บทที่ 7

7

ฮีโร

 

แพรวไพลินกดวางสายโทรศัพท์หลังจากที่โทร. ไปบอกพลอยพรรณว่าเธอกำลังจะออกจากสตูดิโอหลักของรายการ The Idol ก่อนสาวเท้าอย่างรวดเร็วตรงไปทางลิฟต์ แล้วกดปุ่มลงเพื่อจะไปยังลานจอดรถที่น้องสาวรออยู่

ติ๊ง!

หญิงสาวชะงักเมื่อเห็นว่าเมื่อลิฟต์เปิดออก ร่างสูงของใครบางคนที่วนเวียนอยู่ในหัวของเธอมาหลายคืนกำลังยืนอยู่ตรงหน้า แววตาและท่าทางของเขาดูทรงอำนาจไม่ต่างจากครั้งก่อนที่พบกัน ทำเอาคนที่มีชนักติดหลังเกิดนึกกลัวขึ้นมาไม่ได้

แย่ละสิ...

ทำไม ดลธี พฤกษดำรง ถึงมาอยู่ที่นี่ได้!

หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปหลบอยู่มุมในสุดของลิฟต์ ภาวนาให้ชายหนุ่มจำกันไม่ได้ แม้จะรับรู้ว่าเขากำลังชำเลืองมาที่เธออย่างสงสัย แต่แพรวไพลินก็ทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มหน้ามองพื้นตามเดิม

“ชั้นไหนครับ”

ร่างบางสะดุ้งน้อยๆ เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะถามขึ้นมา พยายามรวบรวมสติที่เตลิดเปิดเปิงของตัวเองให้กลับคืนมา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

“ห้า...ชั้นห้าค่ะ”

ให้ตายสิ...เสียงเธอสั่นเป็นบ้า

ถ้าดลธีไม่สงสัยก็แปลกแล้ว!

ทว่าผู้บริหารหนุ่มเพียงพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับไปตามเดิม ระยะทางระหว่างชั้นสิบหกไปจนถึงชั้นห้าช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกของหญิงสาว ใครจะไปคิดว่ายังไม่ทันที่ลิฟต์จะเคลื่อนไปถึงจุดหมาย ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน

โครม!

“โอ๊ย!”

แพรวไพลินเซถลาไปชนกับผนังก่อนจะทรุดลงกับพื้น ดูเหมือนจู่ๆ ลิฟต์จะขัดข้องถึงได้หยุดเคลื่อนที่กะทันหัน หญิงสาวจับต้นแขนข้างที่ถูกกระแทกของตัวเอง เดาว่าคงได้มีรอยช้ำกลับบ้านอีกตามเคย

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ”

ดลธีช่วยประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นก่อนจะตรงไปกดปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉิน พอได้ยินเสียงตอบรับจากเจ้าหน้าที่ก็รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทันที

“ลิฟต์หมายเลขสองขัดข้องครับ ตอนนี้ติดอยู่ที่ชั้นสิบ มีคนอยู่ในลิฟต์สองคน”

“รอสักครู่นะครับ เจ้าหน้าที่กำลังเข้าไปดู”

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะผละออกมาสำรวจอาการบาดเจ็บของผู้ร่วมประสบภัยอีกคน “คุณไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนแน่นะครับ”

“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

ดลธีพยักหน้า มองคนที่ลนลานขยับตัวออกห่างเขาอย่างงุนงง หญิงสาวคงไม่เคยเจอสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ หรืออาจกำลังกลัวเขาในฐานะผู้ชายแปลกหน้าที่จับพลัดจับผลูต้องมาอยู่กับเธอสองต่อสอง ถึงได้แสดงท่าทีหวาดกลัวแบบนั้น

“คุณทำงานแผนกไหนเหรอครับ” ผู้บริหารหนุ่มชวนคุยเพราะหวังจะช่วยลดทอนความเครียดให้อีกฝ่าย 

“ฉัน...ฉันเป็นพนักงานสัญญาจ้างของรายการ The Idol ค่ะ”

ร่างสูงเลิกคิ้วกับท่าทางเลิ่กลั่กของอีกฝ่าย ทว่าก็คิดเอาเองว่าหญิงสาวคงยังปรับตัวไม่ได้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สติก็เลยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ครืด! ครืด!

