14

บทที่ 14


 

14

หน้าห้องไอซียูเด็กเล็ก พัทนีเห็นบดินทร์ฉัตรเดินไปเดินมา สีหน้าเศร้าหมอง แววตาดูอ่อนล้า ขอบตาคล้ำ เขาคงพักผ่อนไม่เพียงพอเพราะห่วงอาการของภรรยากับลูกซึ่งพัทนีก็กังวลอยู่ไม่น้อย

“คุณฉัตร”

บดินทร์ฉัตรหันมาอย่างรวดเร็วแล้วมองเลยไปด้านหลัง เขาคงกลัวจะพบหลานสาวของพัทนีอีกคน  

“ฉันมาเยี่ยม พวกคุณปลอดภัยดีใช่ไหม”

บดินทร์ฉัตรยกมือขึ้นไหว้ แต่ไม่ตอบคำถามทันที เขาเชื้อเชิญให้พัทนีนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ๆ เสียงอึกอักอยู่บ้าง แล้วถอนหายใจดังพอได้ยิน

“ผมไม่เป็นไรมากครับ แค่เคล็ดขัดยอก ส่วนภรรยาวันนี้อาการดีขึ้นมาก จะมีก็แต่ลูกผมที่น่าเป็นห่วง”

บดินทร์ฉัตรเงียบอีกแล้ว พาให้ใจพัทนียิ่งหวั่น เห็นเขาบีบมือแน่นนานหลายนาทีกว่าจะเริ่มต้นพูดถึงอาการของลูกได้

พัทนีนั่งฟังเงียบๆ แสร้งมองไม่เห็นน้ำตาที่คลอตาบดินทร์ฉัตร เสียงของเขาสั่นเครือเมื่อต้องพูดว่าอาการของลูกยังไม่พ้นขีดอันตราย วันนี้เขามีโอกาสได้เข้าเยี่ยมลูกน้อยแค่ครั้งเดียว ลูกยังนอนนิ่งเพราะฤทธิ์ยา จึงไม่มีโอกาสได้เห็นแววตาสดใสของลูกเลย

“เขาตัวเล็กมาก ผมกลัวว่าเขาจะสู้ไม่ไหว”

“คิดในแง่ดีไม่ดีกว่าหรือคะ ถ้าคุณภาวนาให้เขารอด เขาก็ต้องรอดค่ะ” 

“ผมยอมแลกกับทุกอย่างครับ ขอแค่ลูกรอด จะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น”

ใจที่ผูกติดไว้ยากจะคลายจากความทุกข์ สภาพของบดินทร์ฉัตรดูอิดโรย เขาคงไม่ใส่ใจจะดูแลตัวเอง ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของคนที่รัก กลไกบางอย่างในร่างกายก็คล้ายผิดปกติไป พัทนีเข้าใจเพราะเคยผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นมาหลายครั้ง และครั้งสุดท้ายคือการจากไปของน้องชายเพียงคนเดียว

“ด้านล่างมีศาลที่ชาวบ้านเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มาก คุณได้ไปไหว้ขอพรรึยังคะ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยังสำคัญต่อคนมีทุกข์ บดินทร์ฉัตรรีบหันมาตอบและขอร้องให้พัทนีพาลงไปยังศาลศักดิ์สิทธิ์นั่น เขาไม่รีรอที่จะซื้อพวงมาลัยตามคำแนะนำของพัทนี และตรงไปหน้าศาลใหญ่งดงามที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน บดินทร์ฉัตรย่อตัวลงนั่งคุกเข่าพนมมือ คำอธิษฐานของเขาคงยาวพอควร เพราะใช้เวลาอยู่ตรงนั้นนานหลายนาที

เสร็จสิ้นการขอพรที่ไม่รู้ผล พัทนีออกปากชวนบดินทร์ฉัตรไปฝากท้องที่ร้านอาหารของโรงพยาบาล แม้เขาจะปฏิเสธว่าไม่หิว แต่ยังเดินตามไปจนถึงศูนย์อาหารที่มากมายไปด้วยร้านค้าและผู้คน เขาเลือกสั่งข้าวหมูกรอบที่ไม่ต้องรอคิวนาน และนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับพัทนี

“ฉันสั่งกาแฟเย็นมาเผื่อคุณด้วย ร้านนี้เขาทำอร่อย”

บดินทร์ฉัตรกล่าวขอบคุณแล้วจัดการมื้อแรกของวันอย่างเงียบๆ พัทนีไม่คิดจะกวนใจ ปล่อยให้เขาได้เอร็ดอร่อยกับเมนูตรงหน้า สุดท้ายคนไม่หิวก็ลุกไปสั่งอาหารอีกรอบเมื่อข้าวหมูกรอบเกลี้ยงจาน พัทนีดีใจเมื่อเห็นเขาได้อิ่มท้อง ใจคนเรานั้นทุกข์ได้ แต่อย่าให้ร่างกายต้องทุกข์ตาม

