5

ตอนที่ 5


ช่วงเวลาที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันมักเป็นช่วงเวลาที่ดีงาม แต่ไรมาฉู่เพ่ยจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเฉยเมย แต่กับซูอี่อัน เขากลับเอาใจใส่ด้วยความละเอียดอ่อนมาโดยตลอด เธอรู้นิสัยของเขา ความจริงเขาไม่นับว่าเป็นคนอารมณ์ดี แต่กับเธอแล้วเรียกได้ว่าดีด้วยจนน่าแปลกใจ เขารักและตามใจเธอ ให้อภัยเธอ ขอเพียงเธอร้องขอ เขาก็จะทำให้ทุกอย่าง แม้ปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยได้ร้องขออะไรก็ตาม

ความเป็นอยู่ของทั้งสองนับว่าค่อนข้างจะอยู่ในกฎระเบียบ ซูอี่อันเพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง ตารางเรียนจึงค่อนข้างแน่น อีกทั้งเธอยังไปทำงานพิเศษข้างนอก เวลาที่จะออกเดตกันจริงๆ จึงมีไม่มากนัก

ปีนี้ฉู่เพ่ยเรียนอยู่ชั้นปีที่สาม กิจกรรมที่ชื่นชอบมากที่สุดคือหิ้วกล้องถ่ายรูปตระเวนถ่ายไปทั่ว เขาชอบถ่ายรูปวิวมากเป็นพิเศษ แต่จนถึงตอนนี้ ในกล้องถ่ายรูปของฉู่เพ่ยมีเงาร่างของเธอเสียเป็นส่วนใหญ่

เธอไม่ใช่ผู้ชำนาญเรื่องการถ่ายรูป เส้นแสงและการจัดองค์ประกอบเธอก็ดูไม่ค่อยเป็น แต่เธอรู้ว่าฝีมือของเขาดีมากจริงๆ รูปที่ถ่ายออกมาดูมีกลิ่นอายพิเศษอย่างหนึ่ง...มีชีวิตชีวา อีกทั้งเขายังทำงานเป็นผู้ช่วยช่างภาพของนิตยสารท่องเที่ยวฉบับหนึ่ง ถ้าเขาไม่มีฝีมือ จะได้รับความชื่นชมจากทีมงานนิตยสารได้อย่างไร

ทั้งสองคนไม่ต่างจากคู่รักทั่วไปในรั้วมหาวิทยาลัย เมื่อมีเวลาว่างจากการเรียนและทำงานก็จะหาเวลาไปออกเดตกันอย่างเงียบๆ ฉู่เพ่ยเป็นคนที่ใครอยู่ด้วยแล้วสบายใจ กับคนอื่นเขาอาจเฉยเมยไม่สนใจ แต่เธอที่เป็นคนรักของเขาย่อมต่างกัน แม้เมื่อก่อนเธอจะไม่ใช่คนรักของเขา แต่เขาก็ปฏิบัติต่อเธอแตกต่างจากคนอื่นๆ อยู่แล้ว

ทุกวันไม่ว่าจะมืดค่ำหรือเช้าเพียงใด เขาจะส่งเธอถึงที่ทำงาน ช่วงเช้าตอนมารับเธอก็จะซื้ออาหารเช้าร้อนๆ มาให้ โดยต้องมีน้ำเต้าหู้ที่เธอชอบดื่ม ทั้งยังต้องเป็นร้านที่เธอเจาะจง ช่วงค่ำเวลามารับเธอตอนเดินผ่านตลาดกลางคืนก็จะจูงมือเธอเข้าไปกินอาหารค่ำอร่อยๆ ที่นั่น ท่ามกลางฝูงชนที่คึกคัก

