บทที่ 9

9

คนเอาแต่ใจ

แพรวไพลินสแกนบัตรพนักงานที่หน้าประตูทางเข้าสตูดิโอหลัก ก่อนจะรีบเอาข้าวของส่วนตัวไปเก็บในล็อกเกอร์แล้วเดินไปรวมกลุ่มกับพนักงานคนอื่นๆ ที่หน้าเวที วันนี้จะมีการถ่ายทำตอนแรกของ The Idol วัยรุ่นวัยฝัน ซีซันสอง หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการซ้อมใหญ่ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน

“จะเริ่มแล้วนะครับ!”

“ห้า!”

“สี่!”

“สาม!”

“สอง!”

“หนึ่ง!”

แสงสปอตไลต์สาดไปรอบสตูดิโอถ่ายทำพร้อมกับเสียงตะโกนเชียร์ดังมาจากทุกทิศทาง ทั้งจากเอฟเฟกต์ที่ทีมงานเปิดและเสียงกรี๊ดของเด็กฝึกที่นั่งกันอยู่บนสแตนด์ ก่อนที่ภาพบนจอโพรเจกเตอร์จะปรากฏโลโก้ประจำรายการพร้อมมีข้อความบางอย่างปรากฏขึ้นมา

The Idol วัยรุ่นวัยฝัน Season 2

มาฝ่าฟันโลกนี้ไปด้วยกันเถอะ!

แพรวไพลินปรบมือไปพร้อมกับคนอื่นพลางกวาดสายตาไปรอบๆ เสียงปริศนาที่ดังออกมาจากลำโพงเป็นเสียงอัตโนมัติของบอตคอมพิวเตอร์ ก่อนที่ภาพบนจอด้านบนจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“ลำดับต่อไป เชิญพบกับการแสดงของเมนเทอร์ทั้งสามท่าน เมนเทอร์พศวีร์ เมนเทอร์นับดาว และเมนเทอร์คิมหันต์!”

“กรี๊ด!”

เสียงกรี๊ดถล่มทลายของเหล่าเด็กฝึกดังไปทั่วสตูดิโอหลังจากได้ยินเสียงประกาศ ขณะที่ร่างบางชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครที่เพิ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ผู้กำกับ

อิษยา พฤกษดำรง

แพรวไพลินก้าวไปหลบหลังเสาพลางลอบสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายไปด้วย อิษยามองไปบนเวทีที่ลูกชายคนโตกำลังแสดงด้วยสายตาภาคภูมิใจ หญิงวัยกลางคนยังคงสวยสง่าไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นที่คฤหาสน์พฤกษดำรง แม้แต่ท่าทางก็ยังคงเย่อหยิ่งและทรงอำนาจไม่เปลี่ยน

เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังสนใจการแสดงของเหล่าเมนเทอร์ แพรวไพลินก็แอบเดินไปทางห้องพักพนักงานที่อยู่ด้านหลัง พนักงานประจำรายการจะมีล็อกเกอร์ส่วนตัวอยู่ในห้องพัก และทุกคนจะต้องนำอุปกรณ์สื่อสารและของใช้อื่นๆ มาเก็บไว้ในนี้เพื่อป้องกันการแอบบันทึกภาพระหว่างถ่ายทำรายการ

แพรวไพลินก้าวอย่างเงียบเชียบเข้าไปด้านในเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ เธอตรงไปที่ล็อกเกอร์ที่แปะชื่อของเพลงรักก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าล็อกเกอร์ไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้ พอลองเปิดดูด้านในก็พบแต่ความว่างเปล่า

ทำไมล่ะ?

ทำไมถึงไม่มีอะไรอยู่เลย

หญิงสาวนิ่งไปอย่างใช้ความคิด แม้จะเดาได้ว่าของใช้ส่วนตัวของเพลงรักคงถูกนำออกไปหมดแล้วหลังจากที่เธอเสียชีวิต แต่ในเมื่อตำรวจและคนของดีพีต่างยืนยันว่าไม่พบโทรศัพท์มือถือและแล็ปท็อปของน้อง แล้วของสำคัญพวกนั้นหายไปไหนกันแน่

หรือจะมีคนขโมยไปแล้ว?