 

“ขอบคุณนะครับ” บดินทร์ฉัตรกล่าวขึ้นเมื่อเดินออกจากศูนย์อาหาร มานั่งรับลมเย็นที่ม้าหินอ่อนไม่ไกลกันนัก ร่างกายของเขาอ่อนเพลียเพราะไม่มีแม้แต่น้ำหรืออาหารตกถึงท้อง เขากังวลใจกับอาการสาหัสของภรรยาและลูก จนป่านนี้แล้วยังไม่กล้าโทร. บอกพ่อแม่เขาและพ่อแม่ของปาลิดาเลย

“คุณคือกำลังสำคัญของภรรยาและลูก ถ้าคุณล้มป่วยลงอีกคน พวกเขาคงลำบาก”

“ครับ ผมจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้”

“รันเขาก็ห่วงภรรยากับลูกคุณ แต่ฉันห้ามไม่ให้มา เพราะกลัวว่าอาการของภรรยาคุณจะยิ่งทรุด”

บดินทร์ฉัตรนึกขอบคุณที่พัทนีเข้าใจ หมอยังให้ปาลิดาอยู่ในห้องไอซียูเพื่อเฝ้าดูอาการ ช่วงเช้าหล่อนลืมตาขึ้นมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น และเมื่อพยาบาลฉีดยาสองเข็มเข้าสายน้ำเกลือ หล่อนก็หลับลึกอีกครั้ง

“ถ้าผมกลับไปใช้ชีวิตตามทางของผมแล้วลืมหลานสาวของคุณ วันนี้ภรรยากับลูกผมคงไม่โชคร้าย”

“ฉันเสียใจด้วยนะคะ ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”

นัยน์ตาของพัทนียังสบกับเขานิ่ง และความเป็นผู้ใหญ่ที่เมตตาเขามาโดยตลอด ทำให้เขายิ่งละอายใจกับสิ่งไม่ดีที่เคยทำเอาไว้

“ผมต้องขอโทษคุณพัดด้วยนะครับ กับทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา”

“เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอค่ะ”

“อันที่จริง ผมไม่เคยลืมรันได้เลย”

พัทนีเอื้อมมือมาตบหลังมือบดินทร์ฉัตรเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขาก้มหน้าแล้วไม่ยอมพูดต่อ

“ความรู้สึกมันปนเปกันไปหมดครับ ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง”

บดินทร์ฉัตรไม่กล้าพูดว่ายังรักลลนา เขาควรฝังความรู้สึกนั้นให้จมไปพร้อมอดีต ภรรยายังนอนเป็นผัก ลูกน้อยยังไม่รู้ชะตากรรม ถึงเวลาหรือยังที่เขาต้องอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง

“ผมควรต้องหยุดเรื่องนี้สักที”

“ที่ผ่านมาคุณคงไม่มีความสุขเท่าไหร่ ขอโทษแทนหลานสาวฉันด้วยนะคะ”

“ไม่ใช่ความผิดของรันหรอกครับ ถ้าจะผิดก็ผิดที่ใจผมเอง”

ผิดที่ลืมลลนาไม่ได้ ตัดหล่อนไม่ขาด แต่บดินทร์ฉัตรตั้งมั่นกับตัวเองแล้วว่าเขาจะพยายาม เขาจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับปาลิดา ทดแทนช่วงเวลาที่เคยบกพร่อง สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องเลือกสักทาง และเขาจะไม่เสียใจกับทางที่เลือกเดิน

“ผมเชื่อว่ารันจะดูแลลูกได้ดีกว่าผม”

บดินทร์ฉัตรพร้อมรับผิดชอบและให้ความช่วยเหลือหากลลนาต้องการ เลศยาคือลูกสาวที่น่ารัก แม้ความผูกพันยังไม่มากนัก แต่เขาไม่ใช่พ่อใจร้ายที่จะตัดลูกในไส้ทิ้งได้ลงคอ

“ผมรักลูก แต่ตอนนี้ลูกคงเกลียดผมเหมือนที่แม่แกเกลียด”

“ไม่มีใครสอนยายไลท์แบบนั้นหรอก และฉันเชื่อว่าหลานฉันคงไม่กีดกันถ้าพ่อลูกจะพบกัน”

บดินทร์ฉัตรก็เชื่อเช่นนั้น แต่ยังไม่ไว้ใจตัวเอง สภาพจิตใจตอนนี้อ่อนแอเกินจะกลับไปพบภาพบาดตาระหว่างลลนากับคัมภัน เพราะหมาหวงก้างกลัวทนไม่ไหว และกระทำสิ่งใดลงไปโดยไม่ยั้งคิดเช่นที่ทำกับคัมภันหนก่อน

