บทที่ 8

8

พบเจอ

 

แม้จะเป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว แต่แพรวไพลินยังคงนั่งอ่านทวนข้อมูลที่เธอได้มาจากการปลอมตัวเข้าไปในรายการ The Idol เมื่อหลายวันก่อนราวกับจะจดจำรายละเอียดให้ได้มากที่สุด

จากการทำทีพูดคุยกับพนักงานคนอื่นๆ เพลงรักเป็นหนึ่งในทีมโพรดิวเซอร์ของรายการ The Idol ซีซันหนึ่ง แม้จะทำงานที่ดีพีโกลบอลมีเดียแค่สี่ปี แต่ความสามารถและผลงานของน้องก็เป็นที่ประจักษ์จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมเมื่อปีก่อน และเพราะรายการในซีซันแรกประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย เพลงรักจึงได้รับหน้าที่หัวหน้าทีมโพรดิวเซอร์ในซีซันสอง ทว่ายังไม่ทันจะเริ่มถ่ายทำรายการ หญิงสาวก็เสียชีวิตลงเสียก่อน

เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าเพลงรักฆ่าตัวตาย เพราะหญิงสาวเป็นคนมีความสามารถ แถมยังได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้ทำงานสำคัญหลายอย่าง ไม่มีทีท่าว่าเธอจะมีเรื่องทุกข์ใจจนตัดสินใจจบชีวิตตัวเองแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นการฆาตกรรมอีกเช่นกัน เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องของเธอเป็นคนจิตใจดีและเป็นที่รักของคนอื่น

ความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมงานทำให้แพรวไพลินเริ่มลังเลว่าการเสียชีวิตของเพลงรักอาจเป็นอุบัติเหตุ ทว่าเธอก็ยังไม่ปักใจเชื่อแบบนั้น เพราะพบความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับของใช้ส่วนตัวของคนเป็นน้อง

โทรศัพท์มือถือและโน้ตบุ๊กของเพลงรักหายไป

แม้จะเคยสอบถามเรื่องนี้กับทางตำรวจและองค์การนิติวิทยาศาสตร์ที่รับผิดชอบในการเก็บหลักฐาน ทว่าพวกเขาต่างยืนยันว่าไม่พบโทรศัพท์มือถือและโน้ตบุ๊กของน้องจริงๆ

แปลก...

ถ้าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ข้าวของสำคัญพวกนั้นจะหายไปได้ยังไง

กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!

เสียงกระดิ่งประตูหน้าร้านที่ดังขึ้น ทำให้ร่างบางละสายตาจากสมุดบันทึกก่อนจะพูดออกมาโดยอัตโนมัติ

“ขอโทษนะคะ ร้านของเราปิด...”

แพรวไพลินพูดไม่จบประโยคเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินเข้ามา ดวงตาสีนิลกวาดมองไปรอบๆ ราวกับประเมินอะไรบางอย่าง วินาทีที่เขาหันมาสบตากัน หัวใจของเธอก็คล้ายจะหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มเสียอย่างนั้น

ดลธี พฤกษดำรง

เขามาทำอะไรที่นี่...

“คุณอยู่ที่นี่จริงด้วย”

หญิงสาวเผลอก้าวถอยหลังเมื่อชายหนุ่มสาวเท้าเข้ามาใกล้ที่เคาน์เตอร์ ท่าทางของเธอคงปิดซ่อนความหวาดหวั่นไว้ไม่มิด ดวงตาของคนตรงหน้าถึงได้หรี่ลงราวกับจับผิด

“คุณ...ต้องการอะไรคะ”

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณครับ...คุณแพรว”

ปากกาที่อยู่ในมือร่วงหล่นลงกับพื้น ขณะที่ร่างสูงโน้มกายเข้ามาใกล้เคาน์เตอร์จนเธอสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา กลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นอบอวลไปทั่วโสตประสาท ขณะที่สายตาก็สะกดให้เธออยู่ในอำนาจ ได้แต่ข่มความหวาดหวั่นนั้นไว้ภายในแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

“คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน...”

