15

บทที่ 15


 

พัทนีหัวเราะชอบใจ ฟังชเยศเล่าถึงภารกิจพิชิตใจนางที่แสนตื่นเต้น รู้สึกชื่นชมความเป็นสุภาพบุรุษ เขายึดมั่นในความถูกต้องและพร้อมยกย่องลลนาให้สมเกียรติ ต่างจากผู้ชายบางคนที่มักง่ายและมองธรรมเนียมประเพณีเป็นเรื่องไร้สาระ โอกาสทองถูกหยิบยื่นให้ตลอดทั้งคืน แต่ชเยศคงถือคติอดเปรี้ยวไว้กินหวาน

“ยายรันไม่อยากให้มีพิธีรีตองอะไร พ่อภันก็ไม่ต้องห่วงเรื่องสินสอดหรอกนะ ตามใจหลานฉันเถอะ”

“แต่ผมไม่สบายใจเลยครับคุณพัด เหมือนกำลังเอาเปรียบคุณรันยังไงไม่รู้”

ชเยศคงนอนไม่หลับ เขาลงมาช่วยเตรียมอาหารเช้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พัทนีบอกลลนาเอาไว้ว่าวันนี้จะเป็นคนจัดเตรียมมื้อเช้าด้วยตนเอง เพราะเลศยาร่ำร้องอยากกินไข่พะโล้กับหมูสามชั้นทอดกระเทียมพริกไทย

“คิดมากน่าพ่อภัน ถ้าคนสองคนรักกันจริงก็ไม่เกี่ยวกับกระดาษใบเดียวหรือพิธีเลิศหรูอะไรหรอก แต่ถ้ายายรันใส่ชุดเจ้าสาวก็คงจะสวยเหมือนกันนะ”

 

ลลนายั้งเท้าไม่ให้ก้าวไปขัดจังหวะสนทนา หยุดยืนฟังคัมภันคุยกับพัทนีที่ข้างประตูครัว ยอมรับว่าหล่อนเองยังกังวลกับการตัดสินใจในครั้งนี้ หล่อนไม่เคยรู้สึกหวงแหน คะนึงหา และห่วงใยผู้ชายคนใดเท่าคัมภันมาก่อน จึงทึกทักกับใจตัวเองว่ารักเขา เมื่อรู้ว่าเขาต้องไปจากที่นี่ ก็เหมือนบางสิ่งที่เคยมีในชีวิตขาดหาย ความผูกพันที่ไม่รู้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด กำลังบีบหัวใจหล่อนอย่างทารุณ

เรียกว่าเห็นแก่ตัวได้หรือไม่ เพราะหล่อนรับรักจากเขาทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ดีพอ ผู้หญิงมือสองซ้ำยังมีเรือพ่วงลำน้อยอีกหนึ่งลำมักไม่ใช่ตัวเลือกที่ผู้ชายดีๆ สักคนถวิลหา แต่คัมภันกลับเลือกหล่อน เขาก้าวเข้ามาเติมเต็มในชีวิตบกพร่อง ทำให้โลกสีเทาของหล่อนมีสีสัน อนาคตที่เคยมีแค่ลูกสาวกลับมีเงารางๆ ที่สุดท้ายก็กระจ่างอยู่เต็มหัวใจ

วินาทีที่เขาคุกเข่าขอแต่งงานเหมือนภาพฝันในหนังรักโรแมนติก ซึ่งเชื่อได้ยากว่าจะเกิดขึ้นจริง ลลนาก้มลงมองแหวนพลอยไพลินที่สวมอยู่ เพียงเท่านี้ก็มากเหลือเกิน หล่อนไม่เคยต้องการงานพิธีหรูหรา ขอแค่ความรักแท้จริงที่คัมภันมีต่อหล่อนเท่านั้นก็เกินพอ

“มีอะไรให้รันช่วยรึเปล่าคะป้า”

ลลนาเผยตัวแทรกกลางบทสนทนา เพราะคัมภันยังไม่เลิกกังวลเรื่องสินสอดและพิธีแต่งงาน เขากำลังคะยั้นคะยอให้พัทนีช่วยเกลี้ยกล่อมหล่อนอีกคน

“ช่วยแต่งงานกับพ่อภันเขาซะเถอะลูก คะยั้นคะยอให้ป้าช่วยพูดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”

