3

ตอนที่ 3


การคบหากันของทั้งสองยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน เขาไปเรียนพร้อมเธอ ไปเดินเที่ยว ไปกินข้าวและไปดูภาพยนตร์เป็นเพื่อนเธอ เวลาเธอไปทำงาน หลังเลิกงานเขาก็จะไปรับเธอ ทำทุกอย่างที่คู่รักพึงทำ ขณะเดียวกันเธอก็ไปเรียน ไปห้องสมุด ไปร่วมตระเวนถ่ายภาพเป็นเพื่อนเขาตามที่เขาเรียกร้อง

ซูอี่อันลูบไล้ปากกาหมึกซึมสีดำในมือด้วยท่าทางเกียจคร้าน ตัวอักษรเดินทองงดงามประทับอยู่บนตัวปากกา ปากกาด้ามนี้คังอวิ๋นซือเป็นคนมอบให้เธอ จำได้ว่าตอนนั้นคังอวิ๋นซือสอบเข้ามหาวิทยาลัย T ได้แล้ว เขากลับไปไทจงเพื่อพบอาจารย์ ซูอี่อันเจอเขาเข้าโดยบังเอิญ และเห็นเขาทำปากกาหมึกซึมตก จึงรีบวิ่งเข้าไปเก็บขึ้นมาและคืนให้เขา เขากล่าวขอบคุณด้วยสีหน้ายิ้มๆ และมอบมันให้เธอ ทั้งยังส่งยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น

ตอนเธอรับปากกามา หัวใจเธอเต้นเร็วจนแทบควบคุมไม่อยู่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเธอก็ตัดสินใจรอให้ตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัย T ได้ จึงจะไปสารภาพความในใจกับเขา แต่ใครเลยจะคาดคิด ยังไม่ทันได้สารภาพรักก็...

“กำลังเหม่ออะไรอยู่” อวี๋เจียเฉินเพื่อนสนิทยื่นหน้าเข้ามา ผลักหัวไหล่เธอเบาๆ

ซูอี่อันถอนใจแล้วเก็บปากกาหมึกซึม เงยหน้ามองเพื่อนสนิทของตน ปิดเทอมภาคฤดูหนาวผ่านพ้นไป อวี๋เจียเฉินดูผอมลงไปไม่น้อย นัยน์ตาดำขลับมีชีวิตชีวาของเธอ ประกอบใบหน้ากลมๆ ที่เคยมีนั้นซูบตอบลง ดวงตาจึงยิ่งดูโตขึ้น

ซูอี่อันถอนใจเบาๆ “เจียเฉิน เธอกับจิงเจี๋ยยังดีกันอยู่ไหม”

อวี๋เจียเฉินตากะพริบวิบวับ รอยยิ้มจางลงหลายส่วน “ดีกับไม่ดีแบ่งแยกยังไง เธอตอบคำถามนี้ได้ไหม”

ซูอี่อันเงียบไป พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถม จึงรู้นิสัยใจคอ รู้เรื่องความรัก หรือแม้แต่ความลับของกันและกันดี ยามอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย อารมณ์และความรู้สึกอะไรก็ไม่อาจปิดบังกันได้ ควรบอกว่าเป็นวาสนาสัมพันธ์บางอย่างที่ทำให้พวกเธอเรียนอยู่ที่เดียวกันมาโดยตลอด จากไทจงสอบเข้ามาเรียนที่ไทเปด้วยกัน แม้แต่เรื่องของความรัก...ที่ซูอี่อันแอบหลงรักคังอวิ๋นซือ แรกเริ่มเธอไม่ได้บอกให้ฉู่เพ่ยรู้ แต่อวี๋เจียเฉินกลับรู้ดี

อวี๋เจียเฉินมองเพื่อนสนิทที่นิ่งเงียบ ทนนิ่งอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ถามขึ้น “เธอกับฉู่เพ่ยเป็นยังไงบ้าง” อวี๋เจียเฉินรู้สึกมาโดยตลอดว่าฉู่เพ่ยปฏิบัติต่ออันอันแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่อันอันความรู้สึกช้าเกินไป ส่วนฉู่เพ่ยก็มีความอดทนมากเกินไป ทั้งสองโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ถึงตอนนี้จะเพิ่งมาเริ่มคบหากัน ก็ยังเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่ดี

“ดีมาก” เธอพูดพลางยิ้มน้อยๆ เพราะมันดีมากจริงๆ ต้องยอมรับว่าตนนั้นโชคดี ทั้งที่อกหักแต่ก็มีฉู่เพ่ยที่รู้จักกันมาตั้งแต่เล็กจนโตคอยอยู่เป็นเพื่อน ทำให้จิตใจของเธอไม่ย่ำแย่อย่างที่คิด

อวี๋เจียเฉินทอดถอนใจออกมาเบาๆ “อันอัน เธอนึกเสียใจในการตัดสินใจของตัวเองหรือเปล่า”

