10

ตอนที่ 10


ประกายคมกล้าในดวงตาของเขาคมกริบดุจใบมีด เธอมานั่งอยู่ที่นี่ราวกับกำลังคิดถึงใครอยู่ จะอย่างไรเขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตอนนั้นเธอมารอเขาเล่นบาสเกตบอล แต่กลับไปชอบคังอวิ๋นซือเข้า! ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้เขาจะรู้สึกแค้นใจ ผู้หญิงคนนี้ วันนี้ถึงกับมาถึงที่นี่ ช่าง...

ฉู่เพ่ยหมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที!

สีหน้าหม่นขรึมของเขาทำเอาความดีใจที่ได้พบหน้าเขาสลายไปทั้งหมด ยิ่งเห็นเขาเหมือนกำลังโมโหและเดินผละไปทันที เธอยิ่งตกใจ วิ่งไล่ตามไปอย่างทึ่มทื่อ

“ฉู่เพ่ย ฉู่เพ่ย!”

ยิ่งเรียกเขาก็ยิ่งเดินหนี เธอจึงไม่เรียกอีก ยืนอยู่กับที่แล้วมองเงาด้านหลังของเขาที่หายลับไปอย่างรวดเร็ว ความน้อยใจพุ่งทะลักเข้ามา เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร! เธอไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้ล่วงเกินอะไรเขา เขาอารมณ์ไม่ดีก็อย่ามาหาเธอสิ เธอไม่ได้บอกให้เขามาหาสักหน่อย ถึงกับมาทำอารมณ์เสียใส่เธอ!

ทำไมถึงเป็นแบบนี้! ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม เห็นอยู่ว่าเธอไม่ได้ข่าวคราวเขามาตั้งนาน พอกลับมาก็มาอารมณ์เสียใส่เธอโดยไม่มีสาเหตุ ฉู่เพ่ยน่าโมโหเป็นที่สุด!

จากนั้นเธอก็ไม่สนใจว่าพื้นเบื้องล่างจะสกปรกหรือไม่ นั่งลงไปทั้งอย่างนั้น เอาหน้าซุกกับหัวเข่าแล้วร้องไห้ออกมา ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้เสียใจและน้อยใจเช่นนี้

‘ฉู่เพ่ย คนสารเลว ไหนบอกว่าจะทำให้ฉันสบายใจ จะรักและตามใจฉัน ตอนนี้คืออะไร เกลียดขี้หน้านัก! เกลียดขี้หน้านัก!’

“อย่าร้องไห้อีกเลย” เสียงเอ่ยอย่างทอดถอนใจดังขึ้น

เธอไม่เงยหน้า ไม่สนใจ ยิ่งร้องไห้เสียงเธอก็ยิ่งดังขึ้น

ฉู่เพ่ยมองเธอนิ่ง มองขวัญบนศีรษะขาวๆ เล็กๆ กลางกลุ่มผมดำขลับของเธอที่ดูไม่ต่างอะไรกับตัวเธอที่รูปร่างเล็กและอ่อนแอ แม้จะเฉลียวฉลาดรู้จักพลิกแพลงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ทว่าบางครั้งกลับดื้อรั้น ถือทิฐิและหัวแข็ง

เขาคันปลายนิ้วยุบยิบ อยากจะลูบไล้ขวัญสีขาวน่ารักจุดนั้น แล้วเขาก็ยื่นมือไปจิ้มขวัญบนศีรษะของเธอ

เธอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมาอย่างงงงัน “เธอโมโหใส่ฉัน ตอนนี้ยังจะเอามือมาจิ้มหัวฉันเล่นอีก!” เขาเปลี่ยนเป็นคนนิสัยไม่ดีแล้ว ไหนบอกจะดีต่อเธอ ตอนนี้ไม่เพียงไม่ดีต่อเธอ ยังถึงกับแกล้งเธออีก! ซูอี่อันตะเบ็งเสียงร้องไห้ออกมาโฮใหญ่

เสียงร้องไห้ของเธอทำให้เขาตกใจ ตะลึงงันไปครู่ใหญ่จึงยื่นมือไปดึงเธอให้ลุกขึ้น

เธอปัดมือเขาออกอย่างแรง “ไปให้พ้น! เธอร้ายกาจที่สุด ฉันไม่อยากสนใจเธออีกแล้ว!”

