11

บทที่ ๑๑

บทที่ ๑๑

 

อีกเช้าที่การตื่นมาใช้ชีวิตตามกิจวัตรประจำวันเป็นความน่าเหนื่อยหน่าย ชวนให้หวนคิดถึงช่วงเวลาที่เคยมีใครคนหนึ่งเป็นความชุ่มชื่นใจในแต่ละวัน เขาคือไม้ต้นเดียวที่หยั่งรากยืนต้นในชีวิตแห้งแล้งของเธอ

ถ้าเพียงแต่มาวินจะไม่รู้สึกกับเธอเกินเลยก็คงดี เธอคงยังมีเขาในชีวิตเช่นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา และอยากเก็บรักษาเขาไว้ตลอดไป แต่ในเมื่อรับรู้ความรู้สึกของเขาเช่นนี้แล้ว ปลายฝนไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากตัดไฟแต่ต้นลม ยิ่งความรักที่ไม่ควรเกิดขึ้นเปลี่ยนเด็กหนุ่มเป็นอีกคนที่ก้าวร้าว ประชดประชัน เธอก็ยิ่งผิดหวัง รวดร้าว ที่มีส่วนให้เด็กคนหนึ่งหลงผิดมารักชอบตน

ใช่ว่าเธออยากใจร้ายใจดำกับเขา แต่ถ้าเธอใจอ่อน มาวินก็คงวนเวียนเรียกหาความรักความสนใจดังที่เป็น แทนที่เขาจะได้ตัดใจหันไปสนใจพัฒนาตนเองอย่างที่ควรเป็นในวัยของเขา ได้เรียนรู้ชีวิต ได้คิดและตัดสินใจตามความต้องการแท้จริงของตนเอง เพราะไม่ควรมีความรักใดเปลี่ยนเส้นทางหรือหยุดยั้งเด็กคนหนึ่งจากการเติบโตสู่อนาคตที่ดี

หญิงสาวไม่อาจย้อนไปแก้ไขอดีตคนทุกคน มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่เธอหวังจะปรับเปลี่ยนทัศนคติของนิชากับมาวิน เพื่อไม่ให้พวกเขาถูกเงื้อมเงาแห่งรักล่อลวงหรือครอบงำ

เสียงเคาะประตูฉุดดึงหญิงสาวออกจากภวังค์ เธอหันมองผู้ที่เปิดประตูเข้ามาด้วยความประหลาดใจ ก่อนรอยยิ้มจางๆ จะปรากฏพร้อมชื่อที่ผ่านริมฝีปากออกไป

“นิชา”

เด็กสาวไม่ได้ยิ้มตอบ แต่กวาดตาสำรวจรอบสำนักงานของมูลนิธิ ครั้นไม่พบใครอื่นจึงหยุดสายตาที่ผู้ที่เคยหลั่งน้ำตาให้เธอ

อาจตั้งแต่วินาทีที่หญิงสาวผู้นั้นพุ่งตรงมาช่วยชีวิต ตาสบตาด้วยความหวาดหวั่นดุจเดียวกัน แล้วยังเป็นคนคนเดียวที่หลั่งน้ำตาให้เธอ นิชาจึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางคนแปลกหน้าอีกต่อไป

“ไม่มีใครอยู่เลย พี่บางคนอยู่ที่ห้องสันทนาการ ส่วนพี่ไหมกับพี่คนอื่นไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือกัน แต่เดี๋ยวก็มาแล้วละ” ปลายฝนตอบคำถามทางสายตาของเด็กสาวที่มองรอบตัว

ทว่าคำตอบของนิชาสร้างความแปลกใจให้ปลายฝนยิ่งกว่าการที่เธอมาปรากฏตัว

“หนูมาหาพี่”

ดวงตาคมซึ้งฉายแววตกตะลึงวูบหนึ่ง ปลายฝนรีบกลบเกลื่อนสีหน้าและเลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่ายนั่งข้างโต๊ะทำงาน

