ฉู่เพ่ยนั่งอยู่ในร้านกาแฟตรงมุมที่ค่อนข้างมืดสลัว กลิ่นหอมของกาแฟอุ่นๆ อบอวลไปทั่วบริเวณ สายตาของเขาจับจ้องไปยังฝั่งตรงข้าม เห็นเงาร่างที่กำลังทำงานยุ่งวิ่งไปวิ่งมาอยู่ข้างใน บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มกว้างและสดใสอย่างที่เขาคุ้นเคย จำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่ข้างกายเขามีเงาร่างอ้อนแอ้นงดงามเพิ่มขึ้นมา
ฉู่เพ่ยเข้ามาเรียนในยุคที่มหาวิทยาลัย T มีบุคคลที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย เขาเองก็เรียกได้ว่าเป็นคนมีนิสัยประหลาดคนหนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ชอบไปไหนมาไหนตามลำพัง ไม่มีระเบียบวินัยและทำตัวตามสบาย ชอบแต่งเนื้อแต่งตัวง่ายๆ ไม่พิถีพิถัน บ่อยครั้งจะสวมเสื้อยืดเก่าๆ ที่แทบจะไม่เหลือรูปทรงเดิมให้เห็น ผมยาวเฟื้อยก็ไม่ตัด แต่ผลการเรียนดีมาก เป็นคนไม่ค่อยพูด นอกจากกล้องถ่ายรูปสุดหวงของเขาแล้ว เขาก็ไม่ใส่ใจอะไรอีก กิจกรรมที่ชอบที่สุดคือสะพายกล้องถ่ายรูปขึ้นภูเขาหรือลงทะเล แล้วตระเวนถ่ายรูปไปทั่ว
นึกไม่ถึงว่าผู้ชายแบบนี้จะมีดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่สดใสและมีชีวิตชีวาคอยตามติดอยู่ข้างกายไม่ห่าง แล้วจะไม่ให้คนอื่นชำเลืองมองได้อย่างไร
ระยะนี้ในรั้วมหาวิทยาลัย T อันสวยงาม มักได้เห็นเงาร่างของสองคนยืนอยู่ด้วยกันเสมอ คนหนึ่งสูงใหญ่ คนหนึ่งบอบบางอ่อนหวาน ละมุนละไม เป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจ
เด็กสาวที่อายุน้อยกว่าเขาสองปีและดูอ่อนแอบอบบางคนนี้ เวลายิ้มขึ้นมาดูอ่อนหวานน่ารักเป็นที่สุด บ้านของทั้งสองอยู่ที่เมืองไทจง บ้านซูอยู่ไม่ไกลจากบ้านฉู่ ผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านรู้จักกันดี ตั้งแต่เล็กเธอมักเกาะติดเขาเสมอ ด้วยเหตุนี้ แรกเริ่มสุดที่ทั้งสองใกล้ชิดกันก็เป็นตอนที่เขาพาเธอไปโรงเรียนอนุบาลด้วยกัน เรียนชั้นประถม มัธยมต้นและมัธยมปลายด้วยกัน กระทั่งตอนนี้เธอก็สอบเข้าเรียนต่อที่ไทเปอีก จึงยังคงอยู่ข้างกายเขาอย่างว่าง่ายเชื่อฟัง
เธอตามติดอยู่ข้างกายเขาตลอด กินข้าว เรียนหนังสือ แม้แต่ยามที่เขาไปถ่ายภาพนอกสถานที่ เธอก็จะสวมหมวกกันแดดใบโตเดินอยู่ข้างๆ เขาโดยไม่บ่น ยามใดที่เขามองหาเธอ เธอก็จะคลี่ยิ้มสดใสบนใบหน้าให้แล้วเอ่ย
“ฉู่เพ่ย อะไรไม่รู้สวยจัง รีบมาถ่ายรูปเร็ว”
ตั้งแต่เล็กจนโต ข้างกายเขามีเธออยู่ด้วยเสมอ เด็กสาวที่ชอบหัวเราะ ชอบร้องไห้ บางครั้งก็ว่านอนสอนง่าย บางครั้งก็ดื้อรั้นซุกซน เขาไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่ในสายตาของเขามีเพียงเธอ เขาชอบที่เธอออดอ้อนออเซาะเขาอย่างอ่อนหวาน เขาชอบที่จะฟังเธอเรียกชื่อเขา เธอมักเรียกเขาทั้งชื่อและนามสกุลว่า “ฉู่เพ่ย ฉู่เพ่ย” ด้วยเสียงที่ดังกังวานไพเราะจับใจ