ลิฟต์กลับมาเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ขณะที่แพรวไพลินมองหน้าจอบอกชั้นพลางภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ลิฟต์รีบเคลื่อนไปถึงชั้นห้าเร็วๆ

ติ๊ง!

ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างบางก็รีบพุ่งตัวออกไปโดยไม่สนใจคนร่วมชะตากรรมเดียวกัน เวลานี้เธอต้องหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะถ้าเกิดดลธีจำได้ขึ้นมาว่าเธอคือใคร ความลับที่เธอปลอมตัวมาเป็นพนักงานชั่วคราวของ The Idol ก็จะถูกเปิดเผย

“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนครับ!”

หญิงสาวไม่สนใจเสียงร้องเรียกด้านหลัง เธอวิ่งตรงไปยังลานจอดรถก่อนจะมองซ้ายมองขวาเพื่อหารถของพลอยพรรณไปด้วย ทว่าเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังแทรกขึ้นมา ก็ทำให้เธอชะงักก่อนจะหันกลับไปมองทางต้นเสียง

พลั่ก! พลั่ก!

ร่างบางเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าดลธีกำลังถูกชายชุดดำคนหนึ่งชกเข้าไปที่ใบหน้าเต็มแรงจนล้มไปกองกับพื้น พอผู้บริหารหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นสู้ มันก็กระชากตัวเขาขึ้นมาแล้วชกไปที่ลำตัวอีกหลายจุด

แย่ละสิ...

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ดลธีได้ถูกทำร้ายจนตายแน่

ร่างบางกดโทรศัพท์หาน้องสาวอย่างลนลานโดยที่สายตาก็ยังจ้องเหตุการณ์ไม่คาดฝันเบื้องหน้า คนร้ายเป็นชายร่างสูงรูปร่างสันทัดและสวมหน้ากากไอ้โม่ง ดูทรงแล้วมันไม่น่าทำร้ายดลธีแค่เพราะต้องการชิงทรัพย์ เพราะไม่งั้นคงรีบขโมยของมีค่าของเขาหนีไปแล้ว

“ฮัลโหล พลอย!”

“อยู่ไหนแล้วเจ๊ หนูสตาร์ตรถรอแล้วเนี่ย”

“แกรีบโทร. แจ้ง รปภ.ของดีพีที บอกว่าคุณดลธีถูกทำร้ายอยู่ที่ลานจอดรถชั้นห้า”

“อะไรนะ! เกิดอะไรขึ้นเจ๊! แล้วทำไมเขาถึง...”

“ตอนนี้อย่าเพิ่งถาม รีบโทร. แจ้ง รปภ. เร็ว!”

หญิงสาวกดวางสายแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาชายร่างยักษ์ เธอเอากระเป๋าสะพายฟาดหัวอีกฝ่ายเต็มแรงจนเจ้าตัวเซถลา ก่อนจะอาศัยจังหวะที่คนร้ายไม่ทันตั้งตัว ชกไปที่ใบหน้าของมันซ้ำจนทรุดลงกับพื้น

“รีบหนีเร็วคุณ!” แพรวไพลินพูดพลางพยุงร่างของดลธีให้ลุกขึ้น ทว่ายังไม่ทันจะก้าวไปไหน เส้นผมของเธอก็ถูกกระชากจากทางด้านหลัง ก่อนที่มือหนาจะฟาดลงมาที่ใบหน้าทันที

เผียะ!

