1

บทที่ 1


1

เพราะไม่เคยลืมเรื่องราวในอดีต...คัมภันจึงต้องมาที่นี่อีกครั้ง

สีนวลตาของผืนทรายละเอียดทอดยาวตัดกันได้ลงตัวกับท้องทะเลสีคราม ภาพทิวทัศน์เดิมแต่ไม่น่าเบื่อสักนิด เช่นเดียวกับความน่าเอ็นดูของเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีหวานที่คัมภันไม่อาจละสายตาได้ เขายิ้ม มองภาพแม่ลูกวิ่งไล่จับกันอย่างมีความสุข ชื่อของหนูน้อยคือ ‘น้องไลท์’ เขามักได้ยินคุณแม่คนสวยเรียกอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าหลงรักลูกสาวคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ รอยยิ้ม ดวงตากลมใส ความร่าเริงสมวัยทำให้อดคิดถึงลูกสาวตัวเองไม่ได้เลย

ความสุขของคัมภันถูกบั่นทอนเมื่อเรื่องราวในอดีตหวนกลับมาครองความรู้สึก ภาพแห่งจินตนาการฉายกระจ่างขึ้นทาบทับ เขามองเห็นภรรยากับลูก รวมทั้งตัวเขา วิ่งไล่จับกันบนชายหาดที่ทอดยาวท่ามกลางแสงแดดอุ่นยามเย็น เขาได้อุ้มลูกสาวด้วยความรัก ชูแล้วโยนร่างน้อยขึ้นไปบนอากาศ หนูน้อยหัวเราะร่าอย่างชอบใจเมื่อมีสองมือของพ่อรอรับไว้อย่างปลอดภัย

“หยุดนะ! คุณจะทำอะไร” เสียงไม่พอใจตวาดลั่น พร้อมกับแขนคัมภันถูกผลักไส

คัมภันตกใจจนหลุดจากภวังค์อดีต เขาเงยหน้าขึ้นมอง แม่ของน้องไลท์เป็นผู้หญิงมีเสน่ห์ รูปร่างสูงสมส่วน ใบหน้าหล่อนสวยทันสมัย สันจมูกโด่งได้รูปรับกันดีกับดวงตาเรียวล้อมกรอบด้วยขนตางอนยาว และคงน่าชมกว่านี้ถ้าหล่อนไม่ทำหน้ายู่จนหัวคิ้วแทบจะชนกัน ปากอิ่มสีระเรื่อนั่นเม้มนิดๆ ราวขัดใจ ผมยาวมัดเป็นมวยเอาไว้ลวกๆ ผิวไม่ขาวจนซีด แต่เนียนกระจ่างดูมีสุขภาพดี สองแก้มที่แดงคงเพราะไอแดดร้อน มิใช่เครื่องสำอาง หล่อนสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าผ้าบาง ปกปิดภายในด้วยเสื้อสายเดี่ยวสีขาวอีกตัว และกางเกงยีนสีเข้มขาสั้นโชว์เรียวขาเนียน มันดูไม่แกะกะตาสักนิดเมื่อมีมือน้อยของน้องไลท์ที่ถูกดันให้หลบอยู่ด้านหลังเกาะขาคุณแม่แน่น

เขาไม่รู้จักชื่อหล่อน แอบมองหล่อนกับลูกมาหลายวันแล้ว เวลาหล่อนยิ้ม วิ่งเล่นกับลูกสาวนั้นชวนให้มอง เหมือนหล่อนจะมีความสุข แต่ตามักดูเศร้าคล้ายมีเรื่องกังวลใจและต้องคิดหนักอยู่ตลอดเวลา

“ผม...”

คัมภันไม่ทันได้อธิบาย คุณแม่คนสวยก็อุ้มน้องไลท์แล้วเดินจากไปลิ่วๆ คงไม่พอใจเพราะเขาเข้าใกล้ลูกสาวหล่อน ยอมรับว่าความน่ารักของน้องไลท์ทำให้เขาอยากอุ้ม อยากผูกมิตรเพราะความเอ็นดู แต่เพียงแค่ยื่นมือไปเท่านั้น คุณแม่สุดหวงก็ถึงกับถลึงตาใส่แล้วตวาดแว้ดเชียว

ลูกใครใครก็รัก ลูกใครใครก็ห่วง คัมภันก้มลงมองสภาพปอนๆ ของตัวเองแล้วยิ้มส่งให้แม่ลูกที่วิ่งข้ามถนนไปยังรีสอร์ตฝั่งตรงกันข้าม เป็นเรื่องดีที่หล่อนไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า แต่คนเราสมัยนี้ไม่ว่าจะดีหรือชั่วช้าก็วัดกันที่หน้าตาหรือการแต่งตัวไม่ได้

 

“อ้าวรัน ทำไมกลับมาเร็วจังลูก ป้ายังไม่ได้เตรียมน้ำส้มคั้นให้เลย”

“ไม่เป็นไรค่ะป้า เดี๋ยวรันจัดการเอง น้องไลท์ไปอยู่กับลุงนนท์ในออฟฟิศนะลูก เดี๋ยวแม่รันตามไป”