เรียกได้ว่าเธอเป็นคนค่อนข้างจู้จี้เรื่องอาหารการกิน ทั้งยังมีรูปแบบเฉพาะตัว เช่นเธอชอบกินเผ็ดแต่ไม่เผ็ดมากเกินไป อาหารที่เขาสั่งหรืออาหารว่างและกินเล่นที่เขาซื้อมา ต้องมีความเผ็ดเจืออยู่เล็กน้อย ทั้งยังต้องถูกปากเธอ ไม่เผ็ดมากจนทำให้กระเพาะของเธอทนไม่ไหว หลังอาหารคาวต้องมีน้ำผลไม้คั้นสดรสชาติเข้มข้นหอมหวานแก้วโต เพื่อให้ความหวานฉ่ำตามธรรมชาติค่อยๆ เจือจางความเผ็ดให้หายไป

หลายสิ่งที่เขาทำ แรกเริ่มเธออาจไม่ได้สังเกต แต่เมื่อคลุกคลีอยู่ด้วยกันนานเข้า เธอก็เริ่มรับรู้ได้รางๆ อีกทั้งเธอยังมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าเขากำลังทำให้เธอเห็นชัดเจนถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้น โดยใช้ความอ่อนโยนที่แข็งแกร่ง

ประหลาดจริง...อ่อนโยนแล้วจะแข็งแกร่งได้อย่างไร เขาทำทุกอย่างเพื่อบ่งบอกให้เธอรู้ว่าเวลานี้เขาปฏิบัติต่อเธอไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว บางทีอาจจะเป็นเช่นที่อวี๋เจียเฉินบอก การที่ซูอี่อันได้คบหากับฉู่เพ่ย ความจริงแล้วเป็นเรื่องโชคดีอย่างหนึ่ง แต่ในโลกนี้จะว่าเป็นเรื่องโชคดีหรือไม่ คนอื่นพูดไม่อาจนับ มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่จะบอกได้

ซูอี่อันรู้ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดหรือมีความสามารถอะไรมาก อุปนิสัยของเธอ ความจริงแล้วเป็นคนเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า บางเรื่องก็ไม่เอาใจใส่ พวกเขาคบหากันมาเกือบสี่เดือน กลับเพียงจับจูงมือ ยกเว้นตอนวันเกิดของเธอ ที่เธอกับฉู่เพ่ยได้...เอ้อ...จูบกันอย่างดูดดื่มครั้งหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นฉู่เพ่ยก็ควบคุมตัวเองได้ดี เพียงจูบกันเบาๆ เท่านั้น คล้ายไม่ได้คิดจะมีความสัมพันธ์คืบหน้าไปอีกขั้นกับเธอ

ในยุคสมัยที่ความรักมาเร็วไปเร็วไม่ต่างอะไรกับฟาสต์ฟูดเช่นนี้ ความรักของคนทั้งสองดูเป็นความรักที่บริสุทธิ์จนน่าหัวเราะ หรือความจริงแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอ?

คิดมาถึงตรงนี้ซูอี่อันก็แอบนึกโกรธขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าตนเองโกรธอะไร แต่ก็เหมือนโกรธมาก

 

พอฉู่เพ่ยชวนเธอไปเที่ยวไทหนานด้วยกันในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน เธอก็รับปากทันที ตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของอวี๋เจียเฉิน เธอก็รู้สึกต่อการเดินทางในครั้งนี้ต่างไปจากเดิมขึ้นมาทันที...คู่รักออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันแฝงความหมายเช่นไร ไม่ใช่เธอไม่เข้าใจ

เดิมเธอเข้าใจว่าเขาจะไปเขิ่นติง3 คิดไม่ถึงว่าเขาจะพาเธอมาหมู่บ้านชาวประมงที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกสุดของไทหนาน ทุกอย่างที่นี่ล้วนอยู่ในรูปแบบดั้งเดิมและเป็นมิตร ไม่มีตึกสูงทันสมัย ไม่มีจังหวะก้าวเดินที่เร่งรีบฉับไว ผู้คนและทุกสิ่งที่นี่ดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่ที่นี่ก็น่าอยู่ไม่น้อย