ร่างบางทรุดลงกับพื้นเคียงข้างใครอีกคนที่สะบักสะบอมไม่ต่างกัน แว่นสายตาที่สวมอยู่หล่นแตกกระจัดกระจาย ก่อนที่ร่างใหญ่จะย่างสามขุมเข้ามาหาพร้อมมีดสั้นในมือ

“มึงแส่หาเรื่องเองนะ”

แพรวไพลินพยายามยันกายลุกขึ้นยืน ทว่าเรี่ยวแรงที่มีสลายหายไปหมดเมื่อได้สบกับแววตาเคียดแค้นของคนตรงหน้า แม้จะไม่เห็นใบหน้าของคนร้ายเพราะมันสวมหน้ากากไอ้โม่ง แต่ขนในกายของเธอก็ตั้งชันอย่างหวาดกลัวเพราะรัศมีอาฆาตที่แผ่ออกมาจากคนร่างสูง

ใครก็ได้...

ใครก็ได้ช่วยพวกเธอด้วย...

หญิงสาวพยายามคลานไปบังร่างของดลธีที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง รู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่เป้าหมายหลักของคนร้าย แต่เป็นอีกคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่ใกล้ๆ ถึงจะเป็นความพยายามที่สูญเปล่า แต่เธอก็อยากถ่วงเวลาไว้ เผื่อจะมีใครสักคนเข้ามาช่วย

“อย่าเข้ามานะ!”

“ช่วยไม่ได้! มึงอยากมาเสือกเองทำไม!”

แพรวไพลินจ้องสายตาแข็งกระด้างของคนพูด อันที่จริงเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงตัดสินใจทำแบบนี้ เธอกับดลธีไม่ได้เป็นอะไรกัน ใช้คำว่าคนรู้จักก็ดูจะสนิทสนมเกินไปด้วยซ้ำสำหรับคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสิบกว่าปี ทว่ายังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะทำอะไร เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน

“หยุดนะ!”

ร่างยักษ์สะดุ้งสุดตัว หญิงสาวจึงใช้จังหวะนั้นเตะไปที่มือของมันจนมีดสั้นหล่นกับพื้น พอคนร้ายเห็นกลุ่ม รปภ. หลายนายที่กำลังวิ่งเข้ามาก็รีบลนลานหนีไป

แพรวไพลินหันกลับไปมองคนที่นอนสะบักสะบอมข้างกันอย่างนึกห่วง พอเห็นว่าผู้บริหารหนุ่มลืมตาขึ้นก็ตั้งใจจะเข้าไปช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้นยืน ทว่าเสียงโหวกเหวกโวยวายของกลุ่มพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ทำให้เธอเปลี่ยนใจหยิบกระเป๋าที่ตกอยู่บนพื้นแล้ววิ่งหนีไปอีกทาง

“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนคุณ”

ดลธีพยายามร้องเรียกฮีโรที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้ ทว่าเสียงที่ดังออกมากลับบางเบาไม่ต่างจากความเงียบ เขาเอามือกุมท้องที่ยังคงปวดระบมก่อนจะทรุดลงกับพื้นตามเดิม

“คุณดล! อย่าเพิ่งขยับตัวนะครับ!”

“ไม่...ผมไม่...”

พฤกษ์รีบสำรวจอาการบาดเจ็บของผู้เป็นนาย ทว่าดลธีก็ยังเอาแต่ชี้ไม้ชี้มือไปยังทิศทางที่ใครบางคนเพิ่งหนีไป แล้วร้องเรียกอีกฝ่าย

“เดี๋ยว...เดี๋ยวคุณ”

ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว...