ลลนาก้มลงบอกลูกสาวแล้วถอดรองเท้าให้ รอจนหนูน้อยวิ่งเข้าออฟฟิศไปตามคำสั่งจึงหันมาตอบคำถามอีกข้อของพัทนี

“พอดีเจอผู้ชายคนหนึ่งที่หาด เขาดูไม่น่าไว้ใจน่ะค่ะ กลัวยายไลท์จะเป็นอันตราย”

“ใครกัน ป้าอยู่ที่นี่มาตั้งนาน ไม่เคยเจอใครที่ดูไม่น่าไว้ใจนะ”

ลลนาเพิ่งกลับมาอยู่กับป้าของหล่อนได้เพียงสองสัปดาห์ ก่อนหน้านี้หล่อนกับลูกสาวใช้ชีวิตอยู่ที่สเปน ช่วยดูแลกิจการเครื่องหนังของพ่อเลี้ยงที่เสียชีวิตไป เพราะมีเหตุหล่อนจึงต้องย้ายกลับมาประเทศไทย ยิ่งเหตุนั้นส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของลูกสาวโดยตรง ในฐานะแม่ เพื่อปกป้องลูกแล้ว ต้องยอมทำได้ทุกทาง

“น่าจะเป็นชาวเรือแถวนี้ค่ะ ไม่รู้ใช่คนไทยรึเปล่า หนวดเครารุงรังเชียว รันเห็นเขาแอบมองรันกับลูกมาหลายวันแล้วค่ะ”

หนุ่มคนนั้นคงอายุไล่เลี่ยกับหล่อน ตัวล่ำบึกบึน สูงกว่าร้อยเก้าสิบเซนติเมตร เขาสวมเสื้อยืดสีกรมท่าแขนยาวเลอะๆ กับกางเกงขาก๊วยสีเขียวใบไม้ที่ยังเปียกและเปื้อนทราย หนวดเครารุงรัง ผมหยักศกยาวระต้นคอไม่เป็นทรง อีกทั้งท่าทางยังไม่น่าไว้ใจ หล่อนปล่อยให้ลูกสาวคลาดสายตาเพียงไม่กี่นาที เห็นเขาเดินมาใกล้เลศยาและทำเหมือนจะอุ้มเสียอย่างนั้น หล่อนมิได้รังเกียจเพราะเขาเป็นชาวเรือแต่งตัวมอซอ แต่แววตาที่จับจ้องลูกสาวหล่อนดูน่ากลัวเหลือเกิน

“เขาคงไม่เคยเห็นรันกับลูก แต่ระวังเอาไว้บ้างก็ดี คนเราสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้”

“รันกลัวค่ะ กลัวทุกคนที่เข้าใกล้ลูกของรัน”

“คิดมากน่ารัน ทำใจให้สบายซะเถอะ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว เขาเองก็คงลืมๆ มันไปแล้วละ”

‘เขา’ คนนั้นของพัทนี ลลนารู้ดีว่าป้าหมายถึงใคร ตั้งแต่กลับมาประเทศไทย ยอมรับว่าใจหล่อนไม่เป็นสุขเลย หล่อนกลัวเจอเขา กลัวเขาจะทำเหมือนที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ เพราะหล่อนกลัวจึงหนีเขาไปไกลถึงสเปน ชีวิตของหล่อนยามอยู่ที่นั่นมีความสุขดี รสริน น้องสาวฝาแฝดกับลูอิส น้องเขยของหล่อน ให้การช่วยเหลือและไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง

แต่ความสุขของหล่อนช่างไม่ยืนยาวเอาเสียเลย หล่อนถูกระรานจากอดีตคู่ขาที่ไม่ยอมให้เรื่องเหลวแหลกของหล่อนจบลงแค่ในอดีต ผู้ชายพวกนั้นพยายามดึงลลนาลงสู่ที่ต่ำตม ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของเลศยา หล่อนไม่มีที่พึ่งอื่นอีกแล้ว และป้าพัทนีก็ไม่ยอมให้หลานสาวระหกระเหินหอบลูกหนีปัญหาไปตามลำพัง จึงเสนอให้หล่อนกลับมาช่วยดูแลกิจการรีสอร์ตของพ่ออย่างเต็มตัว หล่อนจึงต้องกลับประเทศไทย กลับมาสู้กับความกลัวในใจที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นจริง

ลลนายอมรับว่าตนไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก หล่อนกับน้องสาวฝาแฝดเป็นลูกชังที่แม่ไม่รัก ลำพังแค่หน้าพ่อแท้ๆ หล่อนยังไม่เคยเห็น แม่แต่งงานกับพ่อพศิน น้องชายของป้าพัทนี เพราะพ่อพศินร่ำรวย และรับหล่อนกับน้องสาวเป็นลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่แม่หักหลังพ่อพศิน และหนีไปเริ่มชีวิตใหม่ที่สเปน ร้ายกว่านั้น แม่ยังหอบหล่อนไปด้วย เอาคืนที่พ่อพศินไม่ยอมยกทรัพย์สมบัติให้ และเสี้ยมสอนให้เข้าใจผิดว่าพ่อพศินทอดทิ้ง แม่ฝังหัวหล่อนเรื่องการแก้แค้น

