บทที่ ๑๒
ไม่มีญาติคนใดได้รับการติดต่อจากมาวิน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายตัวไป มิหนำซ้ำเมื่อรู้ว่าเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิพยายามติดต่อสอบถามข่าวคราว พวกเขาต่างก็พร่ำบ่นสารพัดปัญหาให้ฟังและออกตัวว่าไม่พร้อมรับผิดชอบดูแลเด็กหนุ่ม
ปลายฝนโกรธทั้งคนเหล่านั้นและตนเอง อดคิดไม่ได้ว่าคนคนหนึ่งที่ไม่เป็นที่ต้องการของใครจะอ้างว้างและเจ็บปวดเพียงไหน ไม่ใช่ความผิดของมาวินที่หันมายึดติดเธอ ไม่เลย...เธอน่าจะรู้และเข้าใจเขาดีที่สุด แต่เพราะรู้ดีว่ามันผิด ความรู้สึกนั้นไม่ควรเกิดขึ้น เธอจึงคิดแต่จะถอดถอนเมล็ดพันธุ์นั้นออกจากใจให้สิ้นซาก
เหลือหนทางเดียวที่จะตามหามาวิน นั่นก็คือการแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้ละอายจนไม่อาจสบตาผู้ที่พบเห็นมาวินพร้อมกันครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนใจที่มุ่งมั่นตามหา ต่อให้เธอเป็นคนผิดในสายตาใครก็ยอม
“ถ้าเป็นคืนนั้น ผมเห็นเขาตามคุณเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์”
“ใช่ค่ะ ฝนไม่พอใจที่ไม้ทำแบบนั้นเลยไล่เขาไป”
“คุณเคยบอกว่าไม่ได้พบเขานานแล้ว แต่เท่าที่ผมเห็นไม่น่าใช่อย่างนั้น” ศุภณัฏเอ่ยอย่างเคลือบแคลง
“ตอนนี้ข้อมูลที่เรามีคือมาวินออกไปจากบ้านเพื่อนสองสัปดาห์ เขาไม่ได้ไปโรงเรียนอีกหลังจากนั้น และไม่ได้ติดต่อหาญาติคนไหน” ชไมพรแทรกขึ้น “เชื่อได้ว่าเป็นความสมัครใจหนีหายไปของเจ้าตัว แต่ที่เราอยากตามตัวเขา เพราะมาวินเป็นเด็กในความดูแลของมูลนิธิเราน่ะค่ะผู้หมวด”
ปลายฝนและนายตำรวจหนุ่มรู้ว่าชไมพรต้องการกันเธอจากปัญหาหรือความติดใจสงสัยใดๆ ศุภณัฏถอนหายใจแล้วให้ความช่วยเหลือตามหน้าที่
“ผมจะแจ้งไปในระบบ แต่คดีวัยรุ่นหนีออกจากบ้านมักไม่ได้รับความสนใจเท่าไร คุณฝนกับพี่ไหมคงทราบดี”
สองสาวแลกสายตากัน ก่อนปลายฝนจะเป็นฝ่ายหลบตาเพื่อเก็บซ่อนความประหวั่นที่แผ่ขยายเกาะกุมจิตใจมากขึ้นทุกที
ครั้นออกมาจากสถานีตำรวจ ปลายฝนก็คิดหาหนทางใหม่ได้อีกทาง
“ฝนจะติดต่อไปตามมูลนิธิหรือบ้านพักอื่นๆ ด้วย เผื่อจะมีเบาะแสของไม้”
ชไมพรทอดมองสีหน้าแววตาที่อาบด้วยความหวังครั้งใหม่ แล้วก็สะท้อนใจกับความทุ่มเทพยายามของอีกฝ่าย ยากที่เธอหรือใครจะเปลี่ยนตัวตนด้านนี้ของปลายฝน แต่ชไมพรก็รู้ดีอีกเช่นกันว่าลักษณะนิสัยเช่นนี้นำมาซึ่งข้อดีและข้อเสียในการทำงาน
“พี่ถามอย่างหนึ่งสิ ถ้าเราตามหาไม้ไม่เจอ ฝนจะทำยังไงต่อไป”
ดวงตาคู่งามหม่นแสง ปลายฝนหลุบมองมือบนตัก บีบมือสองข้างเข้าด้วยกัน
“ฝนคงลาออก ฝนรับอะไรแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วค่ะพี่ไหม”
