บทที่ 2

2

โพรเทีย

“มาเล่นเกมสิบคำถามกันไหมคะ”

คนตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อยราวกับแปลกใจ อันที่จริงแพรวไพลินก็ไม่รู้ว่าการใช้วิธีนี้เพื่อล้วงความลับจากคิมหันต์จะได้ผลไหม แต่คิดว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ลอง แม้จะศึกษานิสัยใจคอของอีกฝ่ายผ่านข่าวฉาวมาบ้างแล้ว แต่เธอก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่นักข่าวเขียนจะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน

“ทำไมผมต้องเล่นด้วยล่ะ”

“คนที่ไม่เล่นเกมนี้ ถ้าไม่เป็นพวกคออ่อน ก็คงขี้ขลาดจนไม่กล้าเล่น...” หญิงสาวตอบเสียงนุ่ม พลางโน้มใบหน้าเข้าไปสบตาอีกฝ่ายอย่างท้าทาย “แล้วคุณเป็นพวกไหนล่ะคะ”

รอยยิ้มอย่างชอบใจปรากฏบนใบหน้าคมคาย ก่อนที่เขาจะยกแก้วมาร์ตินีขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วตอบด้วยเสียงแหบห้าว

“ตกลงครับ งั้นผมขอเริ่มก่อนนะ”

แพรวไพลินยิ้มที่มุมปาก คิมหันต์ พฤกษดำรง เป็นคนชอบเอาชนะ เขาเหมือนเสือร้ายที่ชอบเล่นกับเหยื่อก่อนขย้ำ คนอย่างเขาย่อมชอบอะไรที่ท้าทายแบบนี้

“คุณมีแฟนหรือยังครับ”

แค่คำถามแรกก็ทำให้หญิงสาวชะงัก เพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าถามอย่างตรงไปตรงมา มือเล็กแสร้งเกี่ยวเส้นผมเข้ากับใบหูของตัวเองด้วยท่าทางขัดเขิน แล้วแกล้งถามกลับ

“ถามแบบนี้เลยเหรอคะ”

“ไม่อยากตอบเหรอ ถ้าไม่ตอบต้องดื่มนะ” คนร่างสูงพูดพลางเลื่อนแก้วค็อกเทลมาทางเธอพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์

“ยังไม่มี แล้วคุณล่ะ”

“ผมโสดเหมือนกัน แล้วคุณอายุเท่าไหร่”

“ยี่สิบแปดค่ะ”

“ผมอายุสามสิบสาม”

รอยยิ้มเย้ยหยันโค้งขึ้นบนริมฝีปากหยักสวย ด้วยรู้ดีว่าเป้าหมายกำลังโกหกอายุจริงของตัวเอง ทำอะไรไม่ได้นอกจากแกล้งตามน้ำไปแบบนั้น

“ทำไมยิ้มแบบนั้นล่ะ เราห่างกันแค่ห้าปีเองนะ...”

“ตั้งห้าปีเลยต่างหากค่ะ”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ สองหนุ่มสาวผลัดกันถามคำถามไปมาอย่างสนุกสนานจนแพรวไพลินเผลอลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

เขาทำให้เธอสติหลุดไปกับเสน่ห์อันแพรวพราวจนเกือบลืมหน้าที่ของตัวเองไปแล้ว

“เวลาว่างคุณชอบทำอะไรเหรอคะ”

“นอนดูหนังที่บ้านครับ”

“ฉันนึกว่าผู้ชายแบบคุณจะชอบเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมนอกบ้านซะอีก มิน่าล่ะ คุณถึงบอกว่าไม่ชอบมางานแบบนี้”

“ผมไม่ชอบที่ที่คนพลุกพล่าน แต่พอเป็นงานแล้ว บางทีก็หลีกเลี่ยงไม่ได้”

“เพราะพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว...” หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย “พอเป็นผู้ใหญ่ หน้าที่และความรับผิดชอบก็มากขึ้น บางครั้งเราต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง การเป็นผู้ใหญ่จึงไม่ง่ายเลย...”

ชายหนุ่มมองแววตาสุกสกาวของคนพูดนิ่งราวกับถูกสะกด ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเขาถึงห้าปี แต่ไม่รู้ทำไม กลับคุยกับเธอถูกคอราวกับเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเสียอย่างนั้น

น่าสนใจ...

ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจจริงๆ

“แล้วคุณล่ะครับ เวลาว่างชอบทำอะไร”

“จัดดอกไม้ค่ะ เห็นแบบนี้ฉันเคยประกวดได้รางวัลด้วยนะ”

รอยยิ้มบางแต่งแต้มที่มุมปากอย่างชอบใจกับท่าทางกระตือรือร้นของคนพูด ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเธอถึงได้มีความรู้เกี่ยวกับดอกไม้ประเภทต่างๆ แบบนี้

“ว่าแต่คุณเข้าหาฉันเพราะอะไรเหรอคะ”

“โอ้โฮ...คำถามนี้”

“ถ้าไม่ตอบต้องดื่มนะ” ร่างบางแกล้งพูดประโยคเดียวกับที่เขาเคยบอกก่อนหน้าพร้อมเลื่อนแก้วไปหา “จะดื่มแก้วนี้แล้วไม่ตอบคำถาม จะยอมพูดความจริง หรือเลือกเป็นพิน็อคคิโอดีล่ะคะ”

เป็นประโยคที่ทำให้ร่างสูงโน้มใบหน้าเข้าไปสบดวงตาของคนที่กำลังยิ้มทะเล้นด้วยสายตาท้าทาย แล้วแกล้งถามกลับ

“คิดว่าผมจะเลือกอะไรล่ะ”

“คุณไม่กล้าตอบหรอก”

รอยยิ้มพรายฉายชัดมากกว่าเดิม ก่อนที่ชายหนุ่มจะคว้าแก้วมาร์ตินีมายกซดรวดเดียวหมด แล้วตอบเสียงนุ่มว่า

“เพราะผมสนใจคุณ...”

แพรวไพลินชะงักกับคำตอบของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่เป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งได้คุยกันไม่กี่ชั่วโมง แล้วทำไมถึงยอมพูดอะไรแบบนี้ได้ หรือเพราะเขาคิดว่าคงไม่เจอเธออีกแล้ว ถึงได้กล้าพูดออกมา

“รูปลักษณ์ภายนอกของคุณน่าดึงดูด แต่พอได้คุยด้วยแล้ว ผมรู้สึกว่าคุณมีอะไรบางอย่างที่น่าค้นหา จนตอนนี้ผมเริ่มอยากรู้จักคุณขึ้นมาจริงๆ แล้ว...”

หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปาก ดวงตาคู่สวยไหวระริกขณะที่ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมดเพื่อกลบอาการขัดเขินนั้นจนคนที่นั่งด้วยกันถึงกับชะงัก

“เดี๋ยวสิครับ ผมยังไม่ได้ถามคุณเลยนะ”

“งั้นก็...ถามมาเลยสิ” หญิงสาวตอบตะกุกตะกัก พยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกลับมาพูดเรื่องเดิมที่ทำให้หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะอีก

“งั้นคำถามสุดท้ายแล้วนะ...”

แพรวไพลินพยักหน้าพร้อมยืดตัวตรงรอฟัง ขณะที่แววตาของชายหนุ่มดำมืดลงกว่าก่อนหน้า ก่อนที่เขาจะถามด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าว่า

“อยากไปดูหนังที่บ้านผมไหมครับ...”

แพรวไพลินก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงตัดสินใจออกจากงานเลี้ยง แล้วเดินตามชายหนุ่มมาขึ้นรถมินิแวนที่คนขับรถของเขายืนเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว

หญิงสาวก้าวเข้าไปนั่งเบาะหลังเคียงข้างอีกฝ่าย โดยที่ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาระหว่างเธอกับเขาเกิดขึ้นแม้แต่ประโยคเดียว ขนาดหน้ากากแฟนซีที่สวมไว้ก็ยังไม่กล้าถอดออกกันทั้งคู่ รู้ตัวอีกทีรถยนต์ของคิมหันต์ก็มาหยุดหน้าบ้านเดี่ยวทำเลทองที่ชาตินี้ทั้งชาติ แพรวไพลินก็มั่นใจว่าตัวเองคงไม่มีปัญญาซื้อ

‘อยากไปดูหนังที่บ้านผมไหมครับ...’

หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองตกใจจนแทบสิ้นสติตอนได้ยินคำถามสุดท้ายของชายหนุ่ม สมองจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะเกิดมาก็เพิ่งจะถูกผู้ชายชักชวนแบบนี้ครั้งแรก ยิ่งเห็นสายตาที่มองมาอย่างจริงจัง หัวใจของหญิงสาวก็ยิ่งเต้นระรัวอย่างสับสนระคนตื่นเต้น

เธอจำไม่ได้แล้วว่าตอบเขาไปว่าอะไร รู้ตัวอีกทีก็เข้ามาอยู่ในห้องรับแขกของบ้านหลังนี้แล้ว

“เดี๋ยวผมไปเตรียมเครื่องดื่มให้นะ”

หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ดูเหมือนนักแสดงหนุ่มจะอยู่บ้านหลังใหญ่นี้คนเดียวเพราะเธอไม่เห็นร่องรอยของผู้ร่วมอาศัยคนอื่น พอเห็นว่าเจ้าของบ้านกำลังง่วนอยู่ในครัว ร่างบางก็รีบเปิดหูฟังอีกครั้ง ก่อนที่เสียงของพลอยพรรณจะดังเข้ามาทันที

“แย่แล้วเจ๊! ดูเหมือนพิน็อคคิโอจะไม่ใช่คิมหันต์”

“อะไรนะ!” แพรวไพลินอุทานอย่างตกใจ ก่อนจะรีบลดระดับเสียงลงเพราะกลัวว่าเจ้าของบ้านจะได้ยินเข้า 

“คิมหันต์เพิ่งถูกจับข้อหาเมาแล้วขับน่ะสิ กำลังออกข่าวภาคดึกเลย เห็นว่าตอนนี้ยังอยู่ที่โรงพักด้วย”

“เป็นไปได้ยังไง แล้วผู้ชายคนนี้คือใครล่ะ”

“ไม่รู้อะ คงเป็นแขกสักคนของงานที่มาจากตระกูลพฤกษดำรงนั่นแหละ”

หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ถ้า คิมหันต์ พฤกษดำรง ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้จริงๆ แล้วชายหนุ่มที่อยู่กับเธอในตอนนี้คือใคร

ทำไมเขาถึงใช้นามแฝงว่าพิน็อคคิโอไปได้!

“เรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ๆ เดี๋ยวฉันจะลองสืบจากทางนี้ดู”

“ถอยก่อนเถอะเจ๊ มันอันตรายเกินไป”

“แต่นี่เป็นโอกาสเดียวของเรานะ ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเข้าใกล้พวกมันได้อีกไหม”

“แต่ว่า...”

“แกไม่ต้องห่วง ฉันเข้ามาในถ้ำเสือแล้ว ถ้าไม่ได้ลูกเสือ ฉันไม่ยอมออกไปง่ายๆ หรอก”

พูดจบก็รีบถอดหูฟังออกก่อนจะส่งยิ้มหวานให้คนที่ถือถาดเครื่องดื่มและของว่างเข้ามาหา

“น้ำส้มกับคุกกี้ครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

ดวงตาคู่สวยไหวระริกเมื่ออีกฝ่ายทรุดลงนั่งตรงข้าม ตอนนี้คิมหันต์ พฤกษดำรงถอดหน้ากากแฟนซีของตัวเองออกแล้ว และพอเธอได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ แพรวไพลินก็ถึงกับเบิกตากว้าง

แย่ละสิ...

ทำไมถึงกลายเป็น...ผู้ชายคนนี้ไปได้

แม้จะมีสัดส่วนและรูปร่างใกล้เคียงกับข้อมูลที่ได้รับ แถมใบหน้าก็คล้ายคลึงกับบุคคลเป้าหมาย แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่คิมหันต์ พฤกษดำรงจริงๆ ยิ่งเมื่อเห็นโล่รางวัลบนชั้นวางด้านหลังที่มีชื่อนามสกุลของเจ้าตัวระบุเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยแล้ว แพรวไพลินก็ยิ่งอยากร้องไห้

ดลธี พฤกษดำรง

รองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ดีพีโกลบอลมีเดีย จำกัด (มหาชน)

เขาคือ “พี่ดลคนใจร้าย” ของเธอนี่เอง

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ ผิดหวังที่หน้าผมไม่เป็นอย่างที่คิดเหรอ”

“เปล่า...เปล่าค่ะ”

ร่างบางทำเป็นยกแก้วน้ำส้มที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ขึ้นจิบ ไม่กล้าดื่มไปมากกว่านี้เพราะกลัวว่าชายหนุ่มอาจใส่อะไรบางอย่างลงไป ถึงเขาจะไม่ใช่ คิมหันต์ พฤกษดำรง แต่ก็วางใจไม่ได้ว่าจะไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน

“พร้อมหรือยังครับ”

“คะ?”

หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างงุนงง เมื่อจู่ๆ ร่างสูงก็ลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมานั่งเคียงข้างกัน มือหนาเลื่อนมาปลดหน้ากากแฟนซีของเธอออก ขณะที่แววตาของชายหนุ่มไหววูบไปเล็กน้อยตอนที่เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ

แม้จะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปแล้ว แต่สายตาที่ดลธีใช้มองกันไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนเลย

แววตาเย็นชาที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน

“คุณสวยมาก...” น้ำเสียงของชายหนุ่มเรียบเรื่อย ขณะที่ปลายนิ้วเรียวแตะที่กลีบปากของเธอแล้วไล้ไปมาช้าๆ “สวยกว่าที่ผมคิดเสียอีก...”