หล่อนกลับประเทศไทยครั้งแรกเพื่อแก้แค้นแทนแม่ ทำให้ชีวิตของน้องสาวย่ำแย่ ทำให้ป้าพัทนีและทุกคนที่เกี่ยวข้องเป็นทุกข์ ทำให้รีสอร์ตของพ่อพศินซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายต้องวอดวาย มันคือความเข้าใจผิดที่ไม่สมควรอภัย แต่ทุกคนยังให้อภัย โดยเฉพาะป้าพัทนีกับรสริน ซึ่งยอมอ้าแขนรับหล่อนกลับเข้ามาในครอบครัว

ชีวิตหล่อนพังไปครั้งหนึ่งแล้วเพราะแม่ชิงชัง แต่ยังมีป้าพัทนีดูแลสั่งสอน หล่อนเป็นผู้เป็นคน เป็นแม่ของลูกที่ดีได้ในทุกวันนี้เพราะคำสอนของป้าและกำลังใจจากคนในครอบครัว หล่อนเสียใจกับเรื่องแย่ๆ ที่ทำไว้เสมอ

อดีตคือสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ แต่เริ่มต้นใหม่ได้ หล่อนจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตบริสุทธิ์ถือกำเนิด เด็กหญิงเลศยาเปรียบดุจแสงสว่างนำทางชีวิต และเปรียบดุจชีวิตของแม่คนนี้เช่นกัน

“เดี๋ยวรันเข้าไปคั้นน้ำส้มให้ลูกก่อน ป้าจะเอาอะไรไหมคะ”

หล่อนจงใจเปลี่ยนเรื่อง เพราะคิดถึงอดีตแล้วใจพานจะทุกข์หนัก

“ไม่ละ เดี๋ยวป้าจะไปตลาดเสียหน่อย เมื่อเช้ายายไลท์บ่นอยากกินหมูต้มตำลึง ไม่รู้หน้านี้จะพอมีตำลึงขายบ้างรึเปล่า”

ลลนายิ้มให้เมื่อป้าบีบมือหล่อนเบาๆ เหมือนดังทุกครั้งที่หล่อนต้องการกำลังใจ แววตาของป้าอบอุ่นและจริงใจเสมอ ที่หล่อนเข้มแข็งและสู้มาได้จนทุกวันนี้เพราะคำสอนของป้า กำลังใจจากน้องสาว และอีกคนที่ลืมไม่ได้คือผู้ชายหน้าหวานอารมณ์ดีที่น้องไลท์กำลังเรียกอยู่แจ้วๆ

“ลุงนนท์คะๆ”

 

พัทนีขี่มอเตอร์ไซค์คันโปรดออกไปตลาดแล้ว ภารกิจคั้นน้ำส้มของลลนาก็เรียบร้อยแล้วเช่นกัน หญิงสาวประคองแก้วน้ำส้มเข้ามาหาลูกสาวในออฟฟิศด้านหน้าของรีสอร์ต ทุกๆ วันหล่อนจะช่วยงานป้ากับรัชชานนท์อยู่ที่นี่ ในฐานะเจ้าของรีสอร์ตที่พ่อพศินยกให้เป็นสมบัติของหล่อนและน้องสาว แต่รสรินกลับยกให้เป็นของลลนาแต่เพียงผู้เดียว หล่อนจึงต้องดูแลสมบัติชิ้นสุดท้ายของพ่อไว้เป็นอย่างดี

“แก้วนั้นของลุง ไม่ใช่ของน้องไลท์” รัชชานนท์แย่งแก้วน้ำส้มจากมือหล่อนไปแล้วชูขึ้นสุดแขน

ลลนายิ้มเอ็นดูเมื่อลูกสาวพยายามจะกระโดดแย่งน้ำส้มคืน น่าขันที่สองมือป้อมยังสูงไม่ถึงอกของรัชชานนท์เลย

“คงนอนไม่หลับนะคะ ถ้าไม่ได้แกล้งหลาน”

“เปล่าสักหน่อย รันก็ใส่ร้ายผมอยู่เรื่อย”

ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ รอยยิ้มและแววตาของรัชชานนท์สดใสเสมอ ครั้งแรกที่พบกัน หล่อนจินตนาการไปเองว่าเขา ‘ไม่แมน’ เพราะโครงหน้าที่ถอดแบบสไตล์เกาหลี อีกทั้งผิวพรรณยังเนียนละเอียดคล้ายผิวผู้หญิง เขาเป็นผู้ชายที่น่ารัก รูปร่างสูงโปร่ง แต่ไม่บึกบึน เขาชอบออกกำลังกาย คงใฝ่ฝันอยากมีสุขภาพและรูปร่างที่สมชายมากขึ้น รัชชานนท์เป็นเพื่อนสนิทของรสริน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนและที่ปรึกษาที่ดีของหล่อนเช่นกัน

