11

ตอนที่ 11


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียว จากฤดูร้อนก็มาถึงกลางฤดูหนาว ใกล้จะถึงเทศกาลคริสต์มาสแล้ว คลื่นความหนาวระลอกใหม่จู่โจมเข้ามา ชั่วประเดี๋ยวเดียวผู้คนบนท้องถนนก็ต่างเปลี่ยนมาสวมเสื้อโคตตัวหนา ซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วก้าวเดินเร็วๆ อยู่บนถนน ฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเย็นชื้นจนหนาวยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก

วันหยุดยังมาไม่ถึง แต่ร้านค้าสองฟากถนนต่างประดับตกแต่งต้อนรับเทศกาลแล้ว ดวงไฟหลากสีบนต้นคริสต์มาสกะพริบวิบวับ เสียแต่ไม่มีหิมะตกลงมาเท่านั้น กลิ่นอายของฤดูหนาวบนท้องถนนเมืองไทเปยามนี้นับว่าค่อนข้างคึกคัก

ซูอี่อันยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์รอรถ เธอมองเม็ดฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าอย่างไม่ขาดสายแล้วย่นหัวคิ้ว เธอเพิ่งเลิกงานและไม่ได้พกร่มมา ตอนนี้ได้แต่หวังว่าฝนจะไม่ตกหนักขึ้น

รถเมล์คันที่รอวิ่งเข้ามาช้าๆ พอขึ้นไปบนรถเธอก็เดินไปนั่งแถวหลัง เหม่อมองเม็ดฝนที่ร่วงลงมาถูกกระจกข้างรถแล้วค่อยๆ ไหลลงสู่เบื้องล่าง ทิ้งรอยเปียกเอาไว้เป็นสาย ข้างหน้าเธอมีผู้หญิงสวมชุดฟอร์มสองคนนั่งอยู่ ลักษณะเหมือนเพิ่งเลิกจากทำโอทีและกำลังจะกลับบ้าน ทั้งสองคุยกระซิบกระซาบกันอยู่

ซูอี่อันมองทิวทัศน์บนท้องถนนที่ระผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่าง รถเมล์โยกคลอนไปมา ดวงตาที่สุกใสกะพริบปริบๆ จากนั้นก็เอนศีรษะพิงกับหน้าต่างรถ เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง เสียงพูดคุยและหัวเราะจากแถวหน้าเริ่มดังห่างออกไป

รถวิ่งๆ หยุดๆ คนบนรถก็ขึ้นๆ ลงๆ แต่เธอไม่ได้รับรู้อีกแล้ว ได้แต่นั่งพิงหน้าต่างและหลับสบายอยู่ตรงนั้น กระทั่งคนขับรถเดินมาสะกิดปลุก เธอถึงรู้สึกตัวขึ้นว่านั่งมาจนสุดสายแล้ว นี่เธอหลับไปนานเพียงใดกันนี่!

ครั้นมองเวลาก็พบว่าห้าทุ่มกว่าแล้ว แย่จริง! เธอนั่งหลับบนรถเมล์อีกแล้ว เธอตาลีตาเหลือกคว้ากระเป๋าวิ่งลงจากรถท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนขับ จากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งอีกคัน

รถเมล์วิ่งย้อนกลับมาทางเดิม กระบวนความคิดของเธอเริ่มล่องลอยไปไกลอีกครั้ง...ก่อนจะเริ่มสัปหงก แต่ครั้งนี้เธอพยายามฝืนไม่ให้หลับ ยังดีที่ไม่นั่งเลยป้ายอีก เสียงฝนตกข้างนอกดังกังวานชัดเจนขึ้นเมื่อประตูรถเปิดออก ดูเหมือนฝนจะตกหนักขึ้นแล้ว

เธอเป่าลมออกจากปากแล้วก้าวลงจากรถ กำลังคิดว่าจะเดินหรือวิ่งกลับบ้านดี ดูเหมือนว่าเดินช้าๆ กลับไปกลางสายฝนก็เป็นความคิดที่ไม่เลว เพียงแต่น้ำฝนเวลานี้หนาวเย็นเข้ากระดูก...แต่ก็ช่างเถอะ