ชายหนุ่มค้อมหัวขอบคุณพยาบาลที่ช่วยทำแผลให้ก่อนจะลองขยับแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บ มั่นใจว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับเพราะอาการปวดระบมไปทั้งตัวนี่แน่นอน

“ยังไงหมอว่าพักรักษาตัวที่นี่สักสองถึงสามวันก่อนนะครับ แล้วก็ทานยาให้ครบตามเวลา เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามาประเมินอาการกันใหม่”

“ขอบคุณมากครับ”

กลุ่มแพทย์และพยาบาลพยักหน้ารับก่อนจะพากันเดินออกไป พอเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลออกไปจนหมดห้องแล้ว พฤกษ์ก็ก้าวมาที่เตียงคนไข้อีกครั้ง

“ค่อยๆ ขยับนะครับบอส โชคดีนะที่กระดูกไม่หัก อายุคุณยิ่งไม่ใช่น้อยๆ แล้วด้วย”

“ผมเพิ่งจะสามสิบสาม”

เลขาฯ หนุ่มยิ้มเผล่ให้ผู้เป็นนายที่มองค้อนเขาด้วยท่าทางไม่ชอบใจ ก่อนที่ดลธีจะถามเสียงขรึม

“แล้วไปตรวจสอบเรื่องนั้นมาหรือยัง ได้อะไรมาบ้าง”

“ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ลานจอดรถเห็นหน้าคนร้ายไม่ชัดครับ แล้วยิ่งมันสวมหมวกไอ้โม่งด้วยแล้ว ก็ยิ่งระบุตัวยากเข้าไปใหญ่ แถมกล้องวงจรปิดที่ชั้นหนึ่งก็เพิ่งเสียด้วย”

ดลธีเลิกคิ้วกับความบังเอิญที่ไม่ควรเกิดขึ้น นึกสงสัยว่าคนร้ายอาจเป็นคนใกล้ตัว ถึงได้รู้ตารางงานของเขาเป็นอย่างดีจนมาดักเจอในช่วงเวลานี้ได้

“ตอนนี้ทีมรักษาความปลอดภัยกับตำรวจกำลังช่วยกันสืบสวนอยู่ครับ คงจะจับตัวคนร้ายได้เร็วๆ นี้”

“มีอีกคนที่ผมอยากให้คุณช่วยตามหา...”

“ใครเหรอครับ”

พฤกษ์มองสีหน้าเคร่งขรึมของผู้เป็นนายราวกับรอคำสั่ง ขณะที่ดลธีก้มลงมองสร้อยข้อมือลายดอกกุหลาบในมือของตัวเองก่อนจะตอบเสียงนิ่ง

“ผู้หญิงคนนั้น...คนที่ช่วยชีวิตผม”

 

โต๊ะอาหารของคฤหาสน์พฤกษดำรงวันนี้ครึกครื้นกว่าทุกวันเพราะนอกจากจะมีผู้ร่วมโต๊ะขาประจำอย่างดลธีที่มักจะแวะเวียนมารับประทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนปู่อยู่เสมอแล้ว ก็ยังมีพัลลภ ลูกชายคนโตและอิษยา ลูกสะใภ้ รวมทั้งคิมหันต์และเหมันต์หลานชายคนรองและคนเล็กของตระกูลอีกด้วย

ปัจจุบันตระกูลพฤกษดำรงมีสมาชิกทั้งหมดหกคน โดยมีพายัพเป็นประมุขใหญ่ของบ้าน และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของดีพีโกลบอลมีเดีย เขามีลูกชายสองคนคือพัลลภและพลเดช ขณะที่ภรรยาเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน

พายัพมอบตำแหน่งรองประธานบริษัทให้ลูกชายคนเล็กเป็นผู้ดูแล ทว่าหลังจากที่พลเดชและภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อสิบสองปีก่อนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตำแหน่งนี้ก็ว่างลง

แน่นอนว่าคนทั่วไปเดาว่าตำแหน่งรองประธานบริษัทจะตกไปเป็นของพัลลภ ลูกชายคนโตที่เคยเป็นตัวเก็งรับตำแหน่งนี้ตั้งแต่แรก ทว่าพายัพกลับปล่อยให้ตำแหน่งนี้ว่างอยู่หลายปี ก่อนจะให้หลานชายคนโตที่เป็นลูกชายคนเดียวของพลเดชมารับหน้าที่แทน

การตัดสินใจของพายัพสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่ต้องรับตำแหน่งอย่างดลธี เขาไม่คิดว่าคุณปู่จะไว้ใจกันมากขนาดนี้ เพราะในตอนนั้นชายหนุ่มเพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา ถือว่ายังใหม่มากสำหรับเกมธุรกิจ แม้จะมีคนอีกไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของพายัพ ทว่าดลธีก็สามารถพิสูจน์ตัวเองและกลายมาเป็นรองประธานบริษัทที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน

“แล้วนี่อาการเป็นยังไงบ้างตาดล ปู่บอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่ต้องมากินข้าวด้วยกันก็ได้ นี่ก็เพิ่งออกจากโรง’บาลไม่ใช่เหรอ”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากครับ ตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้ว แค่ออกกำลังกายผิดท่าเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ เขาจงใจปกปิดความจริงเพราะไม่อยากให้ปู่เป็นห่วง ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าคนร้ายคือใคร ไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย คนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว อายุแกก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วด้วย ไม่รู้จะคึกอะไรนักหนา”

“ผมเพิ่งจะสามสิบสามเองนะปู่ พูดเหมือนผมเป็นคนแก่ไปได้”

พายัพส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับท่าทางยียวนของหลานชายคนโต ก่อนจะหันไปทางคนที่นั่งอยู่ไกลสุด

“แล้วตาเหมทำงานเป็นยังไงบ้าง ปรับตัวกับเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้หรือยัง”

“ก็ดีครับ” เจ้าของชื่อตอบสั้นๆ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองคนถาม เหมันต์ พฤกษดำรง เป็นคนพูดน้อยและโลกส่วนตัวสูงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าไม่นับช่วงเวลาที่ออกไปทำงานที่ออฟฟิศ ชายหนุ่มมักจะเก็บตัวเงียบๆ อยู่แต่ในห้อง ทำเหมือนคนไร้ตัวตนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

“ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ ถึงจะเป็นหลานปู่ แต่ก็อย่าให้ใครมาว่าเอาได้ว่าเราได้งานที่นี่เพราะเส้นสาย”

“ครับ”

“แล้วแขนตาคิมไปโดนอะไรมา ทำไมใส่เฝือกแบบนั้น”

คิมหันต์ชะงักมือที่กำลังหั่นสเต๊กก่อนจะเงยหน้ามองผู้เป็นปู่ที่เปลี่ยนเป้าหมายมาถามตนเอง แล้วตอบเสียงขรึม

“พอดีมีอุบัติเหตุที่กองถ่ายน่ะครับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“คราวหน้าคราวหลังก็ระวังตัวดีๆ ล่ะ เกิดต้องหยุดถ่ายทำเพราะแกขึ้นมา คนอื่นเขาได้เดือดร้อนไปด้วย”

“คิมเขาตั้งใจทำงาน รู้จักหน้าที่ตัวเองดีค่ะคุณพ่อ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” อิษยาพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจของลูกชายคนโต

“รู้หน้าที่ก็ดีแล้ว เรื่องที่โดนหาว่าเมาแล้วขับก็เพิ่งจะซาไป อย่าเที่ยวสร้างเรื่องใหม่ให้พ่อกับแม่แกต้องมาคอยตามเช็ดตามล้างอีก แค่นี้ก็เดือดร้อนกันมากพอแล้ว”

อิษยามองสีหน้าอึดอัดใจของคิมหันต์พลางกำมือแน่นอย่างระงับอารมณ์ เธออุตส่าห์วางแผนให้ลูกชายคนโตทำงานในวงการบันเทิงเพื่อจะเอาใจพ่อสามี ส่วนเหมันต์ที่เรียนจบวิศวกรรมศาสตร์ เอกคอมพิวเตอร์ก็ให้มาทำงานในแผนกไอทีของบริษัทเพื่อให้สร้างผลงานและมีคอนเนกชัน แต่ดูเหมือนว่าลูกชายของเธอจะไม่อยู่ในสายตาของชายชราเลยสักนิด เขาเอาแต่ถือหางเข้าข้างดลธี เป็นห่วงเป็นใยก็แต่หลานชายคนโตเท่านั้น