เดิมเขาเข้าใจว่าเขากับเธอจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป เขาอยากจะรอให้เธอเข้าใจก่อนว่าอะไรคือการชอบพอกัน แล้วเขาก็จะจับจูงมือเธออย่างเปิดเผย แต่ใครเลยจะรู้ เธอกลับแอบไปชอบคนอื่น ยังดีก่อนที่ทุกอย่างจะหลุดจากการควบคุม เขาทำให้เธอกลับมาอยู่ข้างกายได้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ในฐานะพี่ชายข้างบ้านอีก เขาจะรอให้เธอค่อยๆ เข้าใจถึงความรู้สึกของเขาทีละน้อย และต้องค่อยเป็นค่อยไป เขาไม่อาจทำให้ผู้หญิงของเขาตกอกตกใจ
เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ ท้องฟ้ายามนี้มืดสนิท เป็นเวลามืดค่ำแล้ว ในร้านอาหารฟาสต์ฟูดที่คึกคักจึงเหลือคนอยู่ไม่มาก อีกไม่นานเธอคงจะออกมา เขาลุกขึ้นจ่ายค่ากาแฟแล้วเดินออกจากร้านไปยืนคอยเธอเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้
แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด หลังจากนั้นห้านาที เงาร่างแบบบางที่ผลักประตูเดินออกมาก็ทำให้มุมปากของเขาหยักโค้งขึ้น
ซูอี่อันมองเห็นเขาในทันที ทั้งที่มืดค่ำและเขาก็ยืนหันหลังให้แสงสว่าง แต่เธอกลับมองเห็นเขา และเห็นเขาเพียงคนเดียว ตั้งแต่เล็กจนโตล้วนเป็นเช่นนี้ จริงๆ ควรบอกว่าฉู่เพ่ยเกิดมาก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คน หรืออยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีที่เงียบสงัด เขามักดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้เสมอ ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ
ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏขึ้นอย่างแปลกใจระคนดีใจ เธอสาวเท้าก้าวเร็วๆ เข้าไปหาเขา หางม้าที่รวบสูงแกว่งไกวอยู่หลังศีรษะตามจังหวะก้าวเดินของเธอ ดูน่ารักน่าเอ็นดู ทำเอาเขาคันฝ่ามือยุบยิบ อยากจะขยำขยี้ร่างนุ่มนิ่มดื้อรั้นนั่นไว้ในมือ
สายลมยามราตรีพัดผมหน้าม้าของเธอให้เปิดขึ้น เผยให้เห็นหน้าผากที่อิ่มเต็ม ดวงตาสุกใสแวววาว แม้บริเวณหน้าผากจะมีร่องรอยความเหนื่อยล้าชัดเจน แต่ก็ไม่ทำให้ความสวยงามลดน้อยลง
“ฉู่เพ่ย” เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เธอมาได้ยังไง”
เขายื่นมือมาช่วยจัดเส้นผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง พอเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าเธอ ดวงตาเขาก็มีประกายคมกริบผุดวาบขึ้น เด็กสาวดื้อรั้นคนนี้...เห็นอยู่ว่าไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง เพราะอะไรถึงต้องทำงานจนทำให้ตัวเองต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด หรือเพราะอยากจะให้ตัวเองเหนื่อยมากๆ จะได้ไม่มีเวลาไปคิดถึงผู้ชายคนนั้น...ชอบคังอวิ๋นซือมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เขาอยากจะบีบคอเธอแรงๆ สักที ให้เธอมีสติขึ้นมา แต่พอเห็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าของเธอแล้วก็ทำไม่ลง เขาควรจะโกรธในความดื้อรั้นหัวแข็งของเธอ หรือควรจะปลงอนิจจังในความใจอ่อนของตัวเองดี...แต่ช่างเถอะ ให้มันค่อยเป็นค่อยไปทีละนิด แต่ไรมาเขาก็เป็นคนที่มีความอดทนค่อนข้างสูง