แม้จะไม่รู้ว่าเพลงรักกำลังสืบเรื่องอะไรอยู่ แต่แพรวไพลินก็มั่นใจว่าน้องต้องวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี จะเป็นไปได้ไหมที่เพลงรักเอาของสำคัญพวกนั้นไปซ่อนเพราะไม่อยากให้คนอื่นมาเจอ

‘เลิกงานเพลงชอบไปฟิตเนสค่ะ พอออกกำลังกายเสร็จ ก็จะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับบ้านทุกครั้ง’

‘เจ๊เพลงเล่นเกมซ่อนแอบชนะตลอดเลย ทำยังไงพลอยถึงจะชนะกับเขาบ้าง’

‘แกก็ต้องซ่อนในที่ที่คนคิดไม่ถึงสิ สถานที่ธรรมดาๆ ที่จะไม่มีใครจับสังเกตได้ เหมือนที่ฉันซ่อนตัวในห้องน้ำไง’

หญิงสาวเดินตรงไปทางห้องน้ำหญิงที่อยู่ด้านในสุดของห้องพัก ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วก้มลงไปดูตู้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดด้านล่าง กระดาษชำระนับสิบม้วนและน้ำยาทำความสะอาดหลายขวดปรากฏสู่สายตา ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า

ถุงสีดำที่ถูกซ่อนอย่างมิดชิดรวมกับแกลลอนแอลกอฮอล์คงไม่น่าสนใจนัก ถ้าเธอไม่สังเกตเห็นว่ามันถูกมัดปิดปากด้วยยางมัดผมลายโน้ตดนตรีแบบที่เธอเคยซื้อให้ลูกพี่ลูกน้อง หญิงสาวรีบดึงถุงที่ว่าออกมาก่อนจะเปิดดูด้านใน

อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย...

สติกเกอร์รูปกุญแจซอลที่ติดอยู่มุมล่างของฝาโน้ตบุ๊กทำให้แพรวไพลินมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่ตัวเองตามหามาตลอด เธอรีบยัดคอมพิวเตอร์ของเพลงรักเข้ากระเป๋าผ้า แล้วจึงสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกในทันที

“เธอมาทำอะไรแถวนี้”

แพรวไพลินตัวชาวาบเมื่อเห็นว่าใครที่ยืนอยู่หน้าห้องพักพนักงาน ขณะที่มือกำสายกระเป๋าผ้าแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ

“ที่นี่ไม่ใช่ห้องพักของพนักงานสัญญาจ้างสักหน่อย แอบหลบมาอู้หรือไง”

“หนูออกมาเข้าห้องน้ำแล้วหลงทางน่ะค่ะ เพิ่งได้มาที่สตูดิโอนี้แค่สองสามครั้ง ก็เลยยังไม่ค่อยชินทาง ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

ทว่าสาโรจน์ ช่างภาพประจำรายการก็ยังคงจ้องเธอคล้ายไม่ไว้ใจอยู่เช่นเดิม ก่อนจะพยักพเยิดมาทางกระเป๋าผ้าที่อยู่ในมือเธอ

“แล้วนั่นเอากระเป๋ามาด้วยทำไม ทำไมไม่เอาไปเก็บในล็อกเกอร์”

ร่างบางเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นระรัวเพราะรู้ดีว่ากฎของการทำงานในกองคือห้ามนำของใช้ส่วนตัวเข้ามาในสตูดิโอถ่ายทำเด็ดขาด แล้วห้องพักสำหรับพนักงานสัญญาจ้างก็อยู่อีกฟากของสตูดิโอเสียด้วย

การมาอยู่ตรงนี้ของเธอจึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก

“แค่เผลอหยิบติดมือมาน่ะค่ะ”

“เธอรู้ดีว่าเราห้ามเอาข้าวของส่วนตัวเข้าไปในสตูฯ ทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้ทำไม”

“คือ...”