“แหม! คุณพ่อคะ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ไม่มีใครพูดถึงแล้วละค่ะ ตอนนี้มีแต่คนชมฝีมือคิมในละครเรื่องล่าสุดกันทั้งนั้น เห็นว่าอาจได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วยนะคะ”

“เพราะแบบนี้เธอก็เลยให้ตาคิมไปรับหน้าที่เมนเทอร์ในรายการ The Idol เหรอ”

การเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันของชายชราทำให้หญิงวัยกลางคนชะงัก เธอเหลือบไปมองดลธีอย่างไม่พอใจทันที เพราะเดาว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนคาบข่าวมาบอกประมุขของบ้าน

“ใช่ค่ะ หนูเห็นว่าลูกเหมาะกับงานนี้ แล้วเขาเองก็อยากได้ประสบการณ์ใหม่ๆ นอกจากการเล่นละครด้วย ทางทีมโพรดิวเซอร์เองก็ไม่มีใครคัดค้าน”

“แล้วจะเริ่มถ่ายทำเมื่อไหร่”

“เริ่มอัดตอนหลักอาทิตย์หน้าค่ะ”

“งั้นเธอก็ดูแลให้ดีๆ ล่ะ ตาคิมเพิ่งจะมีข่าวเสียหายไป มีโอกาสโดนขุดคุ้ยได้ทุกเมื่อ”

“ค่ะ คุณพ่อ”

อิษยาซ่อนความไม่พอใจไว้ในสีหน้าที่นิ่งสงบ นึกโกรธพ่อสามีที่ทำเหมือนไม่เห็นด้วยที่คิมหันต์รับหน้าที่นี้ ทั้งๆ ที่ลูกชายของเธอเป็นพระเอกหน้าใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม แต่พายัพก็ยังมองคิมหันต์เป็นแค่นักแสดงปลายแถวอยู่ได้

“แล้วเรื่องพนักงานที่เสียชีวิตคนนั้นล่ะ แกจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยังตาลภ”

คำถามที่ประมุขใหญ่ของบ้านถามลูกชายคนโต ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเครียดขึ้นมาทันที ก่อนที่พัลลภจะวางช้อนส้อมในมือลงแล้วตอบเสียงเรียบ

“เคลียร์กับทางตำรวจเรียบร้อยแล้วครับ ส่วนพวกนักข่าวก็ให้เซ็นสัญญาแล้วว่าจะไม่เล่นประเด็นนี้”

“ก่อนจะห่วงชื่อเสียงของบริษัท แกได้เยียวยาจิตใจครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้วหรือยัง”

น้ำเสียงดุดันของผู้เป็นพ่อทำให้ใบหน้าของพัลลภเจื่อนลงไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะค้อมหัวเป็นเชิงขอโทษ

“จะรีบจัดการให้เรียบร้อยครับ”

ดลธีมองสีหน้าราบเรียบของผู้เป็นลุงอย่างพิจารณา การเสียชีวิตของพนักงานหญิงที่ชื่อเพลงรักเมื่อเดือนก่อนกลายเป็นประเด็นร้อนที่พนักงานในบริษัทต่างพากันพูดถึง หญิงสาวทำงานอยู่ในทีมโพรดิวเซอร์แผนกรายการวาไรตีมานานถึงสี่ปี มีผลงานล่าสุดคือรายการ The Idol วัยรุ่นวัยฝัน ซีซันหนึ่ง แม้จะยังไม่รู้สาเหตุของการตกจากอาคาร แต่ตำรวจสันนิษฐานไว้ว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย

“จัดการซะให้เรียบร้อย อย่าให้ใครมาพูดได้ว่าบริษัทเราเห็นพนักงานเป็นแค่มดงานตัวหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะ`เสียชีวิตเพราะอะไร เราก็ต้องดูแลสภาพจิตใจของคนในครอบครัวเขา”