“คุยที่นี่คงไม่เหมาะ ผมว่าเราออกไปข้างนอกกันดีกว่า”

พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไปจากร้านด้วยท่วงท่าสง่างาม ทิ้งให้คนมีชนักติดหลังต้องรีบเก็บสมุดบันทึกเข้าลิ้นชัก แล้ววิ่งตามอีกฝ่ายออกไป

แพรวไพลินพาแขกไม่ได้รับเชิญไปนั่งคุยกันในร้านกาแฟที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ไกลจากร้านดอกไม้ของตัวเองมากนัก นึกสงสัยว่าเขามาหาเธอทำไมในเวลามืดค่ำแบบนี้

ดลธี พฤกษดำรง

ผู้ชายที่เธอรู้จักตั้งแต่จำความได้

พ่อของแพรวไพลินเคยทำงานเป็นคนขับรถให้แก่พลเดช คุณพ่อของเขา ขณะที่แม่เป็นแม่บ้านประจำคฤหาสน์ของตระกูล เด็กหญิงแพรวไพลินอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่นั้นท่ามกลางความรักและความห่วงใยจากคนรอบตัว ทั้งลุงป้าน้าอาที่เป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อกับแม่ เจ้านายของบุพการีที่เห็นเธอเป็นเหมือนลูกสาวอีกคน หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงในบ้านก็ล้วนแล้วแต่วิ่งเล่นด้วยกันมาตลอด

พลเดชและคณนางค์ พฤกษดำรง ปฏิบัติกับแพรวไพลินไม่ต่างจากลูกแท้ๆ ของตัวเอง เธอได้เรียนโรงเรียนดีๆ ก็เพราะลุงพลเดชช่วยออกค่าเทอมให้ ได้สตางค์ไปซื้อขนมเพราะปู่พายัพให้รางวัลที่สอบได้ที่หนึ่ง มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่เพราะป้าคณนางค์เอ็นดูที่เธอช่วยรดน้ำต้นไม้ และอีกมากมายสารพัดอย่างที่เด็กสาวได้รับจากการเป็นเด็กในบ้านพฤกษดำรง จะมีก็แต่อิษยาเท่านั้นที่มองว่าเธอเป็นแค่ลูกคนใช้ แถมยังเสี้ยมสอนให้ลูกชายของตัวเองปฏิบัติกับเธอราวกับไม่ใช่คนอีก

แพรวไพลินไม่ค่อยได้สุงสิงกับคิมหันต์และเหมันต์มากนัก เพราะมารดาของอีกฝ่ายรังเกียจเดียดฉันท์เธอ แม้จะอายุมากกว่าพวกเขา แต่เด็กสองคนนั้นไม่เคยเรียกเธอว่าพี่ แถมยังปฏิบัติต่อเธอราวกับสิ่งของที่ไร้ตัวตนภายในบ้านอีกด้วย

และนั่นทำให้หญิงสาวแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคิมหันต์และเหมันต์ พฤกษดำรงเลย

ทว่าโลกคงเห็นว่าชีวิตของแพรวไพลินเรียบง่ายเกินไป เพราะหลังจากคลอดพลอยพรรณได้ไม่ถึงปี แม่ของเธอก็มาป่วยด้วยโรคร้ายตายจากไป ทิ้งให้เด็กน้อยทั้งสองต้องอาศัยอยู่กับพ่อแค่สามคน โชคดีที่คนในบ้านพฤกษดำรงคอยเลี้ยงดูและให้ความรัก โดยเฉพาะคณนางค์ที่ดูแลเธอกับพลอยพรรณราวกับลูกแท้ๆ เด็กหญิงทั้งสองจึงไม่รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป

และนั่นจึงทำให้ดลธีกลายมาเป็นเหมือนพี่ชายอีกคนของแพรวไพลิน

ไม่สิ...เขาเหมือนปีศาจร้ายในคราบพี่ชายมากกว่า

ลูกเจ้านายปฏิบัติกับเธอเหมือนลูกสมุนของเขา ไม่ว่าจะไปที่ไหน ดลธีก็จะให้เธอคอยติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด ทั้งตอนเรียนพิเศษ ไปเที่ยวเล่นกับแก๊งเพื่อน หรือทำงานกลุ่มนอกสถานที่ เธอก็ต้องตามเขาไปด้วยทุกครั้ง