ขณะกำลังลังเล พอเหลือบตาขึ้นก็เห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังส่งยิ้มมาให้เธอ ชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อโคตสีดำเนี้ยบกริบราวกับของใหม่ คิ้วที่เข้มหนา ดวงตาที่คมกล้า จมูกที่โด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่ยิ้มกริ่ม ผู้ชายคนนี้ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่ไหนก็ดูองอาจผึ่งผายเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความเป็นลูกผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา หรือคนที่ยืนรอรถเมล์ ทุกสายตาล้วนจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขา

แต่เขากลับเห็นแค่เธอ เขายืนถือร่มกันฝนสีเข้มด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย ท่วงท่าสบายๆ เช่นนั้นแต่กลับไม่ทำให้เสียบุคลิกอันองอาจผึ่งผายแต่อย่างใด เขามองเธอเงียบๆ มุมปากแฝงรอยยิ้ม

ราวกับสายฝนที่พร่างพรมอยู่เหนือศีรษะเธอดูสว่างไสวขึ้นทันที เธอสาวเท้าเดินไปหาเขาอย่างไม่รู้ตัวด้วยฝีเท้าที่เบาและเร็วอย่างแปลกใจระคนดีใจเป็นที่สุด “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้!”

เขาเห็นประกายลิงโลดระริกไหวในดวงตาของเธอ ขยับร่มมาอยู่เหนือศีรษะเธอเพื่อช่วยบังฝนเม็ดฝนที่พร่างพรมลงมา “ฉันมารับเธอ”

“เธอบอกว่าพรุ่งนี้ถึงจะกลับไม่ใช่หรือ?” เขาออกไปทำงานตั้งแต่หลายวันก่อน และบอกเธอไว้อย่างนั้น

“อืม พอดีทำงานเสร็จเร็ว ก็เลยกลับมาก่อน” เขายกมือขึ้นดูนาฬิกา ตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจ “วันนี้เธอกลับดึก”

“นั่งรถเลยป้ายน่ะ” เธอก้มหน้าอย่างรู้สึกเสียหน้า ใครบางคนเคยสั่งกำชับแล้วกำชับอีกว่าเวลานั่งรถห้ามนั่งสัปหงก แต่วันนี้ยังคงถูกจับได้คาหนังคาเขา

“เลอะเลือน” เขาใช้นิ้วมือดีดหน้าผากเธอเบาๆ ทีหนึ่ง นิ้วมือเขามีไอความชื้นอยู่จางๆ

“เธอมารอนานแล้วหรือ?”

“เปล่า”

“กลับมาตั้งแต่กี่โมง”

“สองทุ่ม”

ยังจะบอกว่าเปล่าอีก เขาคงต้องยืนรอเธออยู่ข้างป้ายรถเมล์มาแล้วอย่างน้อยสองชั่วโมง เธอมองหน้าเขาอย่างโกรธๆ “เธอโทรศัพท์ไม่เป็นหรือ?”

เขามองเธอยิ้มๆ ไม่พูดอะไร

เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จึงเห็นหน้าจอขึ้นแจ้งเตือนสายที่เธอไม่ได้รับจำนวนสิบกว่าสาย จากนั้นจึงรีบปิดปากเงียบทันที มองเขาด้วยนัยน์ตาแดงเรื่อ ที่แท้แล้วเธอควรโกรธเขาหรือควรโกรธตัวเองกันแน่

“ฝนตกแล้ว ฉันคิดว่าเธอคงไม่ได้พกร่มมาแน่”

คำพูดประโยคเดียว กลับบีบคั้นให้เธอหลั่งน้ำตาออกมา ในใจรู้สึกตื้นตันขึ้น เขาดีต่อเธอเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นไร คนที่เขาคิดถึงตลอดเวลาก็คือเธอ เขาเป็นห่วงว่าเธอจะเปียกฝน ถึงกับยืนรออยู่ข้างป้ายรถเมล์ที่หนาวเย็นเช่นนี้กว่าสองชั่วโมง เป็นห่วงว่าเธออยู่บ้านคนเดียวแล้วจะกลัว ต่อให้ทำงานเหน็ดเหนื่อย เขาก็จะรีบทำให้เสร็จเร็วที่สุดเพื่อจะได้กลับมาอยู่ข้างกายเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้เธอ มีหรือเธอจะไม่เข้าใจ เธอดึงผ้าพันคอของตัวเองออกมาแล้วพันไปรอบคอเขา “ถ้าเป็นหวัดไปจะทำยังไง”

เขาอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะหยุดการกระทำของเธอ เอาผ้าพันคอพันกลับไปให้เธอ ค่อยๆ พันทีละทบจนเรียบร้อยและจัดให้ดี “เด็กโง่ ฉันไม่หนาว” พูดพลางก็กุมมือเธอไว้ ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาซึมซาบเข้าสู่มือเธอ “เห็นมั้ย อุ่นหรือเปล่า”

ที่อุ่นไม่ใช่แค่มือของเขา หัวใจของเธอก็ถูกฝ่ามือของเขาปิดป้องจนร้อนผ่าวไปด้วย เธอโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของเขา กอดเขาไว้แน่นแล้วพึมพำเรียกชื่อเขา “ฉู่เพ่ย...ฉู่เพ่ย”

วินาทีนี้หัวใจของเธอถูกเขาเติมเต็มจนล้นปรี่ นอกจากความซาบซึ้งใจแล้ว ที่มากกว่านั้นคือความหวานชื่นเป็นสุขใจ เธออยากจะกอดเขาอยู่อย่างนี้ โอบเขาไว้ในอ้อมแขน

“เด็กดี เรากลับบ้านกันเถอะ” เขาโอบเธอไว้หลวมๆ กางเสื้อโคตออกคลุมร่างบางเอาไว้ มือหนึ่งก็ถือร่มแล้วพาเธอเดินกลับบ้าน

เธอคล้ายถูกเลาะเอากระดูกออกไปเช่นนั้น ได้แต่อิงซุกอยู่กับตัวเขาตลอดเวลา บางครั้งก็หยุดเดินแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบเขา

“อี่อัน อย่าเล่น”

“ฉู่เพ่ย เธอไม่คิดถึงฉันหรือ?” เธอกระซิบอยู่ข้างริมฝีปากของเขา ถามคำก็จูบคำ

เขาสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่คิดถึงเธอ แยกจากกันมาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ความปรารถนาทางกายมาถึงจุดวิกฤตินานแล้ว ผู้หญิงคนนี้ยังจะมาจุดชนวนขึ้นอีก

เขาโอบกอดเธอด้วยมือข้างเดียว ก้มหน้าลงจูบเธออย่างหนักหน่วงและร้อนแรงไปด้วยอารมณ์ จูบพันพัวคลุกเคล้ากับเธออย่างเร่าร้อน “กลับไปถึงบ้านแล้วฉันจะบอกเธอ”

ครั้งนี้เธอไม่ขวยเขิน กลับรุกเข้าหา “บอกฉันตอนนี้เลย”

ฉู่เพ่ยอยากจะทิ้งร่มแล้วคว้าเธอเข้ามากอดและบอกรักเธออย่างรุนแรงด้วยรูปแบบต่างๆ ที่เขาจินตนาการอยู่ในสมองมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่นี่มันข้างนอกและอยู่บนท้องถนน “อี่อัน อย่าดื้อ กลับบ้าน...”

ปากของเขาถูกเธอปิดเอาไว้แล้วพันเกี่ยวปลายลิ้นกับเขา จงใจทำเสียงยั่วให้เขาสั่นสะท้าน ทำเสียงหอบกระเส่าเบาๆ อยู่ข้างหูของเขา “อืม...ฉู่เพ่ย กอดฉัน จูบฉัน อื้อ...” คำสุดท้ายเธอจงใจลากเสียงยาวอย่างออดอ้อนให้เขารู้สึกยุบยิบเข้าไปในหัวใจ

          อัตราความถี่ในการหายใจของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาลากเธอหลบเข้าไปในที่มืดแล้วจูบลูบไล้เธออย่างบ้าคลั่ง เธอบอบบางมาก นุ่มนิ่มมาก ซูอี่อันทิ้งร่างระทดระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา ตอบสนองเขาอย่างเร่าร้อน กระทั่งเป็นฝ่ายยกมือขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อของเขา

“อี่อัน อย่าทำแบบนี้”

เขาจะจับมือเธอไว้ แต่เธอกลับหัวเราะเบาๆ แล้วพลิกมือหนีเขาไปอย่างว่องไว จากนั้นก็เลื่อนมือลงไปด้านล่าง กดลงบนส่วนที่คึกคักของเขา เลียลูกกระเดือกของเขาแล้วพูดเสียงต่ำ

“จนแบบนี้แล้ว ทำไมยังไม่...”

ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร เขาไม่อาจคำนึงถึงร่มต่อไปได้อีก กดร่างเธอกับผนังในซอยเล็กแล้วสอดมือเข้าไปลูบไล้ผิวกายในเสื้อผ้าเนื้อหนาของเธอ

ลมหายใจที่พวกเขาพ่นออกมากลายเป็นไอหมอกสีขาว ในคืนฝนตกที่หนาวยะเยือกจากความชื้นเช่นนี้ดูพร่ามัวเป็นพิเศษ ในซอยเล็กที่ไร้ผู้คน คู่รักที่เร่าร้อนกับเสียงหอบหายใจหนัก ล้วนทำให้คนที่อยู่ในฉากรักหน้าแดงใจสั่น มือน้อยที่ค่อนข้างเย็นของเธอรูดซิปกางเกงของเขาลงแล้วสอดมือเข้าไปเกาะกุม

เขาสูดลมหายใจหนักๆ ขบกรามแน่น นึกไม่ถึงว่าเวลาเธอคลุ้มคลั่งขึ้นมาจะไม่สนใจ ไม่คำนึงสิ่งใดถึงขั้นนี้ แต่เขากลับรักการเอาแต่ใจเช่นนี้ของเธอ

เธอซุกอยู่ในอ้อมอกของเขาโดยมีร่างของเขากับเสื้อโคตห่อตัวไว้อย่างอบอุ่น ที่นี่คือพื้นที่ลับเล็กๆ ของเธอ เธอขยับมืออย่างเงอะงะไม่ประสา แต่ความไม่ประสาของเธอกลับมีเสน่ห์ยั่วยวนใจ รสชาติของมันหอมหวานยิ่ง...หอมหวานจนเขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่

“พอแล้ว...อี่อัน” เขาหอบหายใจพลางยื่นมือไปยับยั้งเธอ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปน่ากลัวเขาจะหักห้ามใจไม่อยู่ต้องระเบิดอารมณ์ออกมา

เธอกลับไม่ฟัง ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว

“พอแล้ว!” เขาดึงมือเธอออก

เธอกลับแนบตัวเข้าหาเขา เป่าลมหายใจรดข้างริมฝีปากของเขาแล้วเลียปากเขาช้าๆ “หรือจะให้ฉันใช้...”

คล้ายมีเสียงดังเปรี้ยง! เหมือนอะไรบางอย่างระเบิดขึ้นมากลางสมองของเขา เขาหน้าเขียวปัด รวบตัวเธอแล้วพาเดินตรงดิ่งกลับบ้านโดยไม่สนใจจะเก็บร่มขึ้นมาจากพื้น เด็กสาวซุกร่างอยู่ในอ้อมอกของเขา หัวเราะเสียงต่ำ มือยังคงซุกซนจนเขาต้องกำราบครั้งแล้วครั้งเล่า

ทั้งที่ระยะทางปกติเพียงเดินสิบนาทีก็ถึง วันนี้ทั้งสองกลับต้องใช้เวลาเดินถึงเกือบสี่สิบนาที ทั้งยังหอบหายใจตลอดทางที่เดินได้ไม่ถึงหนึ่งก็ต้องหลบเข้าหาที่มืดเพื่อแสดงความรักต่อกันอย่างดุเดือดเร่าร้อน เขาแทบอยากจะจัดการเธอเสียเดี๋ยวนั้น คืนนี้ผู้หญิงคนนี้ช่างบ้าระห่ำ ทั้งยังดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง เอาแต่ยั่วยวนเขา ปลุกเร้าเขา เปลวไฟชั่วร้ายลุกโชนจนแทบจะทำให้เม็ดฝนที่ตกลงมาต้องระเหยกลายเป็นไอแล้ว

ข้างในลิฟต์ตอนเที่ยงคืนไร้ผู้คน ซูอี่อันซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเขา เขาแสร้งวางท่าสุขุมเยือกเย็น ขณะที่ด้านล่างของเสื้อโคตเขา มือของเธอควบคุมอาวุธของเขาเอาไว้แล้ว ปลายคางของเขาเกร็งเขม็งขึ้นทุกที

เขาจ้องตัวเลขบอกชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กล้ามเนื้อบนร่างกายเครียดขึงขึ้นทุกที ในที่สุดเมื่อใครบางคนไม่ยอมอยู่เฉย เขาก็กัดฟันแล้วกดร่างเธอกับผนังลิฟต์ โน้มใบหน้าเข้าชิดแล้วเค้นคำพูดออกมาสามคำ “สำรวมหน่อย!”