“มาสิ นิชาอยากคุยอะไรกับพี่เหรอ”

ร่างผอมบางจนไม่สังเกตเห็นครรภ์อ่อนๆ นั่งลงแต่โดยดี แม้ใบหน้าอ่อนเยาว์จะยังคงซีดเซียว ขับเน้นดวงตาลึกโหลให้เด่นชัด ทว่าแววตาไม่ได้ว่างเปล่าเลื่อนลอยเช่นที่ผ่านมา

“หนูจะทำแท้ง” 

นั่นเป็นหนึ่งในหัวข้อที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิและผู้เกี่ยวข้องพูดคุยหาทางออกร่วมกัน ปลายฝนไม่คาดคิดว่าเด็กสาวจะไว้ใจเอ่ยเรื่องนี้กับเธอ

“ทำได้ใช่ไหม หนูเคยได้ยินมาว่าถ้าเป็นการตั้งครรภ์จากการข่มขืนหรือถูกกระทำชำเรา สามารถทำแท้งได้โดยไม่มีความผิดตามกฎหมาย”

ปลายฝนขยับไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นครั้งแรกที่นิชาพูดคุยโต้ตอบยาวๆ คำพูดคำจายังแสดงถึงพื้นฐานความคิดความอ่านอย่างที่เด็กวัยสิบเจ็ดน้อยคนจะตระหนักถึง

เสียดาย...น่าเศร้าที่ครูผู้ควรจะสร้างคนกลับเห็นแก่ตัว เด็ดดมดอกไม้แรกแย้มเสียเอง

“ใช่ กฎหมายยกเว้นเหตุความผิดแก่หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดทางเพศ แต่การจะยุติการตั้งครรภ์ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อตัวนิชาเอง นิชาพร้อมจะคุยเรื่องนี้กับพี่คนอื่นไหม”

นัยน์ตาคู่งามไหววูบ ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็กดคางลง

“หนูพร้อม หนูไม่ต้องการเกี่ยวข้องหรือมีพันธะกับคนคนนั้น หนูอยากกลับมาเป็นตัวหนูเอง พี่ช่วยหนูนะ”

ไม่มีน้ำตาหวนไห้อาดูรอีกต่อไป มีเพียงประกายตามุ่งมั่นตั้งใจที่มองมา และมือสองคู่ที่บีบกันไว้ถ่ายทอดความเข้มแข็งและพลังใจ

 

การตัดสินใจของนิชานำมาซึ่งความแปลกใจระคนโล่งใจของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่เว้นแม้แต่บิดาของเด็กสาวที่ทราบเรื่อง พอจะปิดปากที่ชอบสาดวาจาซ้ำเติมลูกตนเองลงได้บ้าง

นักสังคมสงเคราะห์สาวแทบไม่ได้มีบทบาทหน้าที่ในกระบวนการขั้นต่อไป เพราะเป็นหน้าที่ของนักจิตวิทยาประจำมูลนิธิอย่างชไมพรร่วมกับจิตแพทย์ประเมินสภาพจิตใจของเด็กสาว ทว่าปลายฝนก็ได้รับรู้ความเป็นไปจากเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่อยู่เนืองๆ

“นิชาผ่านการประเมินความพร้อมของแพทย์แล้ว พรุ่งนี้ก็ถึงวันนัดยุติการตั้งครรภ์”

ปลายฝนเงยหน้ามองสาวผมซอยสั้นที่ยืนกอดอกอิงสะโพกกับโต๊ะทำงานพลางถอนหายใจ หญิงสาวระบายยิ้มจางๆ ออกมาพร้อมกับมวลความรู้สึกที่อัดแน่นในอก

“ผิดไหมคะ ถ้าฝนจะบอกพี่ไหมว่าดีใจที่นิชาตัดสินใจแบบนี้”

