วันเวลาที่แยกจากกันทำให้เธอคิดถึงเขามาก แต่โทรศัพท์และข้อความที่เขาส่งมาทุกวันก็ทำให้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทว่าพักหลังทั้งสองกลับติดต่อกันน้อยลง เขาไปถ่ายภาพนอกหมู่บ้านต้องใช้เวลาหลายวัน อีกทั้งบนภูเขาก็สัญญาณโทรศัพท์ไม่ดี ทั้งยังไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยโทรศัพท์หรือส่งข้อความหากัน
“อี่อัน รีบออกมากินข้าว” เสียงแหบเหมือนเป็ดเพราะกำลังอยู่ในช่วงวัยที่เสียงกำลังเปลี่ยนตะโกนมาจากห้องรับแขก ดังจนได้ยินไปทั่วทั้งตึก
ซูอี่อันมองโทรศัพท์มือถือในมือพลางกัดริมฝีปาก ในนั้นมีข้อความที่เธอพิมพ์ไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ลบทิ้ง
ช่างเถอะ...บางทีโทรศัพท์มือถือของเขาอาจสัญญาณไม่ดี ส่งไปก็คงไม่ได้รับ
“อี่อัน!” เสียงเหมือนเป็ดแผดขึ้นมาอีกครั้งอย่างแหบแห้งระคายหู
“มาแล้ว!” เธอลุกขึ้นมา ดึงชายกระโปรงที่เลิกขึ้นเพราะนอนกลิ้งไปมาบนที่นอนอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือยัดใส่กระเป๋ากระโปรง เปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป
บ้านซูเป็นครอบครัวเรียบง่าย มีสมาชิกอยู่ห้าคน พ่อเป็นข้าราชการพลเรือนธรรมดา แม่เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาล มีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน ซูอี่อันเป็นคนกลาง พี่ชายอายุห่างจากเธอเจ็ดปี ทำงานและแยกออกไปอยู่ต่างหากนานแล้ว เธอเรียนหนังสืออยู่ที่ไทเป น้องชายที่อายุน้อยกว่าเธอสามปีเวลานี้เรียนชั้นมัธยมสี่อยู่ที่ไทจง กำลังอยู่ในวัยเปลี่ยนเสียง ทั้งยังอ่อนไหวและเจ้าอารมณ์
พ่อไปทำงานแล้ว แม่ก็อยู่ที่โรงพยาบาล ทิ้งเด็กสองคนให้อยู่เฝ้าบ้าน ซูเจียเว่ยที่ถูกบังคับให้ทำอาหารกลางวันใบหน้าบึ้งตึง อีกทั้งใครบางคนยังต้องให้เชิญแล้วเชิญอีกถึงยอมออกมากิน เขาจึงโมโหจนแทบเต้น
“ทำอะไรอยู่ ป่านนี้เพิ่งจะออกมา!”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” ซูอี่อันเดินช้าๆ เข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร มองจานอาหารบนโต๊ะที่มองไม่ออกว่าของเดิมคืออะไร “นี่อะไร”
“ข้าวผัดไข่”
“นี่ข้าวผัดไข่?” เธอเอาช้อนตักๆ พลิกๆ วัตถุที่เกาะกันเป็นก้อน คนที่สามารถผัดข้าวผัดไข่ออกมาคล้ายถ่านดำๆ เช่นนี้ได้ นับว่ามีพรสวรรค์อย่างมาก ถ้าเธอกินเข้าไปคงต้องกลายเป็นตัวประหลาดแน่ “แม่ทำกับข้าวทิ้งไว้นี่ เราเอาออกมาอุ่นก็พอ แกจะทำข้าวผัดไข่ไปทำไม”
“กับข้าวนั่น...ไม่มีแล้ว”
“จะไม่มีได้ไง แม่ทำไว้ตั้งเยอะ”
“ไม่มีก็คือไม่มี พี่จะถามอะไรนักหนา!” เด็กชายในวัยต่อต้านไม่อาจทนต่อการยั่วโมโห โวยวายขึ้นทันที
เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและดีงาม ไม่อาจทะเลาะกับเด็ก จึงเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็น...แล้วก็พบว่ากับข้าวที่แม่เตรียมไว้ให้หายไปหมดแล้วจริงๆ มองไปที่อ่างล้างจานก็เห็นจานชามกองพะเนิน เข้าใจทันทีว่าเพราะอะไรกับข้าวถึงหายไป
“เจียเว่ย! นี่แกกินกับข้าวจนหมดเกลี้ยงเลยหรือ?”
“ทำไมล่ะ! ฉันหิวก็เลยกิน ไม่ได้หรือไง” ซูเจียเว่ยก้มหน้าก้มตากินข้าวผัดไข่ของตน อันที่จริงรสชาติก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อย่างน้อยก็ยังมีรสชาติของข้าวอยู่
“แก..!” ซูอี่อันยกมือชี้หน้าเขา ครู่หนึ่งก็เอามือลง ‘ช่างเถอะๆ’
เธอเข้าไปในห้อง หยิบกระเป๋าสตางค์ ตัดปัญหาด้วยการออกไปกินข้าวข้างนอก ไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก
“นี่ อี่อัน พี่จะออกไปซื้อของกินหรือ อย่าลืมซื้อข้าวหมูตุ๋นให้ฉันห่อหนึ่ง เพิ่มไข่ตุ๋นใบหนึ่งด้วยนะ แล้วก็...”