พัทนีหัวเราะร่วนเพราะคัมภันแสร้งทำตัวลีบนั่งแอบข้างโต๊ะ พอหล่อนเข้ามาแล้วปรายตามอง เขาก็หยุดเสียงตัวเองทันที เขาควรสนใจกำหนดการเดินทางในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะสำคัญกว่าเรื่องจัดงานแต่งงานเป็นไหนๆ

“ถ้าคุณอยากจัดงานแต่งงาน คงต้องหาเจ้าสาวคนใหม่แล้วละค่ะ”

“ไม่นะคุณรัน ผมไม่บังคับคุณแล้วก็ได้ ไม่จัดครับ ไม่จัดแล้ว”

คัมภันลุกพรวดมาคว้ามือหล่อนไปกุมแน่นทั้งสองข้าง แววตาสลดออดอ้อนชวนให้อมยิ้ม ยามรั้นเขาดูเหมือนเด็กที่พูดไม่รู้เรื่อง

“ไม่ทันไรก็ส่อแววกลัวเมียแล้วเหรอพ่อภัน”

“ผู้ชายกลัวเมียเจริญทุกคนครับ”

ตาเจ้าชู้ของเขาทำให้ลลนาเอียงอาย ระหว่างเขากับหล่อนยังไม่เกินเลยถึงขั้นเรียกกันว่าสามีภรรยา หญิงสาวรีบตัดบทด้วยการช่วยพัทนีจัดโต๊ะอาหาร คัมภันก็ยังขยันกลั่นแกล้ง มายืนจัดจานอยู่ใกล้ๆ

“มีเวลาเตรียมตัวกันไม่กี่วันจะพอเหรอพ่อภัน พาหลานสาวฉันไปลำบากไม่ได้นะ”

“รับรองด้วยเกียรติครับคุณพัด ผมจะดูแลคุณรันกับน้องไลท์ให้ดีที่สุด”

คัมภันเล่าให้ฟังตั้งแต่เมื่อคืน และคงบอกพัทนีเรียบร้อยแล้ว เขาต้องกลับไปทำงานกับเจ้านายเดิมที่บริษัทในกรุงเทพฯ รายรับแต่ละเดือนเพียงพอกับการดูแลลลนาและลูกสาว เขามีบ้านพักที่นั่น การสัญจรสะดวกสบาย ใกล้แหล่งชุมชน ตลาด และโรงเรียนชื่อดังหลายแห่ง เผื่อในอนาคตว่าที่ภรรยาจะทบทวนเรื่องการฝากลูกสาวเข้าโรงเรียนอีกครั้ง

ลลนาไม่เคยกลัวลำบาก เพราะชีวิตไม่ได้สุขสบายมาตั้งแต่เด็ก กับเลศยาเองหล่อนก็พยายามเป็นแบบอย่าง ปลูกฝังให้ลูกเป็นเด็กอยู่ง่ายกินง่าย ไม่ยึดติดกับความหรูหราฟุ่มเฟือย ลลนาไว้ใจคัมภัน เชื่อว่าเขาดูแลหล่อนกับลูกสาวได้ และการตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ในครั้งนี้ อาจเป็นทางออกที่ดีสำหรับปัญหากับคนในอดีตที่หล่อนกำลังเผชิญอยู่

“วันนี้คุยกับลูกให้เรียบร้อยนะรัน ยายไลท์คงดีใจนะ สมหวังสักที”

พัทนีวางชามไข่พะโล้ลงบนโต๊ะแล้วหันมายิ้มให้ ลลนาเข้าใจดีว่าลูกสาวสมหวังในสิ่งใด หลายหนแล้วกับคำถามที่ว่า ลุงภันเป็นพ่อของหนูได้ไหมคะ ลลนาไม่เคยตอบได้เลย แต่วันนี้หล่อนมีคำตอบที่ดีสำหรับคำถามนั้นแล้ว

 

นับแต่วันที่รู้ความจริงเรื่องทายาทอีกคนของตระกูลไพศาลสกุล ปรมะกับคนของเขาคอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของปองภพและทรงพล ดูเหมือนชเยศจะตอบตกลงรับข้อเสนอของปองภพและจะกลับมาในอีกไม่ช้า

“ถ้ามันได้กลับมา ฉันต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าแน่ๆ สมบัติทุกชิ้นพ่อคงยกให้มันหมด” ปรมะตาขวาง ไม่สบอารมณ์กับข่าวที่ณรงค์เข้ามารายงานนัก

“ผมได้ยินว่าคุณทรงพลทำเรื่องขอใช้รถตู้บริษัทอาทิตย์หน้า”

“ถึงขนาดจะลงไปรับมันด้วยตัวเองเลยเหรอ มากไปรึเปล่า”