“ลุงนนท์คะ ขอน้ำส้มน้องไลท์ค่ะ”

เลศยาพนมมือป้อม ออดอ้อนเสียงใส เป็นท่าไม้ตายที่รัชชานนท์ต้องยอมแพ้พ่ายทุกครั้งไป

เขาย่อตัวลงนั่ง คืนแก้วน้ำส้มให้หลานสาว ก่อนจะลุกไปหยิบเอกสารบนโต๊ะทำงานมายื่นให้ลลนา

“บ่ายนี้มีจองเข้ามาอีกสองหลัง ผมลงรายละเอียดในตารางจองไว้แล้ว รันดูอีกทีก็แล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะไปออกกำลังกายสักหน่อย”

“น้องไลท์จะไปกับลุงนนท์”

หนูน้อยปากจิ้มลิ้มเปื้อนคราบน้ำส้มหันมาเกาะขารัชชานนท์แน่น ชายหนุ่มปฏิเสธเพราะห่วงความปลอดภัยของหลานรัก แต่เขามีวิธีอธิบายให้เลศยาเข้าใจและไม่ร้องตาม ซ้ำก่อนจากไปก็ไม่ลืมหอมแก้มนุ่มซ้ายทีขวาทีเป็นรางวัลที่ว่าง่าย

ความภูมิใจเดียวในชีวิตคนเป็นแม่คือเลี้ยงเลศยาให้เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กร่าเริงและสุขภาพดี ลูกสาวของหล่อนน่ารัก รูปหน้าโดยเฉพาะดวงตาและปากถอดแบบมาจากหล่อนไม่ผิดเพี้ยน หนูน้อยเป็นที่เอ็นดูของผู้พบเห็น แรกคลอดเลศยา คนที่ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าหล่อนคือพี่สาวบุญธรรมที่ให้ความช่วยเหลือและที่พักอาศัยแก่หล่อนและลูกครั้งอยู่ที่สเปน

นอกจากพี่สาวบุญธรรมของหล่อนแล้ว รสรินกับลูอิสก็ขยันมาเยี่ยมหลานพร้อมข้าวของเครื่องใช้มากมายที่ใช้ได้อีกหลายปี ลูอิสดูจะเห่อหลานเสียเหลือเกิน คงเพราะรสรินยังไม่ยอมปล่อยให้มีทายาทสืบสกุลกระมัง แต่ตอนนี้คงสมใจน้องเขยแล้ว ทายาทตัวน้อยกำลังค่อยๆ เติบโตในครรภ์ของรสริน และอีกหกเดือนนับจากนี้ ครอบครัวที่แสนอบอุ่นของหล่อนจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกคน

“ใกล้จะค่ำแล้ว ขี่จักรยานมืดๆ อันตรายนะ”

“รถผมมีไฟนะรัน ไฟหน้าไฟหลังมีครบ หายห่วงครับ”

รัชชานนท์ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง กดเลื่อนรูปถ่ายจักรยานคันโปรดที่เพิ่งถอยออกจากร้านมาได้ไม่กี่วัน อวดลลนาอย่างภาคภูมิใจ

“ยังไงก็อันตรายอยู่ดี” เพราะมีข่าวให้เห็น ลลนาจึงเป็นกังวล

“รันเปลี่ยนไปเยอะนะ ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย”

ลลนาเอียงคอ ยกมือกอดอก และคิ้วของหล่อนคงขมวดเป็นเครื่องหมายคำถาม

“ดูคุณระวังกับทุกๆ เรื่อง แล้วก็ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตมากขึ้น ที่สำคัญนะ เริ่มบ่นเก่งแล้วละ”

พูดจบรัชชานนท์ก็หัวเราะ รอยยิ้มจริงใจเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ทำให้หล่อนไว้ใจเขาได้ไม่ยาก

“บ่นแทนยายโรสค่ะ นนท์จะได้ไม่เหงาหูไง”

รัชชานนท์หุบยิ้มลงเมื่อหล่อนพูดถึงรสริน ใจเขาคงไม่ลืมความรักสวยงามที่ฝังใจเอาไว้แน่น จวบจนวันที่รสรินมีครอบครัว น้องสาวหล่อนยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเพื่อนสนิทคนนี้คิดไม่ซื่ออย่างไร แต่รัชชานนท์ก็สมเป็นลูกผู้ชาย แพ้ก็ยอมรับว่าพ่ายแพ้ เขาไม่ดันทุรังร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ฟ้าลิขิตมาแล้วว่าให้ลูอิสเคียงคู่ดูแลรสริน ส่วนเขาก็ยึดตำแหน่งเพื่อนสนิทของรสรินไปตลอดกาล

“ถ้าสองพี่น้องรวมร่างกันบ่น ผมคงจะหูชา ไม่สิ หูดับมากกว่า”