‘เจ้าเด็กบ้านี่ ยังจะสั่งอาหารอีก น่าชังเกินไปแล้ว!’ จากนั้นเธอก็ปิดประตูบ้านลงเสียงดังเป็นคำตอบ
ซูอี่อันเดินออกมาถึงได้รู้ว่าเวลานี้ข้างนอกแดดแรงและร้อนมาก ช่วงเที่ยงแบบนี้ร้อนจนแทบจะมีควันออกจากตัวได้ เธอสอดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากระโปรงแล้วเดินไปช้าๆ ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยหิวสักเท่าไร แต่ก็ไม่อยากกลับบ้านไปเผชิญหน้ากับซูเจียเว่ยเจ้าเด็กบ้านั่น
เวลานี้อากาศร้อนมาก...ไม่รู้ทำไมในใจเธอถึงรู้สึกอึดอัด เด็กสาวก้มหน้าเดินไปโดยไม่แยกแยะทิศทาง ไม่มองป้ายถนน เธอเดินไปเรื่อยเปื่อย
ต้นไม้บนฟุตพาทริมถนนถูกแดดเผาจนแห้งกรอบทรุดโทรม จักจั่นที่อยู่บนต้นไม้กรีดปีกร้องเสียงแหลมจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เธอยื่นมือไปกุมโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากระโปรงไว้โดยไม่หยิบออกมาดู กุมไว้แล้วเดินไปข้างหน้าทั้งอย่างนั้น
รอบด้านมีแต่ความเงียบ เธอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าตนเองเดินเข้ามาในโรงเรียนสมัยมัธยมปลายของตน โรงเรียนในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนนั้นเงียบสงัด ต้นไม้ทุกต้น หญ้าทุกกอที่อยู่ที่นี่เธอคุ้นเคยดี เด็กสาวเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงชิงช้าที่เธอชอบมากที่สุด ชิงช้าเก่าใต้ร่มไม้ เธอนั่งลงและแกว่งมันไปช้าๆ
ไม่รู้ใครทำชิงช้านี้ไว้หลังโรงเรียน มันตั้งอยู่เยื้องๆ กับสนามบาสเกตบอลพอดี สมัยเธอเรียนมัธยมปลาย ทุกวันหลังเลิกเรียนเธอจะมารอฉู่เพ่ยที่นี่และดูเขาเล่นบาสเกตบอลเสมอ แล้วเธอก็ได้รู้จักคังอวิ๋นซือในตอนนั้น ฉู่เพ่ยกับเขาเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน ทั้งยังอยู่ห้องติดกัน นักเรียนทั้งสองห้องมักเล่นบาสเกตบอลด้วยกันเสมอ เวลาพวกเขาเล่นบาสเกตบอลเธอก็จะนั่งดูอยู่ตรงนี้ ดูไปดูมาก็เกิดไปหลงรักคังอวิ๋นซือเข้า
เสียงเตือนเข้าของข้อความจากโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรงเธอดังขึ้น เธอค่อยๆ หยิบออกมาดู
‘อยู่ที่ไหน’
เป็นฉู่เพ่ย น้ำตาเธอเอ่อขึ้นมา ก่อนจะพิมพ์ช้าๆ ทีละตัวเพื่อตอบเขา
‘ข้างนอก’ เพียงสองคำ เธอกลับใช้เวลาถึงสิบนาทีจึงพิมพ์เสร็จ ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ เธอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา คล้ายกำลังโกรธที่เขาอยู่ไกลถึงเพียงนี้
จากนั้นก็เงียบไป เขาไม่ได้ส่งข้อความตอบมาอีก
ซูอี่อันนั่งแกว่งชิงช้าไปช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองร่มไม้หนาทึบ ยามลมพัดผ่านมาใบไม้ถูกพัดจนซัดส่าย แสงแดดคล้ายจะฉกฉวยโอกาสแทรกผ่านช่องว่างลงมาส่องกระทบเปลือกตาเธอ ทุกอย่างจึงกลายเป็นสีขาวโพลน
เธอเอนศีรษะพิงโซ่ข้างหนึ่ง ค่อยๆ หลับตาลง คล้ายหลับไปแล้วเช่นนั้น แต่ร่างยังคงแกว่งชิงช้าไปด้วยช้าๆ ห้วงเวลาคล้ายหยุดชะงักในช่วงบ่ายของฤดูร้อนนี้ แม้แต่เสียงจักจั่นก็กลายเป็นฉากหลังที่ค่อยๆ เลือนหายไปในกรอบที่ว่างเปล่า ชั่วพริบตานี้...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไร้สีสัน
ทันใดนั้นเองก็มีเงาดำจางๆ มาบดบังความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ตรงหน้า เธอลืมตาขึ้นมาช้าๆ ชั่วขณะนั้นยังปรับสายตาให้สู้แสงไม่ได้ ภาพเบื้องหน้าขาวโพลนไปหมด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองเห็นชัด มือข้างหนึ่งของใครบางคนขวางอยู่ในระดับสายตาของเธอไม่ใกล้ไม่ไกล หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับสูญเสียการควบคุม ราวกับสะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝัน รีบเงยหน้าขึ้นมองทันที
แล้วก็เห็นดวงหน้าที่สงบนิ่งนั้น ในดวงตาของเขากลับมีเพลิงโทสะลุกโชนอยู่รางๆ
นับได้ว่าเธอเป็นคนที่เข้าใจเขา ครั้นเห็นเขามีท่าทางเหมือนไม่ได้ดีใจสักเท่าไรที่ได้เจอกัน ประกายในดวงตาของเธอก็ค่อยๆ หม่นลง
ความคิดเห็น |
---|