“ไม่หรอกครับ เห็นว่าให้คนขับไปคนเดียว”

ปรมะยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อณรงค์รายงานเพิ่มเติม เขากระชากเสียงสั่งการตามอารมณ์แค้น ปองภพไม่เอ่ยปากบอกใครเรื่องการกลับมาของชเยศ คงหวังจัดเซอร์ไพรส์ครั้งยิ่งใหญ่ เช่นนั้นเขากับแม่จะเตรียมเซอร์ไพรส์ที่ใหญ่และระทึกใจมากกว่า รับรองได้ว่าปองภพต้องแปลกใจถึงขั้นช็อก และอาจสิ้นอายุขัยก่อนวัยอันควร

“ไปจัดการซะ อย่าให้มันมีโอกาสกลับมาเหยียบที่นี่อีก แล้วฉันจะตอบแทนให้อย่างงาม”

ดวงตาแข็งกร้าวดูมีลับลมคือภาพที่ลูกน้องชินตาเมื่อปรมะอาฆาตมาดร้ายใครสักคน ณรงค์ยอมอยู่ใต้บัญชาของปรมะ เพราะเงินเดือนของพนักงานขายไม่เพียงพอจุนเจือครอบครัว น้องสาวเขากำลังศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย ส่วนพ่อแม่ แม้ตัวจะตายจากก็ไม่วายทิ้งภาระหนี้สินเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

ปรมะถูกตามใจจนเสียคนมาตั้งแต่เด็ก เมื่อประสงค์สิ่งใดแล้วต้องได้ตามประสงค์ คนที่จะอยู่กับเขาได้นานคือคนที่นอบน้อมเชื่อฟังคำสั่งและจัดการทุกเรื่องแทนเขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ณรงค์อยู่รับใช้เขามาหลายปีแล้ว ผลงานที่ดีทุกครั้งทำให้ปรมะไว้ใจ ถ้าภารกิจสำคัญครั้งนี้ลุล่วง รับรองได้เลยว่าณรงค์กับน้องสาวจะมีชีวิตที่สุขสบายมากกว่านี้แน่นอน 

 

วันนี้บ้านสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู เพราะความรักของชเยศกับลลนาผลิบาน พัทนีจัดปาร์ตีเล็กๆ กันในครอบครัวสำหรับคู่รักที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถือเป็นโอกาสดีที่หนุ่มสาวจะได้รับพรจากผู้ใหญ่ในบ้านเพื่อเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตคู่

“ป้าดีใจนะที่รันมีวันนี้ ป้ารู้ว่าชีวิตรันเหนื่อยมามาก ล้มมาก็มาก ต่อไปถ้ารันต้องล้มอีกครั้งก็จะมีพ่อภันอีกคนคอยดึงให้รันลุกขึ้น”

พัทนีจับมือชเยศวางลงบนมือของลลนา บอกกล่าวฝากฝังให้รับช่วงดูแลหลานสาวทั้งสองคน 

“รักกัน ดูแลกัน ต้องเมตตากัน รู้จักอภัยให้กัน หนักนิดเบาหน่อยอย่าถือโทษโกรธกันนะลูกนะ ใช้เหตุผลให้มากกว่าอารมณ์ รันเขายังติดนิสัยใจร้อนอยู่บ้าง พ่อภันก็ต้องเย็นให้เหมือนน้ำนะ จะได้อยู่ด้วยกันได้นานๆ”

รัชชานนท์นั่งมองป้าหลานกอดกันแล้วอดตื้นตันไปด้วยไม่ได้ ข้างๆ คือเลศยาที่นั่งตักชเยศไม่ห่าง หนุ่มหน้าหวานกดบันทึกวิดีโอสั้นๆ เพื่อส่งให้รสรินได้ร่วมอิ่มเอมไปพร้อมกับเขา ลลนาติดต่อกับน้องสาวของหล่อนเกือบทุกวันผ่านโปรแกรมไลน์ และบางครั้งก็ยังใจดีดึงเขาร่วมกลุ่มสนทนา แม้ระยะทางจะไกลกันคนละซีกโลกก็ไม่อาจกั้นความผูกพันที่มีต่อกันได้

“โรสอยากมีส่วนร่วมด้วยครับป้าพัด”

