนจักได้รู้ซึ้งเสียบ้างว่าคนที่เขามีเมียรออยู่ที่เรือนน่ะเป็นเยี่ยงไร อยากกลับมากอดเมียแค่ไหน ฮึ!”

นางวาดทำท่าค้อน ตากะหลับกะเหลือก แล้วก็ถูกนางอ่อนซึ่งอาวุโสมากสุดในที่นี้ฟาดต้นแขนเข้าให้โทษฐานทำกิริยาไม่งามลับหลังเจ้านาย นางบัวหัวเราะร่าอีกรอบ ส่วนชวาลานั้นอดเวทนาตัวเองไม่ได้ที่ขวยอายกับคำกล่าวพวกนี้ แม้รู้ทั้งรู้ว่าแค่ชายตาเขายังไม่แล

หลังจากเหตุการณ์ชวนใจหายใจคว่ำที่ท่าน้ำ ก็ผ่านมาแล้วเกือบสิบวัน ชวาลาต้องซักถามอยู่หลายครั้งกว่าจะรู้ความจริงทั้งหมดจากปากละออ และใช้เวลานานกว่านั้นในการดูแลน้องให้กลับมาร่าเริงเป็นปกติ จนเธอลืมไปสนิทว่าตัวเองก็มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจไม่แพ้กัน รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาได้หมดแล้ว ทั้งความโกรธเคืองหมื่นวรไชย ทั้งความอับอายต่อพันแสง สามารถหลับตาลงได้ในแต่ละคืนอย่างไร้กังวลอีกครา

ออกขุนหนุ่มก็ยังคงประพฤติตัวเหมือนเดิม ไม่ใส่ใจ ไม่แตะต้องอาหาร ไม่อยู่บ้าน ไม่หลับนอน เจอหน้าไม่ทัก ไม่พบกันไม่ถามหา ราวกับเธอไม่มีตัวตนในสายตา ชวาลาเริ่มสับสนว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้เป็นคนคนเดียวกับชายหนุ่มที่นั่งลงพันผ้ารัดข้อเท้าให้เธออย่างนุ่มนวลในคืนนั้นจริงๆ หรือ

เด็กสาวมองเหม่อใจลอย ถูกเรียกชื่อเข้าก็กะพริบตางงงวย

“จ๊ะ?”

“นี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว แม่ต้องเข้าครัวไปเตรียมสำรับให้ท่านขุนฤๅไม่เล่า” นางอ่อนถามตามประสาคนเป็นแม่บ้านแม่เรือนด้วยกัน “มิเช่นนั้นพวกข้าจักได้กลับเลย มะลิก็ร้อยกันจักหมดแล้ว เฮ้อ นานๆ ทีได้ออกมาให้ลูกผัวรอที่เรือนบ้าง มันสดชื่นจริงจริ๊ง!”

นางวาดหัวเราะคิกๆ “แน้...จักรีบกลับไปหาพี่ยงก็บอก เมื่อคืนพี่สักเขากระซิบว่าประเดี๋ยววันพรุ่งได้หยุดหนึ่งวันก่อนงานใหญ่ จักพาไปไหว้พระขอลูกสาวสักคนก่อนแก่ ข้าเลยว่ามิต้องไปดอกวัด อยู่กันในห้องนี่แล”

“ว้าย! ดูเอ็งพูดเข้า” นางอ่อนร้องไปอย่างนั้น หัวเราะชอบใจ “อ้ายยงมิเห็นบอกกระไรข้า ท่าจักกลัวโดนลากไปตลาดผ้าขูดรีดเอากระมัง เช่นนั้นก็ไปไป๊ เก็บข้าวเก็บของกันเถิด”

“พี่บัวก็อย่าให้พลาดเล่า นานน้านนน นานๆ ทีท่านขุนจักให้หยุดนา”

ไม่ว่าตัวจะทำอะไรยุ่งแค่ไหน นางวาดก็ยังมีปากมาพร่ำพูดกับคนนู้นคนนี้ไม่ได้หยุด ชวาลาคิดว่านางบัวถูกเย้าไปแล้วตัวเองจะรอด แต่ก็ไม่รอด