“หรือจริงๆ แล้วเธอปลอมตัวมาสืบอะไรบางอย่าง เธอก็คือคนที่คู่แข่งส่งมาใช่ไหม”

“ไม่...ไม่ใช่นะคะ”

“งั้นเธอมาอยู่ตรงนี้ทำไม แถมยังทำท่าทางแปลกๆ อีก นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่”

“เธอทำงานให้ผมครับ”

เสียงราบเรียบของใครบางคนดังขัดจังหวะ ก่อนที่ร่างสูงของคนพูดจะก้าวเข้ามาบังตัวเธอจากสายตาของช่างภาพหนุ่ม

“คุณดล...”

“ผมไม่อยากให้ทุกคนแตกตื่นหรือกังวล ก็เลยไม่ได้บอกก่อน แต่จริงๆ แล้วคุณแพรวเป็นเลขาฯ อีกคนของผมครับ” ชายหนุ่มอธิบายเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปทางแพรวไพลิน “แนะนำตัวอย่างเป็นทางการสิครับ”

“เอ่อ...ค่ะ” หญิงสาวเออออไปตามน้ำ ก่อนจะค้อมหัวให้สาโรจน์แล้วพูดต่อ “ฉันชื่อแพรวนภา เป็นเลขาฯ ของคุณดลค่ะ”

สีหน้าของช่างภาพหนุ่มเจื่อนไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงท่าทางเฉิ่มเชยคนนี้จะเป็นเลขาฯ อีกคนของรองประธานบริษัท ก่อนที่เขาจะค้อมหัวนิดๆ ให้แพรวไพลินเป็นเชิงขอโทษ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณแพรว ขอโทษด้วยนะครับที่เข้าใจคุณผิด”

หญิงสาวส่ายหน้าอย่างไม่เป็นไร ก่อนจะลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของที่เพิ่งอ้างว่าเป็นเจ้านายของเธออย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยแบบนี้

“ยังไงผมรบกวนคุณสาโรจน์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะครับ ผมส่งคุณแพรวมาอยู่กองนี้เพื่อเรียนรู้งาน ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอเป็นเลขาฯ อีกคนของผม ก็กลัวว่าคนอื่นจะพากันเกร็งและสอนงานเธอได้ไม่เต็มที่ ผมเลยให้คุณแพรวโกหกว่าเป็นพนักงานสัญญาจ้างของรายการครับ”

“ได้ครับท่านรองฯ ผมจะไม่บอกใครครับ”

“ขอบคุณมากครับ”

พอเห็นว่าช่างภาพหนุ่มไม่ติดใจเรื่องนี้แล้ว แพรวไพลินก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่ายังไม่ทันจะหาทางหลบเลี่ยงจากสถานการณ์ไม่คาดฝันนี้ เสียงราบเรียบของเจ้านายปลอมๆ ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าเลิกกองแล้ว รบกวนไปพบผมที่ห้องทำงานด้วยนะครับ คุณแพรวนภา”

นัยน์ตาสีเข้มมองภาพบนจอโพรเจกเตอร์ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองสีหน้าหนักใจของหัวหน้าทีมฝ่ายรักษาความปลอดภัย แล้วถามเสียงเรียบ

“หมายความว่าไงครับ ที่บอกว่าตามจับคนร้ายไม่ได้”

“ผมขอโทษครับ” ชายวัยกลางคนก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ขณะที่ลูกน้องอีกสองคนที่ยืนด้านหลังก็ค้อมหัวให้ดลธีด้วยสีหน้าไม่ต่างกัน

“แล้วภาพจากกล้องวงจรปิดบอกอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ” พฤกษ์ถามบ้าง เพราะไม่คิดว่าคนร้ายจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนั้น