พัทนีหันมาทักทายหลานอีกคนบนหน้าจอโทรศัพท์ของรัชชานนท์ ส่วนเลศยาก็ส่งเสียงแจ้วคุยกับน้องในครรภ์รสริน  ลลนาแนะนำน้องสาวให้คนรักได้รู้จักอย่างเป็นทางการ และบอกให้รสรินรับรู้ว่าหล่อนกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

“รีบมีน้องให้ยายไลท์ไวๆ นะคะพี่รัน”

รัชชานนท์แอบยิ้มเพราะไม่คิดว่าลลนาจะหน้าแดงเพียงแค่ชเยศชายตามอง

“ถ้าคุณรันมีน้อง ก็คงจะเหมือนกับคุณโรสตอนนี้เปี๊ยบเลยนะครับ”

พี่เขยหมาดๆ ดูจะเข้ากับรสรินเป็นปี่เป็นขลุ่ย พัทนีหัวเราะชอบใจเพราะหลานคนโตอายม้วนต้วน รีบเฉไฉถามไถ่เรื่องสุขภาพของน้องสาวแทน อีกไม่กี่เดือนแล้วที่สายเลือดของลูอิสกับรสรินจะลืมตาดูโลก คนไร้คู่บอกตัวเองทุกวันให้เลิกคิดฟุ้งซ่าน รัชชานนท์เหงาอยู่คนเดียวมาได้ตั้งนาน ต้องทำใจให้เคยชินและคงสถานะนั้นต่อไปจนกว่าเขาจะเจอใครสักคนเข้ามาเติมเต็ม

 

บดินทร์ฉัตรยืนอยู่หน้าร้านขายผลไม้หลายนาทีแล้ว เพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าปาลิดาชอบผลไม้ชนิดใด หล่อนบอกแค่เพียงอยากกินผลไม้ และเขาก็ลืมถามไปเสียสนิทว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง

“แบบผลไม้รวมก็มีนะคะ”

พนักงานขายแนะนำผลไม้แพ็กที่มีทั้งส้มโอ ชมพู่ ฝรั่ง และแอปเปิล บดินทร์ฉัตรเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดี และไม่ลืมหยิบชมพู่รวมถึงฝรั่งเพิ่มไปอย่างละแพ็ก เพราะคิดเองว่าปาลิดาอาจชอบเหมือนกับเขา

อาการของปาลิดาดีขึ้นมาก วันพรุ่งนี้หมออนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ แต่ลูกของเรายังต้องอยู่ในความดูแลของหมอต่ออีกสักพัก เด็กชายปิติคุณ หรือน้องปลื้ม คือชื่อที่เขากับภรรยาช่วยกันเลือกจากหนังสือตั้งชื่อลูก เพื่อทำสูติบัตรให้เรียบร้อย

“พี่ไม่รู้ว่าปันชอบกินอะไร”

บดินทร์ฉัตรวางผลไม้หลายแพ็กลงบนโต๊ะ กลัวว่าปาลิดาจะไม่ถูกใจผลไม้ที่เขาเลือกให้

“พี่ฉัตรชอบกินอะไร ปันก็ชอบอันนั้นค่ะ”

ปาลิดาขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วห้อยขาลงข้างเตียง ทุกครั้งที่มองหน้าภรรยา บดินทร์ฉัตรยังรู้สึกผิด ผู้หญิงแก้มป่องมีรอยยิ้มน่ามองเสมอนับแต่วันแรกที่รู้จักกัน ครั้งหนึ่งยังจำได้ หล่อนต้องฝืนใจกินแกงจืดมะระยัดไส้หมูสับเพียงเพราะเขาชอบแม้ตัวหล่อนจะไม่ชอบเลย หลายสิ่งปาลิดาเต็มใจฝืนความรู้สึกตัวเองเพื่อสามี ทั้งที่หล่อนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นสักนิด 

“พี่ฉัตรเป็นอะไรรึเปล่าคะ”

ที่ยืนนิ่งไปเป็นเพราะหัวใจบดินทร์ฉัตรเพียงแค่คิดสับสน เขาส่ายศีรษะแทนคำตอบแล้วรีบแกะผลไม้ในแพ็กใส่จานให้ปาลิดา ผิดหวังที่ก่อนหน้านี้เขาเหลวไหล ไม่อาจทำตามคำฝากฝังที่พ่อแม่ของปาลิดาบอกไว้ในวันแต่งงาน เขาปล่อยปละละเลย ดูแลปาลิดากับลูกไม่ดีพอ แต่บดินทร์ฉัตรพร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

“พี่ขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมานะปัน”