“แม่วาก็อีกคน โน่น อ้ายเทียนน้อยวิ่งหน้าเริดมานู่นแล้ว”

ทุกคนมองไปก็เห็นเทียนจ้ำอ้าวตัดสนามมาจริงๆ

“ท่านขุนนะท่านขุน เหยียบเรือนได้ก็เรียกหาเมียเชียวนะ หน็อย ทีลูกน้องละมิยอมปล่อยกลับบ้าน”

“มะ...มิน่าใช่ดอกจ้ะ ท่านขุนเขามิค่อยเรียกหาฉันดอก”

พูดไปแบบนั้นก็ได้ข้อหา ‘แก้ตัวแทนกัน’ ทันที ไม่ต้องรอการไต่สวน สามสาวก็พากันส่งสายตาวิบวับรอคำเฉลยจากเทียนกันอย่างใจจดใจจ่อ

เด็กชายมาถึงก็นั่งหอบแฮกๆ กระตือรือร้นจนเกินเหตุทุกครั้งที่ได้รับคำสั่งจากออกขุนหนุ่ม

“แม่นาย ท่านขุนให้มาตาม”

แล้วกัน (เอียง) ทั้งปีทั้งชาติขุนสุริยนหัสดีเคยมองมาทางเธอเสียที่ไหน ครานี้กลับส่งบ่าวรับใช้ตัวจ้อยวิ่งมาหา ชวาลาก็อดงอนเขาไม่ได้ที่ทำให้เธอโดนหัวเราะอีกแล้ว

นางวาดตบเข่าฉาด

“แม่วาก็ทำเป็นอายไปเถิด คอยดู ท่านขุนจักเสกลูกเข้าท้องมิรู้ตัว ถึงวันนั้นก็อย่ามาพูดว่า ไม่มีกระไร ไม่มีกระไร อีกล่ะ!”

 

สายลมอุ่นกลางฤดูร้อนพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง เมื่อผ่านเครื่องแขวนดอกไม้สดที่ห้อยอยู่ก็หอบเอากลิ่นหอมอ่อนหวานให้ฟุ้งขจรขจายไปทั่วชานเรือน เรียกให้ชายหนุ่มร่างสูงที่เพิ่งก้าวขึ้นบันไดมาต้องเดินเข้าไปใกล้ ขอมองดูสักหน่อยก่อนเจ้าของงานฝีมือชิ้นนี้จะมาถึง

ดอกไม้เล็กๆ สีขาวนวลทั้งดอกพุด ดอกรัก ถูกนำมาร้อยด้วยเชือกเส้นบางแล้วผูกโยงเข้าด้วยกันจนได้รูปทรงคล้ายขั้นบันไดสี่เหลี่ยมจัตุรัสสามขั้น ตกแต่งด้วยอุบะดาวเรืองและกุหลาบมอญสีชมพูอ่อน ประดับเรียงกันอย่างประณีต พอต้องลมก็ไหวระริก เป็นรายละเอียดที่งดงามยิ่ง

สมกับภาพจินตนาการของชาวสยามที่เชื่อว่าเปรียบเสมือนบันไดเนรมิต สร้างขึ้นโดยอำนาจเทพยดาเพื่อรับองค์พระพุทธเจ้าครั้งเสด็จลงจากสรวงสวรรค์

พันแสงจำไม่ได้ว่าตัวเองเริ่มใส่ใจงานศิลปะตั้งแต่เมื่อไร แต่การละสายตาไปจากเครื่องแขวนพื้นบ้านตรงหน้าเวลานี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน

กลับเรือนมาทีไร สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งมองไปรอบๆ อีกหนก็พบว่าเรือนของตนเปลี่ยนไปแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลายเป็นบ้านที่น่าอยู่ ราวกับมีรอยยิ้มสดใสซุกซ่อนไว้พร้อมมอบให้ทุกครั้งที่หย่อนตัวลงนั่ง

วันนี้เขาเห็นผ้าเช็ดเท้าผืนใหม่ที่ชวาลานำมาเปลี่ยนให้ก็ขมวดคิ้ว ไหนจะผ้าปูโต๊ะ หมอนอิงอีกหลายใบ ลวดลายและเนื้อผ้าเห็นได้ชัดว่าเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน ก็ไม่รู้ว่าแม่หญิงผู้นั้นนำอัฐส่วนตัวจับจ่ายใช้สอยไปแล้วมากขนาดไหน

