2

ตอนที่ 2


 

2

ลลนาสงบลงมากแล้ว หล่อนยอมฟังในสิ่งที่คัมภันอธิบาย เขาดูเป็นคนที่ไม่ควรไว้ใจ แต่เขายืนยันว่าไม่ได้ลักพาตัวลูกสาวของหล่อน และเต็มใจช่วยเหลืออย่างเต็มที่

“คุณต้องมีสติให้มากนะ แล้วลองคิดดูว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ใช่พ่อน้องไลท์รึเปล่า”

“ลูกฉันไม่มีพ่อ!” ด้วยความปากไวจึงขึ้นเสียงกลับไปเมื่อถูกจี้ใจดำ ก่อนฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ลูกสาวหล่อนไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ และพ่อของลูกคือความกลัวที่ยังฝังหัวหล่อนอยู่ทุกเช้าค่ำ

“โอเค ไม่มีก็ไม่มี เราจะได้ตัดข้อสงสัยทิ้งไปทีละจุด แต่คุณต้องใจเย็นให้มากกว่านี้นะ ผมชื่อคัมภัน เรียกผมว่าภันก็ได้ ผมไม่มีเจตนาไม่ดีใดๆ ทั้งนั้น ผมแค่เอ็นดูลูกสาวคุณ แกเป็นเด็กน่ารัก ผมไม่ได้คิดอกุศลอะไรจริงๆ นะคุณรัน”

ลลนาเงยหน้าขึ้นมาจ้อง แปลกใจเมื่อเขารู้จักชื่อหล่อน ทั้งที่ตลอดมาหล่อนไม่เคยคิดผูกมิตรกับเขามาก่อน

“ผมจำมาจากน้องไลท์ ถ้ามันทำให้คุณไม่พอใจ ผมต้องขอโทษด้วย”

เขาดูเป็นคนเจียมตัว ขนาดคุยกันยังแทบตะโกนเพราะนั่งอยู่ห่าง เขาคงไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวหล่อนจะฟาดจะทุบเอาอีกรอบ

“นายคิดว่าเขาพาลูกฉันไปที่ไหน”

ตามคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ เรือคนร้ายมุ่งหน้าไปทางเกาะเสม็ด สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด ที่คัมภันให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่านั่งเรือของเขาข้ามฟากไปได้ แม้จะใช้เวลานานกว่าเรือโดยสารขนาดใหญ่ แต่ลลนาใจร้อนเกินกว่าจะนั่งรถไปรอตีตั๋วขึ้นเรือที่ท่าเทียบเรือซึ่งมากไปด้วยนักท่องเที่ยว

 

หญิงสาวตัดสินใจโดยสารเรือหาปลาลำเล็กของคัมภันเมื่อเขาเสนอให้อย่างมีน้ำใจ ตัวเรือโยกไปตามวิถีคลื่น เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา เขาบังคับทิศทางด้วยหางเสือท้ายเรือ ส่วนหล่อนนั่งโอนเอนอยู่ด้านหน้า พยายามมองไปให้ไกลสุดลูกหูลูกตา คลื่นกระทบตัวเรือลำน้อยที่พยายามฟันฝ่าไป

ลลนาเวียนศีรษะและคลื่นไส้ หล่อนไม่เคยโดยสารเรือลำเล็กมาก่อน ตัวเรือเจอแรงปะทะทั้งคลื่นลม ต่างกับเรือโดยสารขนาดใหญ่มากทีเดียว ลลนาหลับตาลงเพราะได้ยินเสียงหวีดแหลมในหู ท้องที่ว่างปั่นป่วนจนทนไม่ไหว สุดท้ายก็โก่งคออาเจียนลงทะเล มือข้างหนึ่งเกาะกราบเรือเอาไว้ ส่วนอีกข้างกอดเสากระโดงเรือไว้แน่น

“ไหวไหมคุณ เอายาดมไว้นะ ทนหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น วันนี้ลมแรง เมฆฝนก็ครึ้มเชียว”

คัมภันชะลอเครื่อง เขารินน้ำใส่แก้วให้ลลนาแล้วส่งยาดมให้แก้อาการวิงเวียน รอจนหล่อนบอกว่าไหวจึงเร่งเครื่องแล้วเดินทางต่ออีกครั้ง