เพราะรู้ว่างานนี้มีความหมายต่อหญิงสาวรุ่นน้องอย่างไร คำตอบที่ได้ยินจึงบอกความสำคัญของใครอีกคนเช่นกัน ชไมพรไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เธอหวังให้ปลายฝนและมาวินได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทางที่พวกเขาเลือก และเดินเคียงข้างกันเช่นทุกคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นครอบครัวกัญญามิตร
เพราะระลึกได้ว่าเมื่อคราวประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มาวินเคยติดต่อขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือจากมูลนิธิ ปลายฝนจึงหวังว่าเด็กหนุ่มผู้รู้คิดอาจใช้วิธีเดียวกันนั้นอีกครั้ง
หญิงสาวโทรศัพท์สอบถามไปตามมูลนิธิและบ้านพักฉุกเฉินต่างๆ แห่งแล้วแห่งเล่า ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ก็ไม่มีสถานที่ใดระบุตัวมาวินได้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่พร้อมปักใจเชื่อคำตอบที่ได้รับทันทีทันใด ขอแค่ยังมีความหวังว่ามาวินอยู่ในที่ปลอดภัย เธอก็จะไม่ย่อท้อตามหา ไม่ว่าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพียงใด
ปลายฝนมาทำงานที่มูลนิธิตามปกติก็จริง แต่ทุกครั้งที่ออกไปติดต่อธุระข้างนอกหรือเป็นเวลาพักกลางวัน เธอจะแวะไปที่มูลนิธิหรือบ้านพักฉุกเฉินที่ใดที่หนึ่งเสมอ เพื่อสอบถามและสอดส่องให้แน่ใจว่ามาวินไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ เป็นเช่นนี้ทุกวันจนเพื่อนร่วมงานสังเกตได้ แม้หญิงสาวไม่ได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากคนอื่นและทำทุกอย่างเพียงลำพังก็ตาม
“ฝน พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
ผู้ที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกหลังพักเที่ยงมีสีหน้าตระหนกวูบหนึ่ง แต่ก็ก้าวตามชไมพรเข้าไปในห้องประชุมเล็กติดกับสำนักงาน
เมื่ออยู่ตามลำพัง หัวหน้างานรุ่นพี่จึงเอ่ยตามตรง
“พี่รู้ว่าฝนกำลังพยายามทำอะไร แต่เชื่อพี่เถอะนะ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ได้โกหกปกปิดเรื่องไม้หรอก ต่อให้ฝนตามไปดูให้แน่ใจจนไม่เป็นอันกินอันทำอะไร ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม”
ปลายฝนจ้องมองผู้ที่เตือนสติ แววตาวูบไหว
“ไม้อาจเปลี่ยนชื่อก็ได้ พี่ไหมก็รู้”
“ฝนเอ๊ย” ชไมพรปวดปลาบในอก ยิ่งเข้าใจเหตุผลต่างๆ มากขึ้นก็ยิ่งเห็นใจแกมเวทนาหญิงสาว “ไม่มีความจำเป็นที่ไม้ต้องทำแบบนั้นเพื่อซ่อนตัวจากเราเลย เราไม่เคยทำร้ายเขา”
“แต่ฝนทำ” ปลายฝนเอ่ยเสียงสั่น “พี่ไหมบอกไม่ให้ฝนโทษตัวเอง แต่เรื่องนี้ยังไงฝนก็ผิด ฝนไม่เคยบอกให้ชัดเจนแต่แรกว่าฝนดีต่อเขาเพราะอะไร ฝนทำให้ไม้เข้าใจความรู้สึกผิดไป แล้วแทนที่จะใจเย็นกับไม้กว่านี้ ฝนกลับพูดจาทำร้ายจิตใจเขา ฝนไม่ควรเป็นนักสังคมสงเคราะห์ด้วยซ้ำ”
“ฝนอายุยี่สิบสาม เพิ่งมาทำงานกับมูลนิธิไม่ถึงปี อย่าด่วนตัดสินตัวเองเลวร้ายเกินไป” ชไมพรพูดให้คิด “ฝนคิดจริงๆ หรือว่าถ้าฝนขีดเส้นความสัมพันธ์ชัดเจนเป็นคำพูด ไม้จะไม่ข้ามเส้นนั้น”