“ระยะนี้ผมคงต้องห่างไปก่อนครับ ถ้าทำใจได้เมื่อไหร่ ผมคงจะโทร. ไปคุยกับลูกบ้าง”

“เอาที่คุณสบายใจเถอะ น่าห่วงที่สุดตอนนี้คือภรรยาและลูกของคุณ ดูแลพวกเขาให้ดีนะ วันนี้ฉันคงต้องกลับก่อน แล้วอีกสองสามวันจะแวะมาใหม่”

พัทนีเดินห่างออกไปแล้ว บดินทร์ฉัตรจึงรีบกลับมาเฝ้าภรรยา เขาได้รับข่าวดีจากพยาบาลว่าอาการของลูกชายดีขึ้นมาก การหายใจเป็นปกติและเริ่มปลดเครื่องมือแพทย์บางอย่างออกได้บ้าง บดินทร์ฉัตรยิ้มกว้างขึ้น เขากุมมือภรรยาไว้และเล่าให้หล่อนฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแม้หล่อนจะยังหลับอยู่ก็ตาม

 

ทรงพลโทร. หาชเยศแต่เช้าเพื่อรายงานให้ทราบถึงอาการทรุดของปองภพ อีกทั้งยังขอร้องให้ชเยศยอมกลับมาช่วยงานที่บริษัท แม้ร่างกายจะมีแต่ทรุดเพราะโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง แต่ปองภพกลับห่วงงาน ห่วงบริษัทมากกว่าสุขภาพของตัวเอง ปองภพยื่นคำขาดมาแล้วว่าจะวางมือต่อเมื่อลูกชายยอมกลับมารับช่วงบริหารต่อเท่านั้น บริษัทกำลังประสบปัญหาถูกคดโกงจากคนใน แต่ปองภพกับทรงพลยังจับผู้กระทำผิดไม่ได้คาหนังคาเขา และที่พึ่งสำคัญคือข้อมูลในระบบที่ชเยศมีสิทธิ์ในการเข้าถึงแต่เพียงผู้เดียว 

คำขอร้องของแม่ยังก้องอยู่ในหู ชเยศถอนหายใจแล้วลูบหน้าแรงๆ ก่อนจะหงายหลังลงนอนแผ่หลาบนที่นอนนุ่ม เขายังสองจิตสองใจเพราะห่วงลลนากับลูก แต่ไม่อาจใจร้ายกับพ่อตัวเองได้ลงคอ แม้ปองภพไม่เคยดูแลเขากับแม่ด้วยเหตุผลสำคัญบางประการ แต่ท่านคือผู้ให้กำเนิดชีวิต และแม่ก็ต้องการให้เขากลับไปทดแทนบุญคุณ

“เอาไงเอากันวะ”

ได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้วจึงเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง บ่ายนี้รัชชานนท์พาลลนากับเลศยาไปซื้อของใช้ที่ห้างสรรพสินค้า แต่เพราะขาเขายังเจ็บจึงไม่สะดวกติดสอยห้อยตามไปด้วยอีกคน ชเยศเห็นว่าเป็นจังหวะดีจึงตัดสินใจเข้าพบพัทนีเป็นการส่วนตัว ที่ออฟฟิศเงียบเหงาเพราะวันธรรมดามีลูกค้าน้อยเป็นปกติ

“มีอะไรรึเปล่าพ่อภัน” พัทนีทักขึ้นทันทีเมื่อเขาโผล่หน้าเข้าไปในออฟฟิศ

“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณพัดครับ”

ชเยศเดินไปนั่งที่มุมโซฟา รอให้พัทนีออกจากเคาน์เตอร์แล้วเดินตามมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

“หน้าเครียดเชียว เรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่องเกี่ยวกับตัวผมครับ”

พัทนีเอียงหน้ามองชเยศแล้วขมวดคิ้วเมื่อเขาเริ่มบอกเล่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง นั่นคือความลับที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้มาก่อน ชเยศยอมทิ้งอนาคตและอาชีพการงานที่กำลังเจริญก้าวหน้าเพียงเพราะช้ำรักจากไรยา อดีตคนรักที่วาดหวังจะสร้างอนาคตร่วมกัน ถึงขั้นตระเตรียมเรือนหอและสะสมสินสอดทองหมั้นเพื่อเข้าสู่ประตูวิวาห์ แต่รักแท้ของเขาแพ้อำนาจเงินตรา ไรยาแอบสวมเขาและเลือกแต่งงานกับเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรขึ้นชื่อแถวสมุทรปราการ หล่อนไม่ได้จากไปตัวเปล่า แต่ยังพรากลูกสาวที่เขามีสิทธิ์ได้พบหน้าแค่เพียงวันเศษ

“ยอมรับว่าตอนนั้นผมเจ็บหนัก และผมก็เลือกที่จะหนีมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่”

“แบบนี้สินะ ถึงต้องเปลี่ยนชื่อ”

