6

ตอนที่ 6


แม้จะรู้จักกันมานานเพียงนี้ แต่จนวันนี้ซูอี่อันถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วฉู่เพ่ยมีฝีมือในการทำอาหารยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะอาหารทะเล เรียกได้ว่าอันดับหนึ่ง

ซูอี่อันฟุบหน้าลงกับโต๊ะ หันมองเขาจัดเตรียมอาหารอย่างชำนิชำนาญ จากนั้นก็ปรุงอาหารด้วยความคล่องแคล่ว เธออดทักขึ้นด้วยความแปลกใจไม่ได้ “ฉันไม่รู้เลยว่าเธอทำอาหารเป็นด้วย”

เขาหยิบปูที่จัดเตรียมเรียบร้อยวางลงในหม้อนึ่ง พลางบอกเสียงราบเรียบ “เมื่อก่อนไม่มีเวลา”

อืม...ก็จริง เมื่อก่อนที่บ้านมีคนทำกับข้าว ภายหลังมาอยู่ไทเป พวกเขาก็ทั้งเรียนทั้งทำงาน ต่อให้กินข้าวด้วยกัน ก็จะออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก การทำอาหารกินเองเป็นเรื่องยุ่งยากมาก เดี๋ยวนี้ไม่ว่าที่ไหนก็มีร้านอาหารอยู่เต็มไปหมด หากเบื่อก็ยังมีอาหารที่ตลาดกลางคืนให้ไปเลือกลิ้มลองเพื่อเปลี่ยนรสชาติ

จู่ๆ เธอก็พบว่าแม้แต่ท่าทางในการจับกระทะจับตะหลิวของเขาก็ยังน่ามองเป็นอย่างมาก หนุ่มทันสมัยเปี่ยมเสน่ห์เช่นเขา ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นหนุ่มทันสมัยเปี่ยมเสน่ห์โดยไม่จำกัดสถานที่จริงๆ

ฉู่เพ่ยเป็นคนทำอะไรคล่องแคล่วว่องไว หลังจากนั้นเพียงครึ่งชั่วโมง อาหารรสเลิศก็ถูกลำเลียงออกมาตั้งโต๊ะ

การกินอาหารทะเล สิ่งสำคัญที่สุดคือการได้ลิ้มชิมความสดใหม่ของอาหาร ที่คนในหมู่บ้านประมงชอบก็คือรสชาติแท้จริงของมัน ดังนั้นปูกับปลาจึงใช้วิธีนึ่ง กุ้งก็เอามาต้ม ส่วนหอยก็เอามาทำน้ำแกง

กลิ่นหอมของอาหารทะเลสดอบอวลไปทั่วบริเวณ ซูอี่อันกินจนแทบจะดูดกลืนนิ้วมือตัวเองที่แกะเนื้อปูเนื้อกุ้งลงไปด้วย เธออิ่มจนนอนแผ่อยู่บนโซฟานิ่ง อิ่มจนไม่รู้จะอิ่มอย่างไรแล้ว

“อี่อัน เราออกไปเดินเล่นกันเถอะ” ฉู่เพ่ยล้างจานชามและเก็บกวาดห้องครัวเสร็จแล้ว จึงเดินมาข้างกายเธอ ฉุดแขนเธอให้ลุกขึ้น

“ฉันขยับตัวไม่ไหว” เธอลูบพุงกลมๆ ของตัวเอง อยากจะนอนอยู่อย่างนี้ไปสักตื่น แม้แต่กลับห้องพักก็ยังขี้เกียจแล้ว

“ไปเดินเล่นริมชายหาด รับลมทะเลเย็นๆ สักหน่อยเถอะ”

“ฉันเดินไม่ไหว”

“เพิ่งกินข้าวอิ่ม อย่าเพิ่งนอน”

“เธอก็แบกฉันไปสิ” เธอยื่นมือไปทางเขา เล่นลูกไม้หน้าด้านๆ เสียเลย

รอยยิ้มมุมปากของเขาดูอ่อนโยน “ก็ได้”

เธอปีนขึ้นมาบนแผ่นหลังเขา เขาแบกเธอขึ้นอย่างสบาย พอออกมาพ้นประตูและเดินลงบันไดไปก็พบกับชายหาดกว้างซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามมาก พอซูอี่อันเห็นหาดทรายกับท้องทะเลกว้างก็ตื่นเต้นดีใจ หันไปหันมาอยู่บนหลังของเขาแล้วขอลง พอเขาวางเธอลง เธอก็พุ่งถลันไปข้างหน้าทันที

“อย่าวิ่งลงไปในทะเลนะ!”