ยังไม่นับเมื่อสองสามวันก่อนที่เขาคิดอะไรไม่ทราบได้แอบเข้าไปดูในครัว สภาพที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีนั้นทำเอาตื่นตะลึงไปชั่วขณะ เริ่มเข้าใจว่าเดิมทีตนกับเทียนอยู่กันอย่างไร้อารยธรรมเพียงใดก็ตอนนั้นนั่นเอง

พอนึกถึงอ้ายเทียนตัวเล็ก ออกขุนหนุ่มก็อดค่อนขอดมันในใจไม่ได้ว่าเดี๋ยวนี้ชักจะอยู่ดีกินดีจนลืมเจ้านาย เมื่อครู่เดินมาก็เจอมันนอนกระดิกเท้าสบายอารมณ์ กินข้าวตังกรุบกรอบอยู่หน้าบ้าน ให้ท่านหญิงเลี้ยงพักเดียวแก้มก็เริ่มกลม ผมเผ้าเสื้อผ้าก็สะอาดสะอ้านผิดหูผิดตา

“ท่านขุน ท่านขุน! แม่นายมาแล้ว”

ไม่ทันสุดความคิด ร่างเล็กจ้อยก็กระโดดขึ้นเรือนมารายงาน เมื่อพันแสงพยักหน้ารับรู้ก็วิ่งหลุนๆ หายไป กลายเป็นเด็กสาวร่างบางเดินเงียบๆ ขึ้นมาแทน

ชวาลาเห็นสามียืนอยู่ริมหน้าต่างใกล้เครื่องแขวนก็แอบลุ้นไม่ได้ว่าเขาจะพูดถึงมันหรือไม่ ใจหนึ่งก็อยากให้เขามองข้ามไป แต่อีกใจก็...

สุดท้ายใจที่เต้นตึ้กตั้กในอกก็ค่อยๆ ฝ่อลงเมื่อชายหนุ่มผละออกจากตรงนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้กล่าวว่าอะไรขณะเธอทรุดตัวลงนั่งพับเพียบใกล้ๆ

“ท่านขุน”

“พวกแม่อ่อนมาเยี่ยมฤๅ” เขาถาม

“เจ้าค่ะ ก็เลยนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำ แต่ตอนที่ฉันออกมาก็กลับกันหมดแล้วเจ้าค่ะ เพราะมากันตั้งแต่หัววันแล้ว”

“อ้อ แล้วมีใครไปส่งฤๅไม่”

“ฉันขอให้น้าผวนไปส่งเจ้าค่ะ” ชวาลาสังเกตว่าเขามักกำชับให้บ่าวผู้ชายอย่างน้อยหนึ่งคนตามไปรับไปส่งเธออยู่เสมอเวลาออกไปข้างนอก จึงคิดเอาว่าถ้ามีแขกเขาก็คงอยากให้มีคนตามไปดูแลด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คิดถูกแล้ว

แต่ที่เด็กสาวรู้ไม่หมดก็คือ พันแสงไม่ได้ให้บ่าวไพร่ในเรือนตามรับส่งแขกทุกคนพร่ำเพรื่อ อันที่จริงเขาเข้มงวดเรื่องนี้เฉพาะกับเธอและคนที่เกี่ยวข้องกับเธอต่างหาก

“ดี” เจ้าของเสียงห้าวลึกรับคำสั้นๆ ตามนิสัย แล้วนัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นก็มองเธอตรงๆ อยู่ครู่หนึ่ง

ถูกจ้องเข้าชวาลาก็รู้สึกเขินอายพิกล นอกจากนี้ยังร้อนตัวขึ้นมากะทันหัน ในหัวพลันคิดไปต่างๆ นานาแล้วว่าเขาอาจจับได้ที่เธอออกไปขายของในตลาดมาเมื่อวาน ถึงได้เรียกตัวมาสอบถาม แต่ความจริงพันแสงแค่เผลอพิจารณาเครื่องแต่งกายของเธอเท่านั้น