แพรวไพลินเผลอกัดริมฝีปาก ดวงตาสีดำสนิทที่มองสบกันดูลึกลับทว่าน่าค้นหา ยิ่งเห็นรอยยิ้มยั่วเย้าบนใบหน้าหล่อเหลาด้วยแล้ว ขนในกายก็ลุกชันอย่างห้ามไม่ได้

นี่เขา...คิดจะทำอะไรกันแน่

มือหนารั้งปลายคางของเธอให้เงยขึ้น ใบหน้าขยับเคลื่อนเข้าหาจนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ทว่ายังไม่ทันที่กลีบปากหยักได้รูปจะแนบลงมาแทนที่ปลายนิ้ว เสียงหวานกลับดังขึ้นเสียก่อน

“เรามาที่นี่เพื่อดูหนังไม่ใช่เหรอคะ...”

ดลธีชะงัก แววตาพราวระยับราวกับประทับใจวิธีการบ่ายเบี่ยงของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยอมปล่อยมือจากคางมนก่อนจะลุกจากโซฟาเพื่อเดินกลับไปที่ครัวอีกครั้ง แล้วกลับมาพร้อมขวดไวน์และแก้วทรงสูงสองใบ

“มาดื่มระหว่างดูหนังด้วยกันนะครับ”

แพรวไพลินพยักหน้า ทำเป็นไม่สนใจสายตาวิบวับที่ทอดมองมาของคนตัวโต เธออาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มหันไปหยิบรีโมตทีวี ใส่ผงอะไรบางอย่างลงไปในแก้วของเขา พอเจ้าตัวหันกลับมาก็รีบเทไวน์ให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ร่างบางชนแก้วกับผู้บริหารหนุ่มก่อนจะยกขึ้นจิบ รสชาติของแอลกอฮอล์ที่ผ่านเข้าสู่ปลายลิ้นและลำคอร้อนแรงเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับสายตาของคนข้างๆ ดลธีมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ แม้แต่ตอนที่เขาโคลงแก้วไปมาด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก็ยังดึงดูดสายตาของเธอให้จับจ้องในทุกอิริยาบถ

ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นที่สลักโดยเทพเจ้า ดูเหมือนดลธีจะซุกซ่อนความร้ายกาจบางอย่างเอาไว้

บางอย่างที่เรียกว่าแรงดึงดูดทางเพศ

“มีเรื่องไหนที่อยากดูเป็นพิเศษไหมครับ”

“แล้วแต่คุณเลยค่ะ ฉันดูเรื่องไหนก็ได้”

รอยยิ้มพราวฉายชัดบนใบหน้าคมคายระหว่างที่กดเลือกภาพยนตร์บนจอ ก่อนที่หญิงสาวจะนิ่งงันไปในทันที เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเลือกเรื่องใด

Fifty shades of grey

ภาพยนตร์เรื่องดังที่ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในช่วงแรกที่เปิดตัว สร้างจากนวนิยายอีโรติกโรมานซ์ของอี แอล เจมส์ ว่าด้วยเรื่องราวความรักระหว่างนักศึกษาสาวเอกวรรณกรรมอังกฤษกับมหาเศรษฐีหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีที่มีรสนิยมทางเพศไม่เหมือนใคร

คนบ้า...

ทำไมต้องเลือกดูเรื่องนี้ด้วยนะ

แพรวไพลินหลุบตาลงมองแก้วไวน์ในมือ พอเห็นว่าอีกฝ่ายกดสคิปไปกลางๆ เรื่อง ก็รู้ทันทีว่าดลธีจงใจเปิดเรื่องนี้เพราะต้องการปลุกเร้าอะไรบางอย่าง ภาพการสอดประสานร่างกายอย่างลึกซึ้งของสองตัวละครทำให้ใบหน้านวลร้อนผ่าว บทสนทนาอย่างตรงไปตรงมาของพวกเขายิ่งทำให้เลือดในกายร้อนรุ่ม

“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ...”