เขาว่าทะเล้นแล้ววิ่งปรู๊ด ไม่รอฟังคำบ่นจากลลนาอีกรอบ อดีตลืมยากหล่อนรู้ซึ้ง ลำพังตัวหล่อนเองยังลืมอดีตได้ไม่สนิทใจ เพียงแค่มองหน้าลูกสาว เงาอดีตก็ซ้อนทับพร้อมด้วยถ้อยประโยคร้ายของ ‘เขา’ ในวันนั้น หล่อนหนีความกลัวจากใจตัวเองได้ไม่พ้น และคงจริงอย่างรัชชานนท์ว่าไว้ หล่อนเปลี่ยนไปมาก เพราะหล่อนกลัว จึงวิตกจริตกับทุกเรื่องในชีวิตของตนและลูกนับจากนั้น

 

คัมภันทิ้งสมอ จอดเรือห่างจากชายฝั่งไม่มากแล้วเดินลุยน้ำลึกแค่เข่าขึ้นมาที่หาด เพียงแต่วันนี้เขาไม่ได้มามือเปล่า หิ้วถุงพลาสติกใบย่อมที่บรรจุเปลือกหอยสวยมากมายมาด้วย เขายิ้มมุมปากเพราะเป้าหมายนั่งอยู่ตามลำพังกับปราสาททรายที่กำลังเป็นรูปเป็นร่าง

แม่จงอางหวงไข่ไปไหนเสีย เขากวาดตามองไปรอบๆ แต่ไม่เห็น จึงใช้โอกาสดีนั้นเดินเข้าไปหาน้องไลท์ที่กำลังตั้งใจก่อปราสาททรายตรงหน้า

“ปราสาทเจ้าหญิงเหรอคะ”

น้องไลท์เงยหน้าขึ้นมายิ้ม ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน ตาโตสวยเหมือนแม่ จมูกและปากก็เช่นกัน สองแก้มเรื่อแดงน่าหยิกน่าหอม วัยคงไล่เลี่ยกับลูกสาวของเขา ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดถึง

“ปาฉาดเจ้าหญิงกับเจ้าชายค่ะ มีฉองชั้น”

“ลุงให้ค่ะ ปราสาทสวยๆ ต้องมีเปลือกหอยสวยๆ”

“โอ้โห” น้องไลท์ทำตาโต พนมมือป้อมกล่าวขอบคุณก่อนรับของจากผู้ใหญ่ หนูน้อยเทเปลือกหอยนานาชนิดในถุงกองบนพื้นทราย หยิบเปลือกนู้นเปลือกนี้ขึ้นดูอย่างชอบอกชอบใจ

“ฉวยจังค่ะ บ้านคุณลุงมีเยอะเหรอคะ”

“เยอะค่ะ ถ้าหนูอยากได้ ลุงเก็บมาให้อีกดีไหม”

“ดีค่ะ ดีๆ”

“น้องไลท์!”

เด็กน้อยหันขวับตามเสียงดุ เช่นเดียวกับคัมภันที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คุณแม่คนสวยหน้าบึ้งอีกแล้ว มือหนึ่งถือหมวกปีกกว้างสีส้มลายดอกของลูกสาว อีกมือหิ้วถุงน้ำปั่นที่คาดว่าคงเดินไปซื้อมาเมื่อครู่

“เปลือกหอยฉวยๆ เยอะเลยค่ะแม่รัน” น้องไลท์ชูเปลือกหอยในมือขึ้นอวด

เขาได้รู้จักชื่อหล่อนก็ตอนนี้เอง แต่ดูท่าหล่อนคงไม่อยากรู้จักกับเขา

“ไปเล่นใต้ต้นไม้เถอะลูก ตรงนี้แดดร้อน เดี๋ยวจะไม่สบาย”

ปากหล่อนสั่งลูกสาว แต่ตาไม่พอใจยังถลึงจ้องคัมภันนิ่ง ชายหนุ่มทำได้แค่ยืนมองน้องไลท์เก็บเปลือกหอยใส่ถุง เมื่อเรียบร้อยดีก็ยอมให้แม่รันสวมหมวกแล้วจับจูงเดินจากไป

“บ๊ายบายค่ะคุณลุง”

หนูน้อยไม่ลืมหันมาโบกมือให้เขาแล้วตะโกนเสียงใส คัมภันยิ้มกว้างแล้วโบกมือตอบ ก่อนจะซ่อนมือให้ไวเมื่อแม่รันหันมาต่อว่ากันด้วยสายตา

คัมภันไม่คิดจะเข้าไปกวนใจกวนตาลลนาอีกรอบ เขาเดินเลียบหาดไปทำธุระของตัวเอง ปล่อยให้สองแม่ลูกได้อยู่กันตามลำพังบนเสื่อผืนย่อมใต้ต้นสนใหญ่ วันนี้มีเรื่องที่ต้องเจรจากับเจ๊จุก เจ้าของร้านอาหารซีฟูด ที่เปิดกิจการใหญ่โตแต่จิตใจคับแคบ