“ไม่ผิดหรอก ศีลธรรมที่คนเขาว่ากันมันตัดสินแค่เหตุปัจจัยเดียวไม่ได้ ยิ่งในกรณีนี้มันคืออนาคต...คือชีวิตที่เหลือของเด็กคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ผิดอะไรเลย”

ในเมื่อนิชาไม่ผิดที่รักครูคนนั้น แล้วกับมาวิน...เธอตัดสินโทษของเขาแรงไปหรือไม่ ใจร้ายไปไหมที่ด่วนผลักไส แทนที่จะชี้แนะทางที่ถูกที่ควร และรอเวลาที่เขาจะเดินต่อไปได้อย่างเข้มแข็งลำพัง

“นั่นทำอะไรอยู่ล่ะ”

ปลายฝนสะดุ้งออกจากภวังค์เมื่อชไมพรยื่นหน้ามามองหน้าจอคอมพิวเตอร์

“อ๋อ กำลังทำตารางออกเยี่ยมของเดือนหน้าค่ะ”

“อืม ฝนติดต่อไม้ทีสิ อยากคุยดูว่าเราจะช่วยเป็นธุระจัดการอะไรได้บ้างเรื่องพ่อของเขา”

หญิงสาวก้มหน้าหลบตา แต่ดูเหมือนเป็นการพยักหน้าในสายตาคู่สนทนา

“ตอนที่ผู้หมวดเล่าให้พี่ฟัง ไม่คิดเลยว่าแกจะมาด่วนจากไป”

“ค่ะ”

ถึงจะเคยมีเรื่องบาดหมาง แต่เหนืออื่นใดแล้วพวกเธอไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ทุกสิ่งที่ทำก็เพื่อมุ่งหวังพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและสตรีเท่านั้น ทว่าคนในสังคมบางคนกลับมองพวกเธอเป็นศัตรู

“ถ้าเราไม่ละเลย หาทางให้แกได้รับการบำบัดสุรา เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้” หญิงสาวรุ่นน้องเปรยแผ่วเบา “แล้วบางที...เราอาจคืนครอบครัวกลับให้ไม้ก็ได้นะคะ”

หากเป็นเช่นนั้น มาวินคงจะไม่ยึดติดเธอจนเผลอใจคิดว่าเป็นความรัก มาวินคงจะมีใครสักคนให้หันไปหา เติมเต็มช่องว่างในหัวใจแทนที่เธอ

“มันจะเป็นประสบการณ์และบทเรียนของเรา” ชไมพรถอนหายใจพลางบีบไหล่เจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ “พี่เองก็เคยตั้งความคาดหวังกับตัวเองไว้สูงตอนเริ่มทำงานนี้ คิดว่าจะช่วยคนทุกคนได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะบริหารความคาดหวังของเราไปพร้อมกัน ความคาดหวังก็เหมือนไฟนะฝน ถ้าไฟมันร้อนเกินไปก็ไหม้ใจเรา แต่ถ้าไฟมอดก็ไม่ต่างอะไรกับหมดใจที่จะทำงานนี้ต่อไป”

ปลายฝนบีบมือบนไหล่ ฝืนยิ้มให้เพื่อนร่วมงานที่ให้สติและดีต่อเธอเสมอมา 

ครั้นชไมพรผละไป หญิงสาวก็หันกลับไปจดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง คราวนี้เธอเปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมา ตัดสินใจค้นหาบริษัทองค์กรเอกชนที่อาจพิจารณามอบทุนการศึกษาให้มาวิน

นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอพอจะทำเพื่อเขา...และเพื่อชดเชยความผิดของตน

 

ถ้าโลกคือโรงละครโรงใหญ่อย่างที่ใครบางคนกล่าวไว้ ชีวิตแต่ละคนก็คงเป็นดั่งบทละครหลากรส หลายเรื่องราว