พัทนีเดาได้ถูกต้อง ชเยศเปลี่ยนชื่อกับนามสกุล รวมไปถึงเอกสารสำคัญทางราชการอย่างบัตรประชาชน เขาพกเงินติดตัวมาไม่มากนัก และเริ่มต้นชีวิตชาวประมงเรือเล็กอย่างสมถะมานับแต่นั้น

“แล้วฉันควรจะเรียกพ่อภันว่ายังไง”

“เรียกผมเหมือนเดิมเถอะครับ อยู่ที่นี่ผมคือคัมภัน แต่ที่ผมต้องเรียนให้คุณพัดทราบว่าแท้ที่จริงแล้วผมเป็นใคร เพราะผมต้องกลับไปช่วยงานที่บริษัทเก่า”

“แค่ลาออก ไม่เห็นต้องเท้าความอะไรให้มาก”

“ครับ แต่มีอีกเรื่องที่สำคัญมากกว่านั้น”

ชเยศบีบมือเย็นของตัวเองแน่น รู้สึกประหม่าเมื่อพัทนียังจ้องกันไม่วางตา เขานิ่งอยู่เป็นนาทีเพื่อตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นประโยคต่อจากนี้อย่างไร

“ผมรักคุณรันครับ”

ไม่แปลกถ้าพัทนีจะเบิกตาโตกว่าเก่าแล้วยกมือทาบอก ก่อนจะยิ้มและพยักหน้าน้อยๆ คล้ายให้กำลังใจผู้เล่า

“ถ้าผมต้องจากที่นี่ไป ผมคงเป็นห่วงคุณรันกับลูกมาก คุณพัดจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะสู่ขอคุณรัน ผมอยากชวนเธอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ไปให้พ้นจากปัญหาที่ตามรุมเร้าอยู่ตอนนี้”

ชเยศกลั้นใจพูดออกไปแล้วก็ใจสั่นเมื่อพัทนีไม่ตอบคำถาม สาวใหญ่วางมือประสานกันบนตักอย่างสงบแล้วเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ชเยศไม่รู้ว่าพัทนีนึกถึงสิ่งใด แต่กลัวเหลือเกินว่าคำขอของเขาจะโดนปฏิเสธ

 “ฉันเองก็รู้จักกับพ่อภันมานาน และก็รู้ว่าพ่อภันเป็นคนดี ถามฉัน ฉันก็ไม่ขัดข้องหรอก ดีใจด้วยซ้ำที่พ่อภันไม่รังเกียจแม่ม่ายเรือพ่วงอย่างยายรันเขา”

“ไม่ครับ ผมไม่เคยรังเกียจคุณรันเลย”

มิใช่พูดเอาใจผู้ใหญ่ แต่ชเยศรู้สึกเช่นนั้นจริง เขาไม่เคยใส่ใจกับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ มนุษย์เราทุกคนล้วนมีอดีต ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขา อดีตของบางคนหอมหวาน น่าจดจำ แต่อดีตของเขากับลลนาต่างก็เจ็บปวดมาหนักหนาพอกัน

“แล้วนี่ได้คุยกับหลานสาวฉันรึยัง”

“ยังเลยครับ ผมตั้งใจมาเรียนให้คุณพัดทราบก่อน”

“ทางนี้น่ะไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไฟเขียวเสมอสำหรับพ่อภัน แต่ทางนั้นสิน่าเป็นห่วง เพราะไม่รู้ยายรันจะไฟเหลืองหรือไฟแดง ยากหน่อยนะ หลานฉันคนนี้เขาใจแข็งพอควร”

“ใจแป้วเลยครับ”

ชเยศยิ้มไม่ออก แต่พัทนีหัวเราะชอบใจ เห็นจะจริงดังนั้น เพราะลลนายังปิดกั้นหัวใจตัวเองไว้อย่างแน่นหนา หลายครั้งที่เขาพยายามส่งสารไปเชื่อมใจ แม้ไม่ถูกปฏิเสธซึ่งหน้า แต่หล่อนก็แสร้งเปลี่ยนเรื่องทำเป็นไม่รับรู้ ระหว่างเราสองคนยังคลุมเครือและยากเกินจะอธิบาย เพราะยังไม่มีใครยอมพูดออกไปตรงๆ

“ผมเองก็กลัวคุณรันจะปฏิเสธ”

“แหม่ ไม่ทันได้ขึ้นสังเวียนเลยนะพ่อคุณ เดี๋ยวคืนนี้ฉันชวนยายไลท์มานอนกับฉันสักคืน พ่อภันก็อย่าให้เสียโอกาสล่ะ แล้วได้ข้อสรุปยังไง จะหมู่หรือจ่าก็มาบอกให้ฉันรู้ด้วย”