“ฉันไม่รู้” ซูอี่อันส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “แอบกระซิบกับเธอนะ ฉันรู้สึกตลอดเวลาว่าการคบกับเขามันดูแปลกๆ” ซูอี่อันกวาดสายตาไปรอบด้าน คล้ายกลัวว่าจู่ๆ ฉู่เพ่ยจะปรากฏตัวออกมาจากตรงไหนสักแห่ง “แต่เขาบอกให้เชื่อเขา รับรองว่าไม่ผิดหวัง”

ได้ยินอย่างนี้แล้วเธอยังจะพูดอะไรได้อีก ในฐานะเพื่อนสนิท นิสัยซูอี่อันเป็นเช่นไร อวี๋เจียเฉินรู้ดีเป็นที่สุด ซูอี่อันเลอะเลือน ความรู้สึกช้า ทั้งยังยึดมั่นถือมั่นเรื่องความรัก เพื่อนสนิทของเธอมีนิสัยเช่นนี้ หากฉู่เพ่ยคิดจะสมหวัง เกรงว่าอาจยังมีหนทางต้องเดินอีกยาวไกล

“อ๊ะ แย่แล้ว!” ซูอี่อันมองเวลาในโทรศัพท์มือถือ ลนลานลุกขึ้นมาปัดเศษหญ้าออกจากกระโปรง

“มีอะไรหรือ? ถัดจากนี้ไปไม่มีชั่วโมงเรียน” อวี๋เจียเฉินเข้าไปช่วยพยุง วันนี้พวกเธอมีเรียนตอนเช้าคาบหนึ่งและคาบสอง เลิกเรียนจึงมานั่งคุยกันที่สนามหญ้า พลางมองทิวทัศน์ไปอย่างสบายใจ “เธอมีธุระต่อหรือ?”

“อื้อ ตอนนี้ฉู่เพ่ยน่าจะอยู่ที่ห้องสมุด เขาบอกให้ฉันไปหาเขา” ซูอี่อันหิ้วกระเป๋าสะพาย

‘ช่าง...เหลือเกิน ไม่รู้ไปหัดมาจากใคร’ อวี๋เจียเฉินนั่งมองซูอี่อันเดินห่างออกไปช้าๆ แล้วก็อดร้องเรียกไม่ได้ “อันอัน”

“อะไรหรือ?”

“วันนี้เธอ...” พูดแล้วก็นิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็โบกมือให้เธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่มีอะไรหรอก เธอรีบไปเถอะ อย่าให้ฉู่เพ่ยต้องรอนาน”

ซูอี่อันไม่ได้ซักไซ้ต่อ เพียงพยักหน้าแล้วเดินต่อไป

 

ห้องสมุดเงียบสงบเหมือนเช่นเคย ฉู่เพ่ยอยู่ตรงไหน ซูอี่อันรู้ดี เธอเดินเข้าไปช้าๆ แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด เธอเห็นชายหนุ่มที่มองหากำลังพลิกอ่านหนังสืออย่างจริงจังอยู่ที่มุมดังกล่าว

เขาลุ่มหลงในโลกของแสงเงามาก เวลาที่เขาจดจ่ออยู่กับเรื่องใด สีหน้าท่าทางของเขาจะดูมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากเด็กหนุ่มข้างกายเธอคนอื่นๆ ที่เหลาะแหละ และดูไม่เป็นผู้ใหญ่เหล่านั้นมาก ไม่ว่าใครเพียงได้เจอเขาครั้งแรก ก็จะถูกเขาสะกดสายตาไว้ทันที

ซูอี่อันเดินช้าๆ ไปยังอีกฝั่งหนึ่งของชั้นหนังสือ แอบเพ่งพิศเขาผ่านช่องว่างระหว่างหนังสือ เส้นผมตรงหน้าผากที่เคยยาวเกินไปของเขาได้รับการตัดเล็มมาเรียบร้อย ผมของเขาไม่ได้ดำสนิทแต่มีสีเกาลัดเจืออยู่จางๆ คิ้วเข้มได้รูป ดวงตางดงาม สีตาไม่เหมือนคนทางตะวันออก เป็นสีชาเจือประกายอำพัน ยามอยู่ภายใต้แสงโคมสลัวๆ จะดูอบอุ่นอ่อนโยนดุจหยกงาม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากไม่หนาไม่บาง เส้นสายเค้าโครงหน้าหนักแน่นชัดเจน บ่งบอกว่าเป็นคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจสูง และเด็ดขาดในการทำงาน

เครื่องหน้าของเขาไม่นับว่างดงาม แต่ก็มีความทระนงองอาจแบบผู้ชาย กอปรกับรูปร่างที่สูงใหญ่ ทั่วร่างจึงมีกลิ่นอายของความไม่อินังขังขอบ ไม่ว่าไปยืนอยู่ตรงไหนก็ดูเป็นชายหนุ่มทันสมัยเปี่ยมเสน่ห์คนหนึ่ง

เมื่อเห็นเขาเอื้อมมือมาหยิบหนังสือ เธอก็ค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับหนังสือเล่มเดียวกันจากอีกฝั่ง ทั้งสองต่างออกแรงดึง เขาชะงักไปแล้วมองมาที่เธอ เมื่อเห็นเธอส่งยิ้มหวานมาให้ ดวงตาใสกระจ่างของเขาก็เปล่งประกายวาว