ชาวเรือหลายคนบ่นให้ฟังว่าถูกเจ๊จุกกดราคา บรรดาสัตว์น้ำที่ชาวประมงหามาได้อย่างยากลำบาก สดใหม่ ส่งให้ถึงหน้ากระชังของร้าน แต่เจ๊จุกกลับรับซื้อด้วยราคาที่ต่ำกว่าเดิม ด้วยข้ออ้างที่ว่าช่วงนี้ขายลำบาก แต่สิ่งที่เขาเห็นช่างขัดกับคำพูดของเจ๊จุกเหลือเกิน

 

“ลูกค้าเต็มร้านแบบนี้ ขายดีพอดูนี่เจ๊”

“แหม่ ก็เพิ่งจะมีวันนี้ละที่พอขายได้ ว่าแต่มีอะไรมาขายให้เจ๊ล่ะพ่อภัน นี่ปลาเก๋าขายดีมาก ลูกค้าชอบมาก พอจะได้มาสักสี่ซ้าห้าตัวไหม”

“ร้านอาหารที่เกาะเขาให้ราคาสูงกว่าขายกับเจ๊ตั้งเท่าตัว พวกน้าๆ ลุงๆ ก็พากันไปขายที่นู่นกันหมด ต่อไปคงไม่มีใครมาขายกับเจ๊แล้วละ”

“อ้าว ได้ยังไง!” เจ๊จุกขึ้นเสียง เท้าสะเอวราวว่าองค์แม่ค้าปากตลาดกำลังจะลง “ไอ้พวกนี้มันยังไง ของร้านเจ๊ไม่พอขาย ใครจะรับผิดชอบ”

“เจ๊ก็ต้องรับผิดชอบเอง เจ๊ทำตัวเอง กดราคาซะต่ำขนาดนั้น ทั้งที่เจ๊เองก็ขายได้ พวกเขามีปากมีท้อง มีลูกเมียต้องเลี้ยงนะเจ๊ ทำอะไรก็น่าจะเห็นใจกันบ้าง ราคาขายหน้าร้านเจ๊มันก็แพงอยู่แล้ว กำไรครึ่งต่อครึ่ง แบ่งมาให้พวกชาวเรือบ้างจะเป็นไร ไม่งั้นเจ๊ก็รับซื้อต่อจากพวกพ่อค้าคนกลางหน้าเลือดเถอะ ถ้าคิดจะเอาเปรียบกันขนาดนี้”

คัมภันไม่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มีเสียงมากพอจะต่อรองกับใครได้ ประสบการณ์ทางทะเลของเขายังน้อยหากเทียบกับรุ่นเก่าที่ชำนาญน่านน้ำ แต่เขาเป็นคนตรง กล้าลุย และเข้ากับคนอื่นได้ง่าย พวกพี่น้องชาวเรือเล็กจึงอ้าแขนรับเขา พร้อมสอนวิชาชีพทางทะเลให้อย่างเต็มใจ ส่วนเขาเองก็ตอบแทนพวกพี่น้องสายอาชีพเดียวกันด้วยการช่วยหาช่องทางขายรวมถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ตามความรู้ที่เขาพอมี

“โธ่...พ่อภัน ช่วยเจ๊พูดกับพวกเขาหน่อยเถอะนะ ก่อนหน้านี้มันขายไม่ค่อยได้จริงๆ”

“ผมเห็นเจ๊ขายดีทุกวัน ถ้าขายไม่ดีเจ๊เปิดอีกสาขาทำไม ไม่เจ๊งพอดีรึ”

คัมภันเถียงทันควัน เห็นกันอยู่คาตาว่าเพิ่งเปิดสาขาใหม่ เขาไม่ชอบคนตลบตะแลง เจรจากันให้ตรงให้ชัดไปเลยดีกว่า

“ก็ได้ๆ เจ๊จะให้ราคามากกว่าเดิมก็ได้ พ่อภันช่วยพูดให้พวกเขากลับมาขายกับเจ๊นะ”

“รักษาคำพูดด้วยนะเจ๊ ถ้าเกิดซ้ำขึ้นอีก ผมจะให้พวกเขาไปขายที่เกาะกันให้หมด”

“สัญญาจ้ะสัญญา”

คัมภันไม่สนคำสัญญาลมปากนั่น เขาเดินออกจากร้านเจ๊จุกไปด้วยความสบายใจเปลาะหนึ่ง ชาวประมงเรือเล็กหารายได้สู้เรือใหญ่ไม่ไหวอยู่แล้ว ช่องทางของพวกเขามีไม่มาก จับสัตว์น้ำได้คราวละไม่กี่กิโล แต่กลับโดนขูดรีดจากพวกพ่อค้าคนกลางหน้าเลือด พวกเขาหวังพึ่งการขายส่งตามร้านอาหารที่ให้ราคาสูงกว่า แต่บางร้านอย่างร้านเจ๊จุกเป็นต้น กำลังเอาเปรียบพวกเขายิ่งกว่าพวกพ่อค้าคนกลาง อย่างนี้แล้วจะยอมอยู่เฉยได้หรือ