เมื่อก่อนชวาลานุ่งผ้าแถบรัดอกกับโจงกระเบนเพื่อความคล่องตัวเฉกเช่นเด็กสาวชาวบ้านทั่วไป ครั้นขยับสถานะเป็นท่านหญิงเธอก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อคอแหลมแขนกระบอกยาวบ้าง ห่มสไบเฉียงสีสุภาพบ้าง ถ้าต้องออกไปข้างนอกก็นุ่งผ้าจีบยาวกรอมเท้า มีผ้าคล้องไหล่ไว้เผื่อคลุมศีรษะ แต่งกายมิดชิดระมัดระวังตัวยิ่ง

เป็นเช่นนี้โดยไม่ต้องบอกชายหนุ่มก็อดพอใจไม่ได้

แม้วันนี้ไม่ได้ออกไปข้างนอก พอมีแขกเธอก็ยังห่มสไบสีใบตองอ่อนเรียบร้อยงามสมตัว แต่กลับมานั่งเจี๋ยมเจี้ยมหน้าจ๋อยเหมือนถูกเขาดุอยู่ไม่มีผิด

เด็กสาวต้องออกเรือนตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ความคิดความอ่านนับว่าไม่ได้เลวร้ายหรือมีกิริยางกเงิ่นน่าอาย ขุนสุริยนหัสดีก็เบาใจได้เปลาะหนึ่งว่าถ้าเช่นนั้น ‘งานใหญ่’ ที่กำลังจะมาถึงนี้ แม่หญิงชวาลาคงผ่านไปได้ไม่น่าห่วงนัก

ส่วนชวาลาเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนานก็เกือบสารภาพหมดทุกอย่างเสียแล้ว ดีที่พันแสงพูดขัดจังหวะขึ้นก่อน

“วันมะรืนจักมีงานประชุมใหญ่ประจำปีของขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก ซึ่งข้าจำเป็นต้องเข้าร่วมด้วย”

เด็กสาวตั้งใจฟัง นี่คืองานใหญ่ที่พวกภรรยานายทหารพูดกันไม่ผิดแน่ ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดของท่านขุนใช่ฤๅไม่

“เมื่อวานแม่หญิงเพิ่งไปถนนป่าฟูก เช่นนั้นวันพรุ่งให้อยู่เรือนก่อน ส่วนตัวข้าเองก็จักอยู่ในห้องทั้งวัน แลมิว่าจักเป็นอาหาร น้ำ หรือสิ่งอื่นใด หากมิใช่เหตุเร่งด่วนก็ขอแม่หญิงอย่าได้รบกวน เข้าใจฤๅไม่”

“เจ้าค่ะ”

ชวาลาตอบ เสียงแผ่วไปถนัด เพราะจู่ๆ ก็นึกว่าอาจมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในวันหยุดนี้บ้าง แม้คิดไม่ออกว่าเช่นอะไร แต่ใจก็ผิดหวังไปเสียแล้ว

ฝ่ายพันแสงเห็นดวงหน้าอ่อนเยาว์สลดลงก็ไม่ได้เอะใจว่าเด็กสาวจะคิดอื่นใดนอกจากเสียดายที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นอย่างเคยเท่านั้น ปกติแล้วเขาไม่บังคับใครโดยไม่จำเป็น ทว่าครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะเขาต้องทำสมาธิ ฟื้นฟูอวิชชาของตนให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ก่อนเผชิญหน้ากับผู้ใช้อาคมด้วยกันในที่ประชุม

เรื่องนี้สำคัญมากจนแม้แต่ลูกน้องคนสนิทก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ล่วงรู้

หากอวิชชาไม่กล้าแข็ง ถูก ‘คนผู้นั้น’ อ่านใจได้ แม้เพียงเสี้ยวนาทีเดียวก็ย่อมส่งผลเสียใหญ่หลวงต่อแผนการที่ทำอยู่แน่นอน

“ถ้าเช่นนั้น ฉันจักให้เทียนทำปลามาไว้หน้าห้องนะเจ้าคะ” ชวาลาพยายามหาว่ายังมีอะไรที่พอทำให้เขาได้อีกบ้าง “แล้วฉันจักอยู่กับเด็กๆ บนเรือนอย่างที่ท่านขุนบอก หากท่านขุนมีกระไรก็เรียกใช้ได้ตลอดเจ้าค่ะ”