“ครับ”

การรับประทานอาหารเย็นร่วมกันของสมาชิกตระกูลพฤกษดำรงดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงบทสนทนาระหว่างดลธีและพายัพเท่านั้นที่ดังอยู่เรื่อยๆ ตามประสาปู่หลานที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ที่พ่อกับแม่ของดลธีเสียชีวิต พายัพก็กลายมาเป็นผู้ปกครองของเขา ดูแลและให้ความรักเป็นอย่างดีจนชายหนุ่มไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป และเพราะตระหนักถึงความรักและความห่วงใยที่ปู่มอบให้ ดลธีจึงมุ่งมั่นทำงานหนักควบคู่ไปกับการดูแลอีกฝ่ายเป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน

“วันนี้ผมไม่ได้นอนค้างด้วยนะปู่ พอดีว่ามีงานที่ต้องกลับไปเคลียร์ให้เรียบร้อย”

“ไม่ต้องห่วงปู่หรอกน่า แต่แกก็อย่าหักโหมมากละ เพิ่งจะออกจากโรง’บาลแท้ๆ แทนที่จะรู้จักพักผ่อน คิดว่าตัวเองอายุสิบสี่สิบห้าหรือไง”

“ปู่อย่าดุผมบ่อยนักเลย ตรวจสุขภาพรอบนี้ ถ้าความดันขึ้นเพราะเครียดสะสม ผมไม่รู้ด้วยนะ”

“ก็ถ้าแกไม่เอาแต่พูดจากวนประสาทใส่ปู่แบบนี้ ความดันก็คงไม่ขึ้นหรอก”

ดลธีหัวเราะร่วน มองสีหน้าเอือมระอาของชายชราอย่างนึกขำ แม้ปากจะบ่นเขาที่ชอบทำตัวเอาแต่ใจ แต่พายัพเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ดลธีรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ไว้อาทิตย์หน้าจะแวะมาใหม่”

ชายหนุ่มยักคิ้วให้ประมุขของบ้านด้วยสีหน้าทะเล้นก่อนจะรวบช้อนส้อมในจานให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวลุกจากเก้าอี้ ทว่าเสียงของคนที่นั่งเยื้องกันก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ถ้างั้นพวกเราคงต้องขอตัวกลับด้วยเหมือนกันค่ะคุณพ่อ พรุ่งนี้หนูกับคุณลภต้องไปร่วมบวงสรวงละครใหม่ที่จะเปิดกล้องตั้งแต่เช้า”

“จะกลับแล้วเหรอครับคุณป้า ไหนคุณป้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาคุณปู่ไงครับ”

อิษยาหันไปมองหลานชายอย่างไม่สบอารมณ์ในทันที ทว่าดลธีก็ไม่คิดจะหลบแววตาอาฆาตแค้นของอีกฝ่าย เขาอุตส่าห์ใจดียอมให้โอกาสเธอสารภาพผิดเรื่องการทุจริตกับคุณปู่ด้วยตัวเอง ถ้าป้าสะใภ้ยังคิดจะปกปิดความผิดของตัวเองต่อไป เขาจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่

“มีอะไรหรือเปล่า เธออยากจะคุยกับฉันเรื่องอะไร”

“ไว้พูดเรื่องนี้หลังจากทานของหวานเสร็จดีกว่าค่ะคุณพ่อ”

รอยยิ้มเหยียดปรากฏชัดที่มุมปากของดลธี ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนแล้วพนมมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ในที่นั้น ชายหนุ่มหมุนตัวเดินออกไปจากห้องรับประทานอาหารพลางหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋า เขายังมีอีกเรื่องที่ต้องไปจัดการให้เรียบร้อย แล้วก็เป็นเรื่องสำคัญที่ปล่อยไว้นานไม่ได้เสียด้วย


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น