หญิงสาวนิ่งงันไปก่อนเสหลบตาที่ทอดมองมาอย่างเข้าใจ
“เรามักพบข้อผิดพลาดเมื่อมองย้อนกลับไป แต่โลกหมุนไปข้างหน้านะฝน เราไม่มีทางรู้หรอกว่าการกระทำหรือการตัดสินใจของเราจะนำมาซึ่งสิ่งใด เราทำดีที่สุด ณ ช่วงเวลานั้นๆ ไม่อยุติธรรมไปหน่อยหรือถ้าเราตัดสินตัวเองย้อนหลัง”
ปลายฝนเม้มปากสะกดกลั้นความรู้สึกที่จุกแน่นในลำคอ ยิ่งชไมพรรักและดีต่อเธอมากเท่าไร เธอก็ยิ่งสะท้อนใจที่ไม่อาจเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นที่ปรึกษาคนนั้นให้แก่มาวิน
“ฝนไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้” เธอครวญ
“พี่รู้”
“ฝนไม่อยากให้ไม้ยึดติดและคิดว่านั่นเป็นความรักเดียวในโลก ต้องเสียอนาคตเสียคนเพราะความรัก ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่ ไม่ใช่เลย”
เมื่อคนคนเดียวที่รู้จักเธอดีที่สุดรับฟัง ปลายฝนก็ระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหมดออกมา
“ไม้อายุสิบเจ็ดตอนรู้จักพวกเรา เขาโตและมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม้เป็นคนพาแม่มาที่มูลนิธิ นั่นก็พอบอกได้ว่าเขามีความคิดไตร่ตรองดีพอตัว พี่พูดแบบนี้ ฝนยังคิดอยู่อีกไหมว่าความรู้สึกที่เขามีต่อฝนเกิดจากการถูกครอบงำความคิด”
หญิงสาวนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง ไม่เคยคิดในมุมนั้นมาก่อน นอกจากเห็นมาวินเป็นเด็กหนุ่มที่ควรค่าแก่การมีอนาคตที่ดี เธอไม่ต้องการให้เขาหันเหออกนอกเส้นทาง...มาผูกติดชีวิตและความรู้สึกนึกคิดกับเธอ
“กรณีของไม้ต่างกับคดีของนิชา...และต่างกับเรื่องของ ‘ฟ้านภา’ มากนะ”
ดวงตาสองคู่สบประสาน ก่อนปลายฝนจะก้มหน้าซ่อนความสับสนระคนร้าวราน ทั้งต่อเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบัน
เธอผิดหรือที่ต้องการให้เขารักตัวเองมากกว่าใคร ไม่พอใจที่เขาตามตอแย แทนที่จะให้ความสำคัญแก่ตัวเอง เธอเจ็บที่เป็นต้นเหตุให้เด็กหนุ่มรักดีเปลี่ยนไปเป็นคนก้าวร้าวเอาแต่ใจ เธอผิดหรือที่ตัดเยื่อใย หวังให้เขามีอนาคตไกลดีกว่ามัวมาสนใจเธอ
ไม่เป็นไร ถ้ามาวินโกรธเคืองเธอจนไม่อยากพบหน้าอีก ปลายฝนไม่ขออะไรมากไปกว่าเบาะแสเพียงน้อยว่าเขายังคงอยู่รอดปลอดภัย
แม้ชไมพรจะพูดให้ได้คิด แต่ไม่อาจเปลี่ยนใจที่เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นได้เสียทีเดียว
เวลาว่างจากหน้าที่รับผิดชอบ ปลายฝนยังคงสืบเสาะหาตัวเด็กหนุ่มตามหน่วยงานที่คาดว่าอาจมีเบาะแส ในที่สุดเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความพยายามของอีกฝ่ายอีกต่อไป กระโดดเข้ามาร่วมวงค้นหาด้วยอีกคน
สองสาวไปที่แผนกนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ แต่ก็ไม่ปรากฏข้อมูลของมาวินเช่นเคย เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวยินดีระคนโล่งใจ พร้อมทั้งบังเกิดความเชื่อมั่นลึกๆ ว่ามาวินไม่มีทางคิดทำอะไรอันอาจเป็นภัยแก่ตัว เขาฉลาดกว่านั้น เข้มแข็งและกล้าหาญ ดังเช่นที่ชไมพรบอกว่าเขาโตพอและมีความคิดเป็นของตัวเองตั้งแต่แรกรู้จักพวกเธอ เขาไม่ใช่นิชา...และยิ่งไม่ใช่ฟ้านภา