คำเอ่ยเตือนของเขาทำให้สิ่งที่เธอกำลังคิดจะทำต้องหยุดชะงัก แต่ไม่เป็นไร เขาห้ามเล่นน้ำ เธอก็ยังมีอย่างอื่นให้เล่น จึงรีบเดินเข้าไปหาแล้วกอดแขนเขาอย่างประจบเอาใจ ส่งยิ้มหวานไปให้ “อย่างนั้นเราไปถ่ายรูปกันเถอะ”

ใครบอกว่าเรา เห็นอยู่ว่ามีแต่เขาทำหน้าที่เป็นตากล้องอยู่คนเดียว

ชายหาดช่วงพลบค่ำอากาศกำลังเย็นสบาย น้ำทะเลยังขึ้นมาไม่เต็มที่ ลมพัดเย็นระเรื่อย เธอถอดรองเท้าย่ำไปบนผืนทรายนุ่มละเอียด เม็ดทรายที่เปียกชื้นลอดผ่านซอกนิ้วเท้าของเธอขึ้นมา ให้ความรู้สึกคันยุบยิบอย่างบอกไม่ถูก เธอสวมเสื้อยืดสีอ่อนลายภาพวาดหมึกจีน กับกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ดูอ้อนแอ้นบอบบาง สวยงามและเรียบร้อย ต่างจากอุปนิสัยที่แท้จริง ชายกระโปรงกว้างถูกลมพัดปลิวไสว ลายดอกไม้บนกระโปรงจึงแลดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมา

ฉู่เพ่ยยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ทั้งที่ตั้งใจจะถ่ายภาพทิวทัศน์ แต่จุดโฟกัสมักเล็งไปที่ซูอี่อันโดยไม่รู้ตัว ภาพที่ปรากฏอยู่ในเลนส์กล้องคือเธอที่กำลังก้มลงเก็บเปลือกหอยบนหาดทราย คุ้ยหาปูตัวเล็กที่กำลังเดินไปเดินมาอย่างวุ่นวายแล้วไล่เหยียบคลื่นที่ซัดขึ้นมาบนฝั่ง หัวเราะชอบใจราวกับเด็กๆ

ท่าทางผ่อนคลายสบายใจของเธอ...เขาชอบที่จะเห็นเธอมีรอยยิ้มเช่นนี้ เขาเองก็พลอยยิ้มตามเธอไปด้วย

“ฉู่เพ่ย” ซูอี่อันลูบเส้นผมที่ถูกลมทะเลพัดจนยุ่งแล้วยื่นมือมาทางเขา “ไม่ต้องถ่ายรูปแล้ว มาเล่นด้วยกันเถอะ”

เขาไม่อาจทนต่อการเชิญชวนที่เย้ายวนได้ จึงเดินเข้ามาจับมือเธอ ทั้งสองเดินช้าๆ ไปด้วยกันบนหาดทราย ทิ้งรอยเท้าขนาดใหญ่เล็กคู่กันไปตามเส้นทาง เธอซุกซนจึงจงใจเดินช้าลงหน่อย แล้วย่ำลงไปบนรอยเท้าของเขาทีละก้าว คล้ายว่าทำเช่นนี้แล้วบนหาดทรายจะดูเหมือนมีเขาเดินผ่านไปเพียงคนเดียว เธอแอบหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานกับความคิดแผลงๆ ของตัวเอง

เขาปล่อยเธอเล่นสนุกไปตามใจชอบ ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของเธอ เขาก็รู้สึกพอใจแล้ว พอเธอเล่นเบื่อแล้ว ก็เอียงตัวมาพิงแขนเขา เดินช้าๆ ตามเขาไป สายลมยามราตรีพัดโชยมา คลื่นซัดเข้ามาแล้วก็ไหลกลับลงไป นอกจากเสียงคลื่นแล้ว รอบด้านมีแต่ความเงียบสงบ เธอสูดลมหายใจเข้าออกอย่างสบายใจ