ซูอี่อันมองท้องทะเลไกลเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ยามลมทะเลชื้นๆ เค็มๆ พัดมาถูกใบหน้าของเธอ จิตใจจากที่เคยสับสนวุ่นวายก็ค่อยๆ สงบลง ท้องฟ้าของที่นี่เป็นสีครามเข้ม อากาศของที่นี่มีกลิ่นอายป่าเขาเจืออยู่ หาดทรายของที่นี่กว้างใหญ่ แสงอาทิตย์สว่างไสวและอบอุ่น มุมอับชื้นและมืดหม่นในหัวใจคล้ายถูกส่องสว่างไปหมดเมื่ออยู่ที่นี่

เธอหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังจัดเก็บข้าวของออกจากกระเป๋าเดินทาง รอยยิ้มบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบานอย่างแท้จริง “นึกไม่ถึงว่าเธอยังมีบ้านอยู่ที่นี่อีกหลัง”

ก่อนหน้านี้เห็นเขาหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู ตอนแรกเธอเข้าใจว่าเขาคงยืมบ้านเพื่อน แต่พอเข้ามาในบ้านก็พบว่าบนชั้นวางของมีรูปของเขาตั้งอยู่ จึงรู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเดิมของครอบครัวเขา เธอเข้าใจมาโดยตลอดว่าครอบครัวของลุงฉู่อยู่ที่ไทจง ใครจะไปคิดว่าจะมีบ้านอยู่ทางตอนใต้ด้วย

เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหญิงชราที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนมีเมตตาในกรอบรูปนั้น ดูหน้าตาคุ้นๆ ในรูปเขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแบบเรียบง่าย มีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้าอย่างน้อยครั้งที่จะได้เห็น หากเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ฉู่เพ่ย จะเป็นใครไปได้

ซูอี่อันหยิบกรอบรูปขึ้นมาลูบมุมกรอบที่เรียบลื่น รู้สึกคุ้นหน้าหญิงชราผู้นี้อยู่ไม่น้อย แต่เพราะคนแก่ทุกคนล้วนดูไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไร ใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยรอยย่นคล้ายๆ กัน ในรูปนั้นนางยิ้มเห็นฟันจนตาหยี

“ท่านเป็นย่าทวดของฉัน” ฉู่เพ่ยเดินมาอยู่ข้างหลังเธอ มองหญิงชราท่าทางใจดีในรูปด้วยกันกับเธอ

“ตอนสาวๆ ท่านคงสวยมาก” ซูอี่อันมองใบหน้าหญิงชราด้วยสีหน้ายิ้มๆ แม้กาลเวลาจะทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า แต่ก็ยังมีเค้าความงามในสมัยสาวๆ หลงเหลืออยู่ เธอคุ้นเคยกับคนที่บ้านฉู่ดี ไปเที่ยวเล่นที่บ้านพวกเขาเสมอ แต่ไม่เคยพบหญิงชราผู้นี้มาก่อน

“อืม” เขารับคำเสียงต่ำ มองรอยยิ้มของเธอ “ท่านอายุมากแล้ว เลยอยู่ที่ไทหนานมาโดยตลอด”

“รูปนี้ถ่ายตั้งแต่เมื่อไร” เธอลูบมุมปากที่ยิ้มน้อยๆ ของเขาในรูปแล้วเอียงคอถามด้วยสีหน้าทะเล้น

“สองปีก่อน”

“ตอนนี้ย่าทวดอยู่ที่ไหน” ดูเหมือนที่นี่จะเป็นบ้านพักของย่าทวด แต่พอเธอเข้ามากลับไม่พบท่าน

เขานิ่งเงียบ เธอจึงเข้าใจขึ้นมาทันที “ขอโทษ”