ถึงแม้จะทุ่มเทให้แก่การตามหาเด็กหนุ่ม ปลายฝนก็ไม่ลืมวันที่นิชาจะเดินทางกลับบ้าน การได้เห็นเด็กสาวกลับมามีสุขภาพกายใจแข็งแรงพอที่จะเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป สร้างความสุขและความตื้นตันให้เธอในยามที่มองไปทางใดก็มืดมน
“ขอหนูคุยกับพี่ฝนได้ไหม”
ทั้งผู้เป็นพ่อและนักจิตวิทยาประจำมูลนิธิพร้อมใจกันหันมอง ก่อนชไมพรจะเปิดประตูห้องรับรองออกไปพร้อมชายร่างสูงใหญ่ที่ถอนหายใจ เปิดโอกาสให้นิชาได้พูดคุยกับนักสังคมสงเคราะห์ตามลำพัง
“นิชามีอะไรอยากบอกพี่เหรอ” ปลายฝนฝืนพูดคุยด้วยน้ำเสียงระรื่นคล้อยหลังทุกคนออกไป
ใบหน้าเด็กสาวแต้มยิ้มจางๆ ขณะก้าวมากุมมืออีกฝ่าย ปลายฝนบีบกระชับมือข้างนั้นอย่างไม่ลังเล
“หนูอยากขอบคุณพี่ เพราะพี่ หนูถึงมีวันนี้”
“เพราะนิชาเข้มแข็งและเก่งอยู่แล้วต่างหาก”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” คนเก่งยิ้มเศร้า “หนูอ่อนแอต่างหากถึงถูกความรักบังตาจนทำร้ายตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง หนูก็คงโกรธเกลียดตัวเองและโลกนี้ คิดว่ามีแต่หนูที่โง่และน่าสมเพชอยู่คนเดียว”
ปลายฝนลูบเรือนผมอีกฝ่าย เข้าใจคำพูดนั้นดีทีเดียว และเธอก็ดีใจที่นิชาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นอีกต่อไป
“พี่ดีใจที่นิชาคิดได้ นิชาทำให้เรื่องราวนั้นคุ้มค่าและมีความหมายในแง่ดี”
รอยยิ้มเด็กสาวสดใสขึ้น หัวใจที่เคยคิดว่าตายด้านขยับขยายพองฟูขึ้นเล็กน้อย
“พี่กับพี่ฟ้าจะเป็นคนที่หนูระลึกถึงเสมอ ไม่ว่าจากนี้ไปจะเป็นยังไง”
“ถูกต้องแล้ว นิชาไม่ได้ตัวคนเดียว แต่มีพี่และเพื่อนอีกหลายคนเลยละ แล้วคนเหล่านั้นก็คงต่อสู้กับปัญหาของพวกเขาเพื่ออนาคตที่ดีกว่าเดิม”
หญิงสาวประหวัดถึงเด็กหนุ่มอีกคนที่มีเลือดนักสู้เต็มเปี่ยม มีความหวังหล่อเลี้ยงชีวิตเสมอ ไม่ว่าชีวิตจะกลั่นแกล้งทดสอบเขาอย่างไรก็ตาม ทั้งมาวินและนิชาต่างจุดไฟดวงเล็กให้ส่องแสงรำไรในหัวใจเธอโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
“กลับจากซัมเมอร์ หนูจะแวะมาหาพี่นะคะ”
“พี่จะรอจ้ะ”
สองสาวยิ้มให้กัน ปลายฝนได้ตระหนักว่าการที่คนคนหนึ่งเติบโตจากไปจากสถานที่แห่งนี้ทำให้ทุกความเหนื่อยยาก ทุกการต่อสู้กับแรงต้านทานทั้งจากคนนอกและภายในใจตนเองมีความหมายงดงาม
หนึ่งเดือนกว่าแล้วที่หญิงสาวพยายามทำทุกวิถีทางที่จะตามหาคนที่เงียบหายไป แต่ละวินาทีที่เธอสืบเสาะหาข่าวคราวของมาวินเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับช่วงเวลาที่เธออยู่ลำพังในห้องเช่าเล็กๆ หรือบนถนนที่เต็มไปด้วยรถรา