ไหนๆ ก็บ้าไปแล้ว บ้ามากอีกหน่อยจะเป็นไรไป ร่างของเธอสั่นสะท้านเล็กน้อย ทั้งที่รู้ว่าเขาเรี่ยวแรงดีเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่เริ่มต้นล้วนทรมานเธอจนแทบเป็นแทบตาย แต่คืนนี้เธออยากจะยั่วยวนเขา อยากเห็นเขาสูญเสียการควบคุมตัวเองเพราะเธอ และเธออยากได้อ้อมกอดที่ร้อนแรงจากเขา มือของเธอยังคงไม่สำรวม เขาถลึงตาใส่เธอ แทบจะเรียกได้ว่าดูดุดัน

“อีกประเดี๋ยวฉันจะเล่นงานเธอให้หนัก...อย่างรุนแรง”

ติ๊ง!

เสียงใสกังวานดังขึ้นเตือนให้รู้ว่าพวกเขามาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว มือของเธอถูกใครบางคนกุมไว้แน่นแล้วกระชากตัวออกไปจากลิฟต์ทันที สีหน้าของเขาสงบนิ่งมาก มือที่จับลูกกุญแจห้องมั่นคงยิ่ง ความสามารถในการควบคุมตัวเองของผู้ชายคนนี้พูดได้ว่าดีเกินไป ทั้งที่...ขนาดนี้แล้ว ยังทำนิ่งเฉยได้อีก

ในเวลานี้เธอกลับทำตัวว่าง่าย ไม่รู้เพราะตกใจกับคำพูดของเขาหรือเพราะเหตุอื่นใด จึงปล่อยให้เขาจับจูงไปเงียบๆ แต่ก็ช้าไปแล้ว

ฉู่เพ่ยยกเท้าข้างหนึ่งถีบประตูเข้าไปแล้วรีบปิด ประกาศว่าการศึกในครั้งนี้เริ่มขึ้นแล้ว เขากดร่างเธอลงบนโซฟา ยื่นมือมาดึงทึ้งเสื้อผ้าของเธอออก

“อื้อ...ไปที่ห้อง...”

ยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกเขากลืนกินคำพูดไปหมด กระโปรงสั้นผ้าขนแกะถูกเขาเลิกขึ้น มือของเขาดึงถุงน่องเนื้อหนาของเธอออกอย่างรีบร้อนจนเกิดเสียงดังแควก แล้วกระชากลงมา ปราการชั้นในก็ไม่รอดพ้นไปจากมือของเขาได้ เขายื่นมือไปลูบคลำ รอยยิ้มมุมปากของเขายามนี้ดูชั่วร้ายเป็นพิเศษ เขาไม่อดทนที่จะรอคอยอีกต่อไป รุกเข้าไปทันที

“อา!”

ทั้งสองครางออกมาพร้อมกัน หัวคิ้วเธอขมวดน้อยๆ สุขสมมากกว่าเจ็บ แม้จะรู้สึกรุนแรงไปบ้าง แต่เธอก็อดตวัดขาไปโอบรอบเอวเขาแล้วขยับร่างเข้าชิดไม่ได้ หอบหายใจอยู่ใต้ร่างเขาราวกับสัตว์ตัวเล็กๆ

ในด้านนี้แต่ไรมาเขาก็ดุดันเอาแต่ใจ ลูกตาเขาขยายกว้างแดงฉาน ความสุขสมโหมทะลักเข้ามา ทั้งสองเล้าโลมกันมานาน รอกันมานาน เธอเฝ้าปรารถนาจนตัวสั่นน้อยๆ มือของเธอลูบแขนของเขาที่จับประคองอยู่ข้างแก้มเธอ ไต่ขึ้นไปตามท่อนแขนกำยำอย่างไม่รู้ตัว ลูบขึ้นไปจนถึงหัวไหล่ของเขาแล้วดึงเขาลงมาจูบ

เป็นการจูบที่รุกเร้าพัวพันไม่จบสิ้น จูบจนเธอหายใจไม่ทัน ความรู้สึกทวีมากขึ้นทุกที ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะหยอกเย้าเล่นสนุก ไม่ใช้ฝีมือการเล้าโลมใดๆ และไม่สนใจเรื่องอ่อนโยนละมุนละไม เพียงใช้รูปแบบที่เร้าใจที่สุดสร้างความสุขสมให้เธอมากที่สุด ไม่นานร่างของเธอก็สั่นสะท้าน ซุกครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา

เขาไม่รอให้เธอทันได้ตั้งตัว จับร่างเธอพลิกกลับแล้วรุกล้ำเข้าไป จะอย่างไรเธอก็ยังหน้าบาง ควานมือหาไปทั่วแล้วหยิบหมอนอิงมาซุกหน้าลงไป เขายังคงกินเธออย่างตะกละตะกลาม ดุดันขึ้นทุกที

เธอทนไม่ไหว ขยุ้มหมอนอิงไว้แน่น เขายื่นมือไปข้างหน้า ดึงเสื้อคลุมเนื้อหนาของเธอออกแล้วสอดมือเข้าไปในเสื้อชั้นใน กอบกุมทรวงอกนุ่มนิ่มขาวผ่องของเธอแล้วบีบเค้นอย่างอุกอาจ

“ฉู่เพ่ย...” เธอร้องไห้กระซิก ถูกความรู้สึกสุขสมอย่างต่อเนื่องทำให้วิงเวียนจนหัวหมุน กำลังวังชาของชายหนุ่มที่ไม่หมดลงง่ายๆ ทำให้เธอตื่นตะลึง อดจะเอ่ยปากวิงวอนขอร้องไม่ได้ “อย่า...”

“อย่าอะไร หืม?” เขาจับปลายคางเธอให้หันมา กดจูบลงไปอย่างหนักหน่วง

เธอร้องไห้จนหายใจไม่ทัน

“ไม่ชอบแบบนี้หรือ” เขาหัวเราะเสียงต่ำ ยื่นปลายลิ้นออกไปแล้วจูบเธออีก “งั้นเราเปลี่ยนใหม่” เขาจับเธอพลิกมาอีกครั้ง ร่างของเธออ่อนปวกเปียกแทบลุกไม่ขึ้น ฟุบตัวอยู่บนหน้าอกของเขา ทำอย่างไรก็ไม่ยอมขยับ

“เธอเฉย งั้นฉันจัดการเอง!”

คำขู่ในห้วงเวลานี้ดูมีพลังเป็นพิเศษ เธอรีบปลุกปลอบตัวเองให้กระปรี้กระเปร่าแล้วเคลื่อนไหว  อย่างน้อยเธอก็ยังเป็นฝ่ายควบคุมได้...ทว่าเธอคำนวณพลาดไปแล้ว เพราะเขาไม่ได้อยู่เฉย แต่เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงไปด้วย

เอาเถอะ เธอยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง ตอนยั่วยวนเขาก็ยั่วยวนอย่างเต็มที่ คิดแต่อยากจะเห็นเขาสูญเสียการควบคุมตัวเอง ทว่าตอนนี้เธอแบกรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการยั่วยวนเขาไม่ไหวแล้ว เธอเหนื่อยมาก...เหมือนว่าร่างจะหักแล้ว

เธอตัดสินใจทิ้งร่างลงบนอกของเขาแล้วกอดเขาไว้แน่น ไม่ยอมขยับตัว “ฉู่...” เสียงอ่อนนุ่มฟังขึ้นจมูก  ให้ความรู้สึกซาบซ่านใจ “ฉันเหนื่อยมาก...ละเว้นฉันเถอะ ได้ไหม” เธอออดอ้อนสุดชีวิต

เขากอดเธอ ลูบไล้สะโพกเธออย่างพึงพอใจ “ได้ เราพักรบ”

เห็นเธอคลี่ยิ้มมุมปาก เขาก็หยักยกมุมปากตาม “แต่ชั่วคราวนะ” เขาอุ้มเธอขึ้นมา “เปลี่ยนที่ใหม่”

ครั้นแล้วเขาก็อุ้มเด็กสาวที่ทำท่าจะร้องไห้ออกมาตรงไปยังห้องนอน

คืนนั้นซูอี่อันก็ได้เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ชายหนุ่มที่ชื่อฉู่เพ่ยคือหมาป่าตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมาป่าหิวโหยที่ไม่ควรไปตอแยด้วย เธอร้องไห้อยู่ใต้ร่างเขาแทบขาดใจ ร้องไห้จนเสียงแหบเสียงแห้ง คนบางคนกลับคึกคักฮึกเหิมเป็นที่สุด เธอผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ ไม่ควรคิดไปยั่วยุเขา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น