“ไม่เป็นไร ท่านพอใจในชีวิตแล้ว” เขาหยิบกรอบรูปจากมือเธอ เช็ดกระจกที่เรียบลื่นเบาๆ แล้ววางกลับลงที่เดิมอย่างเบามือ “ที่นี่เป็นบ้านเก่า เมื่อก่อนช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของทุกปี ฉันจะมาอยู่เป็นเพื่อนย่าทวด ท่านจึงทิ้งที่นี่ไว้ให้ฉัน”

มิน่า...ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนเขาจะหายตัวไปทุกปี เธอรู้เพียงเขาไปบ้านญาติ คิดไม่ถึงว่าจะมาที่ไทหนาน

เขาโอบบ่าเธอพาเดินไปข้างหน้าต่าง เพราะคลุกคลีอยู่ด้วยกันมานาน เธอจึงคุ้นเคยกับความอบอุ่นจากตัวเขาแล้ว จึงเดินตามเขาไปแต่โดยดี เขาชี้ไปที่ต้นไทรต้นใหญ่ที่ลานด้านนอก

“ต้นไม้ต้นนั้น ปู่ทวดปลูกไว้ในวันที่ปู่ของฉันเกิดมา”

ซูอี่อันเพ่งพินิจต้นไทรสูงใหญ่ต้นนั้น ดูแล้วไม่ต่างจากอายุของบ้านหลังนี้ที่ผ่านกาลเวลามานานหลายสิบปี ต้นไม้แตกกิ่งใบเขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์ ช่วยบดบังแสงแดดร้อนแรง สร้างความร่มรื่นให้ลานบ้าน รากไทรยาวห้อยย้อยลงจากกิ่งบ่งบอกถึงความเก่าแก่มีอายุ

บ้านเก่าของสกุลฉู่เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นครึ่งแบบโบราณ สร้างอยู่บนเนินริมทะเล ด้านนอกมีลานกว้าง มีกำแพงสีเทาขาวล้อมอยู่ เห็นชัดว่าได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แม้จะผ่านการบูรณะซ่อมแซมมาหลายครั้ง แต่ก็ยังดูสะอาดสะอ้านและทนทาน ด้านนอกลานเป็นบันไดปูด้วยแผ่นหินสีเขียวอมดำแบบเรียบๆ และเป็นระเบียบ เดินลงบันไดไปก็จะเห็นชายหาดกว้างใหญ่ซึ่งมีทัศนียภาพสวยงาม เสียงคลื่นทะเลดังลอดหน้าต่างเข้ามาไม่ขาดสาย ซัดสาดทั้งวันทั้งคืนราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

มือของเขาพาดอยู่ที่เอวของเธอ ซูอี่อันค่อยๆ ซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกของเขา ฟังท่วงทำนองของกระแสคลื่นไปพร้อมกับเขาแล้วเอ่ย “ที่นี่สวยมากจริงๆ”

“อืม...ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ค่อนข้างลำบาก ไม่มีความเจริญแบบเมืองใหญ่ เธอจะไม่ชินหรือเปล่า”

ลมหายใจของเขาเป่ารดขอบหูของเธอ ทำให้รู้สึกคันยุบยิบ

“ฉันชอบที่นี่” เธอยิ้ม ชี้ไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า “เวลานี้มีคนไม่รู้เท่าไรต้องสิ้นเปลืองเงินทอง สิ้นเปลืองเวลามากมายเพื่อจะไปหาที่พักร้อนริมทะเล แต่เรากลับได้ทัศนียภาพสวยงามเช่นนี้มาอย่างง่ายดาย ฉันมีความสุขมาก”

เขาหัวเราะหึ แตะริมฝีปากกับข้างแก้มเธอเบาๆ กระชับแขนกอดเธอแน่นขึ้น “ตอนเด็กฉันชอบไปเล่นที่ชายหาดที่สุด ที่นั่นมีปู หอย แล้วยังมีปลาที่ถูกน้ำทะเลซัดขึ้นมาบนฝั่ง ลุงเฉินที่อยู่ในหมู่บ้านพาฉันออกทะเลไปจับปลาด้วยบ่อยๆ ออกไปทีก็ใช้เวลาทั้งวัน แม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุกมาก”

เธอหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง ฟังเขาเล่าเรื่องสมัยเด็กเคล้าเสียงคลื่นทะเลด้วยสีหน้ายิ้มๆ รู้สึกว่าแม้แต่ในลมหายใจก็ยังมีกลิ่นคาวเค็มที่เป็นเอกลักษณ์ของลมทะเลที่นี่ เวลานี้ใจของเธอสงบและเบาสบายเป็นที่สุด

“เธอพักผ่อนไปก่อนนะ ฉันจะออกไปซื้อของสดสักหน่อย” ทั้งสองมาถึงตอนบ่ายสามกว่าๆ เก็บข้าวเก็บของเสร็จก็ได้เวลาเตรียมอาหารเย็นพอดี

“เธอจะไปซูเปอร์มาร์เกตหรือ?”

เขาหยักยิ้มมุมปาก “ตลาดแบบดั้งเดิม”

เธอเบิกตากว้างด้วยความสนใจทันที “ฉันไปด้วย”

เขายิ้มอย่างอับจนปัญญา “แต่ข้างนอกร้อนมากนะ”

“ฉันไม่กลัว พาฉันไปด้วยนะ” เธอจับมือเขาแกว่งไปมาอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อมองความสดใสร่าเริงและน่ารักไร้เดียงสาของเธอแล้ว เขาก็พยักหน้ารับคำ “ตกลง”

 

แม้จะเป็นเวลาห้าโมงครึ่งแล้ว แต่ความร้อนก็ยังจางหายไปไม่หมด ยังคงมีไอความร้อนระอุออกมาจากพื้นดิน ที่นี่คือหมู่บ้านประมงเล็กๆ อยู่ทางฝั่งตะวันตกสุดของเมืองไทหนาน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั้งปีเกือบสามสิบองศา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้อยู่ในช่วงเดือนเจ็ดที่อากาศร้อนจัด พอออกจากบ้านที่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบายมาเจออุณหภูมิสูงเช่นนี้ ก็ทำให้รู้สึกราวกับถูกความร้อนทิ่มแทงไปทั่วร่าง

ซูอี่อันนั่งซ้อนรถจักรยานของฉู่เพ่ย เสียงปั่นจักรยานดังเป็นจังหวะจะโคน ความเพลิดเพลินเช่นนี้ทำให้จิตใจเธอไม่ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิภายนอกที่ค่อนข้างสูง มือข้างหนึ่งของเธอโอบอยู่รอบเอวเขา ใบหน้าเอียงแนบกับแผ่นหลังของเขา

เสื้อยืดของเขาชุ่มเหงื่อแล้ว...แปลกจริง อากาศร้อนเช่นนี้แต่กลิ่นตัวของเขานอกจากกลิ่นเหงื่อแล้ว ยังเจือไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ กลิ่นกายของเขาหอมเย็นสดชื่น คล้ายกับกลิ่นพื้นหญ้าหลังเที่ยงในฤดูร้อน ซึ่งเป็นกลิ่นที่เธอคุ้นเคยดี ซูอี่อันกวาดตามองถนนหนทางในหมู่บ้านที่สะอาดสะอ้าน สองฟากถนนตามข้างทางปลูกต้นไม้สูงใหญ่ ขณะล้อรถหมุนเคลื่อนไปข้างหน้า แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านกิ่งไม้กวัดแกว่งไปมาดูคล้ายแผ่นทองคำที่กระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงลงมา ยามรถวิ่งไปข้างหน้า สายลมก็พัดเส้นผมของเธอให้ปลิวระอยู่ตรงต้นคอ ทำให้รู้สึกคันยุบยิบ

“ตลาดอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร ขี่จักรยานไปก็ใช้เวลาราวสิบกว่านาที แต่ข้าวของมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นของสดจากทะเล”

“งั้นคืนนี้เรากินอาหารทะเลกันดีไหม” เธอยิ้มอย่างเบิกบานใจ

“กลัวก็แต่ว่าหลังจากนี้ พอเธอเห็นพวกกุ้งหอยปูปลาแล้วอยากจะร้องขอชีวิต”

“ไม่ต้องกลัวหรอก” เธอเหยียดตัวตรง แบมือและกางแขนออกไป เงาใบไม้วิบๆ วับๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเธอตามการเคลื่อนที่ของจักรยาน “ฉันชอบอาหารทะเล”

เขาบอกว่าตลาดอยู่ใกล้ ซึ่งก็ใกล้มากจริงๆ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงแล้ว ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ตลาด กลิ่นคาวเค็มเฉพาะตัวของอาหารสดจากทะเลก็โชยมาเข้าจมูก ฉู่เพ่ยจอดจักรยานเรียบร้อยก็จับจูงมือเธอพาเดินเข้าไปในตลาด แล้วก็ได้ยินเสียงผู้คนดังขึ้นอย่างคึกคัก เป็นถ้อยสำเนียงฟังดูดุๆ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างตรงไปตรงมา และมีชีวิตชีวาแบบคนทางตอนใต้ของไต้หวัน

“เอ๋? นั่นอาเพ่ยหรือเปล่า”

“อาเพ่ย กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

“โอ้ นี่ใครกันล่ะ”

“แฟนละสิ? สวยมากเลย”

“แม่หนูชื่ออะไรหรือ? เป็นอะไรกับอาเพ่ยของเรา”

พอเดินเข้ามาในตลาดก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เสียงร้องถามซักไซ้ด้วยความอยากรู้ดังจากตรงโน้นทีตรงนี้ทีไม่หยุด ซูอี่อันพลันรู้สึกคล้ายถูกคลื่นทะเลพัดม้วน ชั่วขณะนั้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เธอเคยได้ยินว่าคนทางใต้อบอุ่น อัธยาศัยดี ทั้งยังจริงใจมาก วันนี้ได้มาเปิดหูเปิดตากับตัวเองแล้วนับว่าสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนไม่ต่างจากแสงอาทิตย์ทางตอนใต้ สว่างสดใสเป็นพิเศษ พวกเขาเดินจูงมือกันเข้ามาหาเธอราวกับเห็นดาราอย่างนั้น ทุกคนต่างให้ความสนใจซักถามกันเซ็งแซ่

“อาไฉ ลุงหย่ง ป้าฮัว” ฉู่เพ่ยมีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า ทักทายทุกคนอย่างมีมารยาทแล้วแนะนำให้รู้จักกับเธอ “เธอชื่อซูอี่อัน เรียกเธอว่าอี่อันก็แล้วกัน” พูดจบก็จูงมือเธอพาเดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน

“สวัสดีค่ะ” ซูอี่อันยิ้ม ผงกหัวทักทายทุกคน ความกระตือรือร้นของทุกคนที่มีต่อเธอทำให้เด็กสาวตื่นเต้น แต่ยังดีที่ตั้งสติได้ทัน

“ลุงชิงครับ” ฉู่เพ่ยดึงมือเธอเดินไปหน้าแผงขายของสดแผงหนึ่ง แล้วทักทายคุณลุงคนขายอย่างมีมารยาท

“อาเพ่ย! เจ้าหนุ่มนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่บอกกันสักคำ”

ลุงชิงผู้นี้ดูลักษณะแล้วอายุน่าจะราวๆ สี่สิบกว่า กำลังนั่งยองๆ อยู่หน้ากะละมังใบใหญ่ที่มีหอยชนิดต่างๆ หลากสีสัน เขาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ทั้งสอง สีหน้าดูแปลกใจระคนดีใจ ผิวที่ดำเกรียม รอยยิ้มที่ใสซื่อ ดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง

“เพิ่งมาถึงเมื่อบ่ายครับ” ฉู่เพ่ยโอบหัวไหล่เธอ “เธอเป็นแฟนของผม อี่อัน ท่านนี้คือลุงชิง บ้านอยู่ไม่ไกลจากเราเท่าไร”

“สวัสดีค่ะลุงชิง”

“แม่หนูหน้าตาสะสวยจริง” ลุงชิงผงกศีรษะยิ้มแย้ม “ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านของเรา”

“ลุงชิง ขอบคุณมากครับ หลายปีมานี้ป้าชิงช่วยผมดูแลบ้านมาโดยตลอด”

“ไม่ต้องเกรงใจ” ลุงชิงโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ป้าเขาก็ไม่มีอะไรทำ อีกทั้งก็ไม่ได้ลำบากอะไร”

“ผมว่าจะซื้อของสดไปเตรียมอาหารมื้อเย็นหน่อยน่ะครับ”

“ยังต้องซื้ออะไรอีก คืนนี้ไปบ้านลุงก็ให้ป้าชิงของแกทำของอร่อยๆ ให้กินสักโต๊ะ รับรองกินแล้วต้องชมเปาะ” ลุงชิงยืนขึ้นแล้วเท้าเอวพูดอย่างมีน้ำใจ

“ขอบคุณมากครับลุงชิง แต่พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปดีกว่า วันนี้ยังต้องเก็บบ้านอีกนิดหน่อย”

ลุงชิงเห็นฉู่เพ่ยมาตั้งแต่เล็กจนโตจึงรู้นิสัยของเขาดีว่าพูดคำไหนคำนั้น เลยไม่ฝืนใจ “งั้นก็เลือกเอาตามสบาย วันนี้ของสดทุกอย่าง”

“ครับ” ฉู่เพ่ยยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ หันมาเห็นซูอี่อันมีท่าทางตื่นเต้น วิ่งไปดูปลาตัวใหญ่หลากหลายพันธุ์ที่ว่ายไปว่ายมาอยู่ในถังใบใหญ่อย่างสนุกสนาน

“ว้าว! ยอดไปเลย” เมื่อก่อนซูอี่อันก็เคยไปกินอาหารที่ร้านอาหารทะเล เคยเห็นกุ้ง หอย ปูและปลาตัวเป็นๆ อยู่ในตู้กระจกหรือในถังน้ำ เพื่อให้ลูกค้าเลือกได้สะดวก แต่ของทะเลสดๆ มากมายเช่นนี้ ทั้งยังดูปราดเปรียวมีชีวิตชีวาแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากเป็นพิเศษ กุ้งมังกรสีแดงสดเดินไปเดินมาอยู่ในกะละมัง ทั้งยังมีปูตัวใหญ่มหึมา

“ถ้าพวกเธออยู่นานหน่อย ถึงตอนนั้นปูสาวพรหมจารี4 จะตัวอ้วนและแน่นที่สุด แต่ตอนนี้ก็ไม่เลว” ลุงชิงช้อนมือลงไปจับปูขึ้นมาให้เธอดูอย่างง่ายดาย ปูตัวนั้นชูก้ามขึ้นอวดแสนยานุภาพ แล้วก็ถูกกำราบลงทันที

“เอ้อ...” ซูอี่อันหน้าแดงเล็กน้อย ปูชื่อนี้แม้จะเคยได้ยินหลายครั้ง แต่เธอก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จึงออกจะอยากรู้อยากเห็น

ไม่นานก็มีคนมาซื้อปลา ลุงชิงจึงเอาปูยัดใส่มือฉู่เพ่ย “มาช่วยเธอเลือกสิ”

เขาเห็นใครบางคนมองเธอยิ้มๆ แล้วหน้าเธอก็ยิ่งแดงมากขึ้น จึงก้มหน้าลง “ปูชนิดนี้คนนิยมกินเพราะมีไข่มาก” พอรู้ว่าเธอขวยอายเขาก็ไม่หัวเราะเยาะ แต่อธิบายให้เธอฟังอย่างเอาใจใส่

“อ้อ เคยได้ยินว่าวิธีเลือกปูมีรายละเอียดพิถีพิถันมาก ปูชนิดนี้เลือกยังไงหรือ?”