จริงอยู่ว่าร้านอาหารมีมาก แต่ร้านใหญ่ที่พร้อมรับซื้อนั้นมีอยู่ไม่กี่ร้าน ร้านเล็กๆ ไม่นิยมสร้างกระชังขังสัตว์น้ำเป็นเพราะมีค่าใช้จ่ายพอสมควร ครั้นจะข้ามไปขายที่เกาะไกลๆ ก็ไม่คุ้มกับค่าน้ำมันเรือที่ต้องสูญไป

 

คัมภันเดินเลาะหาดมาเรื่อยๆ จวนถึงต้นสนใหญ่ที่สองแม่ลูกยังนั่งอยู่ เขาหยุดเท้าแล้วเพ่งตามอง เพราะเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวคล้ายนักท่องเที่ยว สวมหมวกและแว่นกันแดด นั่งเอนตัวสบายๆ บนเก้าอี้ผ้าใบถัดไปไม่ไกลนักข้างต้นสนใหญ่อีกต้น ในมือของชายคนนั้นถือนิตยสารเล่มโต ที่เดี๋ยวเลื่อนขึ้นปิดหน้า เดี๋ยวเลื่อนลง และสายตาหลังแว่นสีชานั่น คัมภันคิดว่าไม่ได้สนใจตัวหนังสือในนิตยสารที่กลับหัว แต่อยู่ที่สองแม่ลูกใต้สนอีกต้นต่างหากเล่า

คงเพราะลลนานั่งหันหลังให้ชายต้องสงสัย หล่อนจึงไม่ได้แจกสายตาตำหนิอย่างที่ชอบแจกให้คัมภันทุกครั้งที่พบหน้า แม่จงอางหวงไข่ดุอย่างไร ลลนาคงไม่แตกต่าง หากหล่อนรู้ว่ามีชายหนุ่มอีกคนลอบมองหล่อนกับลูกสาวอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องเดาคัมภันก็รู้ว่าหล่อนจะรีบหอบลูกวิ่งข้ามถนนกลับรีสอร์ตไปทันที

“ลำเอียงนี่หว่า”

คัมภันพึมพำทันทีที่ถูกลลนาจ้องกลับมาด้วยสายตาพิฆาต เมื่อเขาหยุดมองน้องไลท์อยู่หลายนาที ลูกสาวหล่อนน่ารักน่าเอ็นดู เขานิยมชมชอบย่อมดีกว่าเกลียดลูกหล่อนเป็นไหนๆ ทีกับไอ้หนุ่มด้านหลังนั่นไม่เห็นลลนาจะใส่ใจ แค่เขาแต่งตัวปอนๆ หล่อนกลับพิพากษาราวว่าเขาคือผู้ร้ายที่ไม่ควรอยู่ใกล้ เช่นนี้จะไม่ให้ว่าหล่อน ‘ลำเอียง’ ได้อย่างไร

แค่เขามอง หล่อนก็คุยกับลูกแล้วช่วยกันเก็บข้าวของอย่างไวว่อง ลลนาจูงลูกไปแล้ว แต่คัมภันยังยืนสังเกตอยู่อีกสักพัก เห็นไอ้หนุ่มต้องสงสัยคนนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ผ้าใบแล้วเดินตามไปห่างๆ ครั้นสองแม่ลูกข้ามถนนไปเรียบร้อย ก็ยกโทรศัพท์ขึ้นสนทนาแล้วเดินย้อนมาทางคัมภัน แว่วเสียงพูดคุยที่ไม่เบาสักนิด

“ใช่ครับนาย บ้านสีขาวรีสอร์ตแอนด์สปา”

คัมภันขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจประโยคลอยลมนั่น รู้แค่ว่าบ้านสีขาวรีสอร์ตแอนด์สปาคือที่พักของลลนากับลูก แต่ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร มีจุดประสงค์อะไร คิดง่ายๆ ตามประสบการณ์ของตัวเอง อยู่ที่นี่มาหลายปีดีดัก เพิ่งเคยเห็นลลนากับลูกเมื่อไม่นานมานี้ บางทีหล่อนอาจมีปัญหากับสามีจึงพาลูกหนีมาพักใจ และตอนนี้สามีคงกำลังตามหาภรรยาและลูกอยู่ก็เป็นได้

“เดี๋ยวอีกหน่อยก็ดีกัน เดินจูงมือกะหนุงกะหนิงกันริมหาดนี่ละ แฮปปีเอนดิง”

 

เรื่องราวมิได้จบแฮปปีอย่างที่คัมภันคิดไว้ เย็นย่ำในอีกสามวันต่อมา เขาทิ้งสมอจอดเรือไว้ที่เดิม เพราะมีปลาเก๋าสี่ห้าตัวมาส่งให้เจ๊จุกตามต้องการ แต่วันนี้เขาไม่เห็นน้องไลท์กับคุณแม่อย่างทุกวัน วันก่อนหนูน้อยคงถูกดุเพราะจู่ๆ ก็วิ่งมาหาเขาแล้วร้องถามเสียงใสว่า

‘มีเปลือกหอยฉวยมาฝากหนูไหมคะ’