“ที่นี่ดีจริงๆ”

“อืม”

“เมื่อก่อน เธอมาที่นี่ทุกปีเลยหรือ”

“ตอนเด็กๆ ก็มาอยู่กับย่าทวดที่นี่บ่อยๆ แต่หลังเข้าโรงเรียนแล้วจะมาตอนปิดเทอมภาคฤดูร้อน”

“อ้อ มิน่าเธอถึงคุ้นเคยกับผู้คนที่นี่ดี” วันนี้ตอนอยู่ที่ตลาด บ้านนั้นให้ปลาตัวหนึ่ง บ้านนี้ก็ให้กุ้งชั่ง5 หนึ่ง ใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ

“หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่นัก พวกเขาเห็นฉันมาตั้งแต่เด็กๆ”

“เวลาอยู่ที่นี่ เธอเป็นแบบไหน” จะต่างจากตอนอยู่ต่อหน้าเธอหรือไม่ แต่ไรมาเขาก็เป็นเช่นนี้ ชอบวางตัวเป็นผู้ใหญ่เวลาอยู่ต่อหน้าเธอ

“ก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษ”

“หน้าตายเหมือนตอนนี้หรือ?”

เขาชะงัก ก้มหน้ามองเธอ

เธอส่งยิ้มทะเล้นให้เขาแล้วทำหน้าล้อเลียนตอนเขาอยู่มหาวิทยาลัยเวลาที่เจอหน้าคนไม่คุ้นเคย ทั้งยังเลียนแบบคำพูดของเขา “โปรดอย่ารบกวนผม เราไม่ได้สนิทกัน” เธอทำได้ใกล้เคียงไม่น้อย

เขามองเธอแล้วนิ่งเงียบ

“ตอนเด็กเธอก็เป็นแบบนี้ ชอบทำตัวแปลกแยกไม่เอาใคร เป็นเด็กดื้อด้านที่ชอบทำเป็นเท่” พูดพลางก็ยื่นนิ้วมาจิ้มอกของเขา วางท่ามีอำนาจแล้วย่นหัวคิ้วล้อเลียนท่าทางของเขา “จนไม่มีใครอยากเล่นด้วย ใช่ไหม” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอนึกถึงตั้งแต่ตอนยังเด็กมากที่เห็นเขาชอบทำสีหน้าจริงจังเป็นงานเป็นการ เธอก็อดไม่ได้ อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ

ในดวงตาของเขามีประกายวาววับผุดขึ้นจางๆ ก้มหน้าลงมาใกล้เธอ มุมปากมีรอยยิ้มบาง ก่อนจะถามขึ้นเบาๆ “แล้ว...เธออยากเล่นกับฉันรึเปล่า”

“ฉันไม่...อ๊ะ! ฉู่เพ่ย เธอจะทำอะไร” เธอถูกเขาช้อนตัวอุ้มขึ้นจากพื้นทราย จึงตกใจรีบโอบรอบคอเขาไว้

“เมื่อกี้ ไม่ใช่ว่าเธอเรียกฉันมาเล่นด้วยหรอกหรือ?” เขาอุ้มเธอแล้วพาเดินไปที่ทะเล มุมปากมีรอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้น

“นี่ วางฉันลงนะ” เธอทุบหน้าอกของเขา “เธอคงจะไม่ทำเหมือนในละครที่พระเอกแกล้งทำเป็นโยนนางเอกลงทะเลใช่ไหม เฮอะ ทำแบบนั้นดูจะเสแสร้งเกินไป น่าหมั่นไส้”

เขาก้มลงมองเธอแล้วหัวเราะ “วางใจเถอะ ฉันรับประกันว่าจะไม่แกล้งทำเป็นโยน”

เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“แต่ฉันจะโยนเธอลงไปจริงๆ”

เธอตะลึงงันไปทันที

ฉู่เพ่ยเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธออย่างชัดเจน แววตาของเขาดูลุ่มลึก เข้าใจว่าเพราะเธอคิดว่าเขาจะทำจริงๆ จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “เอาละๆ ไม่ล้อเล่นแล้ว”

เขาคลายมือ เตรียมจะวางเธอลง กลับถูกเธอยื่นมือมากอดไว้แน่น

“อย่าโยนฉันลงไปนะ ขอร้องละ...ตอนเด็กๆ ฉันเกือบจมน้ำ เลยกลัวมาก”