หญิงสาวหลับตาพิงเสากระโดงเรือไว้อย่างนั้นตามคำแนะนำของคัมภันเพื่อลดอาการมึนเมา หล่อนเชื่อว่าตัวเองไหว ไม่อยากให้การเดินทางต้องล่าช้าลง เพราะสิ่งสำคัญกว่าคือชีวิตของลูกสาวที่ยังไม่รู้ชะตากรรม ถ้าผู้ชายตามคำบอกเล่านั่นคือ ‘เขา’ อย่างที่หล่อนคิด ชีวิตของเลศยาคงปลอดภัย แต่ชีวิตของหล่อนเล่า จะอยู่ต่อได้อย่างไรนับจากวันที่เขาพรากลูกสาวไปจากอก

เมฆฝนที่ครึ้มไปทั้งฟ้าสร้างความปั่นป่วนให้ท้องทะเลไม่น้อย คลื่นลมกระโชกแรงส่งผลให้เรือเล็กของคัมภันโอนเอน แล้วห่าฝนก็เทกระหน่ำอย่างไม่เห็นแก่ใจคนเป็นแม่ที่กำลังจะขาดรอนๆ คัมภันตะโกนบอกหล่อนว่าเขาต้องหาที่กำบังหลบฝน ท่ามกลางคลื่นลมที่โถมใส่ไม่ลืมหูลืมตา เรือเล็กไม่อาจฝืนต่อไปได้เพราะอันตรายเกินไป

“ฉันเป็นห่วงลูก ยังไหวค่ะ ไปต่อเถอะนะ”

ลลนายังใจร้อนเสมอ แต่คัมภันไม่ฟัง เขาหันหางเสือเปลี่ยนทิศทางเดินเรือ มุ่งหน้าไปที่เกาะเล็กๆ ซึ่งกำลังจะถึงในอีกไม่กี่นาที

“เราต้องหลบนะคุณรัน กลางทะเลอาจมีพายุ ถ้าคุณอยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อลูกของคุณ คุณต้องเชื่อผม”

คัมภันโยนผ้าใบกันฝนที่มีเพียงผืนเดียวให้หล่อน เขาสั่งให้หญิงสาวกางคลุมตัวเองเอาไว้ ในขณะที่ตัวเขายอมเปียกปอนท่ามกลางฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย

 

เมื่อถึงที่หมาย คัมภันก็ทิ้งสมอจอดเรือไว้แล้วกระโดดลงน้ำลึกเท่าเอวไปรอรับผู้โดยสารอีกคน เขาบอกว่าไม่สามารถขับเรือไปจอดได้ใกล้มากกว่านี้ เพราะชายฝั่งเต็มไปด้วยหินโสโครกที่อาจเป็นปัญหาต่อท้องเรือของเขาได้ ฝนยังตกหนัก ฟ้ายังคำราม ทั้งเขาและลลนาเปียกปอนไปหมดทั้งตัว ผ้าใบที่หล่อนกางคลุมไว้ช่วยกันไม่ได้มากนักเพราะมีลมแรงเป็นอุปสรรค

“ขึ้นหลังผมเถอะ ข้างล่างมีหอยเม่นเต็มไปหมด ผมไม่อยากให้คุณเสี่ยง”

ลลนาส่ายหัว หล่อนไม่อาจรับข้อเสนอของคัมภันได้ แม้จะกลัวหอยเม่นฤทธิ์ร้ายใต้ทะเลนั่น

“ผมไม่มีเจตนาล่วงเกินคุณหรอก แต่มันจำเป็น ถ้าคุณถูกหอยเม่นพวกนั้นตำ ก็ล้มเลิกความตั้งใจไปตามหาลูกสาวคุณเถอะ”

ราวว่าคัมภันอ่านใจหล่อนออก พอจบคำเขา ลลนาก็ว่าง่ายขึ้น หล่อนยอมเกาะหลังคัมภันแล้วกางผ้าใบคลุมตัวเอาไว้ตามคำสั่ง คงเพราะเขาตัวใหญ่ น้ำหนักตัวหล่อนจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อเขาเลยสักนิด เขาสามารถเดินฝ่าน้ำลึกได้อย่างคล่องแคล่วโดยมีไฟฉายแบบสวมศีรษะเป็นเครื่องนำทาง ไม่มีเดินโซเซแม้ลมจะสะบัดจนยอดมะพร้าวเอนไหวเป็นทิวแถว