“ภาพสุดท้ายที่กล้องวงจรปิดจับได้ ระบุว่าคนร้ายวิ่งหนีจากชั้นห้าลงมาทางบันไดหนีไฟก่อนจะไปหยุดที่ชั้นหนึ่งครับ...” หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยอธิบายพร้อมคลิกแสดงภาพแผนผังอาคารบนจอโพรเจกเตอร์ “คนร้ายวิ่งหนีไปทางออกลานจอดรถด้านหลัง แต่ประตูตรงจุดนั้นเป็นช่วงที่ รปภ. กำลังเปลี่ยนเวรพอดี จึงไม่มีคนเฝ้า อีกทั้งยังมีบุคคลทั่วไปเข้าออกจำนวนมาก จึงคาดเดาไม่ได้ว่าคนร้ายคือใครครับ”

ดลธีมองแผ่นหลังของชายชุดดำผ่านหน้าจอโน้ตบุ๊ก มั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่คนร้ายเลือกหนีลงมาชั้นหนึ่งที่มีคนพลุกพล่าน แถมยังเป็นช่วงเปลี่ยนเวรยามของ รปภ. แล้วกล้องวงจรปิดตรงจุดนั้นก็เพิ่งมาเสียอีก

เหตุการณ์ทุกอย่างดูบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ

“อาจจะเป็นคนนอกปลอมตัวเข้ามาหรือเปล่าครับ” พฤกษ์แสดงความเห็น “คนร้ายคงไม่ได้ตั้งใจจะดักปล้นคุณดลสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะของมีค่าก็อยู่ครบ หรือจะเป็นคนที่มีความแค้นกับบอสเป็นการส่วนตัวครับ”

“ก็เป็นไปได้ครับ เพราะคนร้ายพุ่งเป้ามาที่คุณดลคนเดียว”

“แบบนั้นก็ยิ่งหาตัวยากน่ะสิครับ ศัตรูของบอสมีเต็มไปหมด!”

ดลธีเหลือบตามองเลขาฯ คนสนิทอย่างไม่สบอารมณ์ นึกอยากโทร. แจ้งฝ่ายบุคคลให้ตัดเงินเดือนพฤกษ์เป็นการลงโทษในความปากแจ๋วของอีกฝ่าย ทว่าเจ้าตัวก็ยังส่งยิ้มให้เขาด้วยสีหน้าระรื่น

“ที่แน่ๆ คือคนร้ายรู้ตารางงานของผม รู้แม้กระทั่งตำแหน่งที่จอดรถ แถมยังรู้ด้วยว่าตรงจุดไหนของบริษัทที่มีกล้องวงจรปิด ถ้าเป็นบุคคลภายนอกก็ไม่น่าจะรู้ละเอียดขนาดนี้...”

ทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยพากันพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่ดวงตาสีเข้มของผู้บริหารหนุ่มจ้องภาพชายชุดดำบนหน้าจอโพรเจกเตอร์ด้วยสายตาราบเรียบ ก่อนจะสรุปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“คนร้ายต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน...”

แพรวไพลินมองประตูสีน้ำตาลบานใหญ่ที่แกะสลักเป็นลายดอกกุหลาบเบื้องหน้าอย่างลังเล หลังจากที่อาทิตย์ประกาศเลิกกอง เธอก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะยอมมาพบดลธีตามคำสั่งของเขาดีไหม ทว่าสุดท้ายแล้ว เท้าก็ก้าวมาหยุดที่หน้าห้องของผู้บริหารหนุ่มจนได้

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

หญิงสาวหันไปมองเลขาฯ ตัวจริงของดลธีที่เดินเข้ามาหาก่อนจะส่ายหน้า เขาคงเห็นว่าเธอยืนถอนหายใจอยู่ตรงนี้นานแล้วก็เลยเดินมาดูด้วยความเป็นห่วง 

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่ตื่นเต้นนิดหน่อย”

“ไม่ต้องกลัวนะครับ จริงๆ แล้วบอสเป็นคนใจดีมาก”