เรวดีส่งข่าวมาว่าเพิ่งให้กำเนิดลูกคนแรก ขณะที่ปลายฝนและชไมพรกำลังรอนิชาพักฟื้นจากการยุติการตั้งครรภ์ แล้วทันทีที่เข้าไปเยี่ยม ปลายฝนก็ไม่ปล่อยให้เด็กสาวรอเก้อ ตรงไปสวมกอดคนบนเตียงที่ปล่อยโฮ

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นิชาหลั่งน้ำตา

ตลอดสามวันที่กลับมาพักฟื้นที่มูลนิธิ เด็กสาวเก็บซ่อนความรู้สึก...ไม่แสดงความยินดียินร้ายต่อสิ่งใด แม้ผู้เป็นพ่อออกปากว่าจะส่งเธอไปร่ำเรียนภาษาในต่างแดนช่วงฤดูร้อนที่จะมาถึง แล้วค่อยกลับมาหาที่เรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่คดีความของครูผู้นั้นถูกหยิบยกขึ้นมา สีหน้าแววตาของนิชาก็ไม่อาจซ่อนเร้นความเจ็บช้ำข้างใน

ทุกชีวิตล้วนมีบาดแผล ต่างแต่ว่ามากน้อยแค่ไหน และบางครั้งเราก็พลั้งพลาดสร้างบาดแผลให้แก่ผู้อื่น

กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ปลายฝนไม่ได้พบมาวินอีกเลย เขาหายไปจากชีวิตเธอราวกับใครบางคนเสกเมฆหมอกอำพรางไว้ บ่อยครั้งที่เธอเผลอมองหาเขาที่ป้ายรถประจำทาง บนรถประจำทาง หรือในซอยลัดที่เขาเคยมาส่งแก๊ส แต่ก็ไร้วี่แววอย่างน่าใจหาย 

กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ถัดมา หญิงสาวก็ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์คุ้นหูระหว่างรอซื้อยำเจ้าเดิม เครื่องยนต์ที่ผ่านการใช้งานมานานแผดเสียงประท้วงผู้ขับขี่ลั่นซอย ปลายฝนไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้หันมองตามเสียง เช่นเดียวกับที่ก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำสูญเสียการควบคุม ก่อนที่ภาพชายผิวคล้ำหน้าตาดุดันซึ่งแบกถังแก๊สลงจากรถเข้าไปในร้านอาหารฝั่งตรงข้ามจะเหวี่ยงเธอออกจากความคาดหวัง หล่นกระแทกพื้นจนจุกไปทั้งใจ

ไม่ใช่มาวิน...เธอจำรถคันเก่าที่ตนเคยซ้อนได้ ไม่มีทางลืมช่วงเวลานั้น แล้วก็ถูกความจริงปัจจุบันตอกย้ำว่าบางสิ่งบางอย่างหล่นหายไปจากชีวิตเธอ

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด ปลายฝนก็ยิ่งเจียนจะหมดแรงต้านความคิดแง่ลบที่มักผุดพรายขึ้นมา เธอหวาดกลัวว่ามาวินจะทำอย่างที่เขาลั่นวาจา กลัวเขาจะละทิ้งความดีและความหวังต่อชีวิต กลัวว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้พบเจอเขาคนเดิมอีกเลย

ทั้งๆ ที่เพิ่งหาทางออกให้แก่เด็กสาวได้ เวลานี้ปลายฝนกลับรู้สึกเหมือนเธอมืดแปดด้าน ไม่สามารถปรึกษาใครได้แม้แต่ชไมพร 