“มาตั้งแต่เมื่อไร”

เธอเกาะชั้นหนังสือมองเขา “สิบห้านาทีก่อน”

“ทำไมไม่เรียกฉัน”

“อืม ชื่นชมหนุ่มหล่อก็เป็นสิทธิของสตรี”

“ซุกซน” เขาส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา “รอฉันเดี๋ยว ขอฉันเลือกหนังสือสักสองสามเล่ม”

ตั้งแต่เขาบอกจะคบหากับเธอ ท่าทีที่มีต่อเธอก็ดูเปลี่ยนไปจากเดิม เธอรู้สึกได้รางๆ อย่างการจับมือโดยประสานนิ้วมือทั้งสิบ หรืออย่างจุมพิตในคืนวันนั้น พอนึกถึงจุมพิตที่ไม่นับว่าเป็นจุมพิตนั่น...ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากวันนั้นเธอก็คิดจะถามเขา แต่ท่าทีที่เขาแสดงออกมาดูเฉยเมยเป็นปกติ คล้ายไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้น กลับเป็นเธอที่กระสับกระส่ายไปเอง

เธอหยิบหนังสือติดมือมาเล่มหนึ่งแล้วอ้อมมาอยู่ตรงหน้าเขา ยกหนังสือขึ้นบังหน้าทำเป็นอ่าน แล้วขยับเข้าไปพิงร่างเขาไว้ แอบมองสำรวจเขาอยู่ตลอดเวลา

วันนี้อากาศครึ้ม ไม่มีแดด ไม่เห็นดวงอาทิตย์ แม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ตาม แต่สองสามวันมานี้อุณหภูมิลดต่ำลง เหลือเพียงสิบกว่าองศา อากาศจึงยังหนาวมาก ดูเหมือนเขาจะเป็นคนไม่กลัวหนาว เธอจำความอบอุ่นที่ฝ่ามือของเขาได้ วันนี้เขาเพียงสวมแจ็กเกตเนื้อบางสีน้ำตาลตัวหนึ่ง กับกางเกงยีนเก่าๆ ขาดๆ เหมือนเดิม หลังจากคบหากัน ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวของตัวเองมากขึ้นเลย ยังคงเลือกสวมอะไรที่สบาย

ดูๆ ไปแล้วคำพูดที่ว่า ความรักช่วยให้คนดูดีขึ้น ก็ไม่แน่ว่าจะถูกเสมอไป แต่เขาสวมสีน้ำตาลขึ้นจริงๆ มันช่วยขับเน้นดวงตาของเขาให้เปล่งประกายแวววาว ทั้งดูองอาจผึ่งผายขึ้นมาหลายส่วน

“คิดอะไรอยู่หรือ? ใจลอยไปถึงไหนแล้ว” เขาตบหน้าผากเธอแปะหนึ่ง เด็กสาวผู้นี้เอาแต่ซุกเข้ามาตรงหน้าเขา ไม่ให้เลือกหนังสือได้เลย

เมื่อโดนตบหน้าผากเบาๆ ก็ทำให้เธอตื่นจากภวังค์และยกมือขึ้น ทำท่าให้เขาก้มลงมา จากนั้นก็ลูบหนังตาของเขา พูดคล้ายพึมพำ “ฉันชอบดวงตาของเธอ สีมันสวยมาก”

นัยน์ตาของเขาหม่นขรึมลง “นอกจากดวงตาแล้ว เธอยังชอบตรงไหนอีก หืม?” เขามองมาที่ริมฝีปากของเธอ

เมื่อเขาแสดงความนัยอย่างชัดแจ้งเช่นนี้ก็ทำเอาเธอหน้าแดงฉานขึ้นมาทันที จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “นี่...เธอเลือกหนังสือเสร็จหรือยัง ฉันมีงานมากนะ”

“ช่างเถอะ” มีเธอคอยก่อกวนอยู่แบบนี้ เขายังจะเลือกหนังสืออะไรได้ ว่าแล้วก็คว้าหนังสือจากมือของเธอไปวางกลับคืนที่เดิม จากนั้นก็ดึงมือเธอพาเดินออกไปข้างนอก

เธอโอบเอวเขาขณะนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ แล้วก็นึกได้ว่าต้องถาม “เราจะไปไหนกันหรือ?”

“ถึงแล้วก็รู้เอง”

เธอไม่ได้ถามอีก เพียงเอาหน้าซุกกับแผ่นหลังของเขา แผ่นหลังกว้างใหญ่แข็งแรงที่เธอคุ้นเคยดี สมัยเด็กเธอก็นั่งอยู่ข้างหลังเขาแบบนี้หลายครั้งหลายหน ให้เขาพาเธอซ้อนท้ายรถจักรยานขี่ไปเที่ยวจนทั่ว บางครั้งเธอก็หลับไปทั้งที่ยังกอดเอวเขาอยู่แบบนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็มั่นใจแล้ว...ที่ที่มีฉู่เพ่ยอยู่ เธอจะปลอดภัยที่สุด



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น