เป็นครั้งแรกที่บดินทร์ฉัตรได้พูดในสิ่งที่ต้องการ ปาลิดานิ่งไป รอยยิ้มที่มีจางลง ดึงให้เขาขยับตัวไปยืนใกล้ๆ แล้วคว้ามือนุ่มของภรรยามาแนบชิดอก ทบทวนเรื่องระหว่างเรานับแต่วันแรกพบจวบจนวันนี้

“พี่ทำไม่ดีกับปันตั้งหลายเรื่อง ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของปันเลย แต่ปันก็ยังอยู่ข้างพี่เสมอ”

ปาลิดาก้มหลบตาเขา เดาได้ไม่ยากว่าหล่อนกำลังซ่อนน้ำตาเอาไว้

“เริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมปัน ให้โอกาสพี่สักครั้งได้ไหม”

“พี่ฉัตร” ปาลิดาเสียงเครือ

หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาเขาพร้อมน้ำตารินลงเลอะแก้ม หล่อนร้องไห้ แต่ยังยิ้มได้ และยอมให้เขาโอบกอดไว้แต่โดยดี ในวันที่ลูกของเราพ้นขีดอันตราย เขาตัดสินใจบอกให้ผู้ใหญ่รับรู้ถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทของตนเอง ไม่มีสักคำที่ติเตียนหรือบั่นทอนกำลังใจ พวกท่านให้เหตุผลว่าอุบัติเหตุนั้น ไม่มีใครอยากให้เกิด ขอแค่บดินทร์ฉัตร ปาลิดา และลูกปลอดภัยก็พอ ชายหนุ่มซาบซึ้งนัก เพราะปู่ย่าตายายพากันขนของฝากจากแดนใต้บินลัดฟ้ามาเยี่ยมหลานและปาลิดาเมื่อสองวันก่อน

บดินทร์ฉัตรละอายใจเกินจะเล่าความจริงทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของลลนา เมื่อถูกแม่ตัวเองซักไซ้ ปาลิดาช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์ หล่อนแต่งเรื่องใหม่ให้พ่อแม่เข้าใจว่าเราไม่ได้ทะเลาะกัน เรื่องร้ายในวันนั้นแค่ฝนตกหนัก ฟ้าผ่าต้นสนหักล้มขวางทางกะทันหัน บดินทร์ฉัตรพยายามหักพวงมาลัยรถหลบแล้ว แต่สุดวิสัยเกินจะควบคุมรถเอาไว้ได้ ปาลิดาทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายคลายความวิตกและยุติข้อซักไซ้ลงได้ทันที รวมไปถึงเอกวิญช์ที่เจอหน้ากันก็ตั้งหมัดพร้อมจะตะบันหน้าเขาแต่ปาลิดาห้ามเอาไว้ได้ เอกวิญช์คงรู้ แต่ไม่กล้าพูดมากเพราะเห็นแก่พี่สาว

“ถ้าลูกแข็งแรงแล้ว เรากลับบ้านกันนะปัน พี่จะดูแลปันกับลูกเอง”

ปาลิดาไม่ตอบอะไร ทำเพียงพยักหน้าและกอดเขาให้แน่นขึ้น หล่อนรับรู้ได้ว่าเขากำลังเปลี่ยนแปลงตัวเอง สรรพนามห่างเหินที่เคยใช้มาตลอดไม่มีอีกแล้ว นับแต่วันที่ปาลิดาลืมตาจากความเจ็บปวด เขาจะเป็นสามีที่ดี เป็น ‘พี่ฉัตร’ อย่างที่หล่อนเรียกขานตลอดไป

 

สามวันกับการเตรียมตัวเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลลนากับชเยศไม่ต้องยุ่งยากนักกับสัมภาระที่มีไม่มาก จะมีก็แต่ของเล่นของใช้ของเลศยา ซึ่งดูเหมือนจะกินพื้นที่บนรถรับจ้างที่พัทนีจัดหาเอาไว้ให้มากกว่าใครเพื่อน ชเยศตั้งใจออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อถึงบ้านที่กรุงเทพฯ จะได้มีเวลาช่วยกันจัดของและทำความสะอาดบ้านที่ปิดตายเอาไว้หลายปี เขาปฏิเสธเมื่อทรงพลเสนอรถพร้อมคนขับเตรียมไว้บริการ ไม่อยากให้เอิกเกริกเหมือนเขาเป็นคนสำคัญ เพราะยังมีความจริงเกี่ยวกับตัวเขาที่ลลนายังไม่รู้