“ทางนี้คุณ”

ทันทีที่ถึงฝั่งเขาก็ปล่อยหล่อนลงจากหลังแล้ววิ่งนำไปอย่างรู้เส้นทาง น่าแปลกที่บนเกาะเล็กๆ มีซอกหินลึกและกว้างคล้ายถ้ำพอเป็นที่กำบังได้ คัมภันถอดไฟฉายจากศีรษะแล้วใช้ส่องสำรวจไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยดี เขาก็ยื่นไฟฉายอีกกระบอกให้หล่อนถือเอาไว้

“เดี๋ยวผมจะกลับไปเอาของที่เรือ คุณเอาผ้าใบปูรองนั่งไปก่อน ในนี้ปลอดภัย ไม่มีอะไรน่ากลัว อยู่คนเดียวได้นะ เดี๋ยวผมรีบกลับมา”

“ฉันอยู่ได้”

เขาสั่งเหมือนหล่อนเป็นเด็ก หรือไม่ก็คิดว่าผู้หญิงทุกคนต้องอ่อนแอ กลัวความมืด หรือขี้ตกใจเพราะเสียงฟ้าคำราม เขาคิดผิดแล้ว หล่อนเข้มแข็งมากกว่าที่เขาคิดนัก

คัมภันหายไปไม่นานจริงๆ เขาวิ่งกลับมาอีกครั้งในสภาพเปียกโชก ในอ้อมแขนกอดถุงดำใบหนึ่งเอาไว้แน่น เมื่อวางมันลงเขาก็หันไปบิดน้ำออกจากชายเสื้อ สะบัดผมที่เปียกลู่แนบศีรษะ เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วหยิบข้าวของจำเป็นออกจากถุงดำทีละชิ้นสองชิ้น

“คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ เปียกขนาดนี้เดี๋ยวจะไม่สบาย”

น่าแปลกที่ในเรือเขามีข้าวของพร้อมสรรพ เสื้อผ้าที่เขายื่นให้ไม่ต่างจากที่เขาสวมนัก แต่ลลนายังลังเลเพราะไม่เห็นจุดลับตาใดพอจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้

“ฉันไม่ได้รังเกียจเสื้อผ้านายหรอกนะ แต่ฉันไม่รู้จะเปลี่ยนยังไง”

“งั้นเดี๋ยวผมออกไปข้างนอก เรียบร้อยคุณก็ไปเรียกผมแล้วกัน”

คัมภันลุกแล้ว แต่ลลนารั้งเขาเอาไว้ มันดูเห็นแก่ตัวเกินไปถ้าต้องให้เขาออกไปตากฝนด้านนอกอีกครั้ง

“นายใช้ผ้าผืนนั้นผูกตาไว้ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะเดินไปเปลี่ยนด้านหลัง แต่นายห้ามขี้โกงหันไปแล้วกัน”

“ได้ครับ” เขาว่าง่ายเชียว ผูกผ้าปิดตาเรียบร้อยก็นั่งนิ่งเป็นรูปสลัก ไม่มีไหวติงให้ลลนาหนักใจ

หญิงสาวรีบเปลี่ยนชุดที่เปียกออก ชุดใหม่ที่เขามีน้ำใจเอื้อเฟื้อให้นั้นใหญ่ไปบ้าง แต่ในสถานการณ์คับขันมีเท่านี้ก็ถือว่าวิเศษมากแล้ว

“นายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ฉันไม่หันไปมองหรอก”

คัมภันแกะผ้าปิดตาออก เขาเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร แต่ถือไฟฉายเดินดุ่มๆ เข้าไปด้านหลัง หายไปสักพักก็กลับออกมาพร้อมเศษกิ่งไม้ใบหญ้าแห้ง เขาลงมือก่อไฟทั้งที่เสื้อผ้ายังเปียก นั่นทำให้ลลนาอดสงสัยไม่ได้