ความหวังเดียวที่มีและกระตุ้นให้เธอมองไปข้างหน้าคือคำตอบเรื่องทุนการศึกษา หลังเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ประสบปัญหาครอบครัว ต้องทำงานพิเศษเพื่อส่งเสียตัวเองเล่าเรียน แต่ก็สามารถรักษาผลการเรียนได้ดีเยี่ยม บ่งบอกความมุมานะอุตสาหะของเจ้าตัว เพื่อขอทุนการศึกษาจากภาคเอกชนซึ่งเคยสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิไปไม่นาน เธอก็ได้รับข่าวดีจากองค์กรนั้น ทว่าเมื่อนำเจตจำนงไปแจ้งทางโรงเรียน เธอก็ตกตะลึงกับข่าวคราวที่ทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น มาวินขาดเรียนกว่าสองสัปดาห์ ไม่มีใครติดต่อเขาได้ รวมถึงเพื่อนสนิทซึ่งให้ที่อยู่อาศัยชั่วคราว

หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเป็นคนร้ายกระทำความผิดที่กำลังจะถูกพิพากษา ท่ามกลางสายตาพยานซึ่งก็คือครูประจำชั้นและเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับมาวินที่มาให้การยืนยันว่าเขาหายตัวไป

“ผมนึกว่ามันคงไปที่มูลนิธิ ถ้าไม่มีที่ไป” บุรีบอกเล่าไม่เต็มปาก 

“ไม้ออกไปจากบ้านบีเมื่อไร” เธอถามเสียงพร่าเบา เช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นแผ่วลงทุกที

“ประมาณสองอาทิตย์ได้ฮะ”

ใบหน้าซีดขาวเผือดสีลงกว่าเดิม ปลายฝนกัดริมฝีปากสั่นระริกไว้แน่น เธอรีบขอตัวออกมา ก่อนที่เสียงเรียกไล่หลังของบุรีจะหยุดยั้งหญิงสาวไว้ขณะลงบันได

“พี่ชื่อฝนใช่ไหม” เขาถามเพื่อความแน่ใจ แม้จะเชื่อมั่นในความคิดตนเองก็ตาม

“ใช่จ้ะ” เธอพยายามอย่างหนักที่จะเปล่งเสียงโต้ตอบ “บีมีอะไรเกี่ยวกับไม้จะบอกพี่หรือเปล่า”

ดวงตาคมซึ้งเจือรอยเว้าวอนโดยที่เจ้าตัวไม่อาจรู้ได้ มันสะท้อนออกมาจากก้นบึ้งหัวใจที่ทุกข์ระทม รวดร้าว และห่วงกังวลถึงคนที่หายตัวไป ไม่มีใครรู้ชะตากรรม

บุรีลังเลอยู่อึดใจ ความโกรธเคืองที่มีต่อเพื่อนก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นความห่วงใยเมื่อรู้ว่ามาวินไม่ได้ไปหาอีกฝ่ายดังที่คิด

“ผมไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่ไม้มันออกจากบ้านไปหรือเปล่า แต่พักหลังมันเปลี่ยนไป” เด็กหนุ่มจ้องมองหญิงสาวรุ่นพี่ด้วยแววตาเคลือบแคลง “มันไม่ร่าเริงเหมือนเคย ทำตัวเครียดตลอดเวลา มันบอกว่าพี่โกรธมัน”

ปลายฝนอึ้งงัน นาทีนั้นเธอลืมความหวาดระแวงว่าจะมีใครรับรู้ความรู้สึกที่มาวินมีต่อเธอ รู้แต่เพียงความเจ็บปวดยามนี้บีบรัดหัวใจราวกับมีมือที่มองไม่เห็นหมายบิดหัวใจออกจากขั้วให้จงได้

“ไม้...ไม้บอกอะไรบีอีก”

“พักหลังมันไม่ค่อยพูด” บุรีหลบตา “คืนสุดท้ายที่ผมเจอมัน มันหาเรื่องกวนตีนผม ท้าให้ผมต่อยมัน เรามีเรื่องชกต่อยกัน ผมเลยไล่มันไป”

นั่นไม่ใช่มาวินที่เธอรู้จัก ไม่ใช่เลย...พลันคำพูดที่เขาเคยประกาศกร้าวต่อหน้าเธอก็ดังก้องในจิตใต้สำนึก เขย่าความดี ความถูกต้องที่เธอเพียรรักษา ความนับถือที่เธอขวนขวายให้ตนเองสั่นคลอน