รถเลี้ยวเข้าซอยบ้านที่คุ้นเคย แต่หลายสิ่งตลอดสองข้างทางเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ถนนที่เคยขรุขระกลับเทซีเมนต์เรียบเสมอกันไปตลอดเส้นทาง บ้านเรือนหลายหลังสร้างขึ้นใหม่ บนพื้นที่ที่เคยรกร้างมากมายด้วยอาคารพาณิชย์เรียงรายหลายคูหา ตลาดใหญ่ที่เขาเคยฝากท้องอยู่ทุกวันปรับปรุงให้ดูทันสมัยมากขึ้น ชเยศชี้ชวนให้ลลนามองออกไปนอกหน้าต่างรถที่แล่นช้าๆ อธิบายให้หล่อนเข้าใจคร่าวๆ ว่าจุดสำคัญในซอยนี้มีอะไรบ้าง ร้านไหนดี ร้านไหนอร่อย เจ้าถิ่นแนะนำได้คล่องปาก กระทั่งรถแล่นมาจอดหน้ารั้วบ้านหลังโต

“ถึงแล้วเหรอคะ” ลลนามองออกไปนอกกระจกรถ สีหน้าของหล่อนแปลกใจ

ชเยศไม่ได้อธิบายอะไร เขารีบลงไปเปิดรั้วบ้านและบอกให้คนขับเคลื่อนรถเข้าไปจอดด้านในเพื่อความสะดวกในการขนย้ายข้าวของ สวนรอบบ้านอีกทั้งสนามหญ้ายังเขียวขจี ทรงพลเล่าให้ฟังว่าปรมะจ้างผู้ดูแลบ้านหลังนี้ให้คงสภาพดีเอาไว้นับแต่วันที่ชเยศจากไป สมบัติชิ้นใหญ่ชเยศใช้เงินเก็บส่วนตัวและเงินที่ปรมะสนับสนุนมาอีกก้อนโต จึงสามารถถือครองกรรมสิทธิ์โดยไม่ต้องผ่านการกู้สินเชื่อจากธนาคาร แต่ชเยศไม่เคยบอกให้ใครรู้ แม้แต่ไรยา ผู้หญิงหัวสูงที่บูชาเงินตรามากกว่ารักแท้ หล่อนมองเขาเป็นผู้ชายไร้อนาคต แสนกระจอก ต้องกู้ยืมธนาคารเพื่อผ่อนบ้านผ่อนรถตามประสามนุษย์เงินเดือน

“โอ้โห้”

เลศยาลงจากรถแล้วทำตาโต ตุ๊กตากระต่ายคู่กายยังกอดแน่นแนบอก หนูน้อยวิ่งไปยืนชิดลานน้ำพุข้างตัวบ้าน คุยเสียงแจ้วๆ กับตุ๊กตาในอ้อมแขนอย่างตื่นเต้น

“บ้านคุณหรือคะ”

ลลนาขมวดคิ้ว ความลังเลฉายชัดบนใบหน้าสวย ชเยศรู้ว่าหล่อนมีคำถามอีกมาก และเรื่องนี้เขาต้องใช้เวลาคุยกับหล่อนตามลำพัง

“ขนของเข้าบ้านก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง”

หญิงสาวคงขัดใจไม่น้อย แต่ก็ยอมช่วยกันยกกระเป๋าของตัวเองกับลูกลงจากรถ ใช้เวลาไม่นานข้าวของทั้งหมดก็วางระเกะระกะที่โถงรับแขก

คนขับรถของพัทนีกลับไปหลังช่วยขนของทั้งหมดเข้าบ้าน เพราะเกรงว่ารถจะติดและถึงระยองมืดค่ำ ชเยศพาสมาชิกใหม่สำรวจบ้านของเขา เริ่มจากชั้นล่างและขึ้นไปบนชั้นสอง เลศยาได้มีห้องเป็นของตัวเอง หนูน้อยกระโดดโลดเต้น เพราะเฟอร์นิเจอร์ในห้องเป็นสีชมพูหวานถูกใจ ชเยศเตรียมห้องนี้เอาไว้สำหรับลูกสาวของเขา ที่คงไม่มีโอกาสได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว

ชเยศกับลลนาช่วยกันขนของเล่น เสื้อผ้า และของใช้ของเลศยาเข้ามาไว้ในห้อง หนูน้อยถูกใจเหลือเกิน รีบลากพี่หมีตัวโตและขนตุ๊กตาอีกหลายสิบตัวขึ้นไปกองรวมกันบนที่นอน แล้วเล่าเรื่องบ้านใหม่และห้องใหม่ให้เพื่อนๆ ในจินตนาการฟัง