“ฉันมารับเธอ ค่ำมืดแล้ว ปล่อยให้เธอกลับบ้านคนเดียวฉันไม่วางใจ”
รอยยิ้มของเธอกว้างขึ้น เขาดีต่อเธอ เธอรู้มาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตล้วนเป็นเขาที่จับจูงมือเธอ เด็กสาวยื่นมือไปเกาะกุมมือของเขา ก่อนจะพูดขึ้น “ไปกันเถอะ”
เขาก้มมองมือเล็กบอบบางที่กุมมือเขาอยู่ มือของเธออ่อนนุ่ม แตกต่างจากมือของเขาอย่างสิ้นเชิง เธอก้มมองตามสายตาเขาด้วยความอยากรู้ เขายกมือเธอขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับนิ้วสอดประสานเข้ากับนิ้วมือเธอไปทีละนิ้วอย่างช้าๆ
ทั้งที่เป็นเพียงท่าทางเรียบง่าย แต่เธอกลับหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ใจเต้นเร็วขึ้น...ขอร้องละ ตั้งแต่เล็กจนโต เธอกับเขาจับจูงมือกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เธอยังจะหน้าแดงอะไรอีก
ฉู่เพ่ยกุมมือเธอแน่น คล้ายไม่เห็นท่าทางเอียงอายเช่นนั้นของเธอ พลางพูดเสียงต่ำ “เรากลับบ้านกันนะ”
เขายื่นมือออกไปโบกเรียกแท็กซี่แล้วดึงเธอเข้าไปนั่งที่เบาะหลังด้วยกัน บอกจุดหมายปลายทางกับคนขับเบาๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำกลมกล่อมดุจเสียงเชลโล1 ที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ
รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล ช่วงเวลานี้ในรถมีแต่ความเงียบ
เขามองแสงไฟด้านนอกที่ระผ่านหน้าต่างรถไปอย่างรวดเร็ว แสงสีภายนอกทำให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมา ในรถนั้นเปิดเครื่องทำความอุ่น ทำให้รู้สึกอุ่นสบาย ในโลกส่วนตัวใบนี้แม้จะมีเสียงเพลงเบาๆ ดังมาจากวิทยุ แต่กลับเหมือนยิ่งเงียบสงัด
มือของเธอยังคงอยู่ในมือของเขา เขาไม่ได้ปล่อยมือ และเธอก็ไม่ได้ดึงมือออก เธอมองใบหน้าด้านข้างที่สงบนิ่งของเขา อารมณ์อ่อนไหวเปราะบางของเธอพลันเอ่อท้นขึ้นมา เธออยากจะระบายให้เขาฟัง ที่ผ่านมาไม่ว่าเธอจะมีเรื่องกลัดกลุ้มใจหรือรำคาญใจอะไร เธอจะบอกเขาทุกเรื่อง คล้ายว่าขอเพียงพูดให้เขาฟัง ปัญหาต่างๆ ก็จะแก้ตกไปได้อย่างง่ายดาย เขามีบางอย่างที่ทำให้คนอยู่ใกล้รู้สึกสบายใจ คล้ายว่าไม่ว่าเรื่องอะไร พอมาถึงมือเขาก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ศีรษะของเธอค่อยๆ เอียงพิงหัวไหล่เขา ก่อนจะเรียกชื่อเขาออกมาเบาๆ “ฉู่เพ่ย”
“หือ?”
“ฉันยังเสียใจอยู่มาก ทำยังไงดี” เห็นคังอวิ๋นซือกับคนรักของเขาอยู่ด้วยกันที่มหาวิทยาลัยทุกวัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในใจของเธอยากจะบรรยายได้จริงๆ
แววตาของเขาขรึมลง ก้มหน้าลงมองเธอ “เรื่องบางอย่างก็ต้องใช้เวลา”
“งั้นหรือ?”