ร่างบางสะดุ้งน้อยๆ เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ ชายหนุ่มจะถามในจังหวะเดียวกับที่หนังกำลังถ่ายทอดฉากสำคัญ เดาว่าดลธีคงแกล้งชวนคุยไปอย่างนั้น เพราะไม่มีทางที่เขาจะจำอดีตเด็กในบ้านที่เอาแต่วิ่งไล่จับแมวคนนั้นได้แน่ๆ

“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะคะ”

“คุณเหมือนใครบางคนที่ผมเคยรู้จัก”

“คุณคงจะจำคนผิด”

“นั่นสินะ...” ดลธีอมยิ้มก่อนจะรินไวน์ใส่แก้วให้เธอเพิ่ม “ถ้าเราเคยพบกันมาก่อน ผมคงไม่ลืมคุณแน่...”

แม้จะนึกหมั่นไส้กับคารมชวนคลื่นไส้ของอีกฝ่าย แต่แพรวไพลินก็ทำเป็นยิ้มหวานส่งให้เขาด้วยท่าทางขัดเขิน ถึงดลธี พฤกษดำรง จะไม่เคยมีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิง แถมครองตัวเป็นหนุ่มโสดมาตลอดหลายปี แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ใช่พวกกะล่อนปลิ้นปล้อนที่ชอบหลอกฟันสาวๆ ไปทั่ว

ตอนนี้เธอไว้ใจเขาเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว

“ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยนะครับ...”

“คะ?”

“สรุปว่าผมเหมือนดอกไม้อะไรเหรอ”

หญิงสาวมองดวงตาพราวระยับของคนตรงหน้าราวกับถูกสะกด มั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นสิบกว่าปีก่อน หรือแม้แต่ตอนที่ได้สบตากับชายหนุ่มอีกครั้งในงานเลี้ยง ความรู้สึกที่เธอมีต่อดลธีก็ยังเหมือนเดิม

“คุณเหมือนโพรเทีย...”

“โพรเทีย?”

“ความหมายของดอกโพรเทียคือความแตกต่าง ไม่เหมือนใคร แม้จะอยู่รายล้อมด้วยผู้คนมากมาย แต่สายตาของฉันก็มองเห็นแค่คุณ...”

หัวใจของดลธีเต้นระรัวกับคำตอบของสาวน้อยตรงหน้า แม้ไม่มีคำว่ารักอยู่ในประโยค แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกหญิงสาวสารภาพรักเสียอย่างนั้น ใบหน้านวลซับสีแดงระเรื่อ ขณะที่ดวงตาวาวใสหวานหยาดเยิ้ม แล้วยิ่งเมื่อเธอสบตากันโดยไม่หลบ ก็ยิ่งทำให้ร่างกายของเขาแน่นิ่งราวกับถูกสาปให้ตกอยู่ใต้อาณัติ

สวย...

เธอสวยกว่าผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยพบ

แล้วเขาก็ไม่อยากให้เรื่องราวระหว่างเราจบลงแค่คืนนี้เสียแล้ว

“ฉัน...น่าจะเมาแล้ว” แพรวไพลินพึมพำเสียงแผ่วพลางก้มหน้าลง มั่นใจว่าถ้าอยู่ในสภาวะปกติ เธอไม่มีวันพูดแบบเมื่อกี้ออกไปแน่ๆ “คุณ...อย่าสนใจที่ฉันพูดเลยนะ”

“ผมก็เหมือนกัน...”

“คะ?”

“สายตาของผมก็มองเห็นแค่คุณ...”

ใบหน้าคมคายค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ถึงเวลาจะล่วงเลยไป แต่พี่ดลคนใจร้ายก็ยังมีอิทธิพลต่อสมองและหัวใจของเธอเสมอ แม้แต่ตอนที่ชายหนุ่มเลื่อนมือมาประคองท้ายทอยของเธอให้เงยขึ้น แพรวไพลินก็ไม่คิดจะผลักเขาออกห่าง

เพราะอะไรกันนะ...

ร่างบางกัดริมฝีปาก รู้ดีว่าตัวเองเป็นเป้าหมายของดลธีตั้งแต่ตอนที่ชายหนุ่มทรุดลงนั่งข้างกันที่บาร์ ทั้งๆ ที่พลอยพรรณเตือนแล้วว่าเธอกำลังบุกถ้ำเสือ ทว่าหญิงสาวก็ยอมตายดีกว่าจะหันหลังหนีโดยไม่คิดสู้

ต่อให้คนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็น ดลธี พฤกษดำรง ก็ตาม

“คุณ...”

มือเล็กเลื่อนไปวางบนอกกว้าง มองใบหน้าคมคายนิ่งราวกับถูกสะกด ปลายนิ้วร้อนผ่าวเคลื่อนมาเคล้นคลึงริมฝีปากของเธออย่างเชื่องช้า ก่อนที่เสียงแหบพร่าจะดังที่ข้างหูว่า

“ผมขอจูบคุณนะครับ...”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น