อย่างหลังนั้นเองที่บีบรัดหัวใจเธอให้ทรมาน หลายคืนที่ปลายฝนไม่อาจข่มตานอนได้เต็มตา การเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะกลายเป็นเหมือนโทษทัณฑ์ที่เธอได้รับทุกเมื่อเชื่อวัน เธออดคิดถึงเด็กหนุ่มที่เคยสร้างสีสันให้แก่ชีวิตไม่ได้ มาวินเป็นดั่งรุ่งอรุณ เป็นแสงของยามเช้าที่เข้ามาขับไล่ฝันร้าย ให้เริ่มต้นวันใหม่อย่างมีพลัง
เมื่อไม่มีเบาะแสเขาตามมูลนิธิต่างๆ หญิงสาวก็วนกลับไปยังจุดเริ่มต้นดั่งคนหลงวนในเขาวงกต เธอทำตัวไม่ต่างจากพ่อของเขา เที่ยวถามถึงเขาจากเพื่อนร่วมโรงเรียน แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม เช่นเดียวกับที่เธอไม่สามารถติดต่อเขาโดยตรงผ่านการโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชันสนทนา ราวกับมาวินจงใจตัดขาด ปิดกั้นตัวเองจากเธอที่เขาอาจเกลียดชัง
ปลายฝนพยายามทำใจยอมรับความจริง แต่ทุกครั้งที่มีสายเรียกเข้าจากหมายเลขไม่รู้จัก เธอก็รีบรับสายด้วยหวังว่าอาจได้รับเบาะแสของเขา ไม่เข็ดกับความผิดหวังที่ตามมาหลังจากนั้นทุกคราไป
คราวนี้เช่นกันที่โทรศัพท์มือถือแสดงหมายเลขไม่คุ้นเคย ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ลังเลที่จะรับสาย ก่อนจะรู้สึกเหมือนหนามแหลมนับพันทิ่มแทงบนเนื้อหัวใจ ทันทีที่รู้ว่าผู้โทร. เข้ามาคือแม่บังเกิดเกล้า
แม่เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เสมอเพื่อหลบหนีเจ้าหนี้ เมื่อไม่สำเร็จก็จะร้องขอให้เธอส่งเงินให้ แน่นอนว่าเธอไม่มีปัญญาหาเงินก้อนโตให้แม่หยิบยืม ปลายฝนชินเสียแล้วกับคำด่าทอ เพราะนั่นไม่น่าหนักใจเท่าอีกเรื่องหนึ่งที่แม่มักขอความช่วยเหลือจากเธอ
ครั้นไปถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นอะพาร์ตเมนต์สภาพเก่าซอมซ่อ เธอก็พบต้นเหตุนอนตัวงอบนฟูกที่นอนเปื้อนเลือด ปลายฝนรู้ทันทีว่าโลหิตนั้นมาจากอาการตกเลือด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องปัดกวาดสิ่งที่แม่ทำ แล้วมันก็เกินกว่าที่เธอจะรับได้อีกต่อไป
หลังนำส่งผู้ที่มีสติสัมปชัญญะครึ่งๆ กลางๆ ถึงมือแพทย์เครือข่ายอาสาสมัคร ปลายฝนก็ปลีกตัวเพื่อโทร. หาแม่ทันที ทว่าคนที่ผลักภาระมาที่เธอกลับปิดกั้นการติดต่อ จุดชนวนไม่พอใจให้แก่หญิงสาวมากขึ้นอีก เธอตัดสินใจตรงดิ่งไปที่สถานบันเทิงที่แม่ทำงานเป็นลูกจ้าง
เวลาเย็นแดดร่มลมตกเริ่มมีพนักงานทยอยมาเตรียมสถานที่ก่อนถึงเวลาเปิดบริการ หากมองจากภายนอกอาคารทึบสูงสี่ชั้นที่ตั้งอยู่โดดๆ บนที่ดินกว่าสองไร่ก็เหมือนสถานบันเทิงยามค่ำคืนทั่วไป ทว่าแท้จริงมีการขายบริการทางเพศผิดกฎหมาย แม่ของเธอจึงคิดริเริ่มประกอบอาชีพเสริม...ด้วยการรับจ้างยุติการตั้งครรภ์
ปลายฝนไม่อยากย่างเท้าเข้าไปภายใน เธอจำต้องเจียดเงินว่าจ้างพนักงานคนหนึ่งตามแม่ออกมาพบตนที่ลานจอดรถแทน ก่อนเปิดฉากระบายความอัดอั้นทันที
“แม่ทำอะไรลงไป ผู้หญิงคนนั้นแท้งค้างและตกเลือด อวัยวะของตัวอ่อนยังคาอยู่ในมดลูกอยู่เลย เขาเป็นทารก มีอวัยวะแล้วนะแม่!”