“ฉันคงต้องนอนกับลูกสักพักนะคะ แกไม่เคยนอนคนเดียว”

ชเยศผิดหวังอยู่บ้าง แต่เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ เขาพยักหน้ารับก่อนจะจูงมือพาลลนาออกจากห้องเลศยามาชมห้องนอนใหญ่ที่เป็นห้องของเรา

 

“พร้อมจะฟังเรื่องของผมหรือยังครับ”

เจ้าของบ้านเกริ่นเมื่ออยู่กับลลนาตามลำพัง ลูกสาวไม่สนใจแม่รันแล้ว กำลังจมอยู่กับจินตนาการของตัวเองในห้องนอนสีหวาน

“คุณมีความลับอะไรที่ไม่ได้บอกฉันอีกคะ”

บ้านสองชั้นหลังโตในหมู่บ้านทำเลดี ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก ราคาคงสูงเกินกว่าพนักงานบริษัทกินเงินเดือนแค่หมื่นต้นๆ จะซื้อได้ หล่อนรู้จักเขาในฐานะชาวประมงเรือเล็ก และเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าก่อนอาชีพประมง เขาเคยเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งก็เท่านั้น

“ผมไม่ได้ชื่อคัมภันหรอกครับ”

เรื่องราวที่หล่อนไม่เคยรู้เลยค่อยๆ ออกจากปากของผู้ชายที่ชื่อชเยศ ลลนาอึ้ง ฟังเขาเล่าย้อนไปยังสมัยที่คบหากับภรรยาคนแรก คนมีอดีตพูดเสียงเครือ คงถูกความเจ็บช้ำย้อนกลับมารังแก ได้ฟังเรื่องของเขาแล้วหล่อนก็โกรธไม่ลง

ลลนามองผู้ชายที่นั่งอยู่บนปลายเตียง ตาที่กลอกไปมาบอกความรู้สึกหลากหลาย เขาทิ้งทุกสิ่ง หลีกหนีอดีตร้าย คงคิดว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่ทำให้ลืมมันได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังเจ็บเมื่อนึกถึง ลลนาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะหล่อนเองก็ไม่ต่างจากเขา

“เรื่องนั้นฉันพอเข้าใจค่ะ แต่เรื่องฐานะของคุณ ฉันคิดว่าคุณไม่ได้พูดความจริง”

“พ่อช่วยผมซื้อบ้านหลังนี้ เพราะลำพังแค่เงินเดือนของผมคงผ่อนไม่ไหว”

“ฉันคงเข้าใจไปเองว่าคุณมีแต่แม่ อันที่จริงคุณก็ไม่ได้โกหกอะไร แค่บอกความจริงไม่หมด”

“ผมอยู่กับแม่มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีพ่อ แม่ทำงานหนัก เลี้ยงผม ส่งเสียจนผมเรียนจบ แล้วท่านก็ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ อยู่กับผมได้ไม่นานท่านก็จากไป ช่วงที่แม่ป่วย แม่เล่าเรื่องพ่อให้ฟัง ผมถึงได้รู้ว่าพ่อคือใคร แล้วเพราะอะไรพ่อถึงไม่เคยดูดำดูดีผมกับแม่เลย”

ชเยศรั้งลลนาให้นั่งลงข้างกัน แววตาเศร้าที่มองกลับมานั้นทำให้ตะกอนไม่พอใจหายไปจนสิ้น หญิงสาวไม่พูดอะไร นิ่งฟังชีวิตราวนิยายน้ำเน่าของเขาไปเรื่อยๆ

“ผมไม่เคยโกรธเกลียดพ่อเลย แค่ไม่ค่อยผูกพันกัน เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันมากกว่า”

เรื่องราวของพ่อแม่จากคำบอกเล่าของชเยศยิ่งทำให้ลลนาคิดมาก ชายหนุ่มไม่ใช่พนักงานกระจอกอย่างที่อดีตภรรยาเขาเคยตราหน้า แท้จริงแล้วเขาคือเชื้อสายเพียงคนเดียวของ ปองภพ ไพศาลสกุล เจ้าของบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแปรรูปอันดับต้นของเมืองไทย ลลนาก้มลงมองแหวนพลอยไพลินที่ยังสวมติดนิ้ว หล่อนค่อยๆ ดึงมันออกด้วยใจกังวล รอกระทั่งชเยศจบเรื่องเล่าอันแสนรันทด หล่อนจึงยื่นมันคืนแก่เขา