ชเยศรับคำแล้วยิ้มเอียงอายระคนยินดี เมื่อพัทนีเปิดทางให้อย่างเต็มที่ แต่ภารกิจสำคัญนี้ไม่อาจให้ใครปฏิบัติแทนได้ คืนนี้จะเป็นคืนชี้ชะตาว่าต้องจากที่นี่ไปตามลำพัง หรือมีหัวใจอีกสองดวงติดสอยห้อยตามกันไป

               

เมื่อการรับประทานอาหารมื้อเย็นดำเนินไปใกล้จบ พัทนีก็เกริ่นตามแผนที่วางกันไว้ เขามีของสำคัญของแม่ในตู้ล็อกกุญแจมิดชิดที่ข้างเตียงนอน ของชิ้นนั้นทรงคุณค่าต่อจิตใจ และจำเป็นต้องใช้ในค่ำคืนนี้

“จะไปเอาของที่บ้านไม่ใช่เหรอพ่อภัน ให้ยายรันไปส่งสิ เดี๋ยวมืดค่ำกว่านี้จะอันตรายนะ”

“น้องไลท์ไปกับแม่รันไหมลูก”

เลศยาหันมาสบตากับชเยศและพัทนีคล้ายชั่งใจ ก่อนจะเมินคำชวนของแม่รันเพราะมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่า

“ไม่ค่ะ จะเย็บชุดตุ๊กตากับยายพัด คืนนี้นอนกับยายพัดค่ะ”

พัทนีหันมาสบตากับชเยศแล้วอมยิ้ม คงแอบติดสินบนเลศยาเอาไว้แล้วตั้งแต่ช่วงเย็น เป็นที่รู้กันว่าทางสะดวกให้เริ่มภารกิจพิชิตใจนาง เขาแอบมองหน้าสวยของลลนา ใจสั่นยิ่งขึ้นเมื่อหล่อนหันมาสบตาแล้วยิ้มให้ กลัวที่สุดคือคำปฏิเสธ เพราะแผลลึกที่ไรยาฝากไว้ยังไม่หายไปจากใจ เรือนหอหลังนั้นยังรอเจ้าสาว รวมถึงสินสอดทองหมั้นในตู้เซฟของธนาคารนั่นด้วย

“ไปกันเลยนะคะ เดี๋ยวจะค่ำกว่านี้”

ชเยศรับคำแล้วเดินตามลลนาไปขึ้นรถ บนถนนเลียบหาดยังมีผู้คนพลุกพล่าน เขาบอกให้ลลนาจอดรถไว้ชิดถนนหน้าร้านค้าของคนรู้จัก และชวนหล่อนเดินตัดชายหาดเกือบสามร้อยเมตรตรงไปที่บ้านหลังเล็กของคัมภัน

บ้านไม้เก่าแต่ยังแข็งแรงตั้งอยู่ห่างจากหลังอื่นไปพอสมควร ด้านหน้าตัวบ้านยกสูงจากพื้นหนึ่งเมตร เทซีเมนต์ฉาบหยาบๆ เอาไว้เพื่อจัดเก็บเครื่องไม้เครื่องมือและของจิปาถะ ลานด้านข้างตัวบ้านกางผ้าใบสีเขียวขึงให้ร่มเงา มีกระถางต้นโป๊ยเซียนหลากสีวางไว้เรียงราย

“บ้านผมรก คุณรันนั่งรออยู่ตรงนี้ดีกว่าครับ ผมเข้าไปเอาของแป๊บเดียว”

ชเยศเปิดไฟให้หน้าบ้านสว่าง มีม้านั่งรูปขอนไม้ตัวไม่ใหญ่นักข้างบันไดขึ้นบ้าน ลลนาทำตามคำของเขา ซึ่งเป็นการดีให้เขาได้เตรียมใจกับภารกิจที่จะดำเนินต่อไปนับจากนี้

 

ณ สะพานไม้ที่ยื่นยาวลงทะเล มีแสงสว่างจากเสาไฟไปตลอดทาง ชเยศลุ้นจนแทบหยุดหายใจเมื่อลลนาทำท่าจะปฏิเสธตอนเขาเอ่ยชวนให้มาเดินรับลมเย็นด้วยกัน ดูหล่อนลังเลเมื่อเห็นชเยศลงมาจากบ้านตัวเปล่า ไม่มีของสำคัญอย่างที่อ้างไว้แต่แรก เขาจึงต้องดึงคอเสื้อลงให้หล่อนเห็นสร้อยทองเส้นไม่โตนัก หนึ่งในสมบัติตกทอดที่แม่ฝากเอาไว้ให้ก่อนสิ้นใจ

ชเยศประหม่ากับภารกิจพิชิตใจสาวครั้งแรกในชีวิต ไม่เคยต้องทำเช่นนี้มาก่อน สมัยที่คบหากับไรยา ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย หล่อนเป็นดาวคณะที่หนุ่มๆ รุมขายขนมจีบ เขาเองก็สนใจหล่อนอยู่ แต่ไม่กล้าเดินเกมรุกก่อน วันที่หล่อนส่งจดหมายนัดพบและบอกความรู้สึกที่มีต่อเขา คือวันที่โลกสีเทาแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูหวาน ความทรงจำสวยงามนั้นน่าประทับใจ แม้ต้องแปลบลึกในอกทุกครั้งที่นึกถึงไรยาก็ตาม