“ก็มันมาขอให้ฉันช่วย แกจะให้ฉันทำไง ฉันก็ช่วยเท่าที่ทำได้”
คำตอบไม่สะทกสะท้านจุดไฟโทสะให้แผดเผาในอก หลายครั้งที่ความจำเป็นบีบบังคับให้เธอต้องก้าวขาข้างหนึ่งข้ามความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ที่ผ่านมาเธอจำใจช่วยเหลือผู้หญิงเหล่านั้นเพื่อสวัสดิภาพของพวกเธอ แต่หลังจากนี่เป็นรายที่สาม เธอก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ทำเป็นเพียงการแก้ปัญหาปลายเหตุ
“มันเป็นงานของแกอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่” หญิงสาวสวนทันควัน “งานของหนูคือเอาผิดแม่และสถานที่แบบนี้ต่างหาก”
“หน็อย...แน่จริงแกก็เอาเพื่อนแกกับตำรวจมาลงเลย แกเองนั่นแหละจะติดร่างแหด้วย”
ดวงตาคู่งามวูบไหวเมื่อถูกสะกิดแผลในใจ เธออาจไม่เด็ดเดี่ยว แกร่งกล้าพอจะทำเช่นนั้น ทว่าแต่นี้ไปเธอจะไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่อาจทนรู้เห็นในสิ่งที่แม่กระทำ
“หนูมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกว่าต่อไปแม่ไม่ต้องโทร. มาหว่านล้อมให้หนูช่วยอีก หนูไม่สนใจอีกแล้ว ถ้าแม่ยังคิดหาเงินด้วยวิธีนี้ แม่ก็ต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา”
สองแม่ลูกไม่ทันสังเกตว่าประตูลิฟต์วีไอพีเปิดออก กระทั่งบุรุษรูปร่างสูงสง่าก้าวออกมา เสียงส้นรองเท้าที่กระทบตามจังหวะก้าวเดินถึงเรียกความสนใจ
“พูดเรื่องอะไร”
ความเย็นยะเยือกแล่นผ่านไขสันหลังของหญิงต่างวัยทั้งสองคน สตรีวัยกลางคนค้อมกายพินอบพิเทาพลางพูดคุยประจบเอาใจผู้เป็นนาย
“จะกลับแล้วเหรอค้า เมื่อคืนก่อนเสี่ยสันต์บอกว่าคืนนี้จะเข้ามาอีก เด็กๆ ดีใจใหญ่เชียว ก็เสี่ยแกกระเป๋าหนักสมกับเป็นเพื่อนคุณรุกข์”
หนุ่มใหญ่ไม่ได้ให้ค่าน้ำคำสอพลอ แต่วางสายตานิ่งที่หญิงสาวหน้าตาหมดจด แม้กระทั่งไรผมชื้นเหงื่อของเจ้าหล่อนยังเย้ายวนใจ
“แม่เธอทำอะไร บอกฉันมา” เขาถามย้ำเรื่องเดิม
ต่อให้เอวด้านหลังของเธอไม่ได้ถูกแม่หยิก ปลายฝนก็ไม่คิดจะสนทนาวิสาสะกับบุรุษผู้นี้ ไม่คิดว่าจะพบเจอเขาเสียด้วยซ้ำ
ทว่าไม่มีใครแข็งข้อกับรุกข์ได้ มือแข็งแรงราวคีมเหล็กบังคับเชยคางหญิงสาวขึ้นมาสบตา ผู้เป็นแม่พลันถอยห่างไปหยั่งสถานการณ์ไกลๆ
“ฉันบอกให้พูด”
ปลายฝนสู้สบสายตาดุดัน ตลกร้าย แม้แต่ตอนนี้เธอก็อ่านความรู้สึกเจ้าของดวงตาดำมืดคู่นั้นได้ว่าเขากำลังไม่สบอารมณ์