น้ำเสียงวิงวอนแสดงถึงความอ่อนแอฟังดูสั่นสะท้าน หัวใจของเขาคล้ายถูกบิดเป็นเกลียว ทั้งเจ็บปวดทั้งรวดร้าว สองแขนที่อุ้มเธออยู่แข็งทื่อ

ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มทะเล้นให้เขา “ฮ่าๆๆ หลอกเธอได้แล้วสินะ”

ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไป พอถึงริมหาดก็วางเธอลงทันทีแล้วเดินไปอย่างไม่พูดไม่จา เขาโกรธแล้ว!

เธอลนลานรีบดึงตัวเขาไว้ จังหวะก้าวเดินของเขาหยุดชะงัก มองมือที่จับแขนเขาไว้แล้วค่อยๆ เลื่อนสายตาลงมาจนถึงใบหน้าของเธอด้วยแววตาคมกริบ

เป็นครั้งแรกที่เขามองเธอด้วยแววตาเช่นนี้ เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เธอกลัวที่ฉู่เพ่ยใช้สายตาเช่นนี้มองเธอมากที่สุด เธอจะรู้สึกทรมานใจอย่างมาก “ขอ...”

“อย่าพูดคำว่าขอโทษกับฉัน” น้ำเสียงของเขาราบเรียบมาก “ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่ต้องพูด”

ขอบตาเธอร้อนผ่าว เธอพยายามเบิกตากว้าง กลัวว่าถ้าเผลอกะพริบตาจะมีสิ่งที่ไม่ต้องการไหลออกมา

เขามองหน้าเธอ เรียวปากสีชมพูถูกกัดจนไร้สีเลือด ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเคว้งคว้าง คล้ายกำลังลังเลและหวาดกลัวอย่างแท้จริง

เขายังคงใจไม่แข็งพอ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงเดี๋ยวนี้เขาก็เป็นเช่นนี้ จึงถอนหายใจออกมาด้วยความจนใจ สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจต้านทานหัวใจตนเองได้ ยื่นมือไปรั้งตัวเธอเข้ามาในอ้อมแขนแล้วโอบกอดไว้แน่น “เด็กโง่ ฉันไม่ทอดทิ้งเธอหรอก ไม่มีวัน...และตลอดไป”

ความอบอุ่นจากกายของเขาทำให้ร่างที่สั่นสะท้านของเธอค่อยๆ สงบลง ความรู้สึกเสียใจและสำนึกผิดที่โหมทะลักเข้ามาดุจภูเขาที่ล้มครืนและมหานทีที่ไหลบ่า วินาทีนี้ยิ่งท่วมบ่าไปทั่วร่างของเธอ ซูอี่อันเผยอปาก ทำท่าจะพูดอะไร แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ เมื่อครู่เขาบอกแล้วว่าไม่ให้เธอเอ่ยคำขอโทษกับเขา

ใบหน้าของเธอซุกอยู่กับอกของเขา เธอพยักหน้าแรงๆ ความรู้สึกที่เขาโอบกอดเธอ ความอบอุ่นที่เขามอบให้ทำให้รู้สึกหวั่นไหวและไม่อาจตัดใจ เธอละโมบ อยากจะอยู่แบบนี้ต่ออีกหน่อย อีกครู่เดียวก็ยังดี “ฉู่เพ่ย ขอบคุณมาก”

ยังคงเป็นเสียงทอดถอนใจยาว เด็กสาวคนนี้...นึกไม่ถึงว่าจะดื้อรั้นเพียงนี้ ดื้อรั้นจนเขาใจไม่แข็งพอที่จะตำหนิเธอ ดื้อรั้นจนทำให้เขาเหลือเพียงความปวดใจ ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน เธอช่างรู้จักทรมานคน ชอบทำตัวประหลาด ซุกซน สุภาพและสงบเสงี่ยม บางครั้งก็ทำให้ปวดหัว แต่บางครั้งก็อ่อนแอเปราะบางเสียจนทำให้...