‘ในเมื่อพี่ไม่สนใจแล้ว พี่จะสนทำไมว่าผมจะประชดทำอะไรลงไป มันชีวิตผม’

เธอไล่เขา แล้วเพื่อนสนิทที่สุดก็เอ่ยปากไล่ มาวินไม่มีบ้านให้กลับไป ครอบครัวเดียวที่เขามีต้องแตกสลาย...สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะเธอ

ปลายฝนไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรกันแน่ ช่วยคนหรือทำลายชีวิตพวกเขา ถ้าเป็นอย่างแรกเช่นที่เธอเชื่อมั่นตลอดมา ทำไมเธอจึงเจ็บปวดเช่นนี้ ทำไมผลของมันถึงทำร้ายมาวิน

ทำไมต้องเป็นเธอกับเขา ทำไม...

 

ไม่มีความผิดใดน่าหวาดหวั่นเมื่อเทียบกับการหายตัวไปของมาวิน ต่อให้เธอต้องรับโทษทัณฑ์ของความผิด ปลายฝนก็พร้อมก้มหน้ารับชะตากรรม หากมันทำให้เธอได้มาวินคนเดิมคืนมา

หญิงสาวซึ่งออกไปธุระตั้งแต่บ่ายแก่กลับเข้ามาที่มูลนิธิอีกครั้ง เพราะคนคนเดียวที่ปลายฝนรู้ว่าจะช่วยเธอได้คือชไมพร

“อ้าว ฝน ไหนว่าไม่กลับเข้ามาแล้ว” สาวผมสั้นเอ่ยทักรุ่นน้องที่เดินผ่านประตูรั้วด้านหน้าเข้ามา 

ยิ่งร่างบางก้าวมาใกล้มากขึ้นเท่าไร ชไมพรก็ยิ่งมองเห็นความผิดปกติบนใบหน้าซีดเผือดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เธอเปลี่ยนใจปิดประตูรถแล้วหันไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายเต็มตัว

“ฝน เป็นอะไร”

ริมฝีปากถูกขบเม้มจนเป็นแผล ดวงตาแดงเรื่อไหวระริกสะท้อนให้เห็นหยาดน้ำที่เอ่อคลอ

“ไป ไปคุยข้างในออฟฟิศ ไม่มีใครอยู่แล้วละ” นักจิตวิทยาสาวตัดสินใจพร้อมกับแตะศอกพาผู้ที่มีท่าทีผิดปกติเข้าไปในอาคาร

เครื่องปรับอากาศเปิดใช้งานอีกครั้ง มู่ลี่ปิดสนิทเช่นเดียวกับยามที่ต้องการพูดคุยเป็นการส่วนตัว ปลายฝนเหลียวมองรอบกาย แล้วไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป

“พี่ไหม ช่วยตามหาไม้ที ไม้หนีหายไปเพราะฝน...เพราะฝนเอง”

“ใจเย็นๆ ฝน ตั้งสติ ค่อยๆ เล่า”

ชไมพรเรียกสติคนที่กำลังว้าวุ่นรุ่มร้อนใจด้วยน้ำเสียงอบอุ่นที่เธอคุ้นเคย ปลายฝนกะพริบตาถี่ๆ ก่อนเล่าความจริงทุกอย่างเท่าที่พอมีสติเรียบเรียงให้ผู้ที่เธอไว้วางใจฟัง