“มีอะไรจะคุยกับฉันรึเปล่าคะ วันนี้ดูคุณแปลกๆ”

ลลนายืนกอดอกนิ่งที่ปลายสะพานไม้ หล่อนคงสงสัยเพราะเดินเคียงกันมาตลอดความยาวของสะพาน แต่เขาไม่พูดกับหล่อนสักคำ

“ใจหายน่ะครับ เพราะอีกไม่นานผมคงไม่ได้อยู่ที่นี่”

“หมายความว่ายังไงคะ”

หน้าสวยของลลนาซีดลง หล่อนจ้องเขานิ่งอยู่อย่างนั้น นิ้วที่เกร็งบีบต้นแขนคงเป็นเพราะลุ้นคำตอบของเขาเช่นกัน

“เจ้านายเก่าผมที่กรุงเทพฯ เรียกให้กลับไปช่วยงาน และผมคงปฏิเสธไม่ได้”

ลลนาไม่ตอบอะไร หล่อนหลบตาเขาแล้วหันกลับไปมองทะเลกว้างตรงหน้า ปล่อยให้สายลมเย็นล้อเล่นกับลอนผมที่สยายเต็มแผ่นหลัง เขาจงใจขยับเข้าไปใกล้อีกนิด มองหน้าหล่อนให้ชัดตาอีกหน่อย ใจหายเหลือเกินเมื่อหล่อนเลือกใช้ความเงียบและเมินเฉยราวไม่รู้สึกรู้สา

“โกรธผมหรือครับ”

“ฉันไม่มีสิทธิ์หรอกค่ะ”

ลลนาเบี่ยงตัวหนี ชเยศไม่ชอบเลยเมื่อคู่สนทนาประหยัดถ้อยคำ เขาถอนหายใจ พูดอะไรไม่ออก และยิ่งร้อนรนมากขึ้นเมื่อลลนาขอตัวกลับก่อน เขาพยายามจะรั้ง แต่หล่อนผลักไส ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน โกรธเขาหรือ ไม่พอใจเขาเรื่องใด

“คุณรัน”

เขาวิ่งไปขวาง ไม่ยอมให้ลลนาทำตามประสงค์ ถือวิสาสะคว้าแขนรั้งหล่อนเอาไว้ และจังหวะที่หน้าสวยหันมาสบตา น้ำตาลลนาก็ร่วงริน แม้พยายามหันหน้าหนีเขาอีกครั้งก็ไม่อาจหนีพ้นอ้อมแขนที่โอบกอดหล่อนเอาไว้แน่น น้ำตาที่หลั่งสะเทือนไปถึงหัวใจทำให้เขารู้สึกผิดกับหล่อนเหลือเกิน 

“อย่าร้องไห้เพราะผมเลยครับคุณรัน ผมขอโทษ”

ลลนาซบหน้าร้องไห้กับบ่าแกร่ง เขากอดหล่อนไว้อย่างนั้น นานจนกว่าหล่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาสักคำ

“ไม่ไปได้ไหมคะ”

เสียงนั้นเครือสะอื้น หล่อนเงยหน้าขึ้นมามอง ชเยศเช็ดน้ำตาออกจากแก้มเนียน ในตาสวยที่กลอกไปมาซ่อนสิ่งใดเอาไว้บ้าง ถ้านั่นคือทางดิ่งลึกลงสู่ห้องใจ เชื่อว่าลลนาบอกเขาจนสิ้นแล้วว่ารู้สึกกับเขาเช่นไร

“ถ้าผมต้องไปจากที่นี่ ผมอยากให้คุณรันไปกับผม ผมเคยบอกว่าจะอยู่ข้างคุณ คอยปกป้องดูแลคุณกับลูก จนถึงวันนี้ผมก็ยังยืนยันคำเดิม”

“แต่ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงในชีวิตคุณ”

ลลนาไม่ยอมให้ชเยศพูดต่อ หล่อนปลดมือออกจากการเกาะกุม บอกให้เขาเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง อนาคตของเขากำลังก้าวหน้า ถ้าเขายืนยันว่าจะไป หล่อนคงไม่มีสิทธิ์รั้ง ขออยู่ตรงนี้เป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ และพร้อมยินดีเสมอในวันที่เขาพบเจอความสำเร็จทุกประการในชีวิต

“ขอให้คุณโชคดีค่ะ”

“อย่าใจร้ายกับผมเลยครับคุณรัน”