“คุณเป็นเจ้านาย ก็ถามลูกน้องตัวเองสิคะ”
นานมากแล้วที่เธอไม่กลัวว่าจะทำให้เขาโกรธหรือไม่พอใจ มันไม่สำคัญอีกแล้ว
“ปากอย่างนี้ รู้ไหมว่าฉันทำอะไรกับเธอได้บ้าง ไอ้มูลนิธิที่เธอทำงานให้มันคุ้มกะลาหัวเธอไม่ได้ตลอดไป”
“ฉันรู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณไม่เสี่ยงแลกทุกอย่างเพื่อแก้เผ็ดฉัน ถ้าทำ คุณคงทำไปนานแล้ว”
“ฟังเหมือนน้อยใจ”
หนุ่มใหญ่ยิ้มมุมปากพลางกวาดตาทั่วดวงหน้าน่ารัก ลามไปถึงเรือนร่างของหญิงสาวที่โตเต็มวัย
“ไม่เจอกันกี่ปี เสียดาย เหลือแต่ความฉลาดของเธอที่ยังตรงรสนิยมฉัน”
ปลายฝนหน้าหันตามแรงสะบัดมือของผู้ที่ยอมปล่อยเธอในที่สุด หญิงสาวเม้มปากแน่น รีบเดินหนีความอดสูที่แผ่ซ่านไปทุกอณูความรู้สึก ก่อนโบกรถแท็กซี่ที่แล่นผ่านโดยไม่หันกลับไปมองอีก
ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนเจ็บแปลบ ปลายฝนหายใจสะท้าน แม้นั่งรถจากมาแล้ว แต่สายตาคมปลาบที่จับจ้องยังคงตามมาหลอกหลอน ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เจ้าของดวงตาคู่นั้นก็มีอิทธิพลเหนือเธอ
เธอไม่น่าหวนกลับมาที่นี่ ไม่น่ารับสายแม่แต่แรก และยิ่งไปกว่านั้น ปลายฝนเพิ่งคิดได้ว่าเธอน่าจะหนีหายไปเช่นเดียวกับมาวิน แต่ก็เหมือนทุกเรื่องที่มาคิดได้เมื่อสาย เธอไม่อาจย้อนไปแก้ไขชีวิตตนเอง หรือแม้แต่เรียกคำพูดร้ายกาจของตนกลับคืน
‘ประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม่ของไม้ไม่ใช่คนผิดในเรื่องนี้ ผู้หญิงบางคนต่อให้ถูกทำร้ายจิตใจหรือร่างกายแค่ไหน แต่ยังรักผู้ชายที่ทำร้ายเธอก็มี’
‘ผมไม่ได้โกรธแม่ ผมแค่เสียใจและเสียดายที่แม่ไม่ให้โอกาสตัวเองได้มีชีวิตที่ดีกว่าที่เคยเป็น’
คำพูดของเด็กหนุ่มดังสะท้อนในความทรงจำ สั่นสะเทือนใจคนที่เคยล้มเหลวไม่ต่างจากแม่ของเขา ผิดแต่ว่าเธอยังมีลมหายใจ
ปลายฝนตัดสินใจลงจากรถแท็กซี่หน้าห้างสรรพสินค้าย่านรังสิตเพื่อต่อรถประจำทาง หญิงสาวยืนปะปนกับผู้คนจำนวนมากที่ป้ายรถประจำทาง แต่แล้วขณะที่รถคันหนึ่งจอดเทียบทางเท้าตรงหน้า ปลายฝนก็บังเอิญเงยหน้าขึ้นไปเห็นผู้โดยสารหนุ่มคนหนึ่งริมหน้าต่าง แม้เขาจะนั่งก้มหน้าน้อยๆ สวมหูฟัง เธอก็จดจำเขาได้ในทันที
“ไม้” เธอเรียก แต่เขาไม่ได้หันมา
ร่างบางพยายามเบียดแทรกผู้คน เวลาเดียวกันนั้นรถประจำทางก็เริ่มเคลื่อนออกจากป้าย
“ไม้!”