“ทำไมไม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ”

“ผมมีติดเรือไว้แค่ชุดเดียวเผื่อฉุกเฉิน”

ลลนาก้มลงมองชุดที่ตัวเองสวม เพราะหล่อนแท้ๆ เขาจึงลำบาก ลูกสาวหล่อนหาย เขาไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ตลอดเวลาที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยมองเขาในแง่ดีเลย รู้สึกผิดที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

“ขอบคุณนะ แล้วก็ขอโทษที่เคยมองคุณไม่ดี”

หล่อนยกเขาขึ้นมาอีกระดับ เพราะคำว่า ‘นาย’ ที่ใช้เรียกแทนตัวเขาฟังดูไม่ให้เกียรติ อย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจ หล่อนควรผูกมิตรและหยิบยื่นไมตรีให้เขาบ้าง

“คงคุณอะไรเล่าครับ คนบ้านๆ แบบผมไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่าง จะเรียกนาย เรียกไอ้ ผมไม่ถือสาหรอก ตามสบายเถอะ”

“ฉันสบายใจที่จะเรียกแบบนี้ค่ะ” เพราะเคยถูกคนอื่นเหยียบย่ำดูแคลน ลลนาจึงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี และหล่อนไม่ต้องการทำเหมือนที่เคยถูกกระทำมาก่อน การให้เกียรติคนอื่นถือเป็นสิ่งที่ควรทำให้ชิน

“หิวไหมครับ ผมมีกาต้มน้ำ มาม่ากระป๋องก็มี”

                คัมภันรีบเปลี่ยนเรื่อง คงเพราะท้องของหล่อนร้องท้วง เขากุลีกุจอหาของในถุงดำนั่น มันไม่ต่างอะไรกับกระเป๋าสารพัดนึกของโดราเอม่อนเลย แซนด์วิชพร้อมกินเขาก็ยังมี

“ถ้ารอไม่ไหว กินแซนด์วิชไปก่อนก็แล้วกันครับ”

เขาแกะซองแซนด์วิชให้หล่อนเรียบร้อย คล้ายบังคับกลายๆ ให้หล่อนจัดการมันลงไปให้หมด

ลลนาไม่ปฏิเสธน้ำใจของเขา แต่หล่อนแบ่งแซนด์วิชออกครึ่งหนึ่งแล้วส่งคืนให้ เพราะคงไม่ใช่แค่หล่อนที่หิว ท้องเขาเองก็คงไม่ต่างจากหล่อนนัก

มิตรภาพของลลนากับผู้ชายแปลกหน้าค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามลำดับ คัมภันตั้งกาต้มน้ำจนเดือดแล้วรินน้ำร้อนใส่บะหมี่ถ้วยสำเร็จรูปสำหรับตัวเขาและลลนา ทั้งสองต่างจัดการมื้อค่ำของตัวเองไปเงียบๆ ด้านนอกฝนยังกระหน่ำ ฟ้ายังคำรามคล้ายกลั่นแกล้ง ลลนาถอนหายใจแล้ววางถ้วยบะหมี่ลงข้างตัวทั้งที่ยังพร่องไปไม่ถึงครึ่ง

“เราต้องอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่”

“จนกว่าฝนจะหยุดตก ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่”

ไม่ใช่ความผิดของเขา มนุษย์เราไม่มีวันอยู่เหนือธรรมชาติได้ ลลนาต้องข่มใจไม่ให้คิดไปในแง่ร้าย แต่ความเป็นแม่ทำให้หยุดคิดไม่ได้เลย ป่านนี้เลศยาจะเป็นเช่นไร มื้อเย็นจะตกถึงท้องหรือยัง ฝนตกหนัก จะเปียก จะหนาว จะไม่สบายหรือเปล่า เวลานอนใครจะกล่อม จะเล่านิทานให้ลูกฟัง คิดแล้วน้ำตาก็ทำท่าจะไหล หล่อนรีบเงยหน้าห้ามมันไว้ ไม่ใช่เวลามาอ่อนแอให้ใครสงสาร

“คุณหนาวรึเปล่า”