เขาทำให้น้องไลท์ผิดหวังเพราะไม่ว่างไปเก็บเปลือกหอยสวย แต่วันนี้เขามีมาฝากถุงใหญ่ ตั้งใจว่าส่งปลาเก๋าให้เจ๊จุกเรียบร้อยจะย้อนกลับมาเอาถุงเปลือกหอยที่ท้ายเรือไปให้ ผิดหวังอยู่เหมือนกันเมื่อไม่ได้ยินเสียงหัวเราะน่าฟังของเด็กผู้หญิงช่างจ้อ

คัมภันรับเงินจากเจ๊จุกมานับแล้วเก็บใส่กระเป๋ามีซิปแบบคาดเอวของตัวเองอย่างมิดชิด เขาแวะซื้อเครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป และของใช้ที่หมดพอดี รวมไปถึงน้ำดื่มสะอาดอีกสองขวดใหญ่ ของจำเป็นพวกนี้ควรมีติดเรือเอาไว้เสมอ บางวันเขาล่องเรือเพลินไปไกลฝั่ง ก็นอนค้างอ้างแรมมันเสียกลางทะเล วิถีชาวเรือมักเรียบง่าย และเขาก็หลงใหลชีวิตสมถะเช่นนี้เหลือเกิน

 

“น้องไลท์ น้องไลท์อยู่ที่ไหนลูก”

คัมภันชะงักมือที่กำลังจะสตาร์ตเครื่องเรือ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฝั่ง แม่จงอางหวงไข่วิ่งและตะโกนเรียกลูกสาวไปทั่วทั้งหาด เห็นหล่อนหยุดคุยกับรัชชานนท์ก่อนจะแยกกันไปคนละทาง เขากับหนุ่มหน้าหวานรู้จักกันดี เพราะมีใจรักในการออกกำลังกายเหมือนกัน แต่ช่วงนี้รัชชานนท์สนใจการปั่นจักรยาน เราจึงไม่ได้วิ่งและว่ายน้ำด้วยกันบ่อยนัก

“นี่นาย! เอาลูกฉันไปไว้ที่ไหน เอาลูกฉันคืนมานะ”

ทันทีที่คัมภันเดินเข้าไปหา หวังสอบถามเพราะเป็นห่วงเลศยา กลับถูกลลนาตวาดลั่นแล้วกระชากเสื้ออย่างรุนแรง คัมภันตกใจเพราะหล่อนร้องไห้ น้ำตาเปื้อนตาบวมจนขนตาเปียก จมูกกับแก้มแดงก่ำ ลดทอนความสวยไปได้มากทีเดียว

“ใจเย็นนะคุณ ฟังผมพูดก่อน”

“นายทำอะไรลูกฉัน! เอาลูกฉันคืนมาๆ”

นอกจากไม่ฟัง ลลนายังทุบอกเขาอีกหลายครั้ง หล่อนร้องไห้จนเสียงแหบแล้วทรุดลงนั่งหมดแรงบนพื้นทราย ไม่เปิดโอกาสให้คัมภันอธิบาย กล่าวโทษว่าเขาคือคนร้ายลักพาตัวลูกสาวของหล่อนไป

“ผมไม่ได้ทำอะไรลูกคุณ คุณฟังผมนะ หยุดร้องไห้แล้วฟังผม”

ยิ่งห้ามลลนาก็ยิ่งร้อง คัมภันคิดว่าคงคุยกันไม่รู้เรื่อง เขาจึงลุกไปถามป้าแป๊ด แม่ค้าริมหาดที่รู้จักกัน ได้ความว่าลลนาตามหาลูกสาวมาเกือบชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่พบ มีคนเห็นว่าเลศยาขึ้นเรือเร็วไปกับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง รูปพรรณสัณฐานที่เล่ามาคัมภันและพวกแม่ค้าไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้ชายคนนั้นไม่เคยมาที่นี่ และการมาของเขาคือการพาตัวเลศยาไปจากลลนา

“แล้วได้บอกคุณรันรึยัง”

“ยังไม่ทันได้บอกอะไรหรอกพ่อภัน คุณรันเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ไม่ยอมฟังอะไรเลย แต่ป้าว่าผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะใช่คนร้ายนะ ท่าทางดูใจดีเชียว พ่อของเด็กรึเปล่า”

“อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ผมฝากป้าแป๊ดโทร. ไปหาเปี๊ยกที่เกาะที ให้ช่วยกระจายข่าว เพราะถ้าเขาพาเด็กไปที่นั่นจริง คนของเราจะได้คอยเป็นหูเป็นตา”

คัมภันได้ข้อมูลมากพอแล้ว แต่สภาพของผู้หญิงที่นั่งสะอื้นกอดเข่าคงไม่พร้อมรับรู้อะไรตอนนี้ เขาเข้าใจความรู้สึกของหล่อนดี หัวใจจะขาดรอนๆ เป็นเช่นไรเขาเคยสัมผัสมาก่อน ลลนากำลังช็อกเมื่อจู่ๆ ลูกสาวก็หายตัวไป ทั้งที่หล่อนระแวงระวังคนแปลกหน้าทุกคนที่เข้าใกล้ลูกสาว และเรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น