ปลายฝนวิ่งไล่ตามจนสุดทางเท้า ทว่ารถคันใหญ่ก็ห่างสายตาออกไปเรื่อยๆ
“ไม้!”
หญิงสาวตะโกนสุดเสียง ก่อนทิ้งตัวลงบนเข่าอย่างไร้กำลัง น้ำตาพรั่งพรู
เป็นเขาไม่ผิดแน่ ราวกับโชคชะตาเห็นใจเธออยู่บ้าง...รับฟังคำอธิษฐานของเธอ จึงได้เห็นกับตาว่ามาวินยังปลอดภัยดี แต่กลับไม่มีโอกาสพูดจา นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้เหลียวมองเธอด้วยซ้ำไป
เพราะแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไป ปลายฝนจึงตัดสินใจมายังตึกแถวร้านจำหน่ายแก๊สหุงต้มที่มาวินเคยอยู่อาศัย ด้วยหวังว่าเขาอาจกลับมาทำงานที่เดิมหรือส่งข่าวหาเพื่อนอีกครั้ง
ตอนที่ไปถึง เด็กหนุ่มรูปร่างใกล้เคียงกับมาวินกำลังดึงประตูม้วนเหล็กหน้าร้านลงพอดี แต่ครั้นเห็นเธอ บุรีจึงก้มตัวลอดประตูออกมา
“มาหาไม้อีกแล้วสิพี่” เขาดักคอ “เป็นเดือนแล้วนะ มันคงไม่กลับมาแล้วละ”
“วันนี้พี่เจอไม้บนรถเมล์แถวรังสิต แต่ตามไปไม่ทัน บีพอรู้ไหมว่าไม้รู้จักใครที่อยู่แถวนั้นบ้าง”
เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง ต่อให้มีเรื่องบาดหมางขุ่นเคือง เขาก็ไม่เคยคิดตัดเพื่อนกับอีกฝ่าย เหตุการณ์คืนนั้นเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ
“รังสิตกับแถวนี้อยู่คนละโยชน์ ผมคิดไม่ออกเลย”
“ฝากบีถามเพื่อนได้ไหม เผื่อมีใครพอรู้”
บุรีทำหน้านิ่ว มองหญิงสาวที่ไม่ลดละความพยายามตามหาเพื่อนของตน ครั้นเขาพยักหน้า สีหน้าของเธอผู้นั้นก็สะท้อนความหวังระคนซาบซึ้งใจ
ทว่าเมื่อปลายฝนหันหลังเดินจากไปได้ไม่กี่ก้าว คำพูดของเด็กหนุ่มก็หยุดเธอไว้
“ถ้าไม้มันรู้ว่าพี่ห่วงมันขนาดนี้ มันคงดีใจ”
หญิงสาวไม่ได้หันกลับไป แต่กะพริบตาไล่หยาดน้ำที่รื้นขึ้นมากบตา
“มันชอบพี่มาก มันบอกผมเองว่าพี่คือกำลังใจสำคัญของมัน เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้มันอยากเป็นคนดีกว่าเดิม”
ความรู้สึกที่เธอไม่ปรารถนาจะรับรู้ คำสารภาพที่เธอไม่อยากรับฟัง บัดนี้กลับสะท้อนกังวานในใจ
‘พี่ผิดเองที่มอบความสนิทสนมให้ไม้ ไม่ทันสังเกตและระวังว่าไม้อาจเข้าใจความหมายของมันผิด’
‘ถ้านั่นคือสิ่งที่พี่คิด ผมก็จะบอกให้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับพี่ไหมหรือใครอื่น พี่ยังคิดว่ามันเป็นแค่ความหวั่นไหวของเด็กอย่างผมอีกรึเปล่า’
ปลายฝนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ เธอทำลายความรักที่ดีงามที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตตน...อย่างไม่มีวันเรียกกลับคืน
ความคิดเห็น |
---|