แพรวไพลินรู้ดีว่าเป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้วที่ต้องทำตามคำสั่งลูกเจ้านาย แต่บางครั้งก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้เวลาถูกเพื่อนของเขาบูลลีว่าเธอเป็นแค่ลูกคนใช้ แม้คนพวกนั้นจะไม่ได้ล้อเลียนเธอต่อหน้าดลธี แต่เด็กสาวมั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเลือกปิดปากเงียบเพราะไม่อยากมีปัญหากับเพื่อน

ถึงจะไม่ชอบดลธีอยู่บ้าง เพราะสายตาแข็งกระด้างและท่าทีเย็นชาที่มีให้กัน แต่เด็กหนุ่มก็มีข้อดีที่แพรวไพลินเองก็คาดไม่ถึง เขามักจะเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้เธอ ช่วยติวหนังสือให้ในวิชาที่เธอไม่ถนัด คอยไปรับไปส่งเธอที่โรงเรียน หรือแม้กระทั่งวันที่แมวจรที่เธอแอบให้ข้าวถูกรถชน ดลธีก็มาคอยซับน้ำตาให้เธอ

พี่ดลคนใจร้ายอยู่ข้างๆ เธอเสมอ...

ทั้งๆ ที่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับดลธีเป็นเหมือนคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะหลังจากที่ลุงพลเดชและป้าคณนางค์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนไปพร้อมๆ กับพ่อของเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

ดลธีทำตัวเย็นชากับเธอมากขึ้น เขาไม่ชวนเธอไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนแต่ก่อน ไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายเวลาที่เจอหน้า จนเมื่อเรียนจบปริญญาตรี ชายหนุ่มก็ตัดสินใจบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา โดยไม่บอกอะไรเธอสักคำ

ใจร้ายจริงๆ

หลังจากคนเป็นพี่ไปต่างประเทศได้ไม่ถึงเดือน สวรรยาก็มารับเธอกับพลอยพรรณไปอยู่ด้วย โดยที่พายัพเองก็ยินยอมเพราะสงสารที่เธอและน้องสาวมักจะถูกอิษยากลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ แล้วปู่เองก็คิดว่าถ้าพวกเธอได้ไปอยู่กับญาติ อาจจะช่วยคลายความคิดถึงพ่อกับแม่ได้บ้าง

ในที่สุด ฐานะเด็กรับใช้ในบ้านพฤกษดำรงตลอดระยะเวลาสิบเจ็ดปีของแพรวไพลินก็สิ้นสุดลง พร้อมกับความทรงจำเกี่ยวกับพวกเขาที่ค่อยๆ เลือนหายตามไปด้วย

แล้วหลังจากนั้น...เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับคนในตระกูลพฤกษดำรงอีกเลย

“ผมชื่อดลธี คุณคงรู้จักอยู่แล้ว”

“ฉันชื่อแพรวนภา ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

ร่างสูงมองท่าทีเย่อหยิ่งของคนพูดอย่างพิจารณา หลังจากให้เลขาฯ คู่ใจไปตามสืบเกี่ยวกับผู้หญิงที่ช่วยชีวิตตัวเอง เขาก็ได้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตัวเธอ 

ทั้งเรื่องจริงและ...เรื่องไม่จริง

แพรวนภา มหารัตน์

หรือชื่อจริงคือ แพรวไพลิน จินตระการ เธอเรียนจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์เคมี แต่กลับเลือกประกอบอาชีพเป็นนักจัดดอกไม้ หญิงสาวใช้ชื่อปลอมสมัครเข้าไปเป็นพนักงานชั่วคราวของรายการ The Idol วัยรุ่นวัยฝัน แล้วยังเคยแฝงตัวไปเป็นแขกคนหนึ่งในงานเลี้ยงของห้างดิเอ็มเมอรัลเมื่อหลายคืนก่อนด้วย

อลิซน้อยคนนั้น...