ตอนเด็กเธอเกือบจะจมน้ำที่สระว่ายน้ำ เรื่องนี้เขาเคยได้ยินป้าซูเล่าให้ฟัง นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอี่อันอายุได้สามขวบ เธอตกใจจนเสียขวัญ นับแต่นั้นมาทุกคนในบ้านซูก็ไม่มีใครกล้าพาอี่อันไปว่ายน้ำอีก แม้ภายหลังเมื่อเข้าเรียนแล้ว และเธอฝึกว่ายน้ำในชั่วโมงเรียนว่ายน้ำจนเป็นแล้ว แต่ลึกๆ ในใจก็ยังคงหวาดกลัวอยู่กระมัง

กลัวก็คือกลัว อยู่ต่อหน้าเขายังมีอะไรต้องปิดบังหรือแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง ถ้าใช่แล้วจะเป็นอะไร ที่เขาโกรธก็เพราะเธอยังทำเป็นอวดเก่งกับเขา

ลมหายใจของเขาเป่ารดแก้มเธอทำให้รู้สึกคันยุบยิบ เธอช้อนตาขึ้นมองเขาด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาของทั้งคู่สบประสานกัน เห็นเขาก้มหน้าลงมาช้าๆ เธอรู้ว่าเขาจะจูบเธอ...สมองบอกเธออย่างชัดเจนว่าให้หลบ แต่กลับพบว่าตนเองคล้ายไม่อยากหลบ ได้แต่นิ่งงันอยู่กับที่ มองริมฝีปากของเขาที่ขยับใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดริมฝีปากของเขาก็ทาบลงบนริมฝีปากของเธอ

ยังคงเป็นการจูบแบบผิวเผินเหมือนที่พวกเขาเคยจูบกันมาแล้วหลายครั้ง ริมฝีปากทั้งสองแตะถูกกันเบาๆ ไม่มีการรุกล้ำ ไม่มีความร้อนแรงที่ทำให้หายใจหายคอไม่ทัน เขาจูบได้อย่างนุ่มนวลอ่อนโยนจนทำให้ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นแสบร้อนจนยากจะทานไหว ความชุ่มชื้นเอ่อท้นขึ้นมาอีกครั้ง

ที่แท้แล้วการจูบไม่ได้ใช้เพียงริมฝีปาก ยังต้องใช้ใจด้วย จูบอย่างระมัดระวังและนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นนั้นทำให้เธอมีน้ำตา มันไม่ควรเป็นเช่นนี้

เขาถอนริมฝีปากออกไป ค่อยๆ คลายมือจากร่างเธอ นิ้วมือค่อนข้างหยาบลูบผ่านหนังตาเธอแล้วเช็ดน้ำตาให้ ทิ้งความสบายใจอย่างที่สุดไว้ให้เธอ เขาลูบไล้แก้มของเธอ ทอดถอนใจอย่างอับจนปัญญา “เด็กโง่ ช่างโง่งมเสียจริง”

เธอมองเขาอย่างโง่งม ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติ ดวงตาที่สบประสานกันคล้ายมีบางอย่างเพิ่มเข้ามา บางอย่างที่ทำให้เธอว้าวุ่น แต่ก็ทำให้เธอชื่นชอบด้วย

ความบุ่มบ่ามหุนหันพวยพุ่งขึ้นมา เธอเหนี่ยวคอเขาลงมาและจูบเขา...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็นฝ่ายจูบเขา แต่เป็นครั้งแรกที่เธอยื่นลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเขา

ลมหายใจของเขาติดขัดไปทันที สีหน้าดูตื่นตระหนกระคนดีใจ เขากอดกระชับเธอและชิงอำนาจในการคุมเกมไปจากเธอ เขาดูดริมฝีปากเธอเบาๆ แทรกปลายลิ้นผ่านริมฝีปากที่เผยอเข้าไป ตอนแรกเพียงกวาดผ่าน หลังจากเธอจงใจกระตุ้น เขาก็หอบหายใจแรงๆ ทีหนึ่ง แล้วเริ่มรุกรุนแรงขึ้น เขากัดลิ้นของเธอแล้วดึงเข้ามาในปาก ดูดย้ำแรงๆ จนโคนลิ้นของเธอชาและส่งเสียงครางออกมาเบาๆ เขาได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น จึงขบเน้นปลายลิ้นเธอ พอคลายออกก็คลุกเคล้าพันพัวกับลิ้นเธอไม่ปล่อย