ฉู่เพ่ยพลิกท้องปูขึ้นมาอย่างชำนิชำนาญ “เธอดูตรงนี้นะ เอานิ้วกดลงตรงตะปิ้งมัน ถ้ากดแล้วรู้สึกว่าแน่น ก็แสดงว่ามีไข่ปูอยู่เต็ม” เขาจับนิ้วมือเธอให้ลองกดดู

“แน่นจริงๆ ด้วย” ซูอี่อันยิ้มแล้วกดลงไป แรงสัมผัสที่ปลายนิ้วแน่นๆ แข็งๆ ทั้งยังชื้นและลื่นเล็กน้อย ทำให้เธอยิ้มจนดวงตาเป็นรูปโค้ง

จู่ๆ ฉู่เพ่ยก็ทำท่าจะปล่อยมือจากปูที่จับอยู่ ซูอี่อันจึงตกใจกระโดดผลุงออกไปไกลทันที ทำเอาลุงชิงกับลูกค้าที่อยู่ข้างๆ หัวเราะกันยกใหญ่

“แม่หนูนี่ช่างขวัญอ่อนเสียจริง แบบนี้ไม่ไหวนา”

ซูอี่อันทำหน้ามุ่ย ถลึงตาใส่ฉู่เพ่ย...เขาถึงกับกล้าแกล้งเธอ!

เขาวางปูลง โอบเอวเธอหลวมๆ แล้วเอ่ยปลอบ “เอาละๆ เมื่อกี้แค่ล้อเธอเล่น ไม่โกรธนะ เราไปเลือกปลากันเถอะ”

เธอไม่ได้โกรธจริงจัง จึงเปลี่ยนความสนใจไปทันที ตอนเลือกปลาเธอก็คิดจะไปช้อนตักปลาขึ้นมาเอง แต่กลับถูกปลาสะบัดตัวใส่จนใบหน้าและศีรษะ ตลอดจนใบหูเปียกโชกไปหมด ฉู่เพ่ยทั้งโมโหทั้งนึกขำ ช่วยเอากระดาษทิชชูเช็ดหน้าเช็ดตาให้เธอ เธอมองท่าทางของเขาแล้วก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย

เธอสังเกตว่าหลังจากมาถึงที่นี่ ฉู่เพ่ยดูต่างไปจากปกติมาก เขาเปลี่ยนเป็นคนยิ้มง่าย ช่างพูด ทั้งยังดูเหมือนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก แม้แต่ดวงตาก็ดูมีประกายแวววาวมากขึ้น ที่แห่งนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้นจริงๆ รอยยิ้มบนใบหน้าเธอก็ดูสดใส เหมือนนานมากแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจเช่นนี้

ครั้นแล้วพวกเขาก็หิ้ว ‘เชลยศึก’ อันหนักอึ้งที่กวาดต้อนมาได้จากการทำศึกเมื่อครู่กลับบ้าน มือของเธอดูจะโอบเอวเขาแน่นกว่าเดิมขณะซ้อนท้ายรถจักรยาน มองทิวทัศน์สองข้างทางไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตลอดทาง


3 เขิ่นติง เมืองชายทะเลทางตอนใต้ของไต้หวัน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียง

4 ปูสาวพรหมจารี ไทยเรียกปูแม่ม่ายหรือปูแม่กระแซง ปูตัวเมียที่ได้รับน้ำเชื้อจากตัวผู้แล้ว และกำลังมีไข่

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น