“ใช่”
เธอนิ่งเงียบไป ครู่ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ขอบคุณมากนะฉู่เพ่ย”
ดีที่ตอนนี้ข้างกายเธอยังมีเขา ทำให้ช่วงเวลาของการอกหักนี้ผ่านไปได้อย่างไม่ทุกข์ทรมานจนเกินไป ความจริงแล้วเธอคงเป็นคนนิสัยไม่ดีกระมัง ที่หลอกใช้เขา และที่เขาบอกว่าหากมีเขาอยู่เป็นเพื่อน ความเศร้าเสียใจของเธอก็จะลดน้อยลง ความจริงก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น
เขายังคงมองไปนอกหน้าต่างรถเงียบๆ มือที่เกาะกุมกันอยู่อบอุ่นขึ้น เมื่อก่อนเขาก็จูงมือเธอไปด้วยกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะไปโรงเรียนหรือเลิกเรียน กระทั่งกลับบ้าน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เขาเคยชินกับการมีเธออยู่ข้างกาย และส่งยิ้มอ่อนหวานให้เขาเสมอ เรียกเขาว่าฉู่เพ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างเบิกบานใจ แม้จะหลับตา ในสมองของเขาก็ยังมีภาพรอยยิ้มของเธอปรากฏขึ้นมา
เธออ่อนหวานเพียงนั้น น่ารักเพียงนั้น รอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ
น้ำหนักที่กดทับลงมาบนหัวไหล่ทำให้เขาก้มหน้าลงมอง เธอหลับไปแล้ว แสงภายในรถไม่สว่างมากนัก ใบหน้าของเธอจึงมีเงาปิดคลุมอยู่จางๆ แม้กระนั้นก็ยังเห็นวงคล้ำใต้ตาเธอได้อย่างชัดเจน เธอในยามนี้คล้ายมากกับตอนนั่งอยู่บนพื้นหญ้าในวันนั้น
วันนั้นเขากำลังเฝ้าดูมดตัวหนึ่งเดินไปเดินมาอยู่บนยอดหญ้าอย่างจดจ่อ ในมือประคองกล้องถ่ายรูปไว้มั่น เลนส์คุณภาพสูงที่ผลิตจากประเทศเยอรมันการันตีได้ถึงรูปถ่ายที่สวยงามสมบูรณ์แบบ นี่เป็นของรักของหวงที่สุดของเขา นอกจากเขาแล้ว ใครก็ไม่อาจแตะต้อง
ถ่ายภาพเสร็จ ตอนกดตรวจดูผลงานก็เหลือบไปมองด้านข้าง จึงเห็นซูอี่อันนั่งกอดเข่าพิงต้นไม้อยู่เงียบๆ ปลายคางแนบติดอยู่กับหัวเข่า พลางส่งยิ้มมาให้เขา
เธอดูอ่อนหวานละมุนละไม สดใสและมีชีวิตชีวา แต่เขารู้จักความดื้อรั้นถือทิฐิที่อยู่ลึกลงไปในกระดูกของเธอดี เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เธอเป็นลูกคนที่สองของบ้าน มีพี่ชายหนึ่งคน น้องชายหนึ่งคน โดยทั่วไปลูกคนที่สองมักจะถูกมองข้ามเสมอ แต่เธอไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ตั้งแต่เล็กเธอก็มีใบหน้าที่อ่อนหวาน ไม่ถึงกับสวยเลิศเลอแต่ก็น่ารักน่าเอ็นดู ใครเห็นใครก็รัก เธอชอบงอนและโกรธเขา ทุกครั้งที่เธอเป็นแบบนั้น เขาก็จนปัญญาที่จะทำอะไรได้ เธอคือสิ่งสำคัญในชีวิตของเขาที่คิดจะมองข้ามก็ยังยาก
ฉู่เพ่ยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ตะวันตกดินพอดี แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิกำลังทอแสงงามตาอาบย้อมท้องฟ้าครึ่งหนึ่งให้เต็มไปด้วยสีสัน เธอหันหลังให้แสงอาทิตย์ ใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด ทำให้มองเห็นไม่ชัด แต่แสงอาทิตย์สุดท้ายก่อนจะลาลับขอบฟ้าได้ทอแสงละมุนละไมไปทั่วร่างของเธอ ส่องสะท้อนพื้นหญ้าสีเขียวรอบข้างให้ดูสว่างเรืองรอง เส้นผมดำขลับดุจขนอีกายามโพล้เพล้ กระโปรงยาวนุ่มนิ่ม แสงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลังส่องประกายระยิบวิบไหว เงาไม้ไหวพลิ้ว เห็นดังนั้นนิ้วมือของเขาก็กดชัตเตอร์ลงโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันได้คิดอะไร เสียงคลิกก็ดังกังวานขึ้นแล้ว
ซูอี่อันไม่ได้วิ่งเข้ามาหาเขา แต่ยังคงนั่งมองเขาอยู่ที่เดิมเงียบๆ สบตากับเขาในระยะที่ไม่ห่างกันมาก ซึ่งก็คล้ายกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เธอพิงศีรษะกับหัวไหล่ของเขา เห็นอยู่ว่าเธออยู่ข้างกาย แต่เขากลับรู้สึกเหมือนอยู่ไกลกันมาก
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าอี่อันของเขาอยู่ไกลจากเขามาก คล้ายมีเรื่องอะไรซุกซ่อนอยู่ในใจ ต่อมาเขาถึงได้รู้ เด็กสาวที่เขาเฝ้าดูแลเอาใจใส่ไปชอบผู้ชายอื่นเสียแล้ว ทั้งที่เขาเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เธอกลับไปชอบคนอื่น เขาโมโหเดือดดาลแต่กลับไม่อาจบันดาลโทสะใส่เธอได้ ทำไมเธอถึงได้ตาต่ำเช่นนั้น!