ชเยศรู้ว่าเสียงตัวเองสั่นพอๆ กับหัวใจที่ระรัวแรง ลลนากำลังตัดขาดความหวังเดียวที่เขาตั้งใจด้วยการเดินจากไปแล้วทิ้งเขาให้โดดเดี่ยวที่ปลายสะพาน เขาเชื่อว่าการกระทำของเขาชัดเจน แต่คำพูดคงชัดเจนไม่พอ

“ผมรักคุณ”

ชายหนุ่มวิ่งตามไปไขว่คว้าหัวใจของลลนาที่กำลังโบยบิน ใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อหล่อนหยุดเท้าแล้วหันกลับมามอง เขาไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยเพราะความกลัวในจิตใจ คำว่ารักยังไม่ชัดเท่าการคุกเข่าลงตรงหน้า วิงวอนให้หล่อนรับฟังประโยคที่ครั้งหนึ่งผู้หญิงใจร้ายเคยปฏิเสธมัน

“แต่งงานกับผมนะครับคุณรัน”

แหวนพลอยเก่าแก่ของแม่ที่ยื่นไปรอคำตอบของลลนามิได้ส่องประกายอย่างแหวนเพชรกะรัตงาม และครั้งหนึ่ง เคยถูกไรยาขว้างทิ้งอย่างไม่ไยดี ผู้หญิงใจร้ายไม่เห็นค่าสมบัติชิ้นสุดท้ายที่แม่เหลือเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ชเยศหวังลึกๆ ว่าลลนาจะไม่เหยียบความหวังเดียวของเขาจนพังยับเยิน

“แหวนของแม่ผมอาจไม่มีราคาค่างวดมากนัก แต่ผมรักแหวนวงนี้มากพอๆ กับชีวิตผม ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลคุณรันกับลูกนะครับ”

ลลนาร้องไห้ หล่อนปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น แต่ไม่ยอมตอบคำถาม ปล่อยให้ชเยศนั่งลุ้นจนแทบหยุดหายใจกว่าหล่อนจะเดินเข้ามาใกล้ กุมมือเขาเอาไว้แล้วย่อตัวลงนั่งตรงหน้า

“ทำไมต้องดีกับฉันขนาดนี้คะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีเลย คุณควรได้พบคนที่ดีมากกว่าฉัน”

“ผมไม่เคยต้องการผู้หญิงที่ดีที่สุด ขอแค่ใครสักคนที่รักและเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น”

ชเยศมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น น้ำตายังเอ่อท้นและหลั่งริน ถ้าลลนาเข้าใจคำถามที่เขาแฝงไว้ในประโยคหวาน เขาก็ขอเฝ้ารอคำตอบของหล่อนด้วยใจทรมานเช่นนี้

“ฉันรักคุณค่ะ”

ไม่เพียงต่อลมหายใจให้แก่ชเยศ ลลนายังโผเข้ากอดเขาเอาไว้แน่น หัวใจสองดวงเต้นคล้องไปในจังหวะเดียวกัน และไม่ใช่แค่ลลนาที่ยังไม่หยุดร้องไห้ ผู้ชายตัวใหญ่ก็น้ำตารื้นเพราะความยินดี เขากอดลลนาให้แน่นเท่าแน่นและนานเท่านาน อยากซบหน้าอยู่กับความหอมหวานและผิวกายเนียนละมุนตลอดไป

“ผมจะไม่ทำให้คุณต้องเจ็บช้ำเหมือนในอดีต เริ่มต้นใหม่กับผมนะครับ”

ลลนายอมให้ชเยศสวมแหวนของแม่ที่นิ้วนางข้างซ้าย ดีใจเมื่อนิ้วเรียวสวยของหล่อนพอดีกับแหวนที่เขารักมากที่สุด

“ผมสัญญาว่าผมจะรีบเก็บเงินซื้อแหวนที่สวยกว่านี้ให้คุณ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ วงนี้ก็สวยที่สุดแล้ว”

ชเยศดีใจเมื่อได้ยินคำนั้น แหวนทองลวดลายโบราณ มีเม็ดพลอยไพลินโดดเด่นอวดความงดงาม เขาจูบหลังมือเนียนเบาๆ จูบซ้ำๆ ที่แหวนของแม่ และบอกลลนาอีกครั้งว่ารักหล่อนเหลือเกิน

“ไม่รังเกียจหรือครับ ผมมีแค่ตัวกับหัวใจ สมบัติก็มีแค่ที่คุณเห็น”

เพราะไรยาฝากบาดแผลเอาไว้อย่างสาหัส ชเยศจึงต้องยื้อเวลาบอกความจริงกับลลนาออกไปอีกหน่อย ถ้าความรักที่หล่อนมีต่อเขามั่นคงพอ จะรู้เร็วหรือช้าชเยศก็เชื่อว่าผลของมันไม่แตกต่าง

“มีสมบัติมากมาย แต่ไม่มีความสุข มันจะมีค่าอะไรล่ะคะ”