เสียงของคัมภันดึงให้ลลนาหลุดจากภวังค์ห่วงหาแล้วหันไปมอง เขายื่นผ้าห่มสีลายพร้อยมาให้ คงเห็นว่าหล่อนนั่งกอดเข่า กอดตัวเอง

“ไม่หรอกค่ะ คุณน่าจะหนาวมากกว่าฉัน”

คัมภันควรจะหนาว เพราะเขาถอดเสื้อไปตากข้างกองไฟ รวมทั้งเสื้อผ้าเปียกของหล่อนที่เขาช่วยขึงเชือกเป็นราวแล้วตากเอาไว้ หล่อนเองสวมเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว นั่งอยู่ข้างกองไฟเช่นนี้ไม่หนาวเลยสักนิด โดยเฉพาะใจของหล่อน มันร้อนรุ่มเสียยิ่งกว่าอะไรดี

“คิดในแง่ดีเข้าไว้นะครับ น้องไลท์ต้องปลอดภัยแน่ๆ ผมเชื่ออย่างนั้น”

ลลนาเองก็เชื่อว่าลูกสาวต้องปลอดภัย แต่ถ้าคนที่พาลูกไปไม่ใช่ ‘เขา’ ก็ใจหายเกินจะกล้าคิดต่อ ได้แต่ภาวนาให้ฝนฟ้ารวมถึงเทวดาเจ้าขาเห็นใจคุณแม่คนนี้สักหน่อย แต่ดูเหมือนคำขอจะไม่เป็นผล เพราะเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาจนลลนาสะดุ้ง ย้ำให้เข้าใจอีกครั้งว่ามนุษย์เดินดินไม่มีสิทธิ์อยู่เหนือธรรมชาติได้

“ขอบคุณที่เอ็นดูลูกสาวฉันนะคะ แกโชคดีที่ไปไหนก็มีแต่คนรัก”

เพราะเบื่อจะฟังเสียงฝนเสียงฟ้า หล่อนจึงหันมาคุยกับผู้ร่วมชะตากรรม คัมภันนั่งอยู่อีกฟากของกองไฟที่ลุกโชน ในเมื่อต้องติดแหง็กอยู่กับเขา ทำความรู้จักกันอีกสักหน่อยคงไม่เสียหาย

“คุณมีลูกไหมคะ”

คัมภันสบตากับลลนาเพียงแวบเดียวเท่านั้น แววตาของเขาบอกความอึดอัดลังเล ไม่คิดว่าคำถามง่ายๆ ของหล่อนจะทำให้เขาเงียบไปได้ชั่วขณะ หล่อนจวนจะเอ่ยขอโทษที่ละลาบละล้วง แต่คัมภันยอมเปิดปากเล่าออกมาเสียก่อน

“ครับ ผมมีลูกสาว”

รอยยิ้มภายใต้หนวดเคราไม่กระจ่างนัก แต่ลลนาอาศัยอ่านจากดวงตา ความรู้สึกของคนเป็นพ่อฉายกระจ่างอยู่ในนั้น คัมภันคงรักลูกของเขามาก เพียงแค่พูดถึงลูกไม่กี่คำ น้ำตาก็คลอตาเขาได้อย่างน่าประหลาด เห็นเป็นผู้ชายตัวใหญ่แข็งแรง แต่เรื่องลูกเขากลับยอมเผยให้หล่อนเห็นในมุมอ่อนแอ

“อายุน่าจะพอๆ กับน้องไลท์ แต่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมเคยเห็นหน้าลูกแค่ครั้งเดียวตอนคลอดใหม่ๆ ตัวแดงเชียว หน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนแม่เขามาก ไม่มีส่วนไหนคล้ายผมเลยสักนิด”

ในรอยยิ้มมิใช่เพราะตลก ลลนารู้ว่าเขาพยายามกลบเกลื่อนให้ดูเข้มแข็ง หล่อนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นน้ำตาที่คลอจนเกือบล้นนั่น เขาก้มหน้าลง คงซ่อนมันไว้ แต่ความอ่อนแอนั้นซ่อนได้ไม่มิดเพราะเสียงแปร่งไปจากเดิม

“ลูกอยู่กับภรรยาคุณหรือคะ”

“ครับ แม่เขาคงเลี้ยงได้ดีกว่าผม”