“ฉันร้ายกาจยังไงหรือ?”

“เธอไม่ส่งข่าวคราวมาตั้งหลายวัน พอกลับมาก็มาทำโมโหใส่ฉัน!”

เขาไม่ได้โมโหใส่เธอ เขาแค่เข้าใจว่าเธอกำลังคิดถึงคังอวิ๋นซือ ดังนั้น เฮ้อ...เด็กคนนี้ช่างทรมานคนเก่งเสียจริง! แต่จะปล่อยเธอนั่งอยู่บนพื้นดินอย่างนั้นคงไม่ดีแน่ “ถ้าเธอไม่ลุกขึ้นมา ฉันก็จะไปจริงๆ แล้ว”

เธอกำลังโกรธแทบเป็นแทบตาย ได้แต่กัดริมฝีปากและไม่ตอบ

เด็กสาวทำตัวดื้อรั้นอีกแล้ว เขาถอนใจอย่างอับจนปัญญา “เอาละ อย่าโมโหอีกเลย ฉันขอโทษ...ได้ไหม”

“ไม่ได้! เว้นแต่เธอจะซื้อไอศกรีมให้ฉัน”

เด็กคนนี้...แววตาของเขานุ่มละมุนลงทันที ก่อนจะยื่นมือไปจับมือเธอ “ไม่ใช่ใกล้จะถึงวันนั้นของเดือนแล้วหรือ? ยังจะกินของเย็นอีก”

ใบหน้าของเธอกลายเป็นสีชมพู ขวยเขินจนทำอะไรไม่ถูก “เธอ...ทำไม...”

ตั้งแต่เล็กจนโตมีเรื่องอะไรของเธอที่เขาไม่รู้บ้าง อีกทั้งตอนนี้เขายังเป็นแฟนของเธอ ย่อมรู้ว่าเธอจะถามอะไร จึงดึงมือเธอขึ้นมาแล้วจูบปลายนิ้วเบาๆ “ต้องรู้จักทะนุถนอมร่างกายรู้ไหม”

เธอซาบซึ้งและเศร้าใจ ครู่เดียวก็ลืมความน้อยอกน้อยใจก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น

“ก่อนหน้านี้ฉันอยู่บนภูเขาและไม่มีสัญญาณ แต่พอฉันทำงานเสร็จก็รีบกลับมาหาเธอทันที” อีกทั้งเขายังคาดว่าเธอน่าจะอยู่ที่นี่ พอมาถึงก็พบเธอจริงๆ

กระแสความอบอุ่นไหลบ่าเข้ามาในหัวใจของซูอี่อัน เอาเถอะ...เป็นเธอเองที่เอาแต่ใจ

“ฉู่เพ่ย ขอ...”

เขาก้มลงมาจูบเธอและกลืนคำขอโทษที่ยังไม่หลุดออกจากปากของเธอไปเสีย ปลายลิ้นเลียริมฝีปากของเธออย่างนุ่มนวลและระมัดระวัง เลาะเล็มไปทีละน้อยราวกับจะวาดภาพอย่างละเอียดลออด้วยความรักและลุ่มหลง เมื่อใดที่จูบลงไปแล้วก็ยากจะตัดใจถอนริมฝีปากออกไปได้

นี่เป็นการจูบแบบไหนกันหนอ ถึงได้ละมุนละไมอ่อนหวาน ทั้งซาบซ่านใจและทำให้คนเศร้าใจ เห็นอยู่ว่าไม่ได้ดุเดือดรุนแรงจนทำให้หายใจลำบาก แต่กลับทำให้เธอปวดใจยิ่งกว่าการจูบครั้งไหนๆ ทั้งสิ้น เธอปวดใจจนน้ำตาไหลออกมา

“ฉันเคยบอกแล้ว อย่าพูดคำว่าขอโทษกับฉัน ห้ามพูดตลอดกาล” เขาประคองใบหน้าของเธอ จ้องมองใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น แม้หลับตาก็ยังเห็นภาพได้อย่างชัดเจน “เธอไม่มีอะไรที่ผิดต่อฉัน”

น้ำตาของเธอยิ่งไหลออกมามากขึ้น รู้สึกว่าตนเองใกล้จะจมลงไปกับความอ่อนหวานละมุนละไมของเขาแทบจะตายอยู่แล้ว