มุมปากของเขามีรอยยิ้มฝาดขมผุดขึ้นบางๆ เขาควรจะจับตัวเธอมาเขย่าแรงๆ ให้เธอมองให้ชัดว่าใครควรจะเป็นคนที่เธอชอบ แต่เมื่อมองใบหน้าขาวผ่องที่อิงหัวไหล่เขาอยู่เวลานี้ เขาก็พลันรู้สึกว่าปล่อยให้เธอพึ่งพาเขาไปแบบนี้ก็ดีแล้ว ถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที เธอเพิ่งอายุสิบแปด กลับต้องมาเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้
เขายกมือขึ้นมามองมือที่เกาะกุมกันอยู่ มือของเธอเล็กมาก ยิ่งอยู่ในอุ้งมือของเขาก็ยิ่งดูเล็กและบอบบางมาก แต่เขารู้จักความดื้อรั้นของเธอดี รู้ว่ารอยยิ้มยามเบิกบานใจของเธอเป็นอย่างไร เธอในยามนั้นงดงามมาก
ครั้นแล้วจู่ๆ เขาก็ไม่อาจตัดใจ ไม่อาจทนเห็นเธอต้องเสียใจเช่นนี้ทุกวัน เพียงเพื่อผู้ชายที่ไม่คู่ควรคนหนึ่ง เขาไม่อาจทนเห็นเธอต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ได้อีก
รถแท็กซี่จอดยังจุดหมายที่เขาระบุ ที่พักของเธออยู่ห่างจากมหาวิทยาลัย T ไม่ไกล พอรถจอด เธอก็ตื่นขึ้นทันที พลางยกมือขึ้นมาขยี้ตาทั้งที่ยังพิงหัวไหล่เขาอยู่ ท่าทางเธอใสซื่อน่าเอ็นดู เขาจ่ายเงินแล้วลงจากรถ ทั้งสองยืนอยู่ริมถนน เธอยังพิงไหล่เขาด้วยท่าทางงัวเงีย
“ฉันจะไปส่งเธอใต้ตึก”
เธอรับคำอย่างง่วงงุน ยังคงเอนพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา ปล่อยให้เขาโอบบ่าพาเดินไปข้างหน้า เธอยิ้มในหน้าแล้วก้าวเท้าตามเขาไป มือของทั้งสองยังคงเกาะกุมกัน
ถนนในซอยเล็กและแคบ โคมไฟบนถนนส่องสลัว จึงเห็นพื้นถนนไม่ชัดเจน ทั้งยังลากเงากลับหัวบนพื้นถนนของคนสองคนที่เกาะกุมมือกันอยู่ให้ทอดยาวออกไป เธอซุกตัวอยู่ข้างกายเขาคล้ายยึดเป็นที่พึ่งพิงและไว้วางใจ
หนทางไม่ไกลนัก ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าอะพาร์ตเมนต์ตึกเก่าสูงหกชั้นหลังหนึ่ง เธอเอียงหน้ามามองเขา “ฉันขึ้นไปก่อนนะ”
เขานิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ปล่อยมือเธอ “ไปพักเถอะ”
เสียงของเขายังคงเป็นเสียงทุ้มต่ำน่าฟัง คล้ายเจือด้วยท่วงทำนองพิเศษบางอย่างที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ เธอยิ้มพลางพยักหน้า เอ่ยขอบคุณเขาแล้วเตรียมจะเดินขึ้นข้างบน
เขามองหางม้าที่ซุกซนปอยนั้นสะบัดไปมาคล้ายกำลังกวาดอยู่ในหัวใจของเขาให้รู้สึกคันๆ แสบๆ พอนึกถึงรอยคล้ำที่บ่งบอกความอิดโรยใต้ตาเธอ เขาก็คิดว่าเรื่องบางเรื่องตามใจได้ แต่คงต้องให้บทเรียนเธอบ้าง
“ซูอี่อัน” เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกเธอทั้งชื่อและนามสกุล
เธอหมุนตัวกลับมามองด้วยความฉงน