คนที่ดึงดูดสายตาเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น

แถมยังเป็นคนเดียวกับเด็กสาวที่เคยอยู่ในบ้านพฤกษดำรงเมื่อหลายปีก่อนด้วย

“คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันคะ”

“ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นเจ้าของร้านดอกไม้” ดลธีพูดเสียงขรึมพลางทอดสายตามองไปยังร้านดอกไม้ไพลินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “คุณเปิดร้านนี้มานานแล้วเหรอ”

“คุณมาหาฉัน เพราะจะถามแค่นี้เหรอคะ”

“เปล่า...”

หญิงสาวมองแววตาเคร่งขรึมของคนพูดอย่างประเมิน แม้จะไม่มั่นใจนัก แต่แพรวไพลินก็หวังว่าดลธีจะจำไม่ได้ว่าเธอกับเขาเคยพบกันที่งานเลี้ยงของห้างดิเอ็มเมอรัลมาก่อน แถมเธอยังเคยเป็นเด็กรับใช้ในบ้านของเขาอีกด้วย

ได้โปรด...

ขอให้เขาจำเธอไม่ได้ด้วยเถอะ

“คุณไปทำงานเป็นพนักงานสัญญาจ้างของ The Idol ทำไมครับ”

ร่างบางชะงักงันเพราะไม่คิดว่าจะถูกจับได้เร็วปานนี้ ทว่าก็ฝืนจ้องตาอีกฝ่ายกลับ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เหงื่อไหลซึมตามฝ่ามือเต็มไปหมด

“คุณพูดเรื่องอะไร...”

“เราเคยติดอยู่ด้วยกันในลิฟต์”

“คุณคงจะจำคนผิด”

“ผมจำกลิ่นน้ำหอมคุณได้”

“เป็นหมานี่เอง”

ดลธีมองหญิงสาวอย่างไม่ชอบใจกับคำพูดแสลงหูนั้น ยิ่งเห็นรอยขบขันที่ปรากฏอยู่ในแววตาของเธอก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง ข้อมูลเชิงลึกที่พฤกษ์หามาให้ ทำให้เขารู้ว่าแพรวไพลินเป็นญาติกับเพลงรัก พนักงานของดีพีที่เพิ่งเสียชีวิตจากการตกจากอาคารเมื่อเดือนก่อน โดยที่ตอนนี้ทางตำรวจก็ยังไม่สามารถไขคดีนี้ได้ แล้วดลธีก็เดาว่าแพรวไพลินคงแฝงตัวเข้ามาในบริษัทเพื่อจะสืบเรื่องนี้

ไม่รู้เป็นเพราะหญิงสาวจำกันไม่ได้จริงๆ หรือจำได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก เธอถึงได้มีท่าทีเย็นชากับเขาแบบนี้

“ว่ายังไงครับ คุณไปทำงานที่นั่นทำไม”

“ฉันเป็นแฟนคลับของจินนี่” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ แม้ดลธีจะไม่อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัย แต่เขาก็เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของดีพีโกลบอลมีเดีย เขาย่อมมีส่วนรู้เห็นกับการปกปิดสาเหตุการตายของเพลงรัก

แล้วเธอก็ไม่ควรไว้ใจเขา

“แฟนคลับ?”

“ฉันติดตามผลงานของจินนี่มานาน ได้ข่าวว่าเธอจะเข้าร่วมแข่งขันรายการเซอไววัล ฉันก็เลยสมัครเป็นทีมงานเพราะอยากใกล้ชิดกับเธอ”