“อย่าร้องไห้ อี่อัน” เขาจูบซับน้ำตาให้เธอพร้อมๆ กับลิ้มรสความฝาดขมนั่น “อยู่ข้างกายฉัน อย่าร้องไห้ได้ไหม”

เธอช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างทึ่มทื่อ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนคล้ายตอนอยู่ที่ชายหาดวันนั้น คล้ายว่าดวงดาวสดใสบนท้องฟ้าร่วงลงมากะพริบอยู่ในดวงตาของเขา

“ถ้าอยู่กับฉันแล้วสบายใจก็อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าอยู่แล้วเจ็บปวดใจก็อย่าฝืน”

ทำไมเขาถึงได้ช่างเอาอกเอาใจและอ่อนโยนเช่นนี้ เธอร้องไห้ออกมาดังๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้ โถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของเขา โอบกอดเขาไว้แน่นแล้วร้องไห้จนสั่นไปทั้งตัว ดูเหมือนว่าตั้งแต่คบหากับเขา เธอก็ร้องไห้อยู่เสมอ แต่ทุกครั้งหลังจากร้องไห้แล้วจะรู้สึกว่าในใจมีแต่ความอบอุ่นที่หวานล้ำ

เขากอดเธอ ไม่พูดปลอบขวัญ ไม่ปลอบประโลมใดๆ เพียงกอดเธออยู่อย่างนั้น ทว่าได้กอดอยู่อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว ความสบายใจที่เขามอบให้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างไม่เคยรู้สึกมากเท่านี้มาก่อน

ผ่านไปพักใหญ่เธอก็ยังไม่หยุดสะอึกสะอื้น เขานั่งลงบนชิงช้า ส่วนเธอก็นั่งอยู่บนตักของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมาจากอกของเขา ยกมือขึ้นโอบรอบคอเขา เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกถึงความตั้งใจ

“ฉันรับปากเธอ ต่อไปจะไม่ร้องไห้อีก”

เด็กโง่คนนี้...เขายกมือขึ้นมาเช็ดหยดน้ำตาให้เธอ “ไม่ใช่ไม่ให้เธอร้องไห้ แต่ต่อไปถ้าอยากร้องไห้ก็มาร้องกับอกของฉัน อย่าเสียใจอยู่คนเดียว ได้หรือเปล่า”

จะมีอะไรซาบซึ้งใจได้มากกว่านี้อีก ดวงตาของเธอเริ่มมีหยาดน้ำเกาะหนาขึ้นมาอีก ยามอยู่ต่อหน้าเขา เธอดูจะเปราะบางเป็นพิเศษ และหลั่งน้ำตาง่ายเป็นพิเศษ เธอกอดเขาแน่น ใบหน้าแนบซุกอยู่กับลำคอของเขา แก้มที่เปียกชื้นเปียกชุ่มเข้าไปถึงในหัวใจเขา เธอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและนุ่มนวล “ฉู่เพ่ย”

“หืม”

“เรากลับไทเปกันดีไหม” จู่ๆ เธอก็อยากจะไปกับเขาเสียเฉยๆ ไม่ต้องสนใจอะไร ไม่ต้องคิดอะไร อยู่กับเขาไปเช่นนี้ไม่แยกจากกัน

“ดี”

“ฉันจะย้ายไปอยู่ด้วยกันกับเธอ ดีไหม”

มือที่โอบเอวเธออยู่พลันรัดแน่น เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วเอ่ยเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง

“ดี”

 

คิดไม่ถึงว่าพวกเธอจะใช้ชีวิตด้วยกันได้ไม่เลว อวี๋เจียเฉินประคองแก้วน้ำแตงโมเย็นเฉียบในมือยกขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วพริ้มตาอย่างสบายใจ

“อืม” ซูอี่อันนอนคว่ำอยู่บนโซฟา พลิกอ่านนิตยสารถ่ายภาพที่ฉู่เพ่ยวางอยู่บนโต๊ะรับแขกไปช้าๆ แล้วส่งเสียงขานรับไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

“นี่...อี่อัน” อวี๋เจียเฉินเขี่ยขาเพื่อนรักเบาๆ “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”

เธอเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้เพื่อน “ฉันสบายดี”

อวี๋เจียเฉินนิ่งไปด้วยความท้อใจ อันอันรู้ดีว่าที่เธอถามหมายถึงเรื่องอะไร กลับยัง...