แพรวไพลินยิ้มแหยให้อีกฝ่าย รู้ดีว่าพฤกษ์แค่พูดไปแบบนั้นเพื่อให้กำลังใจเธอ ไม่มีทางที่ ดลธี พฤกษดำรง จะใจดีกับคนที่กล้าขัดคำสั่งเขา แค่เขาไม่เอาเรื่องเธอตั้งแต่ตอนที่เผชิญหน้ากันที่สตูดิโอหลักก็นับว่าปรานีมากแล้ว ก่อนที่ร่างบางจะสูดลมหายใจลึกแล้วตัดสินใจเคาะประตู

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“เชิญครับ”

มือที่กำราวจับสั่นน้อยๆ ตอนที่ดันประตูเปิดเข้าไป ขณะที่สายตาเย็นยะเยือกของเจ้าของห้องหันมามองเธอในทันที ก่อนที่เรียวปากหยักได้รูปจะโค้งขึ้นน้อยๆ

“มาแล้วเหรอ...”

“คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันคะ”

ดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายจ้องกันราวกับประเมิน สีหน้าของดลธีไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จนเธอเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่เขาจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินอ้อมมาหา

“คิดว่าเรื่องอะไรล่ะ...”

“ไม่ทราบค่ะ”

“ยังจะทำเป็นไม่รู้อีก”

กลิ่นน้ำหอมลึกลับแทรกซึมเข้าสู่โสตประสาทของแพรวไพลินตอนที่คนตัวโตโน้มตัวเข้ามาใกล้ ร่างบางเผลอก้าวถอยหลังหนีก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ ยามที่ขาชนเข้ากับขอบโต๊ะทำงาน

“ถอยออกไปนะคะ...”

“กลัวเหรอ...”

“เปล่าสักหน่อย”

ดลธีวางมือทั้งสองข้างกับโต๊ะด้านหลังราวกับจะกักขังเธอให้อยู่ในวงแขน ขณะที่สายตาสะกดกันให้อยู่ในอำนาจจนไม่กล้าแม้แต่จะหลบตา ได้แต่ข่มความหวาดหวั่นนั้นไว้ภายในแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

“ฉันไม่ได้กลัวคุณเลยสักนิด”

“ก็เลยยังกล้ามาที่นี่อีกสินะ”

“แล้วทำไมถึงจะมาไม่ได้”

“จำที่ผมเคยบอกคุณก่อนหน้านี้ไม่ได้หรือไง”

‘แลกกับการที่คุณเคยช่วยผม ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่คุณเคยทำ แต่ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่’

“ทำไมคุณถึงยังมาที่นี่อีก”

“ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเป็นแฟนคลับจินนี่”

“คิดว่าผมจะเชื่องั้นสิ...”

ลมหายใจอุ่นที่รินรดอยู่ข้างแก้มทำเอาคนมีชนักติดหลังหูอื้อตาลาย ภาพความทรงจำเมื่อครั้งติดอยู่ภายใต้เรือนกายสูงฉายผ่านเข้ามาในหัว จะขยับตัวหนีไปไหนก็ไม่ได้เพราะตกอยู่ในวงแขนแข็งแกร่งของเขา

ทำยังไงดี...

เธอจะหนีออกไปจากห้องนี้ยังไงดี

“คุณจะทำอะไร ถอยไปนะคะ”

เสียงของหญิงสาวสั่นพร่า และมันคงปิดซ่อนความหวั่นไหวไว้ไม่มิด รอยยิ้มพรายของคนตรงหน้าถึงได้ฉายกว้างยิ่งกว่าเดิม

“ทำเป็นรังเกียจไปได้ คืนนั้นเราเข้ากันได้ดีมากเลยไม่ใช่เหรอ”

“พูดอะไรของคุณ ระหว่างเราไม่มีอะไรทั้งนั้น”

“นั่นสินะ ลืมไปว่าเรายังไม่เคย ‘เข้ากัน’ จริงๆ สักหน่อย”

“คุณดล!”