ลลนาพอจะเข้าใจสภาพครอบครัวของคัมภันได้บ้าง เขาแยกกันอยู่กับภรรยาตั้งแต่ลูกเกิด แต่ในความเป็นพ่อยังโหยหา ยังรักลูก ไม่แปลกใจอีกต่อไปว่าทำไมคัมภันจึงเอ็นดูเลศยา เพราะลูกสาวของเราวัยไล่เลี่ยกัน เขาคงคิดถึงลูกสาวมากจริงๆ

“ทำไมไม่ไปหาลูกล่ะคะ ฉันเชื่อว่าคุณจะเป็นพ่อที่ดี”

“อย่าเลยครับ แกมีครอบครัวใหม่ที่อบอุ่นดีแล้ว อย่าให้ลูกต้องรู้เลยว่าผมเป็นพ่อของแก”

เป็นความคิดถึงที่แสนเจ็บปวด ลลนาสัมผัสได้ ด้วยความเจียมตัวของคัมภันทำให้เขาก้มหน้ายอมใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความโหยหานี้ไปตลอดกาล เมื่อคนเราถูกพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องทุกข์หนักหน่วง ชะตาชีวิตของคัมภันช่างคล้ายกับหล่อนเหลือเกิน ต่างกันที่หล่อนไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากลูกสาวไปจากอก แม้ผู้นั้นจะเป็นพ่อที่สามารถเลี้ยงดูเลศยาได้ไม่ต่างจากหล่อน

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่น่าชวนคุยเรื่องนี้เลย”

“เพื่อความสบายใจของคุณ ผมยินดีครับ แต่ผมยืนยันนะว่าไม่เคยคิดร้ายกับลูกสาวคุณเลย”

“ฉันเข้าใจคุณค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่เคยทำกิริยาไม่ดีกับคุณ”

“สภาพเหมือนโจรแบบผม ไม่ว่าใครก็คงจะกลัวละครับ”

ลลนาหัวเราะ ต่อไปหล่อนจะไม่กลัวเขาอีกแล้ว และลูกสาวหล่อนคงชื่นชอบเขาไม่น้อยเช่นกัน เพราะเห็นพูดถึง ‘ลุงเปลือกหอยฉวย’ อยู่บ่อยๆ

เลศยาคือความสุขของคนเป็นแม่ คือแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ จะเป็นไรไปถ้าหล่อนจะแบ่งปันความสุขและแสงสว่างนี้ให้ผู้ชายคนหนึ่งที่คิดถึงลูกสาวเขาอย่างสุดแสน คัมภันไว้ใจได้ และเขาได้รับอนุญาตให้เลื่อนฐานะขึ้นเป็น ‘ลุงภัน’ ของลูกสาวหล่อนแล้วด้วยความเต็มใจ

“แค่คุณเข้าใจ ผมก็ดีใจมากแล้วครับ”

รอยยิ้มของเขากว้างกว่าเดิมจนเห็นฟันขาว ถ้าใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลาจากหนวดเครารกคงน่าดูมากกว่านี้ ดวงตาดำสนิทเช่นผมหยักศกที่ยาวระต้นคอ คิ้วเข้มและหนา ขนตางอนสวยช่างขัดกับบุคลิกห้าวๆ ลุยๆ หุ่นเขาล่ำ กล้ามเนื้อเห็นชัดเจน ผิวสีแทนเข้มคงเพราะแดดแรงกลางทะเลแผดเผา ภาพรวมเขาดูดี ใบหน้าคมคาย เพียงแต่รกรุงรังไปหน่อยเท่านั้นเอง

“คุณดูไม่เหมือนคนไทย แต่ก็ไม่น่าจะใช่ลูกครึ่ง”

ลลนาเคยคลุกคลีกับผู้ชายต่างชาติต่างเชื้อ เชื่อว่าตาหล่อนมองไม่พลาด

“แม่ผมเป็นลูกครึ่งบราซิลครับ คงได้เชื้อจากแม่มาบ้าง”

“แล้วคุณอยู่กับแม่ใช่ไหมคะ”

“เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่แม่ผมจากไปหลายปีแล้วครับ”

“ฉันเสียใจด้วยนะคะ”