“เจียเฉิน เธอวางใจเถอะ ฉันสบายดีจริงๆ” ซูอี่อันวางนิตยสารลง ขยับเข้ามาใกล้เพื่อนสนิท เอามือตบบ่าเธอ “ฉู่เพ่ยดีต่อฉันมาก”

อวี๋เจียเฉินย่อมรู้ ฉู่เพ่ยดีต่ออันอันมาก จะหาผู้ชายที่ไหนดีเหมือนเขาไม่มีอีกแล้ว เขาดูแลอันอันเป็นอย่างดี เอาใจใส่จนไม่รู้จะเอาใจใส่อย่างไร โอนอ่อนผ่อนตามทุกอย่าง อันอันจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทั้งสองคนเกาะติดอยู่ด้วยกันทั้งวัน ไปเดินเที่ยว ไปกินข้าวและดูภาพยนตร์ กระทั่งซูอี่อันไปทำงานเขาก็ยังไปรับไปส่งเหมือนเดิม วันนี้ถ้าไม่ใช่เขาไปถ่ายภาพให้นิตยสารนอกสถานที่ น่ากลัวคุณหนูซูคงไม่มีเวลามานั่งคุยเล่นกับเธออยู่ที่นี่ลำพังด้วยซ้ำ

ความจริงใจที่ฉู่เพ่ยมีต่อซูอี่อัน เธอเห็นอย่างชัดเจน แต่อันอันเล่า เมื่อก่อนอันอันชอบคังอวิ๋นซือถึงเพียงนั้น แล้วตอนนี้...ด้วยเหตุนี้เธอถึงได้เป็นห่วงความรักของพวกเขามาก

“เสียดาย วันนี้ฉู่เพ่ยไม่อยู่บ้าน ไม่งั้นเธอคงได้ชิมฝีมือทำอาหารของเขา” ซูอี่อันกอดแขนเพื่อน พิงหัวไหล่ของอวี๋เจียเฉิน สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างแท้จริง

“อกไก่ผัดพริกใส่ถั่วลิสงที่เขาทำชั้นหนึ่งจริงๆ เธอชอบกินอาหารจานนี้มากไม่ใช่หรือ? ฉันขอบอกเธอเลยนะ ฉู่เพ่ยทำเป็นทุกอย่าง...”

ระหว่างที่อันอันพูดเป็นน้ำไหลไฟดับว่าฉู่เพ่ยอย่างนั้น ฉู่เพ่ยอย่างนี้ อวี๋เจียเฉินก็ค่อยๆ วางใจ เธอฟังออกถึงความสุขที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของอันอัน หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นอันอันหน้าตาเบิกบานเช่นนี้ เธอยังจะต้องห่วงอะไรอีกเล่า อันอันกับเธอเดิมก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เธอเป็นเช่นไร ไม่ได้หมายความว่าอันอันจะเป็นเช่นนั้นด้วย พวกเธอสองคนมีคนหนึ่งมีความสุขก็นับเป็นเรื่องดีแล้ว

เรื่องที่หนักอึ้ง อวี๋เจียเฉินไม่อยากเก็บไปคิด จึงหันไปมองสำรวจรังรักเล็กๆ ของคนทั้งสอง ซึ่งเนื้อที่ไม่นับว่ากว้าง แต่ก็อบอุ่นและดูเป็นระเบียบ

แม้อันอันจะย้ายเข้ามาอยู่ไม่ถึงสองเดือน แต่อะพาร์ตเมนต์เล็กขนาดหกสิบกว่าตารางเมตรห้องนี้ก็มีเงาร่างของเธอให้เห็นอยู่ทุกที่แล้ว บนโต๊ะมีแก้วน้ำใบโปรดของเธอวางอยู่ บนโซฟามีหมอนอิงรูปดอกไม้ที่เธอชอบ ม่านหน้าต่างก็เปลี่ยนเป็นสีชมพู โต๊ะกินข้าวก็ปูด้วยผ้าลูกไม้งดงามละเอียดอ่อน ของพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายอย่างฉู่เพ่ยจะมีได้