แพรวไพลินนึกอยากทำอะไรก็ได้ให้ชายหนุ่มเลิกมองกันด้วยสายตาวิบวับแบบนี้สักที ยิ่งอยู่ใกล้เขา ความอดทนของเธอก็ยิ่งน้อยลง แถมตอนนี้หัวใจก็เต้นโครมครามจนน่ากลัวว่าเขาจะได้ยินด้วย

“คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ระหว่างเราไม่ได้มีอะไร”

“ผมรู้...” ผู้บริหารหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ดวงตาจ้องมองเธอราวกับเสือร้ายที่กำลังมองเหยื่ออันโอชะ “เราไม่ได้มีอะไรกัน เพราะถ้ามี ผมคงจำได้ไม่ลืม...”

ร่างบางกัดริมฝีปากอย่างระงับอารมณ์ ไม่เข้าใจเลยว่าดลธีเป็นบ้าอะไรถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เขาควรจะลืมไปให้หมดว่าระหว่างเธอกับเขาไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แล้วตอนนี้เขาก็ควรถอยออกไปได้แล้ว!

“คุณต้องการอะไรกันแน่...” หญิงสาวโต้กลับเสียงเรียบ “ทำไมต้องตามไปที่ร้าน สืบประวัติส่วนตัวฉัน แล้วยังยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องเมื่อกี้อีก อย่าบอกนะว่าคุณหลงเสน่ห์ฉันแล้วจริงๆ”

ท่าทางเย่อหยิ่งของคนพูดทำให้ดลธีนึกอยากปิดปากอีกฝ่ายครามครัน ผ่านไปหลายปี ดูเหมือนแพรวไพลินจะอัปเลเวลความอวดดีของตัวเองขึ้นไปอีกโข แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองเริ่มจะถูกใจเธอเข้าแล้วจริงๆ

อยากกลั่นแกล้ง อยากเอาชนะ อยากทำให้เธอยอมสยบต่ออำนาจของเขา

“ทำไมเงียบไปล่ะ ฉันพูดแทงใจดำสินะ”

“แล้วคุณล่ะ รู้สึกอะไรกับผมบ้างไหม”

“ไม่เลยสักนิด”

“มั่นใจดีนี่”

“ไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อน”

แพรวไพลินจ้องตาชายหนุ่มกลับอย่างท้าทาย ยิ่งเห็นสายตาวาววับที่ทอดมองมา หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นไม่เป็นส่ำ พอเหลือบไปเห็นกลีบปากสีชมพูระเรื่อของเขาที่เคยแตะต้องกันก่อนหน้านี้ ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงคล้ายกำลังถูกสูบวิญญาณเสียอย่างนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

“งั้นมาลองพิสูจน์กันไหม”

“พิสูจน์อะไร...”

มือหนาเชยคางมนให้เงยขึ้นก่อนจะเพ่งพิศทุกสัดส่วนบนใบหน้านวลอย่างพิจารณา แววตาของคนตรงหน้าแฝงความดื้อรั้น ขณะที่ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับหวาดหวั่น ท่าทางของเธอทำให้มุมปากของดลธียกสูงขึ้นอย่างชอบใจ

เธอคิดผิดแล้วที่กล้าลองดีกับเขา

“ลองแบบเบาๆ ก่อนก็ละกัน...”

เบาๆ งั้นเหรอ

นี่เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?

ร่างบางเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนมาถอดแว่นสายตาออกจากใบหน้าของเธอ ดวงตาสีเข้มดำมืดลงด้วยอารมณ์บางอย่าง ก่อนที่เสียงแหบห้าวจะกระซิบที่ข้างหู

“ถอดออกก่อนนะ มันเกะกะ...”

และก่อนที่แพรวไพลินจะได้ถามอะไร กลีบปากอิ่มก็ถูกจู่โจมเข้าเสียแล้ว...


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น