ถ้อยคำของเธอว่าง่าย ไม่ซักไซ้ให้มากความ ถึงคำอธิบายจะคลุมเครือ ชวาลากลับเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี พันแสงสบตาใสๆ ไร้เล่ห์เหลี่ยมของภรรยาแล้วก็ถอนใจ ต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเสีย

การมีอยู่ของเด็กสาวทั้งในความจริงและความคิดรบกวนจิตใจของขุนสุริยนหัสดีอย่างหนัก ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะอ่อนแอเพียงนั้น อวิชชาต้องห้ามก็ยังใช้การได้ดีอยู่ แต่ทุกคราที่คำนึงถึงแม่หญิงชวาลาแม้เพียงชื่อ ก็ตอกย้ำว่าใจเขาไม่ได้สงบเยือกเย็นดังเดิม ดังนั้นจึงประมาทไม่ได้

“วันมะรืน...นอกจากข้าต้องร่วมประชุมกับเหล่าขุนนางแล้ว แม่หญิงเองก็ต้องไปพบปะบรรดาท่านหญิงแลสตรีชนชั้นสูงอื่นๆ ด้วยเช่นกัน”

“ฉันน่ะหรือเจ้าคะ” ชวาลาแทบไม่เชื่อหู

“ใช่ ก็ไม่เชิงว่าเป็นกฎ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานาน ระหว่างที่ขุนนางสยามถกประเด็นราชการกันในพระราชวัง เมียแลลูกสาวของพวกเขาก็ต้องไปร่วมฟังพระธรรมเทศนาที่วัดมหาธาตุ หากใครหลบเลี่ยงหรือต่อต้าน ก็อาจเป็นเหตุให้ถูกสงสัยเรื่องความซื่อตรงเอาได้”

ซึ่งนั่นเป็นข้อหาที่หนักหนามิใช่น้อยเลย ชวาลารู้ทันทีว่านี่คือบทบาทของเธอในการส่งเสริมหน้าที่การงานของสามี แต่แค่คิดก็ทำตัวไม่ถูก 

พันแสงเห็นเด็กสาวสีหน้าไม่สู้ดีก็เห็นใจอยู่เหมือนกัน ทว่าหากจะให้แนะนำเขาเองก็จนใจ

“ข้าก็เพิ่งมีท่านหญิงของตัวเองเป็นปีแรก” ออกขุนหนุ่มยอมรับ “มิรู้ละเอียดนักดอกว่าต้องทำเยี่ยงไรบ้าง”

ท่านหญิงของขุนสุริยนหัสดีแก้มขึ้นสีระเรื่อชวนมอง รับคำอ้อมแอ้ม

“ฉันจักพยายามทำให้ดีเจ้าค่ะ”

แล้ววันรุ่งขึ้นชายหนุ่มก็ขังตัวอยู่ในห้องนอนตามลำพังตั้งแต่เช้าจรดค่ำจริงๆ ชวาลาพาน้องกินข้าวไปสามรอบ อาบน้ำเตรียมเข้านอนกันแล้วก็ยังไม่เห็นเขาออกมา ถึงเป็นห่วงแต่เธอก็ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ส่วนเด็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว พอทะเลาะกันเพราะแบ่งขนมอาลัวไม่ลงตัวก็โวยวายลั่น

“ละออ เทียน เบาๆ จ้ะ”

เสียงซัดกันตุ้บตั้บค่อยๆ เบาลง

“ประเดี๋ยวท่านขุนได้ยิน”

แม้มีฝาไม้กระดานกั้นห้องหลายชั้นและเสียงนั้นเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ แต่กลับส่งตรงถึงกลางใจคนทำสมาธิได้ดังก้องราวเจ้าของสุ้มเสียงอ่อนหวานนั่นมานั่งแอบอิงป้อนคำอยู่ข้างหู

พันแสงขมวดคิ้ว สะบัดศีรษะหนหนึ่ง แล้วจึงเริ่มนับลูกประคำในมือใหม่อีกครั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น