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนหันหลังให้โคมไฟบนถนน จึงมองเห็นสีหน้าไม่ชัด ด้วยอารมณ์ทั้งโกรธและมุ่งมั่นผสมปนเปกัน ทำให้เขาสาวเท้าเดินเร็วๆ เข้ามาแล้วคว้าตัวเธอมาไว้ในอ้อมแขน ก้มหน้าลงกัดริมฝีปากเธอแรงๆ
“เธอต้องรู้จักทำตัวว่าง่ายหน่อยนะ” อย่าคิดถึงผู้ชายคนอื่นอีก อย่าทำให้ตัวเองต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้เพราะคนอื่นอีก
เธอตะลึงงันไปแล้ว ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างสิ้นเชิง ความเจ็บบนริมฝีปากทำให้เธออดจะยกมือขึ้นมาลูบคลำไม่ได้ เธองงงัน ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ เขาถึงได้บ้าคลั่งขึ้นมา
“ได้ยินไหม”
ทั้งที่เขาไม่ได้ขึ้นเสียง แต่เธอกลับตัวสั่นสะท้าน รีบเอามือปิดปากแล้วพยักหน้าแรงๆ แม้ว่าจนถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ทำอย่างนั้น
ใบหน้าของฉู่เพ่ยมีรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้น เห็นท่าทางโง่งมหวาดผวาของเธอแล้วก็อดจะยื่นมือไปขยี้ผมเธอไม่ได้ “ขึ้นไปเถอะ”
“อืมๆ” เธอเดินอย่างงงงันไปหลายก้าว แล้วก็พลันได้สติ เมื่อครู่เขาจูบเธอ? น่าจะใช่ แล้วเธอก็หมุนตัวกลับมาส่งเสียงแว้ดใส่เขา “อาๆๆ...ฉู่เพ่ย! เธอจูบฉัน!”
เด็กโง่คนนี้...เขาทำเป็นไม่ได้ยิน เดินต่อไปข้างหน้า
ซูอี่อันโกรธจนขยี้เท้าเร่าๆ เจ้าหมอนี่ตั้งแต่บอกคบกับเธอก็ดูแปลกๆ ไป เห็นอยู่ว่าเธอเคยชินกับการมีเขาอยู่ข้างกาย แต่ไรมาก็ไม่เคยคิดจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาเป็นอื่น เธอเห็นเขาเป็นเหมือนญาติ เป็นเหมือนคนในครอบครัว ไม่เคยเห็นเขาเป็นคนรักมาก่อน วันนั้นเพราะเธอเสียใจมากเกินไป และคำพูดของเขาที่บอกจะคบกับเธอก็ฟังดูเข้าท่าดี เธอจึงไม่ได้ต่อต้านพลังโน้มน้าวนั้น จึงตกลงคบหากับเขา หลังจากนั้นเขาก็ปฏิบัติต่อเธออย่างอ่อนโยนเอาใจใส่ไม่ต่างจากเมื่อก่อน เธอจึงอยู่ข้างกายเขาด้วยความสบายใจ นึกไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะจูบเธอ
เขาคือฉู่เพ่ย ผู้ชายที่โตมาพร้อมกับเธอ ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอมาโดยตลอด เธอคิดไม่ถึงว่า...
แต่ริมฝีปากของเขากลับอ่อนนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ...คิดมาถึงตรงนี้ซูอี่อันก็เอามือปิดปากแล้วยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะซอยเท้าวิ่งขึ้นชั้นบนไป เธอไม่ได้สังเกตว่าหัวใจเธอไม่ได้รู้สึกหน่วงหนักเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว
1 หมายถึงเสียงทุ้มกังวานดุจเสียงเชลโล
ความคิดเห็น |
---|