“คุณเก็บเอาไว้เถอะค่ะ มันสูงค่าเกินไปสำหรับฉัน ฉันไม่เหมาะกับคุณเลย”

ลลนาเจ็บเมื่อต้องพูดออกไปเช่นนั้น ชเยศอยู่สูงเหลือเกิน อนาคตเขากำลังรุ่งเรือง อีกไม่นานก็ต้องนั่งตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทใหญ่โต เขาควรมีคู่ชีวิตที่เชิดหน้าชูตาได้ในวงสังคม มองตัวเองแล้วไร้ค่านัก ผู้หญิงมีอดีตอย่างหล่อนไม่คู่ควรกับเขาสักนิด

“คุณพูดอะไร” ชเยศไม่รับแหวนคืน มองหน้าหล่อนอย่างสับสน

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เรียนก็ไม่จบ ความรู้ความสามารถก็ไม่มากมายอะไร อดีตของฉันเหลวแหลกเกินไปค่ะ ฉันกับลูกไม่ควรเป็นภาระให้คุณเลย”

“โธ่...คุณรัน” เขารวบสองมือของลลนาไว้แน่นทันทีเมื่อหล่อนทำท่าจะลุกหนี

“คุณยอมแต่งงานกับคัมภัน ชาวเรือจนๆ คนหนึ่ง ทั้งที่คุณเองเป็นถึงเจ้าของรีสอร์ต คุณมองผมที่หัวใจ ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือความเหมาะสมทางฐานะเลย”

ชเยศพูดถูกทุกคำ หัวใจด้านชาของหล่อนได้รับความรักจากเขามาเติมเต็ม มันค่อยๆ มีชีวิต และหล่อนก็รักเขาจนเต็มหัวใจ

“บนโลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟกต์ อดีตผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าคุณนัก ผมเคยผ่านผู้หญิงมาหลายคน เคยมีภรรยา เคยมีลูก ครอบครัวเคยแตกแยกมาก่อน เรื่องแย่ๆ ของผมมีตั้งมาก ทำไมต้องสนอดีตล่ะครับ ไม่มีใครแก้ไขอดีตได้สักหน่อย”

“แต่...”

ลลนาหมดสิทธิ์ต่อคำเพราะชเยศแตะนิ้วชี้ชิดริมฝีปากที่เป็นรูปกระจับสวย ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาใกล้ สั่นหัวใจให้ยิ่งระรัว เขาแกล้งหล่อนหรือ รอยยิ้มมุมปากกับแววตากรุ้มกริ่มนั่นคล้ายสะกดให้หล่อนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เกรงว่าขยับนิดขยับหน่อย ไม่จมูกก็ปากของเราจะต้องชนกัน

“ผมไม่ต้องการผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ แต่ผมต้องการคุณ”

คล้ายทั้งโลกหยุดอยู่ที่สองเรา ลลนากลั้นหายใจแล้วหลับตานิ่งเมื่อจมูกโด่งของเขารินรดลมหายใจใส่ข้างแก้ม เขาปล่อยให้หล่อนลุ้น ก่อนสัมผัสอุ่นจากริมฝีปากจะหยุดที่หน้าผากเนียน เขาอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วเลื่อนลงล้อเล่นรังแกแก้มเนียนละมุน

“ขอแค่เรารักกันไม่ใช่หรือครับ”

ชเยศกระซิบแล้วสวมแหวนคืนให้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ารักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ตาคมที่มองกันอยู่ทุกเวลานั้นอบอุ่น วงแขนที่กอดรัดแน่น ให้ความรู้สึกหวงแหนปลอดภัย เขาทำให้รอยยิ้มของลลนาสดใส ทำให้รู้ว่าบนโลกใบใหญ่หล่อนไม่ได้เดียวดายอยู่เพียงลำพัง

“หัวใจผมให้คุณแล้ว ผมไม่รับคืน ถ้าวันไหนคุณถอดแหวนคืนผมอีก ผมจะลงโทษคุณนะ”

“ลงโทษยังไงคะ”

“ทำให้มากกว่าเมื่อกี้”

ลลนาซ่อนยิ้มเอาไว้ไม่มิดนักเพราะจินตนาการเตลิดไกล โทษของชเยศน่ากลัวเหลือเกิน...น่ากลัวว่าหล่อนจะเต็มใจถอดแหวนคืนให้เขาอีกหลายๆ ครั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น