ลลนาอยากถามเขาอีกหลายเรื่อง แต่กลัวเป็นการละลาบละล้วงเกินงาม หล่อนยอมจบคำถาม แสร้งบอกเขาว่ารู้สึกเพลีย อยากงีบสักพัก และเขาเองก็แสนดีนัก จัดเตรียมที่ทางให้หล่อนได้พักในที่เหมาะสม

“ไฟใกล้มอดแล้ว เดี๋ยวผมเข้าไปหาฟืนมาเพิ่ม ดึกๆ อากาศจะเย็น”

จริงอย่างที่เขาว่า ลมที่โชยเข้ามาปะทะหอบไอเย็นมาเป็นระลอก หล่อนเองก็เริ่มหนาวจนต้องเอามือซุกเข้าไปในเสื้อ

“ข้างในมีฟืนด้วยเหรอคะ แปลกจัง”

“ไม่ใช่แค่เราหรอกครับที่ใช้ที่นี่หลบฝน ชาวเรือเกือบทุกคนเคยมาที่นี่ทั้งนั้น บางคนก็หอบกิ่งไม้มาทิ้งไว้เป็นกองๆ ถ่านบ้าง เทียนบ้าง ไฟแช็กก็มี เพราะพวกเรารู้ครับว่าถึงไม่ได้ใช้ คนอื่นก็ต้องได้ใช้”

ได้ฟังแล้วลลนาก็ยิ้มตาม หาไม่ได้ง่ายในสังคมสมัยนี้ที่คนเราจะนึกถึงคนอื่น คนส่วนใหญ่สนใจตัวเอง นึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง และทำเพื่อตัวเองกันทั้งนั้น คัมภันเป็นคนดี ลลนาเชื่อว่าเขาเป็นพ่อที่ดีของลูกเขาได้ แต่ภรรยาเขาคงต้องการมากกว่าความดีของคู่ชีวิต ความมั่งคั่ง มั่นคง เป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้หญิงหลายคนเลือกทิ้งผู้ชายดีๆ ไปอย่างไม่เสียดาย

 

                ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น ฝนหยุดตกแล้ว แต่คัมภันไม่คิดจะปลุกลลนาที่กำลังหลับสบาย หล่อนควรพักผ่อนให้เต็มที่ เก็บแรงเอาไว้สู้กับเช้าวันใหม่ เขาสละผ้าห่มให้หล่อนแล้วนั่งกอดตัวเองอยู่ข้างกองไฟ เสื้อผ้าที่เปียกตากไฟจนแห้ง สวมไว้พอให้คลายหนาวลงได้บ้าง

คัมภันหลับไม่ลงเพราะมีเรื่องให้ต้องคิดหลายเรื่อง ใจหนึ่งคือห่วงเลศยา อีกใจมันย้อนคิดถึงเรื่องราวในวันวาน เรื่องของอดีตภรรยาคือความเจ็บปวดที่ยากจะลืม เขาถูกหล่อนสลัดรักแล้วหอบลูกไปกับชายชู้ที่เหนือกว่าเขาทุกด้าน ลูกสาวของเขาแท้ๆ สิทธิ์เป็นพ่อเขายังไม่มีโอกาสได้รับ แต่ผู้ชายคนนั้นกลับได้ไปทุกสิ่ง เพียงเพราะว่ารวยกว่า มีหน้าตาทางสังคมมากกว่า ‘ไอ้กระจอก’ คนนี้ ที่เคยถูกอดีตภรรยาตราหน้าเอาไว้

‘จำใส่หัวเอาไว้นะ เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ พ่อเขาเป็นเศรษฐี ไม่ใช่ไอ้กระจอกไร้อนาคตอย่างคุณ!’