ร่างของเธออ่อนระทวยดุจน้ำทะเล เบียดซุกเข้าไปในอ้อมอกของเขามากขึ้นทุกที เขาจึงอุ้มเธอขึ้นมาแล้วโอบกอดเธอให้อยู่ในท่าที่เหมาะแก่การจูบ เขาจูบเธออย่างอุกอาจเอาแต่ใจ แล้วกวาดเลียไปอีกครั้ง

เป็นจูบที่ร้อนแรงดูดดื่ม และทำให้หัวใจเต้นแรง ในสมองของซูอี่อันมีแต่ความว่างเปล่า เธอถูกเขาจูบจนเนื้อตัวสั่นไปหมด ทุกครั้งที่ถูกเขาจูบ เธอจะสมองด้านชาและรู้สึกไม่พอ ถึงจะเป็นจูบที่ร้อนแรงเช่นเวลานี้ เธอก็ยังรู้สึกไม่พอและหวังให้เขาไม่หยุด อยากจะถูกเขาจูบต่อไปแบบนี้

มือของเขาปัดป่ายไปทั่วแผ่นหลังของเธอ ตอนแรกเป็นเพียงการลูบไล้อย่างนุ่มนวล แต่ตามระดับการจูบที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป มือของเขาคล้ายลูบไล้อย่างกระตุ้นยั่วเย้ามากขึ้น เขาเริ่มสอดมือเข้าไปในเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่ม ลูบไปบนผิวเนื้อเกลี้ยงเกลา สัมผัสนั้นนุ่มมืออย่างนึกไม่ถึง จากแผ่นหลังนวลเนียน ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมาตามเส้นสายโครงร่าง เขากอบกุมหน้าอกของเธอผ่านชุดชั้นในลูกไม้

เธอส่งเสียงครางหนักๆ อยู่ในปากของเขาคล้ายปลาตัวหนึ่งที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาบนฝั่ง พยายามหายใจด้วยสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่าควรต่อต้านหรือควรปล่อยตัวถลำลึกลงไป แต่ร่างกายกลับยืดแอ่นขึ้นมาอย่างไม่ฟังคำสั่ง ทำให้เขากอบกุมได้ถนัดมือมากขึ้น ฝ่ามือของเขาบีบเคล้นไปทั่ว บางครั้งเบา บางครั้งหนัก กระตุ้นให้หัวใจเธอเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง

เขาสัมผัสได้ว่าหน้าอกที่อยู่ใต้ฝ่ามือเขาชูชันขึ้น เขาหอบหายใจหนัก ไม่อาจควบคุมอารมณ์ไว้ได้ จึงกระชากสิ่งกีดขวางขึ้นแล้วสัมผัสลงไปตรงๆ

ความร้อนผะผ่าวที่เกิดจากผิวหนังเปล่าเปลือยสัมผัสกัน ทำให้เธอได้สติขึ้นมา ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขานาบลงบนหน้าอกของเธอจนร้อนผ่าว ใบหน้าที่เดิมเป็นสีชมพูสดใสพลันเปลี่ยนเป็นแดงฉาน เธอรู้สึกว่าตนเองในเวลานี้อยู่ในสภาพที่ทุลักทุเลยิ่ง เสื้อยืดถูกเขาขยำจนยับยู่ ชั้นในถูกเลิกขึ้นมา มือของเขาบีบเคล้นอยู่ที่หน้าอกของเธอ ส่วนเธอก็ถึงกับ...

“ฉู่...” เมื่อเปิดปากขึ้นถึงได้พบว่าน้ำเสียงของตนหวานเยิ้มผิดปกติ เธออายจนกอดคอเขาไว้แน่นและอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

“อี่อัน” เขาพึมพำเรียกเธอเสียงต่ำ

น้ำเสียงเซ็กซี่นั้นเป่ารดอยู่ข้างหูเธอ ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับบ้าคลั่ง หลังจากถูกเขาจูบอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ เธอถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วพวกเขาจูบกันก่อนหน้านี้เป็นการจูบแบบเด็กๆ บริสุทธิ์และไร้เดียงสาเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาที่ดูเป็นคนไม่สนใจไยดีอะไร พอถูกยั่วขึ้นมาจริงๆ ก็ถึงกับ...