ความสัมพันธ์ระหว่างมาวินกับเธอเริ่มจากความเห็นอกเห็นใจที่เธอมีต่อเขา ยิ่งเมื่อเขาสูญเสียแม่ เธอก็ห่วงใยเขาประสาคนที่ผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาอย่างโดดเดี่ยวเช่นกัน ทว่าตัวตนด้านที่ใฝ่ดี มีไฟฝันถึงอนาคตของเขาก็พลอยส่องแสงอาบไล้หัวใจเธอ รู้ตัวอีกทีเธอก็ผูกพันกับเขา สนิทสนมรักใคร่เสียยิ่งกว่าครอบครัวตัวเอง เธอมุ่งหวังสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเขา ปรารถนาจะเป็นครอบครัวให้กันและกันตราบนานเท่านาน เธอจึงผิดหวังรุนแรงที่มาวินรู้สึกเกินเลยกับตน เขาทำให้ความหวัง ความถูกต้องดีงามพังทลาย 

หญิงสาวรู้ดีว่าสักวันความรักที่ไม่เหมาะสมจะทำลายความสัมพันธ์ แต่ไม่คิดเลยว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเพียงนี้

“ฝนไล่ไม้ไปเอง ฝนบอกว่าเขากำลังกดดันฝนเหมือนที่เขาทำกับแม่” 

ปลายฝนถอนสะอื้นพร้อมกับอ้าปากไล่คว้าอากาศหายใจ ชไมพรโอบไหล่พลางลูบต้นแขนอีกฝ่ายแทนคำปลุกปลอบที่จุกในลำคอ

“ฝนไม่ได้ตั้งใจ พี่ไหม ฝนแค่อยากให้ไม้เลิกพยายาม ฝนไม่อยากให้เขาเสียคนเพราะมารักคนอย่างฝน”

“โธ่...ฝน” หญิงสาวรุ่นพี่เอ่ยอย่างสะเทือนใจ

ไม่ว่าปลายฝนจะรู้ตัวหรือไม่ อย่างหนึ่งที่นักจิตวิทยาสาวแน่ใจคือ ความทุ่มเทแรงกายแรงใจให้แก่งานส่งผลให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ใจเช่นนี้ เธอน่าจะสะกิดใจว่าปลายฝนมักกล่าวโทษตนเองเสมอหลังมาลัยเลือกหนีปัญหาด้วยวิธีการนั้น การหาทางช่วยด้านทุนการศึกษาแก่มาวิน เป็นพี่หรือเพื่อนกับเด็กหนุ่ม หรือแม้แต่เสาะหาข่าวคราวของณรงค์ ก็เพื่อชดเชยความรู้สึกผิด แต่ความหวังดีเหล่านั้นกลับก่อให้เกิดความรักความผูกพันที่เจ้าตัวไม่คาดคิด ปลายฝนจึงยิ่งรู้สึกผิดต่อทุกสิ่งที่ทำลงไป และสุดท้ายบาดแผลเรื่องมาลัยก็ทำให้หญิงสาวหลุดปากระบายความเจ็บช้ำใส่หน้ามาวิน

สำหรับเธอแล้ว...ปลายฝนกับมาวินไม่ผิด ความรู้สึกต่างขั้วที่เกิดขึ้นกับพวกเขาก็เพราะประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกัน

“เอาอย่างนี้ พี่จะลองติดต่อหาไม้โดยตรง รวมถึงสอบถามไปทางญาติเขา ถ้ายังไม่มีเบาะแสเราค่อยแจ้งความ”

คำเสนอแนะของชไมพรฉุดดึงผู้ที่จมดิ่งสู่ความหวาดกลัวให้โผล่พ้นผิวน้ำอีกครั้ง ปลายฝนปาดน้ำตา รวบรวมพลังใจเพื่อไขว่คว้าความหวัง

“ให้ฝนช่วยนะคะ ฝนช่วยโทร. ถามญาติๆ ไม้เอง”

“พรุ่งนี้เถอะ วันนี้เย็นมากแล้ว”

“แต่...”