                คัมภันเผลอกำหมัดแน่นทุกครั้งที่หนังรันทดในอดีตฉายขึ้นในหัวเป็นฉากเป็นตอน เขาก้มหน้าซุกเข่าทุกครั้งเมื่อตัวเองอ่อนแอ ก่อนจะยอมพ่ายแพ้และหลั่งน้ำตาให้สาแก่ใจทรมาน

                 

                แสงแดดลอดผ่านมาปลุกคัมภันที่เผลอหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า ลลนาคงตื่นนานแล้ว หล่อนเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่ดูทะมัดทะแมง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินพับแขนถึงศอกกับกางเกงผ้ายืดขาสั้นสีครีมที่ก้นกางเกงดูเลอะไปบ้าง หญิงสาวเดินออกไปข้างนอก หายไปสักพักก็กลับมาตะโกนบอกเขาอย่างตื่นเต้น

“ฝนหยุดแล้วค่ะ ฟ้าใสเชียว”

รอยยิ้มที่ส่งมาทักทายไม่ค่อยสดใสพอๆ กับแววตาแสนโศก ลูกสาวหายไปทั้งคน คงยากที่แม่จะหน้าชื่นตาบาน

                “ล้างหน้าแปรงฟันก่อนได้นะคุณรัน”

                ในถุงที่เขาขนมาจากเรือมีแปรงสีฟันอันใหม่ที่เพิ่งซื้อ เขายินดียกให้ลลนา

“ไม่ละค่ะ ตอนนี้ใจฉันไปอยู่ที่เกาะเสม็ดแล้ว”

เพราะประโยคนั้นเชียว คัมภันจึงรีบเก็บข้าวของขนกลับไปไว้ที่เรือ เตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทางในช่วงเช้า แต่แล้วทำไมจึงรู้สึกแปลก ใจเต้นแรงนิดๆ เมื่อต้องย่อตัวลงนั่งให้ลลนาขึ้นขี่หลังอีกครั้ง แม้เช้านี้ระดับน้ำจะลดลงกว่าเมื่อคืน แต่รู้สึกว่าขาเขาล้า ก้าวช้าลง เขาเสียดายอะไรกัน ควรรีบจ้ำเท้าพาหล่อนขึ้นเรือให้ไวกว่านี้ไม่ใช่หรอกหรือ

“มีอะไรคะ”

ไม่แปลกที่หล่อนจะสงสัย เพราะจู่ๆ เขาก็หยุด ไม่ยอมก้าวต่อ แต่จะให้ตอบหล่อนไปว่าใจสั่นคงทำไม่ได้

“ขอบคุณนะครับที่ไว้ใจผม”

เป็นคำพูดที่เชยสนิทในความคิดของคัมภัน เพียงแค่ต้องการผูกมิตรกับผู้หญิงสักคน เขาต้องทำเพื่อหล่อนมากเพียงนี้เชียวหรือ

“คุณเป็นคนดี ฉันดีใจที่ได้รู้จักคุณค่ะ”

ลลนาไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้มกว้างใต้หนวดเครารก เขาส่งหล่อนขึ้นเรือเรียบร้อยก็ตั้งหน้าตั้งตาสาวสายสมอ สตาร์ตเครื่องยนต์ และบังคับเรือลำน้อยให้ค่อยๆ แล่นท้าคลื่นไปตามทิศทาง

สายตาของคัมภันอดซุกซนไม่ได้ เขาอมยิ้มเมื่อเห็นท่านั่งที่แสนสบายของลลนา หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแออย่างที่คิด อดทนต่อความลำบากได้ และปรับตัวได้เยี่ยมในสถานการณ์คับขัน ซ้ำยังไม่เรื่องมาก ไม่ขี้บ่น หล่อนมีหลายสิ่งที่น่าประทับใจ และเขาก็ประทับใจหล่อนเข้าแล้วจริงๆ

“นั่นใช่ไหมคะ เกาะเสม็ด” หล่อนชี้นิ้วเรียวไปข้างหน้าแล้วหันไปถามเขาอย่างตื่นเต้น

“ครับ ไม่เกินห้านาทีเราก็ถึงแล้ว”

นับเป็นการเดินทางที่แสนวิเศษของคัมภัน เขาได้รับมิตรภาพที่ดีจากลลนา มีช่วงเวลาดีๆ ที่ควรค่าแก่การจดจำ ที่ผ่านมาเขาพึงพอใจในความสมถะเรียบง่ายที่ไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวาย แต่นับจากวันนี้ชีวิตเขาจะมากไปด้วยสีสัน ที่เต็มใจให้ลลนากับลูกช่วยกันแต่งแต้มมันไปตามต้องการ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น