มือของเขายังอยู่ที่หน้าอกของเธอ แต่เธอกลับกอดคอเขา ตัวสั่นระริกคล้ายกระต่ายน้อยที่ตื่นตระหนก มืออ่อนและงงงันจนไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาเช่นไร ทำให้คนเห็นเห็นแล้วนึกสงสาร

‘ช่างเถอะ ยังเร็วเกินไป...ยังไม่ถึงเวลา’

เขาถอนหายใจ ปล่อยมือจากหน้าอกของเธอ แต่เพราะเธอกอดเขาแน่นมาก เนื้อตัวจึงเสียดสีกันแรง ความรู้สึกที่เกิดขึ้น...เธอครางออกมาอีกครั้งด้วยเสียงหวานรัญจวนใจ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบอยากจะจัดการเธอเสียตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่จะตัดใจทำลงได้อย่างไร

“ขอโทษ ฉันควบคุมตัวเองไม่อยู่” เขาขอโทษด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เห็นเธอเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก กระทั่งยืนยังแทบไม่อยู่ จึงช่วยขยับเสื้อชั้นในของเธอลงให้เรียบร้อย แล้วดึงเสื้อยืดเธอลงมา

การกระทำของเขาทำให้เธออาย แม้แต่ใบหูก็แดง เนื้อตัวแทบจะกลายเป็นสีชมพูไปหมด ดวงหน้าน้อยๆ แดงสดใส เขาเห็นแล้วอยากจะกินเธอลงท้องไปเสียเลย เขาก้มหน้าลงจูบข้างหูเธอเบาๆ

“เรากลับกันเถอะ”

เธอพยักหน้าส่งๆ ไม่มีความคิดเห็นใดๆ บางที...คงไม่ใช่เธอไม่มีความรู้สึกอะไรเลยกระมัง

เมื่อเห็นท่าทางวุ่นวายใจเช่นนี้ของเธอ เขาก็รู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาอย่างประหลาด จึงคว้ามือเธอแล้วสอดประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันเพื่อพาเธอเดินกลับบ้าน

 

ครั้นเข้ามาในบ้าน ดูเหมือนความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ไม่อาจลดความร้อนในตัวของพวกเขาลงได้ ยิ่งอยู่ในสถานที่มิดชิดตามลำพังสองคน บรรยากาศยิ่งดูอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อึดอัดจนเธอได้แต่กัดริมฝีปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

เขายังจะยืนหยัด...อีกหรือไม่?

“เธอกลัวอะไร”

จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงขึ้น ทำเอาเธอสะดุ้งและตกใจ ช้อนตาขึ้นมองอย่างหวาดผวา มองลึกเข้าไปในดวงตาสีอ่อนของเขา ในนั้นนอกจากความอ่อนโยนแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเจือปน หัวใจเธอเริ่มสงบนิ่งลง แปลกจริง...เขาเพียงมองเธอแวบเดียว เธอก็ไม่ตื่นตระหนก ไม่หวาดกลัวอีก

เขาช่วยจับเส้นผมยุ่งๆ ของเธอไปทัดไว้หลังหู “ไปอาบน้ำแล้วเข้านอนเถอะ”

เขาเอ่ยเพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่าเพราะเธอใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือว่าเพราะวางใจ จึงได้แต่มองเขานิ่งๆ

มุมปากเขาหยักยกเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายขณะยืนพิงผนัง สองมือยกขึ้นกอดอก กวาดตามองเธอขึ้นลงคล้ายกำลังหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ “หรือว่าเธออยากจะอยู่กับฉัน หืม?”

เธอสะดุ้งเฮือก รีบวิ่งขึ้นชั้นสองไปอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นตามหลังมา เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเบิกบานใจอย่างเปิดเผย

หลังจากขึ้นมาบนชั้นสองอย่างใจสั่น เธอก็ยืนพิงผนังอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ตอนได้ยินเสียงหัวเราะของเขา มุมปากของเธอก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในใจคล้ายมีน้ำผึ้งค่อยๆ ซึมซาบเข้ามาทีละน้อย

หวานล้ำ...จริงๆ



5 หน่วยวัดของจีน หนึ่งชั่งเท่ากับห้าร้อยกรัม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น