ห้องเล็กๆ นี้จัดได้น่าอยู่ หน้าต่างใสแจ๋ว พื้นห้องมันเป็นเงา ในห้องครัวแบบเปิดมีอุปกรณ์ครัวพวกหม้อและตะหลิววางเรียงรายอยู่ก็ได้รับการขัดล้างจนแวววาวแล้วจัดวางอย่างเป็นระเบียบ...เหล่านี้ดูไม่คล้ายตัวตนของซูอี่อันโดยสิ้นเชิง

“ฉู่เพ่ยของเธอช่างเป็นแม่บ้านแม่เรือนเสียจริง” อวี๋เจียเฉินอดจะรำพึงรำพันออกมาไม่ได้ เธอกับอันอันมาเรียนหนังสือที่ไทเปด้วยกันและเช่าอะพาร์ตเมนต์เล็กๆ แถวมหาวิทยาลัยอยู่ด้วยกัน จึงรู้ถึงความเคยชินในการใช้ชีวิตของเพื่อนสนิทดี

แม้ซูอี่อันจะไม่ใช่เด็กสาวที่สกปรกหรือไม่มีระเบียบพวกนั้น แต่ก็เรียกไม่ได้ว่าขยันขันแข็ง ตอนที่พวกเธออยู่ด้วยกัน การทำความสะอาดห้องพักจะผลัดเปลี่ยนกันทำ สัปดาห์นี้เธอทำ สัปดาห์หน้าอันอันทำ โดยทั่วไปแล้วพวกเธอออกจะเกียจคร้าน สามวันห้าวันถึงจะทำสักครั้ง ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ดูที่นี่แล้ว...

“จุ๊ๆ คิดไม่ถึงว่าฉู่เพ่ยที่ดูท่าทางไม่สนใจแต่งเนื้อแต่งตัว เหมือนคนไม่ค่อยพิถีพิถันแบบนั้น จะรู้งานบ้านและทำได้ดีถึงเพียงนี้”

“ความจริงเขาก็ไม่ได้ขยันสักเท่าไร” ซูอี่อันลุกขึ้นมานั่งกอดหมอนอิง หยิบนิตยสารมาวางบนตักแล้วพลิกดูต่อ “เพียงแต่เขาทำอะไรเร็ว แต่ละวันใช้เวลาเก็บกวาดสิบกว่านาทีก็เสร็จแล้ว และบ้านก็ไม่ได้กว้างอะไร”

อยู่ด้วยกันแล้วถึงได้รู้ ที่แท้ฉู่เพ่ยทำงานมีประสิทธิภาพเช่นนี้ เก็บกวาดงานบ้าน ทำอาหารสามมื้อโดยใช้เวลาน้อยกว่าคนอื่นมาก อีกทั้งยังแทบจะทำไปพร้อมๆ กันได้ ทำให้อดชื่นชมไม่ได้

บ้าน? อวี๋เจียเฉินคิดใคร่ครวญถึงคำนี้ ซูอี่อันคล้ายพูดออกมาโดยไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็เผยให้เห็นถึงสิ่งที่แฝงอยู่ภายในใจ ซูอี่อันได้ยึดที่นี่เป็นบ้านหลังน้อยของเธอไปแล้ว อีกอย่าง เวลาเธอเอ่ยถึงฉู่เพ่ย ในน้ำเสียงดูมีความสุขเจืออยู่อย่างไม่รู้ตัว บางทีอาจมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพียงแต่เจ้าตัวยังไม่รู้เท่านั้น

“เธอยังจะมีหน้าไปว่าเขาอีก เธอแย่กว่าเขามาก”

“อืม นั่นก็จริง” เด็กสาวยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ซูอี่อันคว้าแอปเปิลที่ล้างสะอาดแล้วมากัดกินช้าๆ “ในเมื่อเขาทำได้ก็ปล่อยเขาทำไป ฉันไม่อยากไปแย่งเขาทำ เขาจะได้ไม่เสียใจ”

“เธอนี่น้า...”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันสนุกอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของซูอี่อันก็ดังขึ้น ยังไม่ทันรับสายเธอก็ยิ้มหน้าบานแล้ว

“ทำอะไรอยู่”

“คุยเล่นอยู่กับเจียเฉิน”

“อวี๋เจียเฉินมาหรือ?”

“อือฮึ”

เสียงกัดแอปเปิลกร้วมๆ ดังมาจากปลายสาย ฉู่เพ่ยอดหัวเราะไม่ได้ “งั้นพวกเธอก็คุยกันไปเถอะ ฉันค่อยโทร. หาเธอใหม่”

“เอ้อ...ฉู่เพ่ย เดี๋ยวก่อน” เมื่อได้ยินเขาบอกจะวางสาย ซูอี่อันก็รีบเอ่ยขึ้น

“หืม?”