“ผมรักคุณจัง”

“ลุกขึ้นเถอะค่ะ นั่งให้คุณกอดอยู่แบบนี้ รู้สึกโดนเอาเปรียบยังไงพิกล”

ชเยศอมยิ้ม เมื่อความรักเข้าตาแล้วก็เป็นธรรมดาที่อยากอยู่ใกล้ อยากกอด อยากหอม อยากเอาเปรียบหล่อนเสียให้แก้มช้ำ ลลนาน่ารักเสมอเมื่อยิ้มและเอียงอาย อีกทั้งตาหวานหยดที่ชายขึ้นมองก็สะกดให้ชเยศแทบหยุดหายใจ อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ อยากให้ค่ำคืนแสนโรแมนติกมีเขากับหล่อนบนสะพานไม้ จวบจนพระอาทิตย์โผล่หน้าขึ้นมาทักทายและอำนวยพร

“พรุ่งนี้เช้าผมจะคุยกับคุณพัดเรื่องสินสอดทองหมั้น และจะขอให้หลวงพ่อช่วยดูฤกษ์แต่งงานของเราให้เร็วที่สุด”

ลุกขึ้นจูงมือกันเดินได้สักพัก ชเยศก็เกริ่นถึงแผนการต่อไปที่วางเอาไว้ เรื่องสินสอดทองหมั้นไม่ใช่ปัญหา เขาพร้อม แต่ดูเหมือนลลนาจะไม่ต้องการ

“ไม่จัดงานแต่งงานได้ไหมคะ ฉันไม่อยากให้คุณลำบาก ส่วนเรื่องสินสอด ฉันเชื่อว่าป้าพัดคิดเหมือนฉัน ความรักของคนสองคนตีราคาไม่ได้หรอกค่ะ”

“ถ้าเราไม่จัดงานแต่งงาน คนอื่นจะเอาคุณรันไปพูดเสียหาย ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”

“ฉันไม่สนหรอกค่ะ ชีวิตฉันไม่ได้ขึ้นอยู่กับปากคนอื่น ลงว่าคนจะพูด เราห้ามปากเขาไม่ได้หรอกนะคะ”

“แต่...”

“เชื่อเถอะค่ะ ผู้หญิงมือสองอย่างฉัน ถ้าต้องเข้าพิธีแต่งงาน ยังไงคนก็นินทาอยู่ดี เราเก็บเงินไว้สร้างอนาคตดีกว่านะคะ”

ลลนาให้เหตุผลเสียจนชเยศอ่อนใจ หล่อนเป็นผู้หญิงหัวนอกที่พร้อมเลี่ยงกรอบอยู่เสมอ กับผู้ชายบางคนคงกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะไม่ต้องเสียสตางค์สักแดงก็ได้อิงแอบแนบนาง แต่เพราะเขารักลลนาจึงต้องการยกย่องเชิดชูให้สมฐานะ

“งั้นจดทะเบียนสมรสแทนก็ได้ครับ”

“ถ้าเราอยู่ด้วยกันได้ไม่นานล่ะคะ”

เป็นคำถามที่ชเยศไม่กล้าตอบ เพราะเรื่องของอนาคตคือสิ่งที่มองไม่เห็น แม้เขาจะมั่นใจเต็มร้อยว่าสามารถร่วมชีวิตกับลลนาได้จนแก่เฒ่า

“อย่ารีบผูกมัดตัวเองไว้กับฉันเลยค่ะ ให้เราได้เรียนรู้กันสักพัก ฉันไม่หนีคุณไปไหนหรอก เผลอๆ คุณอาจจะเบื่อฉันก่อนด้วยซ้ำ”

ชเยศเข้าใจลลนา หล่อนพร้อมเริ่มต้นใหม่ทันทีโดยไร้พิธีรีตอง ติดแต่ใจเขาเอาเปรียบลลนาไม่ลง ถ้าท้ายที่สุดงานแต่งงานไม่ได้ถูกจัดขึ้น เขาจะกล่อมให้ลลนายอมจดทะเบียนสมรสกับเขาให้ได้ในสักวัน

“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ได้ งั้นคืนนี้เอาตัวผมไปแทนก็แล้วกันนะครับ”

ชเยศเย้าเล่น แต่ลลนากลับเออออตามด้วยน้ำเสียงติดตลกไม่แพ้กัน หนุ่มสาวเดินโอบเอวฮัมเพลงหวานใต้แสงจันทร์แจ่มกระจ่าง ปล่อยให้สายลมและเกลียวคลื่นร่วมบรรเลงท่วงทำนองน่าฟัง ไม่มีใครกำหนดอนาคตหรือลบล้างอดีตได้ แต่หัวใจสองดวงที่เกี่ยวกระหวัดกันด้วยความรักกำลังจะก้าวพ้นอดีตร้ายในใจไปได้อย่างงดงาม


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น