แพรวไพลินมั่นใจว่าเหตุผลของตัวเองฟังขึ้น จินนี่ จิรัชยาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่สองปีก่อน ได้รับความนิยมจากการร้องเพลงคัฟเวอร์ลงช่องยูทูบ ก่อนจะถูกชักชวนให้เซ็นสัญญาเป็นเด็กฝึกกับค่ายเพลงแห่งหนึ่ง แม้ในระยะหลังกระแสของเธอจะเริ่มซาลงเพราะมีศิลปินหน้าใหม่แจ้งเกิดมากขึ้น แต่จินนี่ก็ยังมีแฟนคลับจำนวนหนึ่งที่คอยติดตามอย่างเหนียวแน่น

“แล้วที่คุณแฝงตัวไปเป็นแขกในงานเลี้ยงของห้างดิเอ็มเมอรัลล่ะ”

“เหตุผลเดียวกัน ฉันได้ยินว่าจินนี่จะเข้าร่วมงานในฐานะแบรนด์เฟรนด์ของห้าง ก็เลยปลอมตัวเป็นแขกไปดักเจอเธอ”

โกหก...

แพรวไพลินกำลังโกหกเขาอยู่แน่ๆ

ดลธีจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง คนอะไรกล้าหลอกเขาหน้าซื่อตาใส แม้เหตุผลของเธอจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะทุกวันนี้ก็มีคนบางพวกทำพฤติกรรมแบบนั้น ทั้งคุกคามความเป็นส่วนตัวของศิลปิน ทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์ตามติดชีวิตคนอื่น แต่ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่าแพรวไพลินจะเป็นแฟนคลับของจินนี่จริงอย่างที่พูด

ทว่าเขาก็หาหลักฐานมาหักล้างข้ออ้างของเธอไม่ได้

“คุณไม่ควรทำแบบนั้น”

“ก็ฉันอยากอยู่ใกล้ศิลปินที่ตัวเองชอบนี่ คุณเองก็อยู่วงการนี้มานาน น่าจะเข้าใจดีนะคะ”

แม้สีหน้าจะยังราบเรียบ ทว่าภายในใจของดลธีกลับขุ่นมัวที่เค้นความจริงจากอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่อยากเชื่อว่าเด็กเมื่อวานซืนที่เคยวิ่งเล่นในบ้านของเขาจะกลายเป็นคนปีกกล้าขาแข็งขนาดนี้

“ฉันทำอะไรผิดเหรอคะ ในเมื่อฉันเองก็สมัครเข้าไปเป็นพนักงานสัญญาจ้างตามระเบียบของดีพีทุกอย่าง แถมยังตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งโดยไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครด้วย คุณคงไม่ใช้อำนาจไล่ฉันออกอย่างไม่เป็นธรรมหรอกใช่ไหมคะ”

ร่างสูงสูดลมหายใจลึกอย่างสะกดกลั้น มองแววตาท้าทายของคนพูดอย่างนึกหงุดหงิด ถึงจะรู้ดีว่าแพรวไพลินใช้ประวัติส่วนตัวปลอมสมัครเข้าทำงาน แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขารู้ความจริงอะไรบ้าง จนกว่าจะหญิงสาวจะยอมสารภาพว่าทำแบบนี้เพราะอะไร

“แลกกับการที่คุณเคยช่วยชีวิตผม ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่คุณเคยทำ แต่ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่”

หญิงสาวมองดวงตาทรงอำนาจของคนพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะผ่านไปนานหลายปี แต่ดลธีก็ยังมองเธอด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามไม่ต่างจากเมื่อก่อน เขาลุกจากเก้าอี้แล้วก้าวมาหยุดตรงหน้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายจะอ่อนลงไปเล็กน้อยว่า

“แล้วก็ขอบคุณ...ที่ช่วยชีวิตผม”

ดลธีทอดสายตามองทิวทัศน์เบื้องนอกโดยที่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้ายังคงติดอยู่ในหัว ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ออกมาจากร้านกาแฟจนกระทั่งนั่งรถมาจนเกือบถึงบ้าน สีหน้าเย็นชาของแพรวไพลินก็ยังฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเขา

‘ฉันชื่อแพรวนภา ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ’

โกหกกันชัดๆ

นี่คิดว่าเขาจำเธอไม่ได้หรือไง

‘คุณมาหาฉันเพราะจะถามแค่นี้เหรอคะ’

‘เป็นหมานี่เอง’

‘ฉันทำอะไรผิดเหรอคะ ในเมื่อฉันเองก็สมัครเข้าไปเป็นพนักงานสัญญาจ้างตามระเบียบของดีพีทุกอย่าง แถมยังตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งโดยไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครด้วย คุณคงไม่ใช้อำนาจไล่ฉันออกอย่างไม่เป็นธรรมหรอกใช่ไหมคะ’

อวดดีไม่เคยเปลี่ยน...

คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าพูดเสียงแข็งใส่เขาแบบนั้น

ตลอดสิบกว่าปีที่ไม่ได้เจอหน้ากัน นอกจากรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทางที่ดูจะเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นแล้ว นิสัยของแพรวไพลินไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด

เธอยังดื้อดึงและท้าทายความอดทนของเขาอยู่เสมอ

ชายหนุ่มหลับตาข่มอารมณ์ ไม่อยากยอมรับว่าวินาทีที่ได้เห็นใบหน้าหวานละมุนของเธอ หัวใจที่ด้านชาอยู่เสมอกลับสั่นไหวไปชั่วขณะ อาจเพราะหญิงสาวมีใบหน้าและรูปร่างตรงตามรสนิยมของเขา แถมทัศนคติของเธอก็ยังชวนให้ค้นหา กำแพงน้ำแข็งที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อปิดกั้นตัวเองจากคนอื่นถึงได้เริ่มสั่นคลอนแบบนี้

แถมเธอยังเป็นผู้หญิงคนเดียวกับ...เด็กน้อยคนนั้น

คนที่เคยทำให้หัวใจของเขารู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดกับใครมาก่อน

‘ความหมายของดอกโพรเทียคือความแตกต่าง ไม่เหมือนใคร แม้จะอยู่รายล้อมด้วยผู้คนมากมาย แต่สายตาของฉันก็มองเห็นแค่คุณ...’

โพรเทียงั้นเหรอ...

ชักอยากจะรู้แล้วว่าถ้ายัยเด็กนั่นรู้จักตัวตนของเขาจริงๆ เธอจะยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม

รอยยิ้มพรายแต่งแต้มที่มุมปาก ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร. หาใครบางคน ทั้งที่รู้ดีว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว

“ผมเลิกงานแล้วนะครับบอส”

น้ำเสียงงัวเงียของคนปลายสายทำให้มุมปากของดลธียกสูงขึ้น ทว่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกผิดแต่อย่างใด ถึงจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนลูกน้องหลังเวลาเลิกงาน แต่สิ่งที่เขากำลังจะสั่งต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องด่วนที่ปล่อยเอาไว้นานไม่ได้

“ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยหน่อย”

“เรื่องอะไรทำไมต้องด่วนเบอร์นี้ล่ะครับ ผมกำลังจะเคลิ้มหลับเลย บอสก็รู้ว่าถ้าตื่นแล้ว ผมนอนต่อยากแค่ไหน”

“ผมให้โอทีคุณห้าเท่าเลย”

“บอสต้องการอะไรว่ามาเลยครับ!”

ผู้บริหารหนุ่มนึกหมั่นไส้กับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของลูกน้อง ตะกี้ยังบ่นงัวเงียงึมงำเป็นหมีกินผึ้งอยู่เลย มาตอนนี้เสียงใสเป็นนกไนติงเกลซะแล้ว

“ช่วยหาภาพจากกล้องวงจรปิดทุกตัวของอาคารในวันที่เพลงรักเสียชีวิตให้หน่อย”

“บอสจะเอาไปทำอะไรครับ”

ร่างสูงก้มลงมองสร้อยข้อมือลายดอกกุหลาบที่อยู่ในมือด้วยแววตาคมปลาบ ยิ่งนึกถึงแววตารั้นๆ ของคนเป็นเจ้าของด้วยแล้ว หัวใจก็ยิ่งเต้นระรัวอย่างกระหายในชัยชนะ ก่อนที่เขาจะตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“พิสูจน์ความจริง”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น