เธอเหลือบตาขึ้นก็เห็นเพื่อนสนิททำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รู้สึกขวยเขินขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไร ฉัน...ฉันจะวางหูนะ”

“อี่อัน”

เธอชะงัก “หือ?”

“ฉันคิดถึงเธอมาก”

ได้ยินเช่นนั้นหัวใจของเธอก็รู้สึกอ่อนระทวย...ช่างหวานล้ำ รอยยิ้มมุมปากหยักยกขึ้น เธอลืมไปโดยสิ้นเชิงว่ายังมีอวี๋เจียเฉินอยู่ข้างๆ เธอขานรับไปเสียงแผ่ว “อืม”

“อย่าลืมกินข้าวล่ะ”

“รู้แล้ว”

“ห้ามกินของเย็น เธอชอบกินของเย็นอยู่เรื่อย” เมื่อเช้าเขาไม่น่าเตรียมน้ำแตงโมไว้ในตู้เย็นมากถึงขนาดนั้นเลย เฮ้อ...เพราะเขาทนต่อการรบเร้าของเธอไม่ได้

“อืมๆ”

“เลิกงานตอนค่ำต้องระวังเรื่องความปลอดภัย”

“เอาละๆ เธอนี่จ้ำจี้จ้ำไชเสียจริง” แม้น้ำเสียงจะรำคาญ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับปิดไม่มิด

เสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาคล้ายดังอยู่ข้างหูเธอ จู่ๆ เธอก็นึกถึงค่ำคืนที่ร้อนเป็นไฟขึ้นมา เสียงหอบหายใจของเขา หยาดเหงื่อของเขา...ใบหน้าเธอแดงฉานขึ้นทันที แม้แต่มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็สั่นระริกขึ้นมา น่าโมโหจริง! ทำไมเธอถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ เมื่อมองไปทางเพื่อนสนิทอย่างกินปูนร้อนท้องก็เห็นรอยยิ้มยั่วเย้าของอวี๋เจียเฉินผุดขึ้น เธอยิ่งอึดอัดขัดเขิน “ฉันไม่คุยกับเธอแล้ว”

“ก็ได้ เธอวางหูเถอะ”

“อืม”

เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง เขาจะให้เธอวางหูก่อน ทว่าครั้งนี้ทั้งสองต่างเงียบกันไปกว่าสิบวินาที ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายวางหู กระทั่งซูอี่อันเห็นรอยยิ้มสอดรู้สอดเห็นของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูจะกว้างขึ้นทุกที แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาอย่างไม่ปกปิดท่าทีแม้แต่น้อย เธอจึงรีบลนลานกดวางสาย

ฟู่...อากาศร้อนจัง เธอคว้าน้ำแตงโมที่วางอยู่ข้างๆ มาดื่มอั้กๆ แก้เขิน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ใครบางคนสั่งกำชับเธอไม่ให้ดื่มของเย็นๆ พวกนี้ จึงรีบวางแก้วลง

อวี๋เจียเฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย ซูอี่อันแทบอยากจะยกหมอนอิงขึ้นมาปิดหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ เพื่อนสนิทก็เอ่ยปากขึ้น “อันอัน”

“อะไรหรือ?”

“เห็นเธอมีความสุข ฉันก็สบายใจ”

“เจียเฉิน...” เธอเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง เรื่องของอวี๋เจียเฉินเธอรู้ดี ความจริงเธอก็เป็นห่วงอวี๋เจียเฉินเช่นกัน

“ดีจัง” อวี๋เจียเฉินเอื้อมมือมาโอบบ่าเธอ ทั้งสองนั่งพิงไหล่กันอยู่บนโซฟาเงียบๆ อวี๋เจียเฉินสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “เห็นเธอตอนนี้แล้วฉันก็ดีใจ” เธอดีใจที่อันอันไม่เหมือนเธอ ดีใจที่ระหว่างพวกเธอสองคน อย่างน้อยก็มีคนหนึ่งที่ได้รับความสุขอย่างแท้จริง แค่นี้ก็ดีมากแล้วมิใช่หรือ?



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น