“ไม้หายไปสองอาทิตย์ พี่เชื่อว่าเด็กฉลาดอย่างไม้คงลงหลักปักฐานแล้วละ รออีกวันคงไม่สายไป”

ปลายฝนกลืนเก็บความผิดหวังพร้อมกับก้มหน้าจำนน เธอภาวนาให้คำพูดของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่เป็นจริง หาไม่แล้วเธอไม่รู้เลยว่าจะทนอยู่กับความรู้สึกผิดนี้ได้อย่างไร ศรัทธาที่เพิ่งกอบกู้คืนมาคงสูญสลายอีกครา ไม่อาจโทษใครนอกจากตนเอง

“ไปค้างกับพี่ไหม พรุ่งนี้ค่อยออกมาทำงานพร้อมกัน”

หญิงสาวหันมองเจ้าของคำชวนแล้วให้ซาบซึ้งในความห่วงใยที่ชไมพรมีต่อตน ถึงอย่างนั้นเธอก็ส่ายหน้าปฏิเสธประสาคนที่มีกำแพงชีวิตแน่นหนา

“ขอบคุณค่ะ ฝนไม่เป็นไร แค่พี่ไหมไม่โกรธและช่วยฝนตามหาไม้ ฝนก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”

ชไมพรระบายลมหายใจพร้อมกับยิ้มจางๆ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แตกต่างออกไป ปลายฝนมักเว้นช่องว่างห่างจากผู้อื่น แต่กลับเปิดรับมาวินเข้ามาในชีวิตอย่างง่ายดาย

“ไม่มีเหตุผลที่พี่ต้องโกรธฝนกับไม้ ฝนเองก็ไม่ควรโกรธและโทษตัวเอง ฝนรู้แล้วใช่ไหมว่าการเก็บปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วมาโทษตัวเองมันส่งผลยังไง”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้มีประสบการณ์มากกว่าเตือนสติ แต่ผลที่ตามมาคราวนี้หนักหนาและร้ายแรงจนปลายฝนตระหนักถึงคำพูดของชไมพรอย่างแท้จริง

การจากไปของมาลัยจารรอยแผลบนเนื้อหัวใจเธอ ซ้ำร้ายและโดยไม่ได้ตั้งใจ...เธอยังสาดความเจ็บปวดนั้นใส่มาวิน ผู้ที่มีแผลลึกเสียยิ่งกว่าเธอ

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะไม่มีวันผลักไสไล่ส่งคนที่เดียวดายไม่เหลือใคร เธอจะยึดมั่นความถูกต้องอย่างกล้าหาญ ไม่ใช่เพราะขลาดกลัวว่าตนเองจะแปดเปื้อนความผิดเช่นที่แล้วมาจนสะบั้นสายใยที่งดงามที่สุดที่เกิดขึ้นกับตน

‘ถึงโตแล้ว คนทุกคนก็สมควรมีเพื่อนสักคนที่ห่วงใย’

คำพูดแฝงความหมายอบอุ่นของเด็กหนุ่มดังสะท้อนในห้วงคำนึง เช่นเดียวกับที่เธอจดจำความอบอุ่นของแจ็กเกตยีนที่เขาเคยสละให้สวมใส่ได้อย่างดี พลันเธอก็รู้สึกว่างโหวงในอกราวถูกพรากความอบอุ่นไป 

ไร้เงามาวินท่ามกลางผู้คนแออัดบนรถประจำทาง ปลายฝนถูกใครบางคนเหยียบเท้า เจ็บจนน้ำตารื้น แต่ไม่อาจเทียบเท่าหัวใจที่เจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อหวนนึกถึงคนที่เคยกางแขนปกป้องอย่างที่ไม่เคยมีใครกระทำเช่นนั้นเพื่อเธอ ไม่มีแล้วใครคนนั้นที่ห่วงใย

หญิงสาวซบหน้าผากกับอกเสื้อที่แขวนอยู่หน้าประตูตู้เสื้อผ้า มือกำแขนแจ็กเกตตัวหนาไว้แน่นพร้อมกับที่น